Share

8

Author: Scince
last update Last Updated: 2025-08-08 18:47:26

"ยาย" เสี่ยวเหลียนเองก็คาดไม่ถึงกับการตัดสินใจครั้งนี้เช่นกัน เธออยากออกไปจากบ้านหลี่น่ะใช่ แต่ไม่อยากกลับบ้านที่ชนบท ที่นี่สังคมดีกว่าเห็นๆ 

ยายหลิวไม่สนใจใครทั้งนั้น ท่านจ้องมองเข้าไปในห้องนอน ตรึงสายตาไว้ที่ลูกสาวของตัวเอง 

"ซือเอ๋อร์ แม่เข้าใจดีว่าแกกำลังลำบากใจแค่ไหน การที่แม่กับหลานมาอยู่ที่นี่ คงทำให้แกต้องลำบากไม่น้อย ต่อไปนี้มันจะไม่เป็นแบบนั้นอีกแล้วล่ะ"

ท่านหันมาทางหลานสาว "เสี่ยวเหลียน ลุกไหวหรือเปล่า"

แต่พอมมาคิดอีกทีก็ยิ้มย่องในใจ ดวงตาเป็นประกาย เพราะนี่คือความคิดหลังจากนี้ของเธอ กำลังคิดหนักอยู่พอดีว่าจะหาทางออกจากบ้านหลี่ได้ยังไงโดยที่ยายหลิวจะยอมพยักหน้าเห็นด้วย รอให้ได้ก้าวขาออกจากบ้านหลี่ก่อนเรื่องอื่นแล้วค่อยว่ากันเถอะ

สำหรับเธอแล้วคิดว่ายังไงผู้เป็นแม่ก็ไม่มีทางพยักหน้าตอบตกลงเห็นด้วยกับความคิดนี้ และเชื่อว่าพ่อเลี้ยงเองก็รักแม่ของเธอมากพอที่จะไม่เข่นฆ่า บางทีการแยกบ้านอยู่อาจจะเป็นทางออกของเรื่องทั้งหมด และยังคงรักษาสถานะครอบครัวเอาไว้ แม้ว่าจะอ่อนบางยิ่งกว่าใยแมงมุมแล้วก็ตาม

"เมืองนี้มันใหญ่เกินไปสำหรับเราสองยายหลานจริงๆนั่นแหละ สู้กลับบ้านอยู่บ้านของเราไม่ได้" ยายหลิวตอบอย่างเด็ดเดี่ยว "เงินเก็บที่มีในตอนนี้ คงพอให้ปลูกบ้าน คิดว่าไปถึงเงินช่วยเหลือจากทางการก็ใกล้จะออกแล้วล่ะ" 

เพราะรีบร้อนกลัวหลานสาวไม่มีที่อยู่ ท่านเลยไม่ได้อยู่รอเงินช่วยเหลือจากทางการ ได้แต่ฝากฝังเพื่อนบ้านและผู้นำหมู่บ้านให้จัดการให้ ถึงอย่างไรเรื่องแบบนี้ก็ต้องใช้เวลา 

เสี่ยวเหลียนได้ยินก็น้ำตาคลอ เธอรู้สึกตื้นตันใจในความรักที่ยายหลิวมีให้กับหลานสาว ยอมหักไม่ยอมงอคือนิยามของยายหลิว และนี่คือการประกาศสงครามอย่างแท้จริง มันคือการตัดขาดความสัมพันธ์ที่เปราะบางนี้ลงอย่างสิ้นเชิง

หลี่เหว่ยหน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด "ไม่ได้นะครับคุณป้า เรื่องทั้งหมดมันเป็นความผิดของผมเอง จะให้พวกคุณต้องย้ายออกไปแบบนี้ได้ยังไง ผมจะไปคุยกับพี่ใหญ่เดี๋ยวนี้เลย"

แต่ก่อนที่เขาจะได้ทันก้าวเท้าออกไป เสียงของเสี่ยวเหลียนก็ดังขึ้นมาเสียก่อน

"ไม่ต้องหรอกค่ะอาสี่"

