พ่อยิ้มน้อยๆ พยักหน้ารับรู้แล้วหลุบตาลงต่ำ หยิบปึกเอกสารที่วางอยู่ข้างหัวนอนมาถือไว้ก่อนจะยื่นให้ “แกเปิดดูสิ”ผมรับมาอย่างงงๆ คลายเกลียวเชือกที่พันปากซองออกแล้วหยิบของด้านในออกมา พบว่ามันเป็นเอกสารขนาดเอสี่ปึกหนึ่ง“นี่อะไรครับพ่อ”“ลองอ่านดู” พ่อตอบสั้นๆผมพลิกเอกสารปึกบางทีละหน้าด้วยความไม่เข้าใจแต่ก็รู้สึกแปลกๆ เข้าแล้ว “เอกสารรับรองบุตรบุญธรรมเหรอครับ พ่อจะรับใครเข้ามา อย่าบอกนะว่า...”“ใช่ อย่างที่แกคิดนั่นแหละ พ่อจะรับหลานสมศักดิ์เข้ามาในตระกูลเจริญศิริกุลของเรา”“ทำไมล่ะครับ” ผมย้อนถาม สีหน้าไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันต้องมีอะไรสักอย่าง ผมรู้สึกวิตกกังวลแปลกๆหรือว่าพ่อจะรู้!“ก็อย่างที่บอก พ่อกับสมศักดิ์มีสัญญาต่อกัน”“แต่เด็กนั่นกับผม!...”“เด็กนั่นกับแกทำไม” พ่อถามกลับสีหน้าเต็มไปด้วยคำถาม “อย่าบอกว่าแค่เจอหน้ากันครั้งแรกแกก็อคติกับเด็กเสียแล้ว”“ไม่ใช่อย่างนั้นครับพ่อ”“งั้นก็จัดการซะ”พ่อตัดบท ส่วนผมยังงงกับทฤษฎีโลกกลมไม่หาย พ่อนะพ่อ จะบอกได้ไงล่ะว่าผมกับเด็กนั่นมีอะไรกันแล้วเป็นไปไม่ได้!หรือว่าพ่อจะรู้...ไม่น่า...พ่อไม่มีทางรู้ความสัมพันธ์ชั่วคืนของผมกับเด็กนั่น ผมไว้ใจสน
ผมรับปากปู่ส่งเดชเพราะมัวแต่คิดนั่นนี่ กว่าจะเจอปู่ก็เดินมาตามพอดี“เฮ้อ เรานี่นะเจ้าคี ทำอะไรให้มันตั้งใจหน่อย”“ก็ผมหาอยู่ แต่นี่เจอแล้วฮะ”ผมชูม้วนแพทเทิร์นกระดาษขาวเก่าจนแทบจะเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่นส่งให้ ปู่รับไปไม่พูดไม่จาตรงไปที่โต๊ะทำงานตัวใหญ่มุมห้อง รีดแพทเทิร์นกับเตารีดโบราณเก่าคร่ำคร่าแล้วขมักเขม้นกับมัน โดยที่ผมได้แต่มองเพราะช่วยอะไรไม่ได้เฮ้อ รู้สึกแย่ชะมัด!ผมนึกอะไรได้ก็เลยล้วงนามบัตรในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดูแล้วก็ต้องเบ้หน้าด้วยความหมั่นไส้“ตรีคชา เจริญศิริกุล ชื่อก็เพราะดี ตรีคชา นายสามช้าง หรือนายช้างสามตัว หรือนายแรงช้างยกกำลังสามกันแน่”ผมสลัดชื่อหมอนั่นออกจากหัวสมองไม่หลุดเลย ทำไมผมต้องจำชื่อเขาเหมือนเคยได้ยินมาจากไหนสักที่กันนะ “แกว่าอะไรเขาอีกล่ะ เจ้าคี” “เปล่านะปู่ ผมยังไมได้ว่าอะไรคุณหนูของปู่เลย”ผมปฏิเสธแต่ไขว้นิ้วชี้กับนิ้วกลางไว้ด้านหลัง ก็ไม่ได้ว่าแค่นินทาออกสื่อนิดหน่อยแค่นั้น แต่นินทาเขาในใจเยอะเลยน่ะสิก็ใครใช้ให้เขาทำให้ผมหมั่นไส้ล่ะ! ผมขี้เกียจให้ปู่ถามต่อจึงเลี่ยงเข้าห้องไป แต่ก็ยังมีหมอนั่นอยู่ในความคิดชนิดสลัดเท่า
