“ภามม์! เปิดนะ ภามม์!”
ทางด้านคิระที่เผลอมองสองหนุ่มสาวเล่นบทเลิฟซีนในระยะประชิดก็ใจลอยปล่อยมือจากประตูห้องที่เปิดแง้มไว้จนมันเปิดกว้าง คิระจึงเห็นเจ้าของร่างใหญ่กำยำหันมามองพอดี
ตาสบตา...
คิระถึงกับหนาวยะเยือก...
แววตาของภามม์ขณะนั้นเต็มไปด้วยความฉงน แค่แวบเดียวที่แววตากร้าวปราดมองมา คิระก็ชะงักงันราวกับรูปปั้นหินในสวนสาธารณะที่ยืนค้างเติ่งอยู่ทุกฤดูกาลก็ไม่ปาน
“ผะ ผมขอโทษฮะ ผมจะออกไปเดี๋ยวนี้”
คิระค้อมตัวต่ำ ทำตัวลีบเนียนจะออกจากห้องตามชาลินีไป แต่กลับถูกภามม์ดักหน้า
“นายสินะคือหนูผีที่แอบอยู่ในห้องฉัน”
“ผมเปล่า!”
“โกหกไม่เนียน”
“ผม!”
คิระพูดไม่ออกเพราะเขาก็โกหกอีกฝ่ายจริงๆ ภามม์ยืนดักไว้ไม่ให้คิระไปที่ประตู เด็กหนุ่มถึงกับหันรีหันขวางหาทางหนีทีไล่
แต่ทว่า...
“มานี่!”
ภามม์คว้าแขนคิระลากมาตามทางเดินทอดยาวจนกระทั่งถึงโถงกว้างที่เป็นส่วนพักผ่อนด้านใน คิระตั้งท่าจะถอยหนีกลับถูกอีกฝ่ายรุกไล่จนถอยหลังกรูด
“ปล่อยผม! ปล่อยผมนะ”
“บอกมาว่านายเป็นใคร!”
“ผะ ผะ ผม เป็น!”
คิระพูดไม่ออกเมื่ออีกฝ่ายโน้มหน้าเข้ามาใกล้พร้อมกับเสียงฟุดฟิดจากปลายจมูกโด่งๆ ที่กำลังสูดดมที่ซอกแก้มของเขา
“กลัวเหรอ”
คราวนี้คิระพยักหน้ารัวๆ หลับตาปี๋ สองเท้าก้าวถอยหลังช้าๆ ตามดวงหน้าเข้มที่โน้มเข้ามาจนกระทั่งแผ่นหลังชนเข้ากับผนังอย่างจัง ครั้นจะเผ่นหนีก็ถูกสองแขนเต็มไปด้วยมัดกล้ามกักกดไว้จนสุดที่จะถอยหนีไปได้ ครู่หนึ่งร่างใหญ่ที่ตรึงเขาไว้ก็ผละออก
“ถ้ากลัวก็บอกมาว่านาย เป็น ใคร เข้ามาได้ยังไง” ภามม์ถามย้ำ
“คะ คะ คีย์การ์ด ผมมีคีย์การ์ด”
“คีย์การ์ดห้องฉันเนี่ยนะ”
“ฮะ ไม่เชื่อเดี๋ยวผมเอาให้ดู”
คิระหลบตาภามม์ รีบแล้วล้วงกระเป๋าจะหยิบคีย์การ์ดออกมาแต่ปรากฏว่ากระเป๋ากางเกงทั้งสองข้างว่างเปล่า
เฮ้ย!
หายไปไหน!
ฉิบหายแล้ว!