ทุกคนหันมามองเธอด้วยความประหลาดใจอีกครั้ง

เสี่ยวเหลียนค่อยๆ แกะมือของหลี่เฟินที่กอดเธอไว้ออกอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้ายายหลิว เธอมองลึกเข้าไปในดวงตาของหญิงชราแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังและหนักแน่น

"ฉันเห็นด้วยกับการตัดสินใจครั้งนี้ของยายค่ะ" แต่ไม่กลับชนบทอย่างแน่นอน 

คำพูดของเธอทำให้ยายหลิวเองก็ยังต้องเลิกคิ้วมองด้วยความแปลกใจ

เสี่ยวเหลียนพูดต่อ "การอยู่ที่นี่ต่อไปมีแต่จะสร้างความลำบากใจให้แม่เปล่าๆ ทั้งยังสร้างความขัดแย้งไม่รู้จบ แยกออกไปอยู่กันตามลำพังอาจจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่าย"

เธอรู้ดีว่านี่คือการตัดสินใจที่เสี่ยงอย่างยิ่ง แต่หลังจากที่ได้เห็นความเจ็บปวดของแม่และได้ยินคำพูดของหลี่เฟิน เธอก็เข้าใจในทันทีว่า ครอบครัวที่แตกร้าวนี้มันไม่สามารถเยียวยาได้ด้วยการอยู่ร่วมกันอีกต่อไป 

การแยกตัวออกมาคือการปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเองและยาย และยังเป็นการปลดปล่อยแม่ของเธอออกจากสถานะคนกลาง ที่น่าอึดอัดใจนี้ด้วย

‘ที่สำคัญที่สุด...มันคือการได้มาซึ่งอิสรภาพที่แท้จริง’ เธอคิดในใจ ‘อิสรภาพที่จะกำหนดชีวิตของตัวเองโดยไม่ต้องอยู่ใต้เงาของใคร’

ยายหลิวมองลึกเข้าไปในดวงตาของหลานสาว ท่านเห็นความมุ่งมั่นและความคิดที่สุขุมเกินวัยอยู่ในนั้น ท่านเข้าใจในทันทีว่านี่ไม่ใช่การตัดสินใจที่หุนหันพลันแล่น แต่เป็นการตัดสินใจที่ผ่านการไตร่ตรองมาอย่างดีแล้วของหลานสาวคนนี้ คิดไม่ถึงเหมือนกันว่า หลานสาวที่อยากอยู่กับแม่มากขนาดนั้น จะยอมกลับบ้านอย่างว่าง่าย

"ดี" ในที่สุดยายหลิวก็พยักหน้ารับ "ในเมื่อคิดดีแล้ว...เราก็ไปกันเถอะ"

"เดี๋ยวก่อนค่ะ" เสียงร้องห้ามดังขึ้นมาจากประตูห้องนอน หลิวซือวิ่งออกมาจากห้องด้วยใบหน้าที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา เธอมองแม่และลูกสาวของตัวเองสลับกันไปมา "แม่คะ เสี่ยวเหลียน จะพายายไปแก แกทำอะไรของแกอีก แค่นี้มันยังวุ่นวายไม่พออีกหรือไง"

ยายหลิวมองหน้าลูกสาว รู้สึกเอือมระอา “หลิวซือ ขนาดนี้แล้วแกยังคิดไม่ได้อีกเหรอ เจ้าของบ้านพูดมาขนาดนี้ จะให้แม่กับหลานทนอยู่ได้ยังไง”

คำพูดของยายหลิวคือความจริงที่เจ็บปวด หลิวซือทรุดตัวลงนั่งร้องไห้โฮอย่างหมดหนทาง

เสี่ยวเหลียนรู้สึกเจ็บแปลบในใจ แต่เธอก็รู้ดีว่านี่คือหนทางที่ต้องเลือก เธอเดินเข้าไปคุกเข่าลงตรงหน้าผู้เป็นแม่

"แม่คะ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้อยู่บ้านเดียวกัน แต่เราก็ยังเป็นแม่ลูกกันเสมอนะคะ พอเราหาที่พักได้แล้ว ฉันจะส่งข่าวมาบอก แล้วพอฉันตั้งตัวได้มีงานทำ ฉันจะกลับมาถามแม่อีกครั้ง ว่ายังอยากจะมีพวกเราเป็นครอบครัวอยู่หรือเปล่า"

