ในเย็นวันเดียวกันนั้น หลังจากที่กินข้าวเสร็จเรียบร้อย เติ้งเว่ยหมิงช่วยซุยหลันซีเก็บจานล้างทำความสะอาด โดยบอกให้เธอไปอาบน้ำส่วนตัวเขานั่งรออยู่บนเตียง ใบหน้าตึงเครียด คิ้วขมวดอยู่ตลอดเวลา
หญิงสาวอาบน้ำเสร็จ ออกมาจากห้องน้ำ เดินไปนั่งที่โต๊ะเครื่องแป้ง ใช้สายตามองชายหนุ่มผ่านทางกระจก
บรรยากาศช่างน่าอึดอัดและเงียบจนซุยหลันซีรู้สึกไม่สบายใจจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากถาม
“พี่เว่ยหมิง พี่เป็นอะไรไปหรือเปล่า? หรือมีปัญหาอะไรที่ทำงานอีกไหม หรือว่าผู้จัดการจางทำอะไรให้พี่ไม่สบายใจ?” ซุยหลันซีหยุดมือที่กำลังหวีผม หันหน้ามาทางเขาที่นั่งอยู่บนเตียง ในแววตาเต็มไปด้วยความสงสัย
เติ้งเว่ยหมิงไม่ตอบ เขาเงยหน้าขึ้น จ้องมองหญิงสาวราวกับว่าเธอเป็นคนแปลกหน้า
สายตาลุ่มลึกที่มองมาทำให้ซุยหลันซีรู้สึกไม่สบายใจ เธอรู้สึกถึงความผิดปกติ จึงลุกขึ้นเดินไปนั่งข้างๆ ชายหนุ่มก่อนจะร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อเติ้งเว่ยหมิงผลักร่างของซุยหลันซี เธอไม่ทันได้ตั้งตัวล้มลงไปบนเตียงนอน
เขาใช้มือข้างหนึ่งจับยึดข้อมือเล็กบางของเธอเอาไว้เหนือศีรษะ มืออีกข้างกดอยู่ที่เอวของเธอ ร่างสูงใหญ่กดทับร่างบอบบางของเธอเอาไว้
“คุณเป็นใครกันแน่ นี่ไม่ใช่คุณหนูซุยผู้เหย่อหยิ่งอย่างแน่นอน” สายตาคมดุกวาดมองไปจนทั่วใบหน้างดงามของเธอ ซุยหลันซีตกใจ ดิ้นรนขลุกขลักอยู่ภายใต้ร่างที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม หอบหายใจแรงจนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง
ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงความนุ่มนิ่ม อารมณ์ชนิดหนึ่งก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากกายเธอลอยมาแตะจมูก ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึก ลูกกระเดือกขยับขึ้นลง พยายามกดอารมณ์บางอย่างเอาไว้
“พะ...พี่เว่ยหมิง ถ้าสงสัยอะไรก็ถามฉันดีๆ ก็ได้ พี่ปล่อยฉันก่อนดีไหม?”
ซุยหลันซีทำใจดีสู้เสือ เอ่ยปากเตือนสติชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
ชายหนุ่มพูดอยู่แนบชิดกับใบหูของเธอ ลมหายใจอุ่นร้อนพ่นรดไปบนแก้มขาวเนียน เขาชอบกลิ่นกายของเธอ สายตาของเติ้งเว่ยหมิงจับจ้องอยู่บนใบหน้าที่แดงระเรื่อของซุยหลันซี
“ไม่ บอกความจริงมาก่อน แล้วผมจะปล่อยคุณ แล้วถ้าคุณยังไม่หยุดดิ้น ผมไม่รับประกันว่าจะไม่เกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้” คำพูดของเติ้งเว่ยหมิงทำให้ซุยหลันซีถึงกับตัวแข็งทื่อ
“ความ...ความจริงอะไร?” หญิงสาวเอ่ยถามเสียงสั่น
“คุณเป็นใครกันแน่?”
