เวลาบ่ายสองโมง เสียงเคาะประตูบ้านดังขึ้นทำให้เติ้งเว่ยหมิงรีบวางผ้าเช็ดตัวผืนเล็กลงในกะละมังแล้วลุกไปเปิดประตู ปรากฏว่าหลี่ชิงหรง เพื่อนบ้านยืนยิ้มอยู่ตรงหน้าประตู
“อาหมิง หลันหลันอยู่บ้านไหม พี่มีเรื่องจะมาบอก”
“อยู่ครับ แต่ว่าตอนนี้หลันหลันน่าจะไม่สะดวกพบพี่นะครับ” เติ้งเว่ยหมิงแจ้งด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ไม่สะดวกเจอ หลันหลันเป็นอะไรหรือเปล่า”
หลี่ชิงหรงถามกลับด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
“เป็นไข้ครับ ผมเลยให้นอนพัก”
“อ้อ อย่างนี้นี่เอง ตอนเช้าพี่มาเคาะประตูรอบหนึ่งแล้ว แต่ไม่มีใครออกมาเปิด เลยมาอีกทีตอนบ่าย พี่อุตส่าห์เตือนแล้วเชียวว่าอย่าหักโหมทำงานหนัก เพิ่งย้ายมาได้ไม่นาน อาจจะยังปรับตัวไม่ค่อยได้ ไม่เป็นไร รอให้หลันหลันหายดีก่อนก็แล้วกัน ฝากบอกหลันหลันด้วยละกันว่าพี่มาหา” หลี่ชิงหรงบ่นอุบอิบถึงเพื่อนบ้านรุ่นน้องที่เธอก็รักไม่ต่างกับน้องสาวตนเองจริงๆ
“ครับแล้วผมจะบอกให้ ถ้าหลันหลันค่อยยังชั่วแล้วจะให้ไปหาพี่ชิงหรงนะครับ”
“ได้ งั้นพี่กลับบ้านก่อนละกัน”
หลี่ชิงหรงกลับไปแล้ว เติ้งเว่ยหมิงจึงปิดประตูเดินกลับเข้าไปในห้องนอน ทรุดตัวนั่งลงบนเตียงพลางยิ้มออกมาเล็กน้อย สายตามองไปยังคนที่นอนอยู่บนเตียง ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดผ้าห่มที่คนข้างในกำลังยึดไว้จนสุดความสามารถ
“พี่ชิงหรงมาหา บอกว่ามีเรื่องมาบอก พี่บอกว่าหลันหลันไม่สบาย ถ้าค่อยยังชั่วแล้วจะให้ไปหาพี่ชิงหรงทีหลัง” เติ้งเว่ยหมิงแจ้งเรื่องสำคัญให้กับภรรยาทราบ ทว่าคนในผ้าห่มก็ยังไม่ยอมปล่อยมือที่ยึดไว้อยู่ดี
ซุยหลันซีหน้าแดงเมื่อได้ยินคำเรียกตัวเองของเขา แล้วยังเรียกเธออย่างสนิทสนมอีกด้วย
“หลันหลัน จะอายทำไมกัน มันเป็นเรื่องปกติของสามีภรรยา ปล่อยผ้าห่มเร็วเข้า เดี๋ยวหายใจไม่ออกนะ”
เติ้งเว่ยหมิงเอ่ยเย้าภรรยาเสียงนุ่มเต็มไปด้วยความขบขัน
ซุยหลันซีได้ยินอย่างนั้นก็เปิดผ้าห่มคลุมหน้าออก ก่อนจะหยิกไปที่เอวหนาของสามีข้าวใหม่ปลามันอย่างแรง
“โอ้ย หลันหลันมาหยิกพี่ทำไม เจ็บนะ” เติ้งเว่ยหมิงสะดุ้งพลางลูบตรงที่โดนหยิกอย่างเสแสร้ง
เธอไม่ได้หยิกเขาแรงขนาดนั้นเสียหน่อย!