มันคือคำสัญญา...คำสัญญาที่จะเปลี่ยนแปลงอนาคตทั้งหมด

หลี่เจียงที่ยืนฟังอยู่นาน มั่นใจว่าแม่ยายพูดจริงก็รีบออกมา ตัวเขาเองก็พอจะรู้มาบ้างว่านอกจากลูกสาวแล้ว แม่ยายก็ไม่เคยอ่อนข้อใครกับใคร ท่านเปนคนหัวแข็งคนหนึ่งเลยก็ว่าได้

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นครับ แล้วนี่เก็บข้าวของจะไปไหนกัน” เขาถามเหมือนไม่รู้ว่าในห้องนี้เกิดอะไรขึ้น

“พี่ใหญ่มาก็ดีแล้ว มาช่วยพูดกับคุณป้าหน่อยสิครับ ท่านกำลังจะพาเสี่ยวเหลียนกลับบ้านที่ชนบท ผมห้ามเท่าไหร่ท่านก็ไม่ฟัง” ถ้าไม่ติดว่าเขาเองที่เป็นต้นเหตุ ก็ไม่ได้อยากจะมายุ่งเรื่องนี้สกเท่าไหร่ อยากให้ลูกเขย แม่ยายปรับความเข้าใจกันเองมากกว่า แต่เพราะตนยังไม่หลุดพ้นเลยยังไปไหนไม่ได้

“ย้ายกลับ แม่พูดเล่นหรือเปล่าครับ กลับไปแล้วจะไปอยู่ที่ไหน อีกไม่ถึงเดือนเสี่ยวเหลียนก็ต้องไปเรียนแล้ว”

“หมายความว่ายังไงคะ ไหนพ่อบอกว่า…”

“เฟินเอ๋อร์ ลูกแอบฟังผู้ใหญ่คุยกันอีกแล้วใช่ไหม พ่อบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าแอบฟัง พอฟังแล้วไม่ได้ความก็เอามาพูดต่อจนผู้ใหญ่เข้าใจผิดกันไปหมด” น้อยครั้งมากที่หลี่เจียงจะตำหนิลูกสาว แต่ครั้งนี้เขาจำเป็นต้องทำ

เรื่องที่น้องสาวบอกให้ไล่สองยายหลานออกจากบ้านน่ะใช่ แต่เขามาชั่งน้ำหนักดูแล้ว ถ้าทำแบบนั้น เกิดเรื่องนี้รู้ถึงหูเพื่อนบ้าน ต่อไปเขาคงสู้หน้าใครที่ไหนไม่ได้ แต่ถ้าหากสองคนนั้นยืนยันที่จะไปจริงๆ ต้นเหตุต้องไม่ใช่มาจากครอบครัวหลี่ หากแต่เป็นเพราะพวกเขาอยากไปเอง

“ใช่แล้ว เฟินเอ๋อร์ เป็นเพราะลูกนี่เองที่ไปพูดให้ยายกับพี่สาวเข้าใจผิด เรื่องของผู้ใหญ่เด็กไม่เกียว กลับเข้าห้องไปเลยไป” หลิวซือมองเห็นทางที่แม่กับลูกสาวจะไม่ต้องย้ายออกแล้ว เลยช่วยพูดแก้หน้าให้สามี

ยายหลิวยืนฟังเงียบๆแต่ไม่ยอมพูดอะไรสักคำ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ถ้าผู้ใหญ่ไม่พูด แล้วเด็กมันจะกล้าพูดออกมาได้ยังไง แต่ลูกสาวก็คล้อยตามสามีขนาดนี้แล้ว ท่านจะพูดอะไรได้อีก

เสี่ยวเหลียนฟังแล้วถึงกับอึ้ง อีกไม่กี่ก้าวก็จะเป็นอิสระจากคนพวกนั้นแล้วแท้ๆ สุดท้ายย่าหลี่ที่ไม่รู้โผล่มาจากไหนมาช่วยพูดเกลี้ยกล่อม พร้อมทั้งคุกเข่าขอขมายายหลิวที่ทำกิริยายไม่เหมาะสม ทั้งยังอ้างว่าเพิ่งกลับจากไปสั่งสอนลูกสาวที่บ้านลูกเขยมา ทำให้สองยายหลานเหมือนคนน้ำท่วมปาก ต้องเอาเสื้อผ้าออกจากกระเป๋าแล้วแขวนไว้ตามเดิม