“พี่พูดอะไร ถามอะไร ฉันไม่เข้าใจ ฉันก็ซุยหลันซี เป็นภรรยาของพี่นั่นแหละ ถ้าไม่ใช่ฉัน แล้วฉันจะเป็นใครไปได้ล่ะ?” ซุยหลันซีหลังจากที่สงบสติได้แล้วก็ตอบออกไปด้วยความมั่นใจ เสียงไม่มีสั่นแม้แต่นิด
ก็จริงไหมละ? ร่างนี้คือซุยหลันซี ต่อให้ทำยังไงก็พิสูจน์ไม่ได้อยู่ดี เธอไม่ยอมรับเสียอย่าง ยังไงเขาก็จับไม่ได้อยู่แล้ว
“เฮอะ เกือบหนึ่งเดือนที่ผ่านมาตั้งแต่พวกเราย้ายมาอยู่ที่กว่างโจว คุณหนูซุยผู้เย่อหยิ่ง คนที่ชอบแกล้งผมตั้งแต่เด็กจนโต คนที่ไม่เห็นหัวใคร คนที่ไม่ยอมหยิบจับอะไรทั้งสิ้น เปลี่ยนไปอย่างกับคนละคน คุณรู้จักพูดขอบคุณ มีน้ำใจ ดูแลผมอย่างดี ยอมที่จะทำความสะอาดบ้าน หัดทำอาหาร ยอมหน้ามันอยู่หน้าเตาเพื่อทำกับข้าวให้ผม
แล้ววันนี้ยังไปคุยธุรกิจกับเถ้าแก่อี้ คุณมีหัวการค้าตั้งแต่เมื่อไหร่? ก่อนที่ทหารจะเข้ามาจับกุมท่านนายพล คุณยังค้านหัวชนฝาอยู่เลย แสดงออกชัดเจนว่าไม่ชอบผมเอามากๆ อย่าบอกนะว่าแค่นั่งรถไฟจากปักกิ่งมากว่างโจวทำให้คุณคิดได้ แล้วเปลี่ยนไปแบบนี้”
เติ้งเว่ยหมิงมองซุยหลันซีเขม็งตาไม่กะพริบ ขณะพูดประโยคยาวยืดออกมา
ในความทรงจำของร่างนี้ พบว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาพูดออกมาได้ยาวที่สุด
“เอ่อ ก็อาจจะเป็นแบบที่พี่พูดมาก็ได้” ซุยหลันซีจนด้วยคำตอบ
จะให้เธอบอกออกไปได้ยังไงว่าเธอไม่ใช่ซุยหลันซีตัวจริง เธอเป็นเพียงวิญญาณหลงยุคมา บอกไปแล้วเขาจะเชื่อหรือไง?
“หลันหลัน”
เสียงนุ่มทุ้มเรียกชื่อเธอเป็นครั้งแรก แม้จะเย็นชาแต่กลับฟังดูแล้วเซ็กซี่เป็นอย่างมาก ถึงกับทำให้ซุยหลันซีต้องกลั้นหายใจ ไม่รู้ว่าต้องตอบเขาอย่างไร จึงได้แต่มองเขากลับเงียบๆ
ความเงียบและสายตาที่ดื้อดึงของคนใต้ร่างที่เขากดทับอยู่ทำให้เติ้งเว่ยหมิงหมดความอดทน ชายหนุ่มก้มหน้ากดริมฝีปากหนาลงบนริมฝีปากบางของเธออย่างรวดเร็ว
ซุยหลันซีด้วยความตกใจอ้าปากจะห้าม กลับเป็นโอกาสให้ชายหนุ่มสอดลิ้นร้อนเข้าไปกวาดชิมความหวานจากริมฝีปากเล็กๆ ของเธอ
ตอนแรกเติ้งเว่ยหมิงเพียงต้องการสั่งสอนและบีบบังคับให้คุณหนูผู้เย่อหยิ่งเกิดความกลัวและพูดความจริงออกมา แต่พอได้ลิ้มรสชิมความอ่อนนุ่มจากปากของเธอเขาก็หยุดไม่ได้
“อือ หวานเหลือเกิน หลันหลัน” เติ้งเว่ยหมิงครางออกมาอย่างพึงพอใจ ชายหนุ่มเลื่อนมือที่กดอยู่ตรงเอวของซุยหลันซีสอดเข้าไปในเสื้อนอน สัมผัสนุ่มเนียนมือทำให้ร่างกายของชายหนุ่มตื่นตัว เธอสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงจึงดิ้นรนอีกครั้ง