“ไม่รู้ล่ะ เป็นความผิดของพี่ ใครเขาสั่งเขาสอนให้ ให้ ให้....” ซุยหลันซีพูดคำต่อไปไม่ออก จะพูดคำว่ารักกันตอนฟ้าแจ้ง ก็อายเกินไป ยิ่งเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของคนที่ทำให้เธอไม่สบายก็ยิ่งอยากจะทุบให้หลังหัก
“ไม่เอาน่า ไม่โกรธพี่นะ ก็ใครใช้ให้หลันหลันน่ารักกันล่ะ หืม?” เติ้งเว่ยหมิงคว้าข้อมือเล็กๆ ของเธอไว้ก่อนจะกดจุมพิตลงบนหลังมืออย่างทะนุถนอม
“ผู้ชายเย็นชา ปากหนักก่อนหน้านี้หายไปไหนแล้วคะ?”
“ผู้ชายคนนั้นหายไปพร้อมกับคุณหนูผู้แสนเย่อหยิ่ง ใจร้าย แล้วก็นิสัยเสียแล้วล่ะ” พูดพลางงอนิ้วเขี่ยจมูกจิ้มลิ้มของเธอ
“ขอโทษครับ พี่ไม่ควรพูดแบบนั้น สัญญาได้ไหม ต่อไปพวกเราสองคนจะไม่พูดถึงเรื่องในอดีต เราจะมีความสุขกับปัจจุบันและอนาคตเท่านั้น ความทรงจำแย่ๆ พวกนั้นทิ้งมันไปเถอะนะ”
ซุยหลันซีนึกอยากจะบอกเขาอยู่เหมือนกัน ว่า เธอมีแต่อยากจะแก้ไขเรื่องแย่ๆ พวกนั้น
“ได้ค่ะ ต่อไปนี้พวกเราจะไม่พูดถึงเรื่องในอดีตอีก แต่ว่าตอนนี้ฉันหิวแล้ว พี่จะปล่อยฉันได้หรือยัง”
ซุยหลันซีตั้งใจจะลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ กระเพาะของเธอกำลังประท้วง ตั้งแต่เช้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้อง แถมยังต้องมาเสียพลังงานอีก ตอนนี้เธอรู้สึกหิวแล้วจริงๆ
“โอ๊ะ!” เพียงแค่เท้าแตะพื้น หญิงสาวถึงกับเซเบาๆ
เติ้งเว่ยหมิงเห็นดังนั้นจึงอุ้มเธอขึ้นมา เดินไปที่ห้องน้ำ วางเธอลง
“เดินไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืน”
“เพราะใครล่ะคะ ทำให้ฉันเป็นแบบนี้”
ซุยหลันซีนิ่วหน้าค้อนเขาเบาๆ
“ให้พี่อาบน้ำให้ดีไหม? ดูแล้วหลันหลันจะยืนไม่ค่อยไหว” เติ้งเว่ยหมิงเอ่ยถามน้ำเสียงกรุ้มกริ่ม ทำเอาซุยหลันซีใบหน้าเห่อร้อน รีบผลักเขาออกไปทันที
“ไม่ต้องเลยค่ะ พี่ทำให้ฉันเป็นแบบนี้ พี่ต้องทำคุณไถ่โทษ ฉันหิวมาก”
เติ้งเว่ยหมิงหันมายกมือขวางประตูเอาไว้ พูดกับเธอว่า
“ได้ เพราะพี่ทำให้หลันหลันเป็นแบบนี้ วันนี้ทั้งวันพี่ยินดีเป็นคนรับใช้ส่วนตัว ถ้าไม่ยอมให้พี่ช่วยอาบน้ำ อย่างนั้นพี่จะไปทำอาหารรอ อาบน้ำเสร็จถ้าเดินไม่ไหวตะโกนเรียกพี่ได้นะ พี่จะมาอุ้มหลันหลันออกไปเอง”
ครั้งนี้ชายหนุ่มไม่ได้พูดล้อเล่น เขาเสนอตัวอย่างนุ่มนวล พร้อมกับมองเธออย่างลึกซึ้ง
“พี่ไปทำอาหารเถอะค่ะ ฉันไหว!” ซุยหลันซีรีบปฏิเสธทันที เมื่อเห็นสายตาของเขา
ผู้ชายคนนี้นี่!