จู่ๆ เขาก็แย่งแก้วจากมือผมไปแล้วป้อนให้ปู่หน้าตาเฉย ผมฉุนนะแต่ดูที่เขาทำแล้วทำไมอ่อนโยนจัง“น้ำอุ่นไปสักนิด อากงค่อยๆ จิบนะครับ”“ปู่เกรงใจ”“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ”เขาปลอบพลางยกแก้วขึ้นจรดริมฝีปากทำให้ปู่ค่อยๆ จิบยาลมตามที่เขาบอกโดยที่ผมที่เป็นหลานแท้ๆ ได้แค่มอง พอหมดแก้ว เขาก็ปรายตาดุใส่จนผมสะดุ้ง “นายเอาไปเก็บ” “เค” “เคแล้วก็รับไปดิ”เขายื่นแก้วให้ ผมรับมาอย่างลืมตัวที่คิดว่าทำไมคนคนนี้ถึงอ่อนโยนจังผมขอถอนคำพูด เขาอ่อนโยนกับปู่แต่กับผมกลับพูดจาเชือดเฉือนแต่ก็ช่างเถอะ…อย่างน้อยหน้าที่ดูหนาราวซีเมนต์แทนที่จะงดงามเหมือนรูปสลักนั่นก็เหมือนจะมีรอยยิ้มนิดๆ ตอนที่ฟังคำขอบคุณจากปู่ของผมล่ะปู่นั่งพักครู่หนึ่งก็อาการดีขึ้น คนหน้านิ่งจึงขอตัวกลับ ผมพยุงปู่เดินตามไปส่งร่ำลากัน เขาปรายตาคมกริบมองผมแวบหนึ่งแล้วจึงเปิดประตูขึ้นนั่งที่ตอนหลังของรถคันยาว แล้วชะโงกหน้าออกมาพูดกับปู่“ผมเกรงใจอากงถ้าหากว่าทำไม่ไหว ผมก็ไม่อยากเร่งขนาดนั้น...”“ไม่เป็นไรหรอกคุณหนู ผมทำไหว”“ไหวแน่นะครับ”“ไหวๆ ทำให้ผู้มีพระคุณทั้งที พรุ่งนี้ค่ำผมจะให้เจ้าคีเอาไปส่งให้ถึงมือคุณที่โ
“อะ อะไรนะปู่!” ผมถูกปู่กดหัวก้มต่ำจนเห็นรองเท้าหนังมันปลาบสีดำหัวแหลมของหมอนั่นปรากฏแก่สายตา ผมได้แต่เบะปากด้วยความหมั่นไส้ที่เจ้าของรองเท้าหัวเราะในลำคอให้ผมได้ยินอีก“หัวเราะอะไร!” ผมโพล่ง แต่พอเหลือบมองปู่ก็เห็นแววตาเขียวปัดจึงได้แต่ยิ้มแหย แล้วปู่ก็กระตุกแขนผมอีก“เจ้าคีอย่าเสียมารยาท”“ผมเปล่าเสียมารยาทนะปู่” ผมตัดพ้อปู่สีหน้าสีตาบ่งบอกความไม่พอใจสุดๆ จนปู่ส่งสายตาดุอีก “เงียบเลย! เด็กนี่ไม่รู้ที่ต่ำที่สูงอย่าถือสาแกเลยนะครับคุณตรี” เอ๊า! เขาเป็นใคร ใหญ่มาจากไหนวะ! ผมไม่พอใจแต่ก็ไม่กล้าเถียงปู่ ยิ่งเห็นสายตาคมกริบที่จ้องมาด้วยแล้วยิ่งขัดใจ แต่ผมก็ต้องนิ่งดูเชิงไว้ก่อน “ว่าแต่วันนี้คุณตรีมีธุระอะไร หรือว่าจะมาตัดสูทครับ” ปู่ถาม “ผมอยากให้อากงสมศักดิ์ช่วยตัดสูทชุดใหม่ให้พ่อสักชุดเอาไว้ใส่วันที่ออกจากโรงพยาบาลครับ”คนตัวสูงสง่าอย่างกับรูปปั้นเทพเจ้ากรีกพูดยาวเป็นครั้งแรกแต่น้ำเสียงของเขาแฝงความกังกลอยู่จนผมที่ฟังยังรู้สึกได้ แล้วปู่จะไม่รู้สึกได้ไง“ได้สิๆ แสดงว่าคุณท่านต้องอาการดีขึ้นแล้วแน่ๆ หรือท่านสั่งว่าอย