ซุยหลันซีสะบัดหน้าหนีการรุกรานของเขา ทำให้เติ้งเว่ยหมิงรู้สึกตัว
ชายหนุ่มได้สติ ผละริมฝีปากออกแต่ยังคงกอดรัดเธอเอาไว้อย่างนั้น
ผ่านไปนานอารมณ์ของเติ้งเว่ยหมิงจึงสงบลง นึกเสียใจว่าตัวเองผิดคำสัญญากับเธอ
ทันทีที่ชายหนุ่มผละออก ซุยหลันซีเมื่อเป็นอิสระก็เหมือนกับปลาที่ขาดอากาศหายใจ พอเจอน้ำก็รีบหายใจเข้าอย่างหนักหน่วงจนตัวโยน หน้าอกที่เคลื่อนไหวขึ้นลงสะดุดตาชายหนุ่มเป็นอย่างมาก
เติ้งเว่ยหมิงรีบเบนสายตาออกแล้วลุกพรวดขึ้นยืนทันที เขายืนนิ่งหันหลังพร้อมกับเอ่ยขอโทษหญิงสาว
“ผมขอโทษ” จากนั้นก็รีบเดินออกไปนอกห้องนอนคว้าเสื้อผ้าไปเข้าห้องน้ำ อาบน้ำเพื่อระงับความรู้สึกที่ประทุขึ้นมาอีกครั้ง
ซุยหลันซีที่พอมีแรงก็รีบลุกขึ้นขยับร่างไปนั่งพิงหัวเตียง คว้าเอาหมอนมากอดไว้ คล้ายกับว่าเจ้าหมอนใบจิ๋วจะสามารถป้องกันภัยให้กับเธอได้อย่างไรอย่างนั้น
“คนบ้า!” นั่งอย่างนั้นอยู่นานก็ไม่เห็นว่าชายหนุ่มจะเดินกลับเข้ามานอน จึงแอบก่นด่าเติ้งเว่ยหมิงในใจ ก่อนจะล้มตัวลงนอน
หลับตานอนไม่นาน ด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทางไปเจรจาธุรกิจถึงสองโรงงาน แล้วยังต้องมาตกใจกับการจู่โจมของเติ้งเว่ยหมิง ทำให้ซุยหลันซีผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว
ความจริงแล้วซุยหลันซีก็ไม่ได้รังเกียจเติ้งเว่ยหมิงแต่อย่างใด เธอออกจะแอบชอบเขาเสียอีก ผู้ชายที่หน้าตาหล่อเหลา รูปร่างสูงใหญ่ ทำไมเธอจะไม่ชอบล่ะ
ซุยหลันซีเป็นคนธรรมดา เธอไม่ได้โดดเด่นอะไร เป็นนักวาดทำงานที่บ้าน ไม่ค่อยมีสังคม ไม่เคยมีคนรัก พอมาเจอผู้ชายคมเข้มเข้าก็ทำเอาใจละลายแล้ว ดังนั้นเธอจึงตั้งใจจะปรนนิบัติพัดวีเขาเป็นอย่างดีจะบอกว่าเป็นแผนการเอาชนะใจเติ้งเว่ยหมิงก็ไม่ผิดนัก
แต่เธอลืมคิดไปว่าร่างนี้มีพฤติกรรมตรงกันข้ามกับสิ่งที่เธอทำอย่างสุดขั้ว จึงทำให้คนที่ฉลาดอย่างเติ้งเว่ยหมิงรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ
เติ้งเว่ยหมิงหลังจากที่อาบน้ำเสร็จก็ยังไม่กล้ากลับเข้าไปห้องนอน ชายหนุ่มนั่งสงบสติอารมณ์อยู่ในห้องรับแขก กะเวลาว่าซุยหลันซีน่าจะหลับไปแล้ว จึงค่อยสาวเท้าแผ่วเบากลับเข้าไปในห้องนอนอีกครั้ง
ชายหนุ่มชะโงกหน้ามองเห็นซุยหลันซีลมหายใจสม่ำเสมอ ก็สอดตัวเข้าใต้ผ้าห่ม กึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียง จ้องมองใบหน้างดงามที่นอนหลับอย่างสบายใจ พลางเอ่ยถามเสียงเบา
“คุณเป็นใครกันแน่ แต่รู้ไหม ผมชอบที่คุณเป็นแบบนี้ที่สุด...”