 

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   19

    5 กันยายน 1975วันนี้เป็นวันประกาศผลคัดเลือกห้อง จ้าวเสี่ยวเหลียนยังไม่ทันได้ไปดูประกาศด้วยซ้ำ ก็มีผู้หวังดีมาบอกถึงบ้านว่าเธอได้อยู่ห้องหนึ่ง ซึ่งเป็นห้องเด็กนักเรียนระดับหัวกะทิ ส่วนหวังหลินนั้นอยู่ห้องห้า“ความจริงหลินหลินน่าจะทำได้ดีกว่านี้ แต่วันนั้นแกบอกว่าอ่านหนังสือดึกเกินไปเลยปวดหัว สงสัยจะตื่นเต้นน่ะค่ะ” อาสามพูดขึ้น“ดีแล้วๆ ห้องไหนก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก” ย่าหลี่พยักหน้ายิ้มๆ แม้จะรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง เพราะหลานชายอย่างหลี่เทียนก็อยู่ห้องเดียวกันกับเสี่ยวเหลียน เพราะเขาได้รับโควตามา หรือแม้แต่หลี่เฟินเองก็ได้อยู่ห้องหนึ่งแม้จะเป็นมัธยมต้นก็เถอะ“ขอบคุณอาสามนะคะที่อุตส่าห์มาบอก” เสี่ยวเหลียนพูดขอบคุณ เพราะเธอก็เตรียมที่จะไปดูประกาศเหมือนกัน“ไม่เป็นไร” อาสามฝืนยิ้มความจริงที่มาเพราะต้องการมาแก้ต่างให้ลูก

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   18

    ทางด้านเสี่ยวเหลียนเองก็ยิ้มมุมปากขณะที่เดินออกมาจากอาคารสอบ เธอไม่คิดว่าหวังหลินจะหลงตัวเองถึงขั้นเข้าใจผิด คิดว่าผู้ชายรอหน้าห้อง ทั้งที่ไม่เคยเจอกันมาก่อนไปถึงจุดนัดหมายก็เห็นว่าอาสามนั่งคุยกับคุณนายจางอยู่ ทันทีที่เห็นหน้าหลานสาวอาสามก็รีบเดินเข้ามาจับแขนแสดงความห่วงใยทันที“เป็นยังไงบ้าง เสี่ยวเหลียนทำได้หรือเปล่า ไม่ต้องคิดมากไปหรอกนะ ก็แค่สอบเลือกห้องเท่านั้น รอให้หลานเรียนไปสักพัก พอขึ้นปีสองก็จะมีการคัดเลือกห้องใหม่ ไว้ค่อยไปสู้เอาตอนนั้นก็ยังไม่สายหรอก”คำพูดของอาสาม ทำเอาป้าหลานมองหน้ากันไปมา ในขณะที่เสี่ยวเหลียนทำเพียงยิ้มน้อยๆ พยักหน้าเห็นด้วย เพราะไม่จำเป็นต้องโอ้อวดตัวเอง รอวัดกันที่ผลสอบจะดีกว่า“ไหนๆ ก็มากันครบแล้ว ถ้าอย่างนั้นฉันคงต้องขอตัวก่อนนะคะ อ่อแล้วก็ขอยืมตัวหนูเสี่ยวเหลียนสักพัก เอาไว้ฉันจะไปส่งที่บ้านด้วยตัวเอง” คุณนายจางพูดก่อนหน้าที่เจอกันรู้สึกไม่ถูกชะตาทั้งคำพูดและการกระทำ แต่ครั้งนี้ท่านั่นใจแล้วว่าอีกฝ่ายจะต้องไม่ชอบลูกสะใภ้ของท่านเป็นแน่ แต่ก็คงจะไม่แปลกอะไรเพราะเป็นแค่ลูกเลี้ยง ถึงยังไงก็ต้องถูกมองว่าเป็นคนนอก ยิ่งเห็นแบบนี้ท่านก็ยิ่งเอ็นดูจ้าวเสี่