“ได้ ระวังด้วยนะ” พูดจบก็เดินไปห้องครัว
ซุยหลันซียกมือปิดหน้า อยากจะกรีดร้องออกมา ‘ไม่นึกว่าคนปากหนักจะอ่อนหวานและกินจุได้ขนาดนี้’
เวลาบ่ายสองโมง เสียงเคาะประตูบ้านดังขึ้นทำให้เติ้งเว่ยหมิงรีบวางผ้าเช็ดตัวผืนเล็กลงในกะละมังแล้วลุกไปเปิดประตู ปรากฏว่าหลี่ชิงหรง เพื่อนบ้านยืนยิ้มอยู่ตรงหน้าประตู“อาหมิง หลันหลันอยู่บ้านไหม พี่มีเรื่องจะมาบอก”“อยู่ครับ แต่ว่าตอนนี้หลันหลันน่าจะไม่สะดวกพบพี่นะครับ” เติ้งเว่ยหมิงแจ้งด้วยน้ำเสียงสุภาพ“ไม่สะดวกเจอ หลันหลันเป็นอะไรหรือเปล่า”หลี่ชิงหรงถามกลับด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล“เป็นไข้ครับ ผมเลยให้นอนพัก”“อ้อ อย่างนี้นี่เอง ตอนเช้าพี่มาเคาะประตูรอบหนึ่งแล้ว แต่ไม่มีใครออกมาเปิด เลยมาอีกทีตอนบ่าย พี่อุตส่าห์เตือนแล้วเชียวว่าอย่าหักโหมทำงานหนัก เพิ่งย้ายมาได้ไม่นาน อาจจะยังปรับตัวไม่ค่อยได้ ไม่เป็นไร รอให้หลันหลันหายดีก่อนก็แล้วกัน ฝากบอกหลันหลันด้วยละกันว่าพี่มาหา” หลี่ชิงหรงบ่นอุบอิบถึงเพื่อนบ้านรุ่นน้องที่เธอก็รักไม่ต่างกับน้องสาวตนเองจริงๆ“ครับแล้วผมจะบอกให้ ถ้าหลันหลันค่อยยังชั่วแล้วจะให้ไปหาพี่ชิงหรงนะครับ”“ได้ งั้นพี่กลับบ้านก่อนละกัน”หลี่ชิงหรงกลับไปแล้ว เติ้งเว่ยหมิงจึงปิดประตูเดินกลับเข้าไปในห้องนอน ทรุดตัว
เช้าวันรุ่งขึ้นซุยหลันซีตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของเติ้งเว่ยหมิง หญิงสาวถึงกับเขินอายและทำตัวไม่ถูก เธอรีบลุกออกไปจากเตียงเงียบๆ โดยหารู้ไม่ว่าชายหนุ่มผู้ที่ตกลงว่าจะเป็นสามีแต่เพียงในนามของเธอนั้นตื่นก่อนเธอนานแล้ว แต่เพื่อไม่ต้องการให้เกิดความกระอักกระอ่วนใจระหว่างพวกเขา ดังนั้นเขาจึงแสร้งทำเป็นยังไม่ตื่นซุยหลันซีตบหน้าเรียกสติตนเองอยู่สองสามทีก่อนจะทำหน้าที่ของตนเองเหมือนทุกวันที่ผ่านมา นั่นก็คือทำอาหารและเตรียมของให้เติ้งเว่ยหมิงไปทำงานทั้งคู่นั่งกินข้าวเช้าด้วยกัน ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครพูดอะไรออกมา แต่บรรยากาศกลับไม่ได้น่าอึดอัดอย่างที่คิด เติ้งเว่ยหมิงมีรอยยิ้มแต้มมุมปากอยู่ตลอดเวลา ส่วนซุยหลันซีก็ก้มหน้าก้มตากินอาหารเช้าอย่างเงียบๆหลังจากที่ชายหนุ่มออกไปทำงาน ซุยหลันซีถึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วเริ่มลงมือทำงานบ้าน ซักผ้าแล้วไปปลุกเด็กชายเล่อเล่อ ล้างหน้าให้เด็กชาย ดูแลให้เด็กน้อยกินอาหารเช้า เสร็จแล้วก็มานั่งทำงานออกแบบลายผ้าเล่อเล่อนั่งเล่นคนเดียวอย่างเงียบๆ เด็กชายชินแล้ว เขาจะไม่เข้าไปกวนเวลาพี่สาวคนสวยทำงาน เพราะแม่ของเขาสั่งมาว่าห้ามกวนพี่สาวคน
