“หากคุณคิดว่าแค่เรานอนด้วยกันแล้วจะเป็นเจ้าของผมได้ไม่มีทางเข้าใจไหม”
“แต่ลินี” เธอพูดไม่ทันขาดคำก็ต้องชะงัก เพราะธนบัตรใบเทาปึกหนึ่งกำลังโบกไปมาตรงหน้า
“จะเอาไม่เอา”
“อย่ามาดูถูกลินีนะคะ”
“แสดงว่าไม่พอสินะ งั้นรอเดี๋ยว”
ภามม์เปิดลิ้นชักหัวนอนหยิบธนบัตรสีเทาอีกปึกยื่นส่งให้พลางเลิกคิ้วเป็นสัญญาณให้หญิงสาวรับไป ชาลินีลังเลครู่หนึ่งจึงยื่นมือสั่นระริกไปรับเอาไว้อย่างเสียไม่ได้
“เงินซื้อคุณได้จริงๆ สินะ ลินี”
“ภามม์คะ คุณดูถูกลินีแบบนี้ไม่ได้นะคะ”
“ผมไม่ได้ดูถูก แต่มันเป็นเงินที่คุณควรได้รับจากการนอนกับผม จริงไหม”
“ก็... ก็”
คิระลอบมองท่าทีคอตกของหญิงสาวที่จำนนด้วยคำพูดเย็นชาของอีกฝ่ายก็ให้นึกสงสาร เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเฝื่อน ริมฝีปากแห้งผาก ตาจ้องภาพตรงหน้าตาไม่กะพริบ เงาตะคุ่มที่เห็นผ่านแสงสะท้อนเข้ามาทางหน้าต่าง เผยให้มองเห็นร่างเปลือยเปล่าเต็มไปด้วยมัดกล้ามของชายหนุ่มเต็มตาขณะยืนกอดอกจ้องสาวสวยที่รีบก้มเก็บเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายบนพื้นอย่างเร่งรีบ
สาบานได้!
คิระไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้คิดแอบดู แต่เรือนร่างของคุณภามม์ทำให้เขาละสายตาไม่ได้ ทำไมช่างต่างกับเขาราวฟ้ากับเหวอย่างนี้นะ...
คิระรู้ดีว่าสิ่งที่เขาเห็นเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้สุ่มเสี่ยงต่อสวัสดิภาพการงานของเขามากแค่ไหน แต่เอาเถอะ ในเมื่อลุงตฤณบอกว่าให้รอรับเอกสารกลับไป เขาควรจะต้องทำให้สำเร็จเรียบร้อย
แต่จะแสดงตัวกับภามม์ยังไงดีนะ...
คิระกระชับซองเอกสารแน่น ทีแรกเขาคิดว่าจะรอให้ชาลินีกลับออกไปก่อนจึงจะแสดงตัว แต่ทว่าหญิงสาวเข้าห้องน้ำนานเหลือเกิน หากเขาต้องรออีกเกรงว่าอกใจจะระเบิดเป็นโกโก้ครันช์ด้วยความกลัวคุณภามม์ไปเสียก่อน จึงกลั้นใจจะเคาะประตูห้องอีกรอบเป็นสัญญาณ
แต่ทว่า...
ชาลินีแต่งเนื้อแต่งตัวออกมาจากห้องน้ำเสียก่อน ส่วนภามม์ก็สวมกางเกงนอนสีดำกับเสื้อกล้ามสีขาวเรียบร้อยแล้ว
“ไหนว่าจะไปที่บาร์ไงคะ” เธอเปิดประเด็นทันทีที่เห็นสารรูปพร้อมนอนของอีกฝ่าย
ภามม์หัวเราะหึหึในลำคอก่อนจะเดินมาที่ประตู คิระสะดุ้งโหยงรีบหาที่หลบภัยก่อนจะเห็นประตูห้องฝั่งตรงข้ามแง้มอยู่ เขาจึงบิดลูกบิดแง้มแล้วแทรกตัวเข้าไปซ่อนโดยไว ทันได้เห็นชาลินีที่เดินฉับๆ ตามภามม์มาที่หน้าประตูแล้วกระชากแขนเขาอีก
“เมื่อกี้คุณหัวเราะลินีทำไม”
“ใครหัวเราะคุณ” ภามม์กวนกลับ
“ก็คุณไงคะ”
“คิดว่าตัวเองสำคัญขนาดนั้นเหรอ”
“สำคัญไม่สำคัญ คุณก็หิ้วลินีขึ้นห้องบ่อยๆ ก็แล้วกันล่ะ” เธอว่าเท่านั้นก็เบ้ปากล้อเลียน
ส่วนภามม์ถึงกับนิ่งไป...