เด็กหนุ่มล้วงกระเป๋ากางเกงซ้ายขวาอีกรอบแต่ไม่เจอก็ใจหายละล่ำละลักบอก “ขอ... ขอโทษฮะ ผมไม่ได้ตั้งใจ! แต่ว่าลุงตฤณให้คีย์การ์ดผมมาจริงๆ”
“ตฤณเนี่ยนะจะให้คีย์การ์ดห้องฉัน”
“ฮะ”
“เป็นไปไม่ได้” ภามม์สวนกลับพลันหรี่ตามองเจ้าของดวงหน้าเรียวซีดเผือดแล้วถอนหายใจพรูใหญ่ก่อนกระชากเสียงใส่ “นายโกหกไม่เนียน!”
“ผมไม่ได้โกหกนะฮะ”
“อ๋อ หรือว่านายขโมยมา อย่าบอกนะว่า... นายเป็นขโมย”
“ผมเปล่านะ ผมไม่ได้เป็นขโมย!”
“งั้นฉันจะเรียกตฤณขึ้นมา แต่ถ้าเขาไม่รู้เรื่อง นายก็ไปกินข้าวแดงในคุกละกัน”
“ไม่นะฮะ ลุงตฤณใช้ผมเอาเอกสารมาให้คุณเซ็น ไม่เชื่อคุณก็ไปดูสิฮะ”
“ไหนล่ะเอกสาร”
ภามม์หันรีหันขวางแต่ไม่เห็นเอกสารสักซองตั้งอยู่ ยิ่งเพิ่มความขุ่นเคืองให้ “เด็กโกหกอย่างนายนี่มันน่า”
“ผมไมได้โกหกนะ นั่นไงๆ ตรงนั้นๆ”
คิระชี้มือไปที่ประตูห้องนอนของภามม์ และนั่นทำให้ชายหนุ่มถึงกับโมโหเพราะนั่นแสดงว่าคิระคงรู้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับชาลินีเข้าแล้ว ภามม์กระชากคอเสื้อคิระจากด้านหลัง แล้วจับโยนลงบนโชฟาทันที
“เด็กขี้โกหก คิดจะแบล็กเมล์ฉันสินะ”
“ผมเปล่า คุณดูก่อนสิฮะว่าผมพูดจริง”
ภามม์แค่นยิ้มร้ายเพียงแต่ปรายตามอง ไม่แม้แต่จะไปหยิบซองเลอะเทอะนั้น แต่เลือกที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกแทน รอสายอยู่นานปลายก็ไม่รับ เขายิ่งหงุดหงิด พอคิระตั้งตัวได้จะย่องออกไปจึงถูกภามม์จับทุ่มลงบนโชฟาอีกหน คิระที่ไม่ทันตั้งตัวถึงกับล้มคว่ำคะมำหงายทันที
“โอ๊ย! คุณ! ผมไม่ใช่วัวใช่ควาย คุณพูดกันดีๆ ก็ได้”
“นายเห็นอะไรบ้าง”
“ผมไม่เห็นอะไรทั้งนั้นล่ะ ผมจะกลับแล้ว”
“เอามือถือนายมา”
“เรื่องอะไรจะเอามือถือผม”
“บอกว่าเอามา!”
ภามม์แบมือรอ แต่คิระส่ายหน้ารัวๆ
“ผมไม่ให้!”
เด็กหนุ่มเริ่มทนไม่ไหวกับความไร้เหตุผลของคนตรงหน้า พอตั้งตัวได้จะลุกขึ้นก็ถูกผลักหงายหลังลงไปอีก
“เอามา”
“ผมไม่ให้ ผมจะกลับแล้ว!”
“ยังกลับไมได้!”
“เอ๊ะ! คุณ นี่มันกักขังหน่วงเหนี่ยวกันแล้วนะ”
“ก็ได้ งั้นอยู่เฉยๆ รอตรงนี้ ฉันจะโทรให้ตฤณมายืนยันถึงจะปล่อยนายไป”
“แต่ผมสาบานได้ว่าไม่เห็นอะไรเลยจริงๆ นะฮะ!”