พูดจบเติ้งเว่ยหมิงก็ก้มลงจูบลงไปบนหน้าผากและริมฝีปากบางอย่างถือสิทธิ์อีกครั้ง
“ฝันดีนะ คุณภรรยาของผม” จากนั้นจึงคว้าร่างเล็กของภรรยาเข้ามาไว้ในอ้อมกอดแล้วนอนหลับตาจนเข้าสู่นิทราในที่สุด
เวลาบ่ายสองโมง เสียงเคาะประตูบ้านดังขึ้นทำให้เติ้งเว่ยหมิงรีบวางผ้าเช็ดตัวผืนเล็กลงในกะละมังแล้วลุกไปเปิดประตู ปรากฏว่าหลี่ชิงหรง เพื่อนบ้านยืนยิ้มอยู่ตรงหน้าประตู“อาหมิง หลันหลันอยู่บ้านไหม พี่มีเรื่องจะมาบอก”“อยู่ครับ แต่ว่าตอนนี้หลันหลันน่าจะไม่สะดวกพบพี่นะครับ” เติ้งเว่ยหมิงแจ้งด้วยน้ำเสียงสุภาพ“ไม่สะดวกเจอ หลันหลันเป็นอะไรหรือเปล่า”หลี่ชิงหรงถามกลับด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล“เป็นไข้ครับ ผมเลยให้นอนพัก”“อ้อ อย่างนี้นี่เอง ตอนเช้าพี่มาเคาะประตูรอบหนึ่งแล้ว แต่ไม่มีใครออกมาเปิด เลยมาอีกทีตอนบ่าย พี่อุตส่าห์เตือนแล้วเชียวว่าอย่าหักโหมทำงานหนัก เพิ่งย้ายมาได้ไม่นาน อาจจะยังปรับตัวไม่ค่อยได้ ไม่เป็นไร รอให้หลันหลันหายดีก่อนก็แล้วกัน ฝากบอกหลันหลันด้วยละกันว่าพี่มาหา” หลี่ชิงหรงบ่นอุบอิบถึงเพื่อนบ้านรุ่นน้องที่เธอก็รักไม่ต่างกับน้องสาวตนเองจริงๆ“ครับแล้วผมจะบอกให้ ถ้าหลันหลันค่อยยังชั่วแล้วจะให้ไปหาพี่ชิงหรงนะครับ”“ได้ งั้นพี่กลับบ้านก่อนละกัน”หลี่ชิงหรงกลับไปแล้ว เติ้งเว่ยหมิงจึงปิดประตูเดินกลับเข้าไปในห้องนอน ทรุดตัว
เช้าวันรุ่งขึ้นซุยหลันซีตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของเติ้งเว่ยหมิง หญิงสาวถึงกับเขินอายและทำตัวไม่ถูก เธอรีบลุกออกไปจากเตียงเงียบๆ โดยหารู้ไม่ว่าชายหนุ่มผู้ที่ตกลงว่าจะเป็นสามีแต่เพียงในนามของเธอนั้นตื่นก่อนเธอนานแล้ว แต่เพื่อไม่ต้องการให้เกิดความกระอักกระอ่วนใจระหว่างพวกเขา ดังนั้นเขาจึงแสร้งทำเป็นยังไม่ตื่นซุยหลันซีตบหน้าเรียกสติตนเองอยู่สองสามทีก่อนจะทำหน้าที่ของตนเองเหมือนทุกวันที่ผ่านมา นั่นก็คือทำอาหารและเตรียมของให้เติ้งเว่ยหมิงไปทำงานทั้งคู่นั่งกินข้าวเช้าด้วยกัน ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครพูดอะไรออกมา แต่บรรยากาศกลับไม่ได้น่าอึดอัดอย่างที่คิด เติ้งเว่ยหมิงมีรอยยิ้มแต้มมุมปากอยู่ตลอดเวลา ส่วนซุยหลันซีก็ก้มหน้าก้มตากินอาหารเช้าอย่างเงียบๆหลังจากที่ชายหนุ่มออกไปทำงาน ซุยหลันซีถึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วเริ่มลงมือทำงานบ้าน ซักผ้าแล้วไปปลุกเด็กชายเล่อเล่อ ล้างหน้าให้เด็กชาย ดูแลให้เด็กน้อยกินอาหารเช้า เสร็จแล้วก็มานั่งทำงานออกแบบลายผ้าเล่อเล่อนั่งเล่นคนเดียวอย่างเงียบๆ เด็กชายชินแล้ว เขาจะไม่เข้าไปกวนเวลาพี่สาวคนสวยทำงาน เพราะแม่ของเขาสั่งมาว่าห้ามกวนพี่สาวคน
