“ฉันเห็นเหมือนเป็นเช็ค หมอนั่นให้เช็คนายทำไม!” ภามม์ย้ำอีกคราวนี้คิระเดินหนีแล้วเพราะคนหันมามองเป็นตาเดียว แต่ภามม์ก็ก้าวฉับๆ ตามไม่ลดละ จนคิระรู้สึกอายสายตาคนมอง จึงรีบไปรับกล่องอาหารแล้วเดินออกมาและภามม์ตามมาติดๆ“คิระ หยุด” ภามม์ตะคอก “ฉันบอกให้หยุดไง”คราวนี้คิระกัดฟันกรอดเพราะอีกฝ่ายเริ่มเสียงดังในโรงพยาบาลที่ต้องการความสงบ คนหันมามองเป็นตาเดียว เขาจึงต้องสงบสติอารมณ์ขณะที่ลิฟต์เปิดออกและคนออกมาหมดจึงเหลือเพียงเขากับภามม์ที่อยู่ในลิฟต์กันสองคนอึดอัดเป็นบ้า!!เพราะคนคนนั้นแท้ๆ ที่ทำให้เรื่องยุ่งยากแบบนี้ คิระเหลือบมองก็พบว่าภามม์จ้องอยู่ก่อน เขาถึงกับกลืนน้ำลายยากเย็น“ผมว่าคุณน่าจะโมโหหิวแล้วล่ะ ไปถึงก็รีบกินข้าวก่อนฮะจะได้ใจเย็นๆ”“สารภาพมาว่าหมอนั่นเป็นใคร ใครส่งมา”“โอ๊ย! คุณ ดูหนังมากไปปะฮะ เขาก็แค่มากินราดหน้าไง ราดหน้าอะ ราดหน้าทะเลเข้าใจไหมฮะ”“โกหก”“โว๊ะ!” คิระสะบัดหน้าพรืด มือที่กำถุงข้าวผัดกำแน่น “คุณหิวข้าวแน่เลยอะ โมโหหิวใช่ไหม ปะไปกินข้าวกัน”“อย่ามาแตะ!” ภามม์สะบัดมือออกคิระถึงกับหน้าเหวอนี่ถ้าไม่ห่วงคนตรงหน้าจะหิวแล้วก็ไม่ต้องห่วงว่าต้องรักษาคำพูดกับชิน มีหวังค
ภามม์ถามแม่ที่นั่งหน้าซีดอยู่ โดยที่เขานั่งอยู่ข้างๆ แม้ไม่เคยเอ่ยปากบอกคำว่ารักหรือห่วงใย แต่สายสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกทำให้ภามม์อดเป็นห่วงเป็นใยแม่ไม่ได้“เขาเป็นโรคหัวใจ เพิ่งทำบายพาสไปไม่นานแต่ว่าดูเหมือนอาการจะทรุดลงอีก เมื่อกี้แม่แค่ขึ้นไปเลือกชุดให้เดวิดใส่ เขาอยากดูดีตอนเจอลูก แม่ก็เลยทิ้งเขาไว้ลำพังมาเจออีกทีเดวิดก็ล้มไปแล้ว”ภามม์ฟังแม่พูดไปสะอื้นไป จึงหยิบผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าเสื้อส่งให้ “เขาเป็นหนักมากเหรอครับ”ดาราวดีพยักหน้าก่อนจะปาดน้ำตากับผ้าเช็ดหน้าของลูก ภามม์สบตาคิระที่นั่งประกอบอีกข้างและมือข้างหนึ่งกำลังแตะหลังแม่เขาลูบขึ้นลงปลอบใจ เขาก็ได้แต่รู้สึกผิด เพราะอคติในใจแท้ๆ เขาปล่อยเวลาผ่านไปเป็นสิบๆ ปี โดยที่ไม่รู้อะไรเลย...“คิระ”“ฮะ”“ไปหาอะไรกินไป”“แล้วคุณ...”“ไม่เป็นไร”“แต่...”“นายหิวไม่ใช่เหรอ”ภามม์พยักเพยิดให้ คิระรับรู้ความรู้สึกของภามม์ก็พยักหน้ารับแล้วรีบลุกขึ้นทันที“ก็ได้ฮะ งั้นเดี๋ยวผมซื้ออะไรมาให้คุณกับคุณแม่กินนะฮะ”“อืม...”ภามม์ตอบรับแค่นั้นก็หันไปให้ความสนใจแม่ต่อ คิระถอนใจก่อนหันหลังเดินจากไปอีกทางที่ร้านอาหารด้านล่างโรงพยาบาลดูหรูหราโอ่อ่า