.”บอกว่าอยุ่เฉยๆ!” ภามม์ตวาด
เท่านั้นคิระก็นั่งจ๋อง นึกเจ็บใจไม่เคยคิดว่าคุณภามม์ที่ลุงตฤณรักเทิดทูนบูชา จะใจร้ายใจหิน ไร้เหตุผลขนาดนี้
นี่มันคนบ้าอะไรวะ!
คิระรู้สึกไม่ปลอดภัย ตอนนี้ที่ภามม์กำลังง่วนกับโทรศัพท์ เขาจึงเห็นทางรอด พอภามม์หันหลังให้ คิระก็วิ่งออกไปตรงทางเดินเมื่อครู่ แต่จู่ๆ ก็เหมือนสมองจะเบลอชั่วขณะ เพราะทางเดินทอดยาวนั้นดูเหมือนจะไกลไม่สิ้นสุด เขาหันรีหันขวาง เดินแกมวิ่งไปไม่กี่อึดใจก็เจอทางแยกซ้ายขวา
เขาจะเลือกไปทางไหนดีในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยแห่งนี้...
คิระไม่รู้แล้วว่าความรู้สึกเต็มร้อยที่เคยชื่นชมคุณภามม์จากการบอกเล่าของลุงตฤณมันลดลงไปตอนไหน
ที่แน่ๆ…
ตอนนี้...
ที่นี่...
เป็นสถานที่ที่โคตรอันตราย!
คุณภามม์คนนี้มีแต่ความกักขฬะ หยาบคาย อีกทั้งไม่ฟังเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น แค่เพียงเอาเอกสารขึ้นมาให้กลับต้องเจอภาพอุจาดตาโดยไม่ได้ตั้งใจไม่พอ คนคนนี้ยังทำเหมือนกับเขาเป็นตัวอันตรายอย่างไรอย่างนั้น
คนใจร้าย...
ตัวเองน่ะร้าย ยังจะมาว่าคนอื่น ไม่รู้จักส่องกระจกชะโงกดูเงาตัวเองบ้าง...
ขโมยบ้าอะไรกัน!
“พี่ไปเทคคอร์สสั้นๆ แล้วก็มีข่าวเรื่องเรียนมาบอกนายด้วยนะ”“อ๋อ ฮะ” ผมแบ่งรับแบ่งสู้ขณะสบตาเขาด้วยรอยยิ้มไม่เต็มหน้า “แล้วนี่พี่ฟ้าไม่มาด้วยเหรอฮะ”“พี่เลิกกับฟ้าแล้ว”ผมงันไปกับสิ่งที่พี่จุลบอก สีหน้าพี่จุลไม่ได้ดูเศร้ามากมายไม่เหมือนคนที่เลิกกับแฟน หรือที่จริงพวกเขาอาจจะเลิกกันนานแล้วเพราะเวลาก็ผ่านมานานกว่าครึ่งปีแล้วนี่นาผมไม่มีคำถามอีกแต่ปลอบเขาด้วยรอยยิ้มเช่นเคย “เสียใจด้วยนะฮะ พี่จุล”“ไม่เป็นไร” เขาตอบพลางถามผมกลับ “แล้วคีกับแฟนล่ะ”“แฟนผมเหรอฮะ”“อืม... ยังรักกันดีไหม” พี่จุลเข้าใจว่าผมกับนายตรีคชาเป็นแฟนกันจริงๆ เพราะเขาประกาศลั่นกลางงานซะขนาดนั้น แต่ผมกับหมอนั่นก็แค่คนผ่านมาผ่านไป เรื่องระหว่างเราไม่มีอะไรจริงเลย“ผม...”“นายไม่อยากพูดถึงก็ไม่เป็นไร”“ฮะ”ผมกับพี่จุลได้แต่อ้ำอึ้งเหมือนไม่รู้จะคุยอะไรกันต่อ ทั้งที่เมื่อก่อนเราสองคนมีเรื่องคุยกันมากมาย ผมจึงผายมือไปที่ร้านตัดสินใจกลับเข้าไปด้านใน“ผมไปนะ”“นายเปลี่ยนเบอร์เหรอ”ผมนิ่งไป ผมไมได้เปลี่ยนหรอก ก็แค่บล็อกเขาไว้ ทั้งโทรศัพท์ ไลน์ ไอจี เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ ไม่เหลือสักช่องทาง ทั้งพี่จุลกับนายตรีคชา ผมไม่ติดต่อใค