สีหน้าอึดอัดของภามม์ทำให้คิระยิ่งหวั่น ยอมรับว่ากลัวอีกฝ่ายอยู่มากจนอยากจะหาทางออกไปจากห้องเสียที
แต่เพราะแฟ้มเอกสารในมือนี่สิ!
“ไงคะ ปฏิเสธไม่ได้สินะคะ ว่าคุณเองนั่นแหละที่พาลินีขึ้นห้อง ใครกันแน่ที่ต้องการลินี หากไม่ใช่คุณ”
“เหอะ ผู้หญิงมักมากอย่างคุณ กินเท่าไหร่ก็คงไม่อิ่มหรอก” ภามม์พูดเท่านั้นก็เปิดประตูผายมือให้หญิงสาวทันที “กลับไปได้แล้ว”
“โธ่! ภามม์ เสร็จแล้วก็ไล่กันเหมือนหมูเหมือนหมา คุณดูถูกน้ำใจลินีมากเลยนะ คุณก็รู้ว่าลินีรักและ ภักดีกับคุณขนาดไหน”
“ภักดีแต่ยังมีคนอื่นได้อีกหลายคน” ภามม์สวนทันควัน
“นั่นมัน... เอ่อ” ชาลินีอึกอักก่อนสูดลมหายใจลึกๆ เรียกความกล้าแล้วตอบ “นั่นมันลูกค้า”
“ลูกค้าที่นัดคุยกันในโมเต็ลเมื่อตอนกลางวันน่ะเหรอ อย่าคิดว่าไม่มีคนเห็น ไอ้เด็กหน้าห้องนั่นมันคาบข่าวมาบอกด้วยว่าคนที่คุณไปด้วยเป็นใคร”
“ไม่จริงนะคะ!”
“ไปบอกมันว่าเสียใจด้วยที่ผมรู้ ส่วนคุณ... เสียใจด้วย คุณไม่ได้ไปต่อ ต่อไปไม่ต้องขึ้นมาที่นี่อีก”
“คุณไม่รักลินีแล้วเหรอคะ” เธอละล่ำละลักถาม
ภามม์ไม่เพียงไม่เห็นใจกลับหัวเราะเยาะและปรายตามองอย่างสมเพช ก่อนตอบว่า “ผมก็ไม่เคยบอกว่ารักคุณ”
“แต่คุณก็นอนกับลินี”
“ก็แค่นอน”
“แล้วที่คุณบอกว่าจริงจังกับลินีละคะ”
“ก็แค่เกม”
“เกมเหรอคะ!”
“ใช่ เกมที่หลอกให้คุณตายใจ ในที่สุดคุณก็เผยธาตุแท้ว่าแพ้เงินของมัน คนแบบคุณควรไปให้ไกล จากผมจะดีกับคุณที่สุดแล้ว”
“ไม่แล้วค่ะ ลินีไม่ไปกับใครแล้ว”
“งั้นเหรอ”
“จริงๆ ค่ะ ลินีขอโอกาสรักคุณนะคะ ภามม์...”
หญิงสาวโอดครวญแต่ได้เพียงเท่านั้น ก็ถูกภามม์คว้าแขนลากออกไปนอกห้อง มิใยที่หญิงสาวจะคว้าประตูไว้เหนียวแน่นหนึบยิ่งกว่าตุ๊กแกเกาะข้างฝา
“ดะ เดี๋ยวค่ะ! ตกลงเราจะจบแบบนี้จริงๆ เหรอคะ ภามม์”
“หรือจะให้ผมเลี้ยงงูพิษแบบคุณไว้อีกล่ะ”
“ภามม์!”