ในเย็นวันเดียวกันนั้น หลังจากที่กินข้าวเสร็จเรียบร้อย เติ้งเว่ยหมิงช่วยซุยหลันซีเก็บจานล้างทำความสะอาด โดยบอกให้เธอไปอาบน้ำส่วนตัวเขานั่งรออยู่บนเตียง ใบหน้าตึงเครียด คิ้วขมวดอยู่ตลอดเวลาหญิงสาวอาบน้ำเสร็จ ออกมาจากห้องน้ำ เดินไปนั่งที่โต๊ะเครื่องแป้ง ใช้สายตามองชายหนุ่มผ่านทางกระจกบรรยากาศช่างน่าอึดอัดและเงียบจนซุยหลันซีรู้สึกไม่สบายใจจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากถาม“พี่เว่ยหมิง พี่เป็นอะไรไปหรือเปล่า? หรือมีปัญหาอะไรที่ทำงานอีกไหม หรือว่าผู้จัดการจางทำอะไรให้พี่ไม่สบายใจ?” ซุยหลันซีหยุดมือที่กำลังหวีผม หันหน้ามาทางเขาที่นั่งอยู่บนเตียง ในแววตาเต็มไปด้วยความสงสัยเติ้งเว่ยหมิงไม่ตอบ เขาเงยหน้าขึ้น จ้องมองหญิงสาวราวกับว่าเธอเป็นคนแปลกหน้าสายตาลุ่มลึกที่มองมาทำให้ซุยหลันซีรู้สึกไม่สบายใจ เธอรู้สึกถึงความผิดปกติ จึงลุกขึ้นเดินไปนั่งข้างๆ ชายหนุ่มก่อนจะร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อเติ้งเว่ยหมิงผลักร่างของซุยหลันซี เธอไม่ทันได้ตั้งตัวล้มลงไปบนเตียงนอนเขาใช้มือข้างหนึ่งจับยึดข้อมือเล็กบางของเธอเอาไว้เหนือศีรษะ มืออีกข้างกดอยู่ที่เอวของเธอ ร่างสูงใหญ่
อี้ชุนคุ้นเคยกับเติ้งเว่ยหมิงเป็นอย่างดี เพราะเขาเป็นคนรับชายหนุ่มเข้ามาทำงานด้วยตนเองเนื่องจากเติ้งเว่ยหมิงได้มีโอกาสช่วยชีวิตอี้ชุนขณะที่ถูกคนดักปล้น ซึ่งเป็นช่วงที่เติ้งเว่ยหมิงย้ายมาอยู่ที่เมืองนี้ หลังจากช่วยเหลือกันแล้ว อี้ชุนต้องการตอบแทนบุญคุณ แต่เติ้งเว่ยหมิงปฏิเสธหลังจากพูดคุยกันอยู่พักใหญ่อี้ชุนก็รู้ว่าเขาจบการศึกษาวิศวกรรมศาสตร์มา แล้วยังเคยเป็นทหารมาก่อน และตอนนี้กำลังหางานทำ จึงชวนเติ้งเว่ยหมิงมาทำงานคุมเครื่องจักรในโรงงานของตัวเอง จึงนับว่าทั้งคู่ค่อนข้างมีความสนิทสนมกันอยู่พอสมควร“ซุยหลันซี ภรรยาของผมครับ หลันหลัน คนนี้คือคุณอี้ชุนเถ้าแก่เจ้าของโรงงาน”เติ้งเว่ยหมิงเอ่ยแนะนำให้ทั้งสองคนได้รู้จักกันซุยหลันซีจึงค้อมศีรษะลงเล็กน้อยก่อนกล่าวทักทาย“สวัสดีค่ะ เถ้าแก่อี้ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”“ยินดีที่ได้รู้จักครับ อาหมิงฉันไม่คิดว่านายจะปิดบังเรื่องแต่งงานกับฉัน แต่เธอสวยงามและเหมาะสมกับนายมาก” เถ้าแก่อี้ค้อมหัวเล็กน้อยทักทายเธอกลับ แล้วหันไปพูดกับเติ้งเว่ยหมิง ตัดพ้อเขาเล็กน้อย แล้วเอ่ยชมด้วยความจริงใจซุยหลันซ