ผมเจอมันบนโต๊ะทำงานของเขา มันวางอยู่อย่างไร้ค่าทั้งที่เป็นสมบัติหวงแหนหนึ่งเดียวของพ่อที่ผมเก็บไว้หลงเหลือเป็นความทรงจำ ผมหามันแทบพลิกแผ่นดินหลังจากเกิดเรื่องคืนนั้น คิดว่ามันคงหายไปในช่วงชุลมุนไม่น่าจะหาเจอแล้ว แต่ผมกลับเจอของแทนใจของพ่อที่คอนโดของคนที่ผมนอนด้วยถึงสองครั้งสองคราที่แท้เขาคือคนเมื่อสามเดือนก่อนที่ทิ้งผมไว้ในห้องจนมีคนมาพบเข้า ผมอับอายกับคำดูถูกจากใครไม่รู้และไม่รู้เลยว่าคนที่ผมนอนด้วยเป็นใครด้วยซ้ำ คนฉวยโอกาสที่แสร้งมาทำดีให้ผมตายใจแล้วตักตวงความสุขจากเรือนร่างผมหมุนปากกาในมือไปมา จู่ๆ น้ำตาก็ร่วง...“เป็นอะไรรึเปล่าจ๊ะ”ผมเงยหน้ามองเจ้าของเสียงอ่อนโยนที่นั่งข้าง เธอเป็นหญิงชราวัยเจ็ดสิบเศษท่าทางงกๆ เงิ่นๆ มานั่งข้างผมที่ป้ายรถเมล์นี้ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ เธอยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน ผมจึงตอบเธออย่างเสียไม่ได้“ผมไม่เป็นไรฮะ”“แต่ดูหน้าไม่ดีเลยนะ”“ไม่มีอะไรจริงๆ ฮะ”ผมส่ายหน้า พยายามทำตัวให้เป็นปกติ ไม่ร้องไห้ฟูมฟายเหมือนคนโง่ แต่คำพูดของเธอทำให้ผมพูดไม่ออก“หรือว่าถูกสาวทิ้งสิท่า”“โอ๊ย! เปล่าฮะ” ผมรีบตอบ “ไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอกฮะ”“งั้นถูกหนุ่มทิ้ง”“โอ๊ย! ยิ่งไม่ใช่ให
“ผมรู้ แต่ว่า...” เขาตอบเสียงแผ่วเบาราวกับเป็นเสียงกระซิบจากสายลมผมรู้ว่าเขาลังเล อาจเพราะเขาไม่ได้มีความรู้สึกดีๆ กับผมมาก่อน แต่ผมไม่แคร์ ไม่ใช่ไม่รู้แต่ยุคสมัยที่มันเปลี่ยนไปอะไรก็เกิดขึ้นได้ ไม่มีใครสนใจใครนอกจากปากท้องของตนเองนักหรอกแต่ผมก็เข้าใจเขา...