“ที่นี่สวยมากเลยฮะ...” คิระถึงกับอุทานขณะยกมือป้องแสงที่กำลังร้อนแรงเพราะเป็นเวลาใกล้เที่ยง ภามม์ที่ลงมายืนข้างๆ พร้อมกระเป๋าก็เบ้ปากมองคิระแล้วกระทุ้งหลังสั่ง “เอากระเป๋าเสื้อผ้าไปเก็บในห้องไป จะได้ไปกินข้าว”“แล้วคุณล่ะฮะ”“เดี๋ยวตามไป”ภามม์บอกแค่นั้นก็เดินแยกไป คิระมองตาม รู้สึกว่าภามม์ดูตื่นเต้นเหมือนกันแต่ทำตัวเหมือนไม่ยินดียินร้ายก็แหงล่ะ... คุณภามม์คิดเสมอว่าถูกแม่ทิ้ง ทั้งที่ท่านอาจจะมีเหตุผลที่บอกไม่ได้ ไม่ว่าบ้านไหนก็มีปัญหาภายในของตัวเองทั้งนั้นล่ะเขาก็เช่นกัน...คิระถอนใจก่อนจะแตะคีย์การ์ดจะเปิดประตูห้องพักเข้าไปแต่ก็ต้องชะงักเพราะสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ที่อยู่ในสวนด้านข้างก่อนประตูทางเข้างดงาม และแสงสะท้อนระยิบระยับของมันชวนให้โดดเล่นเป็นบ้า“โห ถึงขนาดมีสระว่ายน้ำส่วนตัวด้วย เว้อเว่อร์”ภามม์เดินตามถึงกับส่ายหน้าระอารีบเร่ง “เร็วๆ เข้า ฉันอยากพักแล้ว”“แหม... คุณอะ ตกลงไปไหนมาฮะแป๊บเดียวเอง”“เรื่องของฉัน”โว๊ะ!คิระค้อนขวับขณะอุทานในใจ เพราะตอนนี้ภามม์เดินตัวปลิวนำหน้าส่วนเขาเต็มไปด้วยสัมภาระพะรุงะพะรังไม่พอยังต้องมาเปิดประตูให้คุณชายท่ามากเข้
คิระหน้ามุ่ย คนคนนี้แทบจะหมดแรงอยู่แล้วยังทำเก่ง พอเข้าไปในห้อง คิระก็หย่อนตัวภามม์ลงบนที่นอนแล้วยกขาขึ้นทั้งสองข้างก่อนจะลุกขึ้น แต่ถูกภามม์รั้งข้อมือไว้“จะไปไหน”“ผมจะไปเอาน้ำอุ่นมาเช็ดตัวให้นะฮะ”“ไม่ต้องหรอก” ภามม์เสียงอ่อยคิระแกะมือภามม์ออกแต่คนดื้อแม้ะจะป่วยก็ยังมือปลาหมึกไม่คลาย “ผมจะเช็ดตัวให้แล้วจะได้ทายาแก้ผื่นคันไงฮะ ดูสิผื่นคุณขึ้นเต็มตัวหมดแล้วนะ”“ไม่เอาไม่ชอบ” ภามม์พูดเท่านั้นก็ดึงมือคิระลงนั่งตามเดิม“เฮ้อ! ทำไมพูดยากล่ะฮะเนี่ย”“อย่าไป”“โหย ผมก็ไม่ได้ไปไหนไง” คิระบ่นพลางถอนใจเฮือกใหญ่ “ปล่อยก่อนฮะ ผมจะไปเอาผ้ากับน้ำอุ่นมาเช็ดตัวให้ นะ”ภามม์ปรือตามองก่อนจะดื้อแพ่ง คราวนี้ไม่เพียงไม่ฟังยังเอื้อมมือไปโอบเอวคิระดึงเข้าหาตัว เด็กหนุ่มไม่ทันตั้งตัวจึงถูกกอดไว้กับอกตอนนี้หน้าคิระแนบกับอกภามม์เข้าพอดีตึกตัก...ตึกตัก...ตึกตัก...เสียงหัวใจเขา...คิระหน้าแดงก่ำเพราะภามม์ลูบหัวเขาแล้วยีผมเบาๆ อย่างสบายใจ คิระทีแรกอึดอัดแต่พอเงยหน้าแล้วถูกภามม์กดเข้ากับหน้าอกอีกก็เหลือบมองเล็กน้อยก่อนจะแนบหน้ากับอกภามม์นิ่งความรู้สึกนี้คืออะไรกันแน่นะ...“คิระ...”“หืม”“นายล่ะ ชอบฉันไหม