“ออกไป”
“เชอะ! ผู้ชายแบบคุณ ฉันขอให้เจอกับคู่ร้ายๆ อย่าได้มีชีวิตที่มีความสุขเลย”
“งั้นเหรอ ก็ดีเหมือนกันนะ ชีวิตคงมีสีสันไม่น่าเบื่อแบบนี้”
ไม่พูดพล่ามทำเพลง ภามม์กระตุกยิ้มร้ายก่อนจะโน้มหน้าเข้าหา กระหน่ำจูบริมฝีปากสีแดงสดด้วยลิปสติกที่เพิ่งทาหมาดๆ บดขยี้ไม่ยั้งจนกระทั่งหญิงสาวเคลิบเคลิ้มปล่อยมือจากประตูหมายจะคว้าคอชายหนุ่มลงมาระดมจูบตอบ แต่สุดท้ายภามม์ก็ผลักเธอออกนอกประตูก่อนจะรีบปิดล็อกทันที
ข้าวต้มปลากระพงหอมกรุ่นที่ตั้งอยู่บนโต๊ะอาหารทั้งสองชามเริ่มจางไอร้อนลงแล้ว แต่คุณตรีก็ยังไม่ลงมาสักที ระหว่างรอผมจึงจัดแจงรินอเมริกาโน่ร้อนไม่ใส่น้ำตาลใส่แก้วเคลือบที่เป็นรูปผมกับเขาคู่กันไม่ใช่ผมหรอกนะที่จัดหามันแต่เป็นคุณตรีต่างหากที่มีมุมคิกขุชนิดหาตัวจับยาก คอยทำนั่นทำนี่ มีเซอร์ไพรส์ต่างๆ นานาให้เขาเหมือนคนเก็บกดเลย...หึหึ...แต่ผมชอบที่คุณตรีเอาใจใส่ ให้ความรัก ส่วนผมก็สรรหาสิ่งดีๆ ให้เขา ไม่ว่าจะอาหาร เสื้อผ้า ของใช้จำเป็น ไม่ต้องลำบากเป็นหน้าที่ของสนธยาเช่นเคย ผมนั่งเช็คยอดวิวคลิปล่าสุดที่ลงในยูทูปไปพลางก็อดยิ้มอย่างดีใจไม่ได้ ตอนนี้ช่องยูทูปของผมมีคนติดตามกว่าสามแสนคน และคลิปที่เพิ่งลงล่าสุดก็มียอดวิวแค่ข้ามคืนเกือบหนึ่งแสน ผมได้แต่ปลาบปลื้มอยากจะอวดคุณตรีแทบบ้า แต่เขาก็ช้าเหลือใจจนผมต้องร้องเรียก“เสร็จรึยังฮะ” “เกือบแล้วที่รัก” หูยยยย...คำก็ที่รัก สองคำก็ที่รัก เขากำลังทำให้ผมสำลักความรักจากเขาจนเคยตัวแล้ว “เร็วๆ สิฮะ เดี๋ยวข้าวต้มเย็นหมดนะ” “กำลังจะลงแล้วที่รัก” แหม...เขาเรียกผมว่าที่รักตล
เราสองคนสบตากันโดยไม่มีคำพูด ริมฝีปากเราแนบชิดส่งต่อความหวานอบอุ่นผ่านความคิดถึงที่แทบล้นออกมาจากอก เสียงหัวใจของเขาเต้นแรงไม่ต่างจากผม เราสองคนส่งต่อความคิดถึงผ่านรสจูบลึกล้ำเนิ่นนานกว่าที่คีตาจะผละลุกนั่งหายใจหายคอไม่ทันดวงหน้าคีตาแดงก่ำ ทรงผมยุ่งเหยิง ริมฝีปากวาววับจนผมอยากจะกลืนกินเขาไปทั้งตัว แต่ผมต้องยั้งใจแล้วผุดลุกนั่งตรงข้ามกับเขาบนโชฟาเดียวกัน“คุณตรีหื่น” เขาตัดพ้อผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ก็ใครกันแน่ที่หื่น จู่ๆ ผมเองต่างหากที่โดนจูบไม่ใช่เขา“นายแหละหื่น” ผมหยอกไม่พอเอื้อมมือทั้งสองไปลูบผมของเขา จัดทรงให้เรียบร้อยคีตาจับมือทั้งสองของผมมาแนบแก้ม มือของเขาอบอุ่นมากจนผมเผลอยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู“มาถึงก็อ้อนกันขนาดนี้ ทำอะไรผิดกับฉันรึเปล่าคี” ผมถามหยั่งเชิง