“แกเพิ่งมาทำงาน ผมก็เลยพามาไหว้คุณภามม์เสียหน่อยครับ”
“งั้นเหรอ หน้าตาดีนี่” หญิงสาวปรายตามองคิระอีกหนก่อนจะหันไปคุยกับตฤณอีก “คุณคงไม่รู้ว่าภามม์อยู่กับฉันทั้งวัน”
“เอ่อ ผม”
“แต่ก็นั่นล่ะ ภามม์อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ จะตาย เมื่อกี้เขาไล่ฉันลงไป บอกว่าตัวเองจะลงไปที่บาร์ ฉันตามไปหาแต่ไม่เห็นเขาก็เลยขึ้นมาดูอีกหน คุณรู้ไหมว่าเขายังอยู่ที่ห้องรึเปล่า”
“ผมไม่แน่ใจครับ”
“แต่รถเขาอยู่” เธอว่าก่อนจะเห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนของตฤณจึงโบกไม้โบกมือ “ช่างเถอะ แสดงว่าไม่รู้สินะว่าภามม์อยู่ไหน”
“ครับ” ตฤณแบ่งรับแบ่งสู้
ชาลินีที่ไมได้เป็นผู้ลากมากดีมาจากไหน เธอเป็นนักร้องตัวท็อปของดีพบลูซีบาร์ที่ดึงแขกระดับวีวีไอพีมากมายได้ทุกวัน ทำให้ตฤณค่อนข้างจะเกรงใจอยู่มาก นอกจากจะเป็นตัวท็อปแล้ว ชาลินียังครองใจไฮโซหนุ่มๆ ที่แวะเวียนมาใช้บริการอยู่เนืองนิตย์เพราะจริตระดับตัวแม่ รวมถึงภัทรพี่ชายของภามม์ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอดก็ยังดูเหมือนจะตกหลุมเธอ แต่ไม่มีใครที่ชาลินีฝักใฝ่มอบใจได้เท่ากับภามม์ เธอจึงคอยหึงหวงภามม์อยู่เสมอ เพราะมีแต้มต่อแบบวัวเคยขาม้าเคยขี่ ทั้งที่รู้ว่าไม่มีสิทธิ์
สิทธิ์เดียวที่ชาลินีมีก็คือการเข้าถึงตัวภัทรได้มากกว่าใคร ทำให้ภามม์ยังคงใช้บริการเธออยู่เนืองๆ เพื่อหลอกถามความคืบหน้า แต่ตอนนี้ดูเหมือนขีดจำกัดของเจ้านายจะหมดแล้ว
ตฤณทำนายได้เลยว่าชาลินีตกกระป๋องแล้ว...
“อย่าบอกนะว่าคุณคิดจะพาหลานชายขึ้นมาฝากตัวกับภามม์ บอกซะก่อนนะว่าอย่า”
“โธ่! คุณครับใครจะกล้า” ตฤณโอดครวญ
“ลองกล้าสิคะ เห็นดีกันแน่”
ตฤณถึงกับผงะ คิระเห็นท่าไม่ดีรีบออกตัวแทน
“คือไม่ใช่อย่างที่คุณคิดหรอกฮะ”
“ฉันคิดอะไร” ชาลินีถามกลับพลางจับตามองคิระที่ไม่หงอเธออย่างที่คิดเท่าไหร่ เธอจึงคิดตัดไม้ข่มนามก่อน “หรือว่าเรื่องที่มีซัมติงกับภามม์”
“โหย ไม่หรอกฮะ ผมไม่มีทางมีซัมติงกับเจ้านายลุงแน่นอนฮะ” คิระตอบเท่านั้นก็ยิ้มกว้าง แต่ครู่เดียวก็หุบยิ้มเพราะถูกลุงตฤณกระทุ้งศอกเข้าให้
“เงียบไปเลยเจ้าคิว” ตฤณกระซิบ”
“แน่ใจนะ”