ผมอดชื่นชมความมันขลับของกระโปรงหน้ารถที่แวววับสะอาดสะอ้าน ชาตินี้ผมจะมีบุญได้นั่งรถหรูแบบนี้สักครั้งไหมนะผมไม่รู้ตัวว่าเผลอมองอยู่นานจนกระทั่งกระจกรถที่นั่งตอนหลังค่อยๆ เลื่อนลงมา ผมชะเง้อมองคนที่นั่งหน้าเชิดในรถด้วยความตื่นตะลึง คนอะไรเห็นแค่ด้านข้างก็ดูดีเป็นบ้าขนาดว่าใส่แว่นกันแดดสีดำอันใหญ่แล้ว ยังสันกรามคมกริบนั่นอีกล่ะ รูปหน้าแบบนี้ต้องสกิลทองคำเท่านั้นแหละ ขนาดใส่แว่นดำไม่เห็นตายังโคตรหล่อเลย ผมทึ่งกับเขาจริงๆผมไม่รู้ตัวหรอกว่าจ้องเขานานแค่ไหน แต่เพราะเสียงกระแอมกับคำพูดต่อมาของเขาที่ทำให้ผมไม่พอใจ“นี่ ไอ้หนู” “ไอ้หนู?” ผมชี้นิ้วมาที่ตัวเอง ไม่ค่อยพอใจคำพูดของเขาเท่าไหร่ “คุณเรียกผมเหรอ”“ใช่สิ ไอ้หนู มานี่”ผมปล่อยมือจากประตูเดินเข้าไปใกล้แล้วก้มหน้ามองคนที่นั่งตอนหลังนั่น “ผมไม่ใช่ไอ้หนู ผมอายุสิบเก้า”เขาจ้องผมหัวจรดเท้าแล้วยกยิ้มถาม “เหรอ”เออดิ...ผมเห็นริมฝีปากกระจับของเขายกโค้งขึ้นข้างหนึ่งเล็กน้อยเหมือนกำลังยิ้มเยาะอยู่“มีอะไร” ผมถามห้วน เริ่มหงุดหงิดที่คิดว่าเขาดูดีคงต้องกลืนน้ำลายตัวเองแล้วล่ะจู่ๆ เขาก็ถอดแว่นกันแดดออก ผมไม่รู้ตั
“แกอย่าทิ้งนาน ทิ้งนานจะไม่ได้เรียน”“รู้แล้วฮะ เอาไว้ผมหาลงเรียนภาคค่ำเอา”“รู้แล้วก็รีบหาเวลาสมัครเรียนซะ แกจะเรียนอะไรก็ได้ ขอแค่อย่างเดียวอย่าเรียนดนตรี”“ทำไมล่ะปู่”“ดนตรีคลาสสิคแบบที่แกชอบน่ะ มันไม่ใช่ที่แบบคนอย่างแกหรอกเจ้าคี”แล้วคนอย่างผมมันยังไงกัน ผมฟังคำขอของปู่แล้วใจฝ่อเลยแฮะ ปู่บอกว่าดนตรีไร้สาระ นักดนตรีก็ไม่มีอนาคต ปู่ไม่อยากให้ผมข้องแวะกับมัน แต่ลองผมได้ชอบอะไรแล้วมันห้ามยาก ผมจึงต้องแอบไปเรียนเปียโนกับพี่จุลตอนค่ำที่บ้านใหญ่ถัดจากตลาดไปสองซอยบ่อยๆ พี่จุล หรือ “จุลภาค” เป็นผู้ชายรูปร่างสูงร้อยแปดสิบหกเซ็นต์ หุ่มผอมเพรียว ผิวขาวราวกับมีออร่าเปล่งประกาย ยามที่พี่จุลยิ้ม โลกทั้งใบก็สว่างไสว ผมชอบรอยยิ้มใจดีของพี่จุลเวลามองมายังผมด้วยความเอ็นดูเป็นอย่างมาก ผมชอบเขา... ไม่ใช่สิ! ผมชอบเขาไม่ได้! พี่จุลมีแฟนแล้วชื่อพี่ฟ้า เธอเป็นสาวหน้าใส อยู่มหา’ลัยเดียวกันกับพี่จุล แต่ผมไม่เคยเห็นเธอเลย ได้ยินแต่เขาเล่าว่าเธอสวยยังงั้นยังงี้ เรียนเก่งระดับท็อป บ้านก็รวยล้นฟ้า พวกเขาสองคนช่างสม