คีตามุ่นคิ้วหรี่ตามองผมพลางส่ายหน้าเบาๆ“ผมไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”“แต่นายมาไม่บอก”“ก็ผมอยากให้คุณเซอร์ไพรส์”เขาบอกแค่นั้นก็ผละไปที่หน้าประตู ผมมองตามคีตาที่รื้อกระเป๋าเดินทางอย่างกระตือรือร้น ก็นึกสงสัยจึงลุกตามไปดูใกล้ๆ เขาเงยหน้ามองแล้วยิ้มกว้างก่อนจะยื่นซองสีขาวขนาดเท่าเอสี่ส่งให้“นี่ฮะ”“อะไร”ผมรับมาแต่ยังไม่
ผมผุดลุกนั่งอย่างช้าๆ หย่อนเท้าลงบนพื้นเย็นเฉียบ รวบรวมแรงทั้งหมดที่มีเดินไปเปิดม่านหน้าต่างริมระเบียงที่มองเห็นแม่น้ำเจ้าพระยายามค่ำคืนได้อย่างชัดเจนที่สุดที่ร้านอาหารฝั่งโน้นคงมีงานถึงเปิดไฟสีสันสว่างไสว ผมเพ่งมองไปในความมืดของแม่น้ำเจ้าพระยาเชี่ยวกราก เห็นเรือหรูแล่นผ่านไปมา ผู้คนบนเรือนั้นคงมีความสุข สนุกสนานเนื่องจากใกล้เทศกาลปีใหม่ผมก็อยากให้ปีใหม่ปีนี้มีคีตาอยู่เคียงข้าง แต่ดูเหมือนจะเป็นไปได้ยากหลังจากที่เราทะเลาะกันวันนั้น“ผมคิดถึงคุณจัง”วันนั้นผมยิ้มออกหลังได้ยินคำหวานโปรยมา ครั้งนี้เขาไม่ให้ผมเห็นหน้าบอกไม่สะดวกคุยวิดีโอคอลด้วยทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่เคยปฏิเสธเลยสักครั้งผมตะหงิดในใจแต่ก็ถามเขาไปด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ ที่ไม่คิดกดดัน “จะกลับวันไหนจะได้ไปรอรับ”“เอ่อ... ผมยังติดธุระอยู่เลยฮะ” เขาตอบ“ทันปีใหม่ไหม”“ไม่แน่ใจฮะ”ผมอึ้งไป นี่ผมต่อเวลาให้คีตาจากสองเป็นสี่ปีแล้วนะ เพราะเห็นแก่ที่เขาสอบติดมหาวิทยาลัยในสาขาเปียโนที่ถือว่าแข็งแกร่งที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ตอนนั้นเราทะเลาะกันครั้งหนึ่งเรื่องที่คีตาขอเรียนปริญญาตรีให้จบ ผมก็ยอมเพราะเห็นแก่ความมานะพยายาม“ไหนว่าเรียนจบแล้วจะร
ผมหัวเราะออกเพราะเขาดูงอนๆ หน้าก็บึ้งตึงไม่น่ารักเหมือนเคย ผมอาศัยทีเผลอพลิกตัวขึ้นคร่อมเขาแล้วระดมจูบดวงหน้าของเขาไปทั่วอย่างหนักหน่วงเอาใจ คุณตรีกอดผมแน่นโยกตัวไปมาราวกับว่าเรากำลังเต้นรำทั้งที่นอนอยู่บนเตียงด้วยกัน “โอ๋ๆ อย่างอนนะฮะบอสที่รักของผม” “คีรู้ไหมว่าทำไมฉันถึงรักคี” “ไม่รู้สิฮะ คงเพราะผมดื้อมั้ง” ผมเย้า เขายีผมของผมทันทีจนผมเบี่ยงตัวหนีแต่ไม่พ้น เขาจั๊กจี้ผมที่สีข้างจนผมที่บ้าจี้อยู่แล้วถึงกับร้องลั่น แต่เขาก็ยังไม่นำพาจนผมต้องยอมแพ้ “ก็ได้ๆ ผมอยากรู้ฮะ” ผมตอบตามที่คิดจริงๆ ผมอยากรู้ว่าระหว่างเรามันคือเรื่องบังเอิญหรือโชคชะตา “เพราะคีเข้ามาในเวลาที่ใช่ หากเป็นก่อนหน้านั้นฉันคงไม่เปิดใจ คีทำให้ฉันรู้ว่าความรักไม่จำกัดนิยามเป็นยังไง” “หมายถึงว่าไม่มีนิยามหญิงชายอะไรงี้เหรอฮะ” “อืม...แล้วก็ต้องขอบคุณพ่อฉันกับปู่คีด้วยที่เจ้ากี้เจ้าการจับคีให้ฉัน” “ตากับปู่เปล่าจับผมให้คุณซะหน่อย คุณน่ะโมเม”“นั่นสินะ ไม่โมเมจะได้คีเป็นเมียเหรอ”“ชิ คุณน่ะ แถไปเรื่อย”“แถแล้วรักไหม”“รักมาก”“ถ้ารั