“งั้นมาเป็นคนติดตามฉัน ทำงานกับฉันไหม”“ทำงานกับคุณเนี่ยนะ” “อืม... เป็นเลขาฉัน ให้ฉันเป็นบอสนาย”ผมนึกอะไรได้ก็ยกแม่น้ำทั้งห้ามาหมด ในเมื่อเขาเกรงสายตาคน ผมก็จะหาตำแหน่งที่สมควรให้พอที่เราจะอยู่ด้วยกันได้และเขาอยู่ในสายตาของผมอันที่จริงผมไม่จำเป็นต้องบอกใครเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำเพราะถึงอย่างไรคีตาก็ถือว่าเป็นลูกบุญธรรมของพ่อผมแล้ว เขากับผมเปรียบไปก็เป็นคนในตระกูลเดียวกัน“คุณจะเป็นบอส แล้วจะให้ผมเป็นเบ๊คุณเนี่ยนะ” คีตาถามไม่พอยังหัวเราะจนตาหยี “ผมเป็นแค่เด็กจบมัธยม ไม่ได้เรียนหนังสือต่อ ความรู้เฉพาะทางอะไรก็ไม่มีนะฮะ”“ของแบบนี้เรียนรู้ได้ไม่ยาก”“แต่ผมไม่ชอบงานแบบคุณ” “ฉันไม่สน ฉันต้องการนาย”คีตาเงียบไป เขาซุกหน้าเข้ากับอกผมจนรู้สึกถึงลมหายใจเข้าบอก ครู่หนึ่งเขาก็พ่นลมหายใจแรงๆ ออกมาก่อนจะเงยหน้าถาม “แล้วน้องน
คีตาพยักหน้า คราวนี้ผมไม่รอช้าจับแก่นกายแข็งขึงเสียดสีกับช่องทางรักอุ่นร้อนของเขา ค่อยๆ กดมันเข้าไปอา...มันแน่นมาก...ผมจับมันกดลึกออกแรงทีเดียวมันก็ผลุบหายเข้าไปในช่องทางรักสีสวย คีตาสะดุ้งเฮือกโอบหลังผมไม่พอยังจิกเล็บจนผมรู้สึกเจ็บ แต่เขาย่อมเจ็บกว่า“อา... ผม... เจ็บ”“พักก่อนไหม”ผมบอกเขาทั้งที่กายเราเชื่อมกัน ผมยกขานวลเนียนของคีตาพาดบ่า จูบโลมเล้าที่ต้นขาด้านในมาจนถึงปลีน่องขาวไร้ริ้วรอย จากนั้นผมจึงกดลึกเข้าไปอีกนิดแล้วดึงออก คีตาเกาะแขนผมแน่นบิดตัวเร่า“อย่าฮะ”“หือ...” ผมงง เกิดอะไรขึ้นเขาถึงห้าม “นายอย่าบอกว่าให้ฉันค้างเติ่งแบบนี้นะ”“ผมแค่บอกว่า... อย่าเอาออกต่างหากฮะ ผมทนได้”ผมหัวเราะเบาๆ กับคำพูดของเขาก่อนจะกดกายตอกย้ำลงไปตามที่เขาต้องการ คราวนี้มันลึกสุดหยั่งจนคีตาร้องลั่น“อ๊า... ผมเจ็บ!”“ขอโทษ ฉันจะทำเบาๆ”ผมผ่อนแรงลงเพราะสงสาร เห็นเขาน้ำตาไหลก็ยิ่งสงสาร แต่คีตาตอดรัดดีเหลือเกิน ดีจนผมลืมตัวกระแทกเขาสุดแรง คีตาสะบัดหน้าเร่าๆ แต่ตอดรัดผมหนักยิ่งกว่าเดิม ผมกระแทกเข้าออกจนหมดแรง เขาจึงพลิกผมลงนอนทั้งที่กายเรายังเชื่อมกัน แต่พอผมนอนรอ เขากลับลุกขึ้นนั่งคุกเข