ซุยหลันซีมาถึงโรงงานสิ่งทอจินเซิงที่เติ้งเว่ยหมิงทำงานก็เป็นเวลาพักเที่ยงพอดี โรงงานแห่งนี้มีสวัสดิการอาหารกลางวันให้กับพนักงานทุกคนซุยหลันซีเป็นเพียงคนนอกไม่ได้เป็นพนักงานของโรงงาน เมื่อแจ้งความประสงค์ว่าต้องการขอพบสามีแล้วเธอก็เดินออกมาด้านนอก เพื่อหาอาหารกลางวันรับประทาน เพราะต้องรอให้เติ้งเว่ยหมิงกินข้าวกลางวันเสร็จก่อน เสร็จจากมื้อกลางวันก็เดินกลับเข้าไปที่โรงงานอีกครั้งเธอรออยู่ที่ห้องรับรองของโรงงาน ไม่นานเติ้งเว่ยหมิงก็เดินออกมา“พี่เว่ยหมิงมาแล้วเหรอคะ” ซุยหลันซีลุกขึ้นยืนทันทีที่เห็นเขา“ทำไมคุณถึงมานี่นี่ล่ะ? แล้วที่โรงงานเฟิงหยุนเป็นยังไงบ้าง สำเร็จไหม?”เติ้งเว่ยหมิงรู้ว่าวันนี้เธอไปที่โรงงานตัดเย็บผ้าเฟิงหยุนจึงถามเช่นนี้ แต่ที่เขาไม่เข้าใจก็คือทำไมเธอถึงมาหาเขาที่โรงงานหรือว่าเรื่องนี้จะไม่ง่ายขนาดนั้น?เติ้งเว่ยหมิงขมวดคิ้วแน่น“พี่เว่ยหมิง ฝีมือระดับฉันแล้วจะพลาดเหรอคะ ว่าแต่พี่พอจะพาฉันไปพบเถ้าแก่โรงงานของพี่ได้ไหม ฉันมีข้อเสนอเรื่องธุรกิจจะมาคุยกับเขาค่ะ” ซุยหลันซียืดอกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียง
“คุณซุย ฉันยอมรับว่าชุดที่คุณออกแบบมามันน่าทึ่งมาก คุณสามารถออกแบบชุดเพื่อมาจัดการกับผ้าที่ผลิตผิดพลาดได้ดี ฉันต้องยอมรับในความสามารถของคุณจริงๆ ตั้งแต่ฉันเปิดรับสมัครมาเป็นเวลาสามเดือน มีแบบของคุณซุยนี่แหละที่เข้าตาฉันมากที่สุด” หวงเสี่ยวเหมยเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้น“ขอบคุณนะคะที่ชอบชุดของฉัน อันที่จริงที่ฉันทำแบบนี้ก็เพราะต้องการความร่วมมือของคุณค่ะ ฉันใช้ผ้าที่เหลือมาตัดชุดที่ฉันออกแบบ นอกจากชุดที่ฉันตัดมาเป็นตัวอย่างในวันนี้แล้ว ฉันว่าจะออกแบบอีกสักสองสามชุด มีชุดให้ลูกค้าเลือกหลายๆ แบบจะขายได้ง่ายกว่า ร้านค้าส่งที่เป็นคู่ค้าของโรงงานเฟิงหยุนสามารถช่วยขายชุดได้ ฉันเชื่อว่าต้องมีใบสั่งซื้อเพิ่มอีกแน่นอน” ซุยหลันซีโน้มน้าวเถ้าแก่เนี้ยอย่างสุดกำลัง เพราะอยากช่วยแก้ปัญหาให้กับเติ้งเว่ยหมิง นอกจากนี้อาจทำกำไรได้อีกนิดหน่อย“โรงงานเฟิงหยุนยินดีที่จะทำตามที่คุณซุยนำเสนอ แต่ว่าเฟิงหยุนของฉันจะได้อะไรบ้างคะ?” หวงเสี่ยวเหมยแสดงความยินดีที่จะทำตามข้อเสนอของซุยหลันซี แต่ก็ยังคงต่อรองถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับ สมกับเป็นเถ้าแก่เนี้ยเจ้าของโรงงานผู้มากประสบการณ์ ที่ไม่เคยเก็บงำเขี้