ในเย็นวันเดียวกันนั้น หลังจากที่กินข้าวเสร็จเรียบร้อย เติ้งเว่ยหมิงช่วยซุยหลันซีเก็บจานล้างทำความสะอาด โดยบอกให้เธอไปอาบน้ำส่วนตัวเขานั่งรออยู่บนเตียง ใบหน้าตึงเครียด คิ้วขมวดอยู่ตลอดเวลาหญิงสาวอาบน้ำเสร็จ ออกมาจากห้องน้ำ เดินไปนั่งที่โต๊ะเครื่องแป้ง ใช้สายตามองชายหนุ่มผ่านทางกระจกบรรยากาศช่างน่าอึดอัดและเงียบจนซุยหลันซีรู้สึกไม่สบายใจจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากถาม“พี่เว่ยหมิง พี่เป็นอะไรไปหรือเปล่า? หรือมีปัญหาอะไรที่ทำงานอีกไหม หรือว่าผู้จัดการจางทำอะไรให้พี่ไม่สบายใจ?” ซุยหลันซีหยุดมือที่กำลังหวีผม หันหน้ามาทางเขาที่นั่งอยู่บนเตียง ในแววตาเต็มไปด้วยความสงสัยเติ้งเว่ยหมิงไม่ตอบ เขาเงยหน้าขึ้น จ้องมองหญิงสาวราวกับว่าเธอเป็นคนแปลกหน้าสายตาลุ่มลึกที่มองมาทำให้ซุยหลันซีรู้สึกไม่สบายใจ เธอรู้สึกถึงความผิดปกติ จึงลุกขึ้นเดินไปนั่งข้างๆ ชายหนุ่มก่อนจะร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อเติ้งเว่ยหมิงผลักร่างของซุยหลันซี เธอไม่ทันได้ตั้งตัวล้มลงไปบนเตียงนอนเขาใช้มือข้างหนึ่งจับยึดข้อมือเล็กบางของเธอเอาไว้เหนือศีรษะ มืออีกข้างกดอยู่ที่เอวของเธอ ร่างสูงใหญ่
อี้ชุนคุ้นเคยกับเติ้งเว่ยหมิงเป็นอย่างดี เพราะเขาเป็นคนรับชายหนุ่มเข้ามาทำงานด้วยตนเองเนื่องจากเติ้งเว่ยหมิงได้มีโอกาสช่วยชีวิตอี้ชุนขณะที่ถูกคนดักปล้น ซึ่งเป็นช่วงที่เติ้งเว่ยหมิงย้ายมาอยู่ที่เมืองนี้ หลังจากช่วยเหลือกันแล้ว อี้ชุนต้องการตอบแทนบุญคุณ แต่เติ้งเว่ยหมิงปฏิเสธหลังจากพูดคุยกันอยู่พักใหญ่อี้ชุนก็รู้ว่าเขาจบการศึกษาวิศวกรรมศาสตร์มา แล้วยังเคยเป็นทหารมาก่อน และตอนนี้กำลังหางานทำ จึงชวนเติ้งเว่ยหมิงมาทำงานคุมเครื่องจักรในโรงงานของตัวเอง จึงนับว่าทั้งคู่ค่อนข้างมีความสนิทสนมกันอยู่พอสมควร“ซุยหลันซี ภรรยาของผมครับ หลันหลัน คนนี้คือคุณอี้ชุนเถ้าแก่เจ้าของโรงงาน”เติ้งเว่ยหมิงเอ่ยแนะนำให้ทั้งสองคนได้รู้จักกันซุยหลันซีจึงค้อมศีรษะลงเล็กน้อยก่อนกล่าวทักทาย“สวัสดีค่ะ เถ้าแก่อี้ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”“ยินดีที่ได้รู้จักครับ อาหมิงฉันไม่คิดว่านายจะปิดบังเรื่องแต่งงานกับฉัน แต่เธอสวยงามและเหมาะสมกับนายมาก” เถ้าแก่อี้ค้อมหัวเล็กน้อยทักทายเธอกลับ แล้วหันไปพูดกับเติ้งเว่ยหมิง ตัดพ้อเขาเล็กน้อย แล้วเอ่ยชมด้วยความจริงใจซุยหลันซ