“ทำไมมั่นใจในตัวฉัน” เขาถาม น้ำเสียงดูไม่มั่นใจ ไม่รู้คุณตรีกลายเป็นคนคิดเยอะตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ผมคิดว่าผมรู้ใจเขามากพอจะรู้ว่าเขาต้องยอมเพราะผมรู้จักคุณดีพอ” ผมตอบพลางยิ้มหวาน ไม่รู้ว่าเป็นยิ้มที่หวานสุดชีวิตได้หรือยัง ผมตื้นตันใจมากที่เขาคิดถึงอนาคตของผม แต่ผมก็อยากจะเป็นคนที่คู่ควรกับเขา ผมอยากเอารางวัลมาฝากบอสบนเตียงของผม...“แต่ถ้ากลับมาคนเดียวฉันต้องเหงาแน่เลย นายทิ้งฉันลงเหรอคี” “ผมจะทิ้งคุณได้ไงฮะ คุณเป็นสามีผมนะ” “แต่ก็ยังจะไปตั้งสองปี...” “แค่สองปีเอง คุณรอผมไมได้เหรอฮะ” ผมย้อนถาม ไม่ได้อยากได้คำตอบจริงจังหรอกเพราะผมรู้ว่าเวลาสองปีนานพอที่จะทำให้อะไรต่อมิอะไรสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้เสมอ โดยเฉพาะคนอย่างคุณตรีที่มีดีกรีความเหงาเป็นที่หนึ่งเขาอาจจะเหงา เปลี่ยนไป และบางทีอาจมีคนใหม่ ถ้าเขาเปลี่ยนไป ผมก็จะได้ทำใจยอมรับว่าเราอาจไม่ใช่คู่กันถึงผมจะไม่อยากให้วันนั้นมาถึงก็ตาม“ฉันไม่อยากให้คีไปเลย กลัวใจหมอนั่นจะทำคีไขว้เขว” “หมายถึงพี่จุลเหรอฮะ”“หมอนั่นแหละจะใครซะอีกล่ะ”คุณตรีค้อนผมขวับใหญ่ ผมกอดเขา จูบแก้มฟอดใหญ่“คุณ
“คีของฉัน... น่ารักใช่ไหมล่ะ”“แหม ของฉันเลยนะตรี” พิมมี่หยอก “แต่น่ารักจริงไม่อิงนิยาย คีน่ารักมากเลยจ้ะ”“แน่อยู่แล้ว นอกจากคีจะเป็นครูสอนนาราแล้วยังเป็นภรรยาผมด้วย” “คุณตรี! พูดอะไรอย่างนั้นฮะ!” “ก็มันจริง” เขาตอบ ผมอายแทบแทรกแผ่นดินหนี แต่ก็หยิกต้นแขนเขาไปที “คุณพิมอย่าไปฟังคนเพ้อเจ้อนะฮะ” ผมแก้เก้อ “พิมเห็นด้วย” เธอว่าเท่านั้นแต่ทำให้คุณตรียืดเลย “ก็มันจริงนี่ ใช่ไหมนารา” คุณตรีโยนคำถามไปให้น้องนาราทันที ทำให้ผมพูดไม่ออก ลำพังคุณตรีผมย้อนไม่ยั้งแน่ แต่กับน้องนาราที่น่ารักและผมก็รักเอ็นดูเธอ คำน้อยก็ไม่อยากให้ระคายใจ ไหนจะพิมมี่ที่ไม่ได้สนิทกันด้วย ผมได้แต่อ้ำอึ้ง... พิมมี่กับนาราหัวเราะคิกคักให้กันแล้วเป็นนาราที่พูดเสียงอ่อย “เห็นไหมคุณแม่ นาราบอกแล้วว่าพี่คีเป็นแฟนคุณพ่อจริงๆ” “โซ พริตตี้ ยูเวรี่ไนซ์” พิมมี่ชมไม่หยุด “ขอบคุณที่ดูแลลูกสาวให้ฉันค่ะ” “ลูกสาว? คุณหมายถึงน้องนาราน่ะเหรอฮะ” “ใช่จ้ะ” “เธอไม่ใช่... เอ่อ.