“แนใจสิฮะ” คิระตอบพลันหลบตา หันรีหันขวางเมื่อได้ยินเหมือนเสียงของหล่นหนักๆ ดังมาจากด้านในห้อง
ชาลินีหรี่ตามองก่อนตอบ “ฉันจะเชื่อเธอดีไหมนะ”
“ต้องเชื่อสิฮะ ก็ผมเป็นผู้ชายไม่ใช่สาวสวยมากๆ อย่างคุณสักหน่อย”
“ฮึ ปากหวาน”
ชาลินีมีรอยยิ้มน้อยๆ ออกมาเพราะคำพูดถูกใจ เธอจ้องคิระหัวจรดเท้าก่อนจะพินิจดูก็พบว่าคิระเป็นเด็กผู้ชายก็จริง แต่หน้าหวานติดจะน่ารัก ปากนิดจมูกหน่อย ผิวขาวอมเหลือง อีกทั้งหุ่นเพรียวสมส่วนนั่น ทำให้หญิงสาวแทบเต้นเร่าๆ เพราะหน้าตาแบบฉบับลูกครึ่งญี่ปุ่นจีนเกาหลีหรืออะไรสักอย่างนั่น ดูคลับคล้ายคลับคลากับภรรยาเก่าของภามม์ที่เสียชีวิตไปอยู่หน่อยๆ เธอเห็นดังนั้นก็ตาโต รีบตั้งการ์ดกีดกันทันที
“งั้นต่อไปเธอก็ห้ามขึ้นมาที่นี่อีก ห้ามให้คุณภามม์เห็นหน้าล่ะ”
“ฮะ” คิระรับคำอย่างว่าง่าย
เหอะ...
ก็ไม่ได้อยากเสนอหน้ามาสักหน่อย...
“เดี๋ยว เธอชื่ออะไร”
“คิระฮะ”
“คุณตฤณคะ อย่าให้ฉันรู้ว่าเด็กคนนี้ขึ้นมาบนห้องของภามม์อีกนะคะ” ชาลินีปรายตามองตฤณแล้วกลับมาจ้องเขม็งที่เด็กหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นอีกครั้ง
“ผมขอรับประกันครับ พอดีข้างล่างมีเรื่องนิดหน่อยผมก็เลยต้องเคลียร์แต่นาย... เอ่อ...”
“อย่าให้ฉันรู้ว่าภามม์แอบให้พนักงานเสิร์ฟขึ้นมายุ่มย่ามหาลำไพ่พิเศษแบบที่แล้วๆ มาอีกนะคะ ฉันไม่ชอบพวกลักกินขโมยกินโดยที่ฉันไม่รู้นะคะคุณตฤณ”
คิระได้แต่ยิ้มแหยๆ ถึงจะรู้ว่าชาลินีตีกิน ทั้งที่รู้ว่าตัวเองก็เพิ่งเป็นคนที่ถูกภามม์ไล่ตะเพิดก่อนหน้านี้ แต่เขาก็ต้องทำเป็นไม่รู้เพราะไม่อยากให้เรื่องราวบานปลาย
“โธ่! ผมรับรองด้วยเกียรติครับ ใครจะอยากทำแบบนั้นกับหลานตัวเองได้ล่ะครับ”
“ฉันจะไปรู้เหรอ ก็คุณทำไมไม่เอาขึ้นมาให้เองเหมือนทุกทีล่ะ”
“พอดีคุณภามม์ลืมเอกสารสำคัญที่ต้องเซ็นเอาไว้ในรถ พรุ่งนี้ก็จะไปภูเก็ต ผมกลัวจะไม่ทันการแล้วเมื่อกี้ผมก็ติดธุระปลีกตัวมาไม่ได้ก็เลย” ตฤณตอบสั้นๆ แล้วตัดบท “คิวลงไปรอลุงด้านล่างก่อนไป”
“ฮะ” เด็กหนุ่มรับคำแล้วหันหลังจะเดินหนี แต่ต้องชะงักเพราะคำพูดของหญิงสาวอีกครั้ง
“เดี๋ยวสิ... เธอ”
“ฮะ!” คิระชี้มือที่ตัวเอง พอเห็นหน้าสาวสวยจ้องเขม็งแถมแสยะยิ้มให้ ก็หน้าเจื่อน
จะหวงผู้อะไรนักหนานะ!