คีตาของผมยังเซ็กซี่เหมือนเดิม...อันที่จริงผมไม่คิดว่าคีตาจะยอมผมง่ายๆ ผมอยากรื้อฟื้นความหลังกับเขาก็จริง แต่หากเขาไม่ยินยอมผมคงทำอะไรไม่ได้ แต่คีตาก็ยังเป็นคนที่ผมคาดเดาไม่ได้เราสองคนอยู่ในสภาพหมิ่นเหม่ เขาค่อยๆ เอื้อมมือเล็กๆ มาปลดกระดุมเสื้อของผม ล้วงมือเข้ามาลูบลอนกล้ามท้องของผมจากกึ่งกลางอกไล่ลงมาทีละนิดจนผมรู้สึกวูบวาบประหลาดก่อนมือซุกซนจะค่อยๆ ปลดกระดุมกางเกงแล้วรูดซิปกางเกงสแล็คของผมจนมันหล่นลงกับพื้นผมเฝ้ามองการกระทำของเขาไปพลางรู้สึกหลงใหลแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกของเขาเป่ามนต์สะกดเข้าให้ผมชอบคีตา...ชอบตั้งแต่แรกเห็น เป็นความรู้สึกที่ไม่เกิดกับใครก็คงไม่มีวันรู้ว่าเป็นเช่นไร…ผมระดมจูบไปทั่วใบหน้านวลเนียนที่ตอนนี้หลับตาพริ้มรับสัมผัสจากผมด้วยความเต็มใจ ทั้งริมฝีปาก พวงแก้มนุ่ม เปลือกตากระทั่งถึงใบหูไม่มีส่วนไหนของเขาที่ริมฝีปากผมไม่ได้สัมผัส ราวกับว่าผมโหยหามันมานานเต็มทีและในที่สุดผมก็ได้ครอบครองมันอีกครั้งหวาน...หวานจนใจเจ็บ...จากทีแรกคีตายังขัดขืนเล็กน้อยแต่ต่อมาเมื่อผมคลุกวงในหนักเข้า มือของคีตาก็กลับโอบรอบคอผมแนบแน่นโดยไม่รู้ตัว คงเพราะเขามีอารมณ์ร่วมกับผมเหมื
ทันทีที่คีตาเปิดประตูพาผมเข้ามา ผมก็หันไปปิดล็อคลูกบิดประตูแล้วหันกลับมามองด้วยแววตาหื่นกระหายจนเขาถอยหลังกรูด“คุณ! คุณล็อกประตูทำไมฮะ”“เพื่อความปลอดภัย”ผมตอบไปงั้นเพราะที่จริงตั้งใจทำมากกว่านั้น อย่างว่าล่ะ ผมกับเขาเปรียบไปก็วัวเคยขาม้าเคยขี่...“แต่ผมรู้สึกไม่ปลอดภัย”คีตาบอกพลางเหลียวซ้ายแลขวาแล้วหันหลังกลับไปที่ประตู แต่ไม่ทันผมที่คว้าเอวเขาดึงเขาหาตัวแล้วล่ะ“คุณจะทำอะไรฮะ!”“ฉันอยากทำอย่างว่า...”“อะไรนะฮะ!” คีตาร้องเสียงหลง“ฉันอยากทำอย่างว่ากับนาย” ผมบอกเจตจำนงโดยไม่ปิดบัง ผมคงต้องรื้อฟื้นความทรงจำที่มีร่วมกับเขาในคืนนั้น เพื่อทุกอย่างจะได้ง่ายเข้า “ฉันอยากนอนกับนาย”“คุณจะนอนกับผมได้ไง!”“ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ นายทำให้ฉันคิดถึงนายตลอดเวลาได้ยังไง หือ... คีตา”“ผมไม่ได้ทำอะไรให้คุณเลย คุณจะมาคิดถึงผมทำไม”“นายทำ นาย... ทำ” ผมเน้นเสียงพลางชี้นิ้วมาที่อกซ้ายของตัวเอง กดย้ำๆ หนักๆ ที่หัวใจ “เพราะนาย ที่ตรงนี้ของฉันมันถึงเต้นแรงแบบนี้”“โอ๊ย! คุณพูดไม่รู้เรื่อง คงเพราะเมาแล้วแน่ๆ ผมว่าผมกลับดีกว่า”เขาตัดบทแล้วหันหลังเดินแกมวิ่งไปที่ประตู แต่ผมไม่ปล่อยให้คีตาหลุดมือจึงวิ่งเข้าหาแล