คิระตัดสินใจลงไปขอความช่วยเหลือจากภัทร เพราะอย่างน้อยภัทรในฐานะพี่ชายถึงจะต่างแม่ แต่ก็น่าจะเป็นห่วงภามม์อยู่บ้าง น่าจะพอให้ความช่วยเหลือได้ แต่คิระก็คิดหนักเพราะภามม์ไม่ยอมไปหาหมอและร้านขายยาก็อยู่ค่อนข้างไกลจากคอนโดพอสมควร “ไปหาคุณภัทรแบบนี้จะดีไหมนะ เกิดเขาไม่พอใจจะทำยังไง ฮึ้ย! ช่างเถอะ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดล่ะน่า”คิระบ่นพลางเดินวนไปมารออยู่ แต่ลิฟต์ก็ขึ้นช้ากว่าใจที่มันร้อนรน จึงตัดสินใจจะวิ่งลงไปทางบันไดหนีไฟแต่เสียงสัญญาณลิฟต์ดังเสียก่อน คิระจึงชะงักแล้วกลับมาที่ลิฟต์จึงพบว่าเป็นภัทรที่ขึ้นมาพอดี“คุณภัทร!”“จะไปไหนเหรอคิว” ภัทรถามเสียงเรียบๆ เหมือนสีหน้าที่เรียบเฉยเป็นนิจคิระยิ้มออกก่อนจะรีบบอก “คุณภามม์ฮะ! คุณช่วยคุณภามม์ด้วยนะฮะ”“เขาเป็นอะไร” ภัทรถามร้อนรนก่อนจะเดินตามคิระมาติดๆ“เขาผื่นขึ้นเต็มตัวเลยฮะ เร็วๆ เถอะฮะ” คิระตอบพลางแตะคีย์การ์ดห้องด้วยมือสั่นระริก “เอ๊ะ ทำไมประตูเปิดไม่ได้อะ”เด็กหนุ่มร้อนใจไม่พอยังเสียงตื่นๆ ภัทรเห็นดังนั้นจึงหยิบการ์ดจากมือคิระมาเสียบแทนเท่านั้นประตูก็เปิดออก“เมื่อกี้นายแตะผิดด้าน”“อ่อ ผมก็ว่า..” คิระเกาหัวแกรกๆ แก้เก้อ “เร็วเถ
คิระชะงักเพราะถูกนิ้วมือของภามม์แตะที่แก้มแล้วถูอย่างเบามือก่อนจะเอานิ้วที่แตะเข้าปากตัวเอง คิระถึงกับพูดไม่ออก“ทีนี้รู้แล้วยังว่าฉันรู้ได้ไง”“รู้แล้ว... แต่... เฮ้ย! งั้นก็แสดงว่าแป้งเค้กติดหน้าผมตั้งนานแล้วสิ ทำไมคุณไม่บอกผมอะ”คิระโวยวายเพราะอายที่สารพัดจะทำทั้งที่หน้ามอมเป็นแมวขนาดนี้หมอนี่ก็ช่างกระไรซิ ยังมีหน้ามาขำทำหน้าเป็น... ชิ!ภามม์ถึงกับกลั้นหัวเราะไม่อยู่เพราะสีหน้าคิระตอนนี้ดูตลกมากจนทำให้เขาอดหัวเราะไม่ได้ อันที่จริงก็ไม่แปลกหรอกเพียงแต่คิระไม่ค่อยเห็นเท่านั้นเอง“คุณหัวเราะผมทำไมอะ”“นายไปส่องกระจกดูไป”“ยังมีอีกเหรอ!”คราวนี้คิระหน้าถอดสี รีบเดินแกมวิ่งอย่างไวไปที่หน้ากระจกในห้องน้ำแล้วก็ต้องกรีดร้องสนั่น“ทำไมคุณไม่บอกผมอ้ะ!”ภามม์ถึงกับหลุดขำที่คิระโวยวายมาจากห้องน้ำ ไม่นานก็ออกมาพร้อมกับผ้าขนหนูที่เช็ดหน้าสะอาดหมดจดจนได้“คุณโรคจิตรึไง ถึงชอบแกล้งผมเรื่อย”“ก็ฉันบอกแล้วว่านายน่าสนุก ทำให้ฉันยิ้มได้”“แต่ผมไม่ใช่ของเล่นซะหน่อยจะได้มาสนุก ชิ” คิระบ่นพลางเดินเลี่ยงไปที่ครัวเพราะอายสายตาภามม์ขึ้นมาซะเฉยๆ“ฉันไม่ได้บอกว่านายเป็นของเล่น แต่นายเป็นสวนสนุกของฉันต่างหาก”