“คุณลินีครับ ผมขอร้อง” ตฤณออกรับแทนแล้วลอบกระซิบหญิงสาว “ถือซะว่าผมไม่รู้ไม่เห็นเรื่องที่คุณขึ้นมาที่นี่ก็แล้วกันนะครับ คุณก็รู้ว่าเจ้านายไม่ชอบให้มีข่าวลือเสียหายในที่ทำงาน”
“ก็ได้ ถือซะว่าคุณติดค้างฉันนะ แต่เธอ คราวหน้าอย่าให้ฉันเห็นที่นี่อีก” ชาลินีว่าพลางสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง
“เฮ้อ! พายุพัดผ่านไปซะที”
“เธอน่ากลัวมากเลยนะฮะลุง”
“นั่นสิ เมื่อไหร่จะรู้ว่าตัวเองกำลังจะโดนเทก็ไม่รู้”
ตฤณบ่นพลางพ่นลมหายใจอึดอัด ลอบมองเจ้านายที่ซุ่มอยู่ในห้องก็รู้ได้ทันทีว่าที่ไม่อยากออกมาเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ชาลินีอาละวาดแบบนี้ ก็เพราะรำคาญหนักแล้ว
“ว่าแต่เราเถอะเกิดอะไรขึ้น”
ข้าวต้มปลากระพงหอมกรุ่นที่ตั้งอยู่บนโต๊ะอาหารทั้งสองชามเริ่มจางไอร้อนลงแล้ว แต่คุณตรีก็ยังไม่ลงมาสักที ระหว่างรอผมจึงจัดแจงรินอเมริกาโน่ร้อนไม่ใส่น้ำตาลใส่แก้วเคลือบที่เป็นรูปผมกับเขาคู่กันไม่ใช่ผมหรอกนะที่จัดหามันแต่เป็นคุณตรีต่างหากที่มีมุมคิกขุชนิดหาตัวจับยาก คอยทำนั่นทำนี่ มีเซอร์ไพรส์ต่างๆ นานาให้เขาเหมือนคนเก็บกดเลย...หึหึ...แต่ผมชอบที่คุณตรีเอาใจใส่ ให้ความรัก ส่วนผมก็สรรหาสิ่งดีๆ ให้เขา ไม่ว่าจะอาหาร เสื้อผ้า ของใช้จำเป็น ไม่ต้องลำบากเป็นหน้าที่ของสนธยาเช่นเคย ผมนั่งเช็คยอดวิวคลิปล่าสุดที่ลงในยูทูปไปพลางก็อดยิ้มอย่างดีใจไม่ได้ ตอนนี้ช่องยูทูปของผมมีคนติดตามกว่าสามแสนคน และคลิปที่เพิ่งลงล่าสุดก็มียอดวิวแค่ข้ามคืนเกือบหนึ่งแสน ผมได้แต่ปลาบปลื้มอยากจะอวดคุณตรีแทบบ้า แต่เขาก็ช้าเหลือใจจนผมต้องร้องเรียก“เสร็จรึยังฮะ” “เกือบแล้วที่รัก” หูยยยย...คำก็ที่รัก สองคำก็ที่รัก เขากำลังทำให้ผมสำลักความรักจากเขาจนเคยตัวแล้ว “เร็วๆ สิฮะ เดี๋ยวข้าวต้มเย็นหมดนะ” “กำลังจะลงแล้วที่รัก” แหม...เขาเรียกผมว่าที่รักตล
เราสองคนสบตากันโดยไม่มีคำพูด ริมฝีปากเราแนบชิดส่งต่อความหวานอบอุ่นผ่านความคิดถึงที่แทบล้นออกมาจากอก เสียงหัวใจของเขาเต้นแรงไม่ต่างจากผม เราสองคนส่งต่อความคิดถึงผ่านรสจูบลึกล้ำเนิ่นนานกว่าที่คีตาจะผละลุกนั่งหายใจหายคอไม่ทันดวงหน้าคีตาแดงก่ำ ทรงผมยุ่งเหยิง ริมฝีปากวาววับจนผมอยากจะกลืนกินเขาไปทั้งตัว