ซุยหลันซีมาถึงโรงงานสิ่งทอจินเซิงที่เติ้งเว่ยหมิงทำงานก็เป็นเวลาพักเที่ยงพอดี โรงงานแห่งนี้มีสวัสดิการอาหารกลางวันให้กับพนักงานทุกคนซุยหลันซีเป็นเพียงคนนอกไม่ได้เป็นพนักงานของโรงงาน เมื่อแจ้งความประสงค์ว่าต้องการขอพบสามีแล้วเธอก็เดินออกมาด้านนอก เพื่อหาอาหารกลางวันรับประทาน เพราะต้องรอให้เติ้งเว่ยหมิงกินข้าวกลางวันเสร็จก่อน เสร็จจากมื้อกลางวันก็เดินกลับเข้าไปที่โรงงานอีกครั้งเธอรออยู่ที่ห้องรับรองของโรงงาน ไม่นานเติ้งเว่ยหมิงก็เดินออกมา“พี่เว่ยหมิงมาแล้วเหรอคะ” ซุยหลันซีลุกขึ้นยืนทันทีที่เห็นเขา“ทำไมคุณถึงมานี่นี่ล่ะ? แล้วที่โรงงานเฟิงหยุนเป็นยังไงบ้าง สำเร็จไหม?”เติ้งเว่ยหมิงรู้ว่าวันนี้เธอไปที่โรงงานตัดเย็บผ้าเฟิงหยุนจึงถามเช่นนี้ แต่ที่เขาไม่เข้าใจก็คือทำไมเธอถึงมาหาเขาที่โรงงานหรือว่าเรื่องนี้จะไม่ง่ายขนาดนั้น?เติ้งเว่ยหมิงขมวดคิ้วแน่น“พี่เว่ยหมิง ฝีมือระดับฉันแล้วจะพลาดเหรอคะ ว่าแต่พี่พอจะพาฉันไปพบเถ้าแก่โรงงานของพี่ได้ไหม ฉันมีข้อเสนอเรื่องธุรกิจจะมาคุยกับเขาค่ะ” ซุยหลันซียืดอกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียง
“คุณซุย ฉันยอมรับว่าชุดที่คุณออกแบบมามันน่าทึ่งมาก คุณสามารถออกแบบชุดเพื่อมาจัดการกับผ้าที่ผลิตผิดพลาดได้ดี ฉันต้องยอมรับในความสามารถของคุณจริงๆ ตั้งแต่ฉันเปิดรับสมัครมาเป็นเวลาสามเดือน มีแบบของคุณซุยนี่แหละที่เข้าตาฉันมากที่สุด” หวงเสี่ยวเหมยเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้น“ขอบคุณนะคะที่ชอบชุดของฉัน อันที่จริงที่ฉันทำแบบนี้ก็เพราะต้องการความร่วมมือของคุณค่ะ ฉันใช้ผ้าที่เหลือมาตัดชุดที่ฉันออกแบบ นอกจากชุดที่ฉันตัดมาเป็นตัวอย่างในวันนี้แล้ว ฉันว่าจะออกแบบอีกสักสองสามชุด มีชุดให้ลูกค้าเลือกหลายๆ แบบจะขายได้ง่ายกว่า ร้านค้าส่งที่เป็นคู่ค้าของโรงงานเฟิงหยุนสามารถช่วยขายชุดได้ ฉันเชื่อว่าต้องมีใบสั่งซื้อเพิ่มอีกแน่นอน” ซุยหลันซีโน้มน้าวเถ้าแก่เนี้ยอย่างสุดกำลัง เพราะอยากช่วยแก้ปัญหาให้กับเติ้งเว่ยหมิง นอกจากนี้อาจทำกำไรได้อีกนิดหน่อย“โรงงานเฟิงหยุนยินดีที่จะทำตามที่คุณซุยนำเสนอ แต่ว่าเฟิงหยุนของฉันจะได้อะไรบ้างคะ?” หวงเสี่ยวเหมยแสดงความยินดีที่จะทำตามข้อเสนอของซุยหลันซี แต่ก็ยังคงต่อรองถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับ สมกับเป็นเถ้าแก่เนี้ยเจ้าของโรงงานผู้มากประสบการณ์ ที่ไม่เคยเก็บงำเขี้