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   17

    1 กันยายน 1975วันนี้เป็นวันที่จ้าวเสี่ยวเหลียนต้องไปสอบเลือกห้อง เพราะเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ นักเรียนบางคนเข้าเรียนได้เพราะเป็นคนในเขตพื้นที่ และได้โควตาพิเศษ อีกส่วนหนึ่งคือสอบเข้าเหมือนกับเสี่ยวเหลียน เลยทำให้ต้องสอบคัดเลือกอีกทีหนึ่งผู้ปกครองมาให้กำลังใจลูกหลานตัวเองเป็นจำนวนมาก รวมถึงอาสามของบ้านหลี่ด้วยที่มาเฝ้าลูกสาว แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่“สวัสดีค่ะ” เสี่ยวเหลียนหยุดทักทาย เพราะหากจะเดินผ่านหน้าไปเลยก็คงจะไม่ดีเท่าไหร่“อือ” อาสามพยักหน้าแบบขอไปที เพราะจุดที่ตนนั่งนั้นยังมีเพื่อนอีกหลายคน“นั่นใครเหรอ” เพื่อนบ้านคนหนึ่งสะกิดถาม“ลูกสาวคนโตพี่ใหญ่น่ะ” อาสามตอบ ถึงจะไม่ชอบหน้า แต่เวลาอยู่ข้างนอกก็ยังต้องให้เกียรติพี่ชายเรื่องที่พี่ชายแต่งงานกับผู้หญิงหม้ายลูกติดคนแถวนี

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   16

    ช่วงเย็นจ้าวเสี่ยวเหลียนตั้งแต่มาถึงก็ขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง คิดหาวิธีเอาตัวรอดกับงานแต่งงานในครั้งนี้ แต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ไม่เห็นทางออก ติดต่อยายหลิวตอนนี้ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะท่านเพิ่งจะไปได้แค่วันเดียว อย่างน้อยๆ ก็ต้อง 4-5 วัน แบบนี้คงไม่ทันการณ์เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ตามด้วยเสียงใสของน้องสาวที่ดังอยู่ข้างนอก ทำให้หญิงสาวหลุดออกจากภวังค์ของตัวเอง“เข้ามาสิ”“พี่ แม่ให้มาตามไปกินข้าว” หลี่เฟินเดินมาหยุดตรงหน้าพี่สาว“เฟินเอ๋อร์ไปกินเถอะ บอกแม่ว่าพี่ไม่หิว”“พี่ แม่บอกมาแล้วว่ายังไงก็ต้องออกไปกินข้าว ถ้าพี่ไม่ไปฉันก็ห้ามกินข้าว” หลี่เฟินพูดด้วยน้ำเสียงแกมอ้อนวอนเด็กสาวไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เพียงแต่คิดว่าถ้าอาสามมาที่บ้านส่วนมากแล้วก็จะมีเรื่องทุกที ยิ่งมาเห็นท่าทางกลัดกลุ้มของพี่สาวก็ยิ่งมั่นใจว่าตนเองสันนิษฐานไม่ผิด“ไม่มีอะไรหรอกแค่เป็นห่วงยายน่ะ ถ้างั้นพวกเราออกไปกินข้าวกันเถอะ”เห็นน้องสาวทำสายตาอ้อนวอนก็อดที่จะสงสารไม่ไหว แม้ว่าคนในครอบครัวจะไม่หวังดีกับเธอ แต่ก็รับรู้ได้ว่าน้องสาวแตกต่าง เป็นธรรมดาที่ทั้งสองคนไม่สนิทกัน เพราะพี่น้องเพิ่งเจอหน้ากันได้ไม่นาน แต่คำว

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   15

    หลังจากที่แยกกับหยางเถาฮวา อาสามก็ไม่ได้รีบกลับบ้านของตัวเอง แต่กลับไปบ้านหลี่แทน อยู่รอจนกระทั่งย่าหลี่กลับจากทำงานถึงได้เล่าเรื่องวันนี้ให้กับผู้เป็นแม่ฟัง“โชคดีขนาดนั้นเชียวเหรอ” ย่าหลี่ไม่อยากจะเชื่อ ผู้พันที่ไหนจะมาแต่งงานกับชนชั้นแรงงาน อย่างน้อยก็ต้องแต่งกับลูกหลานทหารด้วยกัน หรือไม่ก็ลูกสาวนายพลถึงจะเหมาะสม“นั่นสิคะ ทีแรกที่ติดต่อมาฉันก็นึกว่าเป็นลูกหลานขอคนแถวนี้เสียอีก แม่คะเราจะทำยังไงกันดีละคะ” อาสามถามผู้เป็นแม่ด้วยความกลัดกลุ้ม“จะทำยังไงล่ะ ในเมื่อทางนั้นพูดออกมาแล้วว่าจะรับผิดชอบ เราก็มีหน้าที่เรียกสินสอดให้คุ้มกับที่เจ้าใหญ่เลี้ยงดูมาตั้งแต่แบเบาะ” ย่าหลี่นึกถึงสินสอดที่จะได้รับแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่“ได้ยังไงละคะแม่ อย่าเห็นแก่เงินน้อยนิดสิคะ นึกถึงผลที่จะเกิดขึ้นระยะยาว แค่นี้พี่สะใภ้ก็คอยื่นคอยาว ถ้าเกิดว่าหล่อนได้เป็นแม่ยายผู้พันจริงๆ คิดเหรอว่าต่อไปหล่อนจะยอมก้มหัวให้กับพวกเรา”“อืม ที่แกพูดมาก็มีเหตุผล” ย่าหลี่คิดตามคำพูดของลูกสาวที่ผ่านมาท่านพอใจกับลูกสะใภ้คนนี้มาก พูดง่าย แล้วก็ไม่เคยทำเรื่องให้ลำบากใจ เรียกได้ว่าชี้นกเป็นนก ไม่มีปากมีเสียง ลูกชายของท่านตาถ

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   14

    อาสามได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มค้าง ส่วนหลิวซือนั้นได้แต่นั่งนิ่งพูดไม่ออก เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะดูดีขนาดนี้ เดิมทีคิดว่าเป็นชนชั้นแรงงานเหมือนกันเสียอีก“ไอหยาคุณนายอย่าเพิ่งใจร้อนไปสิคะ ทำความรู้จักกันก่อน” อาสามพูดแก้สถานการณ์ เห็นการแต่งตัวของอีกฝ่ายแล้วไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ว่าเป็นคนมีเงิน เพราะแบบนี้ถึงได้บอกให้อีกฝ่ายใจเย็นๆ“เย็นไม่ไหวแล้วล่ะค่ะ เสียงพูดถึงหนูเสี่ยวเหลียนดังเข้าหูมาทุกวัน กว่าที่ฉันจะติดต่อพวกคุณได้ไม่ใช่ง่าย” คนที่แนะนำตัวว่าเป็นหยางเถาฮวาพูดขึ้นเธอเห็นหน้าว่าที่ลูกสะใภ้แล้วก็พยักหน้าพอใจ ก่อนหน้าที่ลูกชายจะไปทำงานได้บอกแล้วว่าไปล่วงเกินสาวคนหนึ่งเข้า ไม่รู้ว่าทางนั้นจะมาเอาเรื่องหรือเปล่า แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็รับปากรับผิดชอบไป เพราะตนล่วงเกินอีกฝ่ายจริง“เดี๋ยวก่อนนะคะ ตกลงว่านี่มันเรื่องอะไรกัน” เสี่ยวเหลียนได้กลิ่นไม่ดีเลยถามออกไปอย่างงุนงง“เสี่ยวเหลียนจ๊ะ ผู้ใหญ่คุยกันเด็กอย่าเพิ่งพูดแทรก เดี๋ยวก็รู้เองแหละว่าเรื่องอะไร” คำพูดของอาสามทำเอาหยางเถาฮวาที่กำลังจะอ้าปากอธิบายต้องกลืนคำพูดลงท้องของตัวเองไป“นั่นสิ รอให้อาสามพูดจบก่อน” หลิวซือพยักหน้าเห็นด้วยกับน้องส

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status