แต่ผมต้องยั้งใจแล้วผุดลุกนั่งตรงข้ามกับเขาบนโชฟาเดียวกัน“คุณตรีหื่น” เขาตัดพ้อผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ก็ใครกันแน่ที่หื่น จู่ๆ ผมเองต่างหากที่โดนจูบไม่ใช่เขา“นายแหละหื่น” ผมหยอกไม่พอเอื้อมมือทั้งสองไปลูบผมของเขา จัดทรงให้เรียบร้อยคีตาจับมือทั้งสองของผมมาแนบแก้ม มือของเขาอบอุ่นมากจนผมเผลอยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู“มาถึงก็อ้อนกันขนาดนี้ ทำอะไรผิดกับฉันรึเปล่าคี” ผมถามหยั่งเชิง คีตามุ่นคิ้วหรี่ตามองผมพลางส่ายหน้าเบาๆ“ผมไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”“แต่นายมาไม่บอก”“ก็ผมอยากให้คุณเซอร์ไพรส์”เขาบอกแค่นั้นก็ผละไปที่หน้าประตู ผมมองตามคีตาที่รื้อกระเป๋าเดินทางอย่างกระตือรือร้น ก็นึกสงสัยจึงลุกตามไปดูใกล้ๆ เขาเงยหน้ามองแล้วยิ้มกว้างก่อนจะยื่นซองสีขาวขนาดเท่าเอสี่ส่งให้“นี่ฮะ”“อะไร”ผมรับมาแต่ยังไม่
ผมผุดลุกนั่งอย่างช้าๆ หย่อนเท้าลงบนพื้นเย็นเฉียบ รวบรวมแรงทั้งหมดที่มีเดินไปเปิดม่านหน้าต่างริมระเบียงที่มองเห็นแม่น้ำเจ้าพระยายามค่ำคืนได้อย่างชัดเจนที่สุดที่ร้านอาหารฝั่งโน้นคงมีงานถึงเปิดไฟสีสันสว่างไสว ผมเพ่งมองไปในความมืดของแม่น้ำเจ้าพระยาเชี่ยวกราก เห็นเรือหรูแล่นผ่านไปมา ผู้คนบนเรือนั้นคงมีความสุข สนุกสนานเนื่องจากใกล้เทศกาลปีใหม่ผมก็อยากให้ปีใหม่ปีนี้มีคีตาอยู่เคียงข้าง แต่ดูเหมือนจะเป็นไปได้ยากหลังจากที่เราทะเลาะกันวันนั้น“ผมคิดถึงคุณจัง”วันนั้นผมยิ้มออกหลังได้ยินคำหวานโปรยมา ครั้งนี้เขาไม่ให้ผมเห็นหน้าบอกไม่สะดวกคุยวิดีโอคอลด้วยทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่เคยปฏิเสธเลยสักครั้งผมตะหงิดในใจแต่ก็ถามเขาไปด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ ที่ไม่คิดกดดัน “จะกลับวันไหนจะได้ไปรอรับ”“เอ่อ... ผมยังติดธุระอยู่เลยฮะ” เขาตอบ“ทันปีใหม่ไหม”“ไม่แน่ใจฮะ”ผมอึ้งไป นี่ผมต่อเวลาให้คีตาจากสองเป็นสี่ปีแล้วนะ เพราะเห็นแก่ที่เขาสอบติดมหาวิทยาลัยในสาขาเปียโนที่ถือว่าแข็งแกร่งที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ตอนนั้นเราทะเลาะกันครั้งหนึ่งเรื่องที่คีตาขอเรียนปริญญาตรีให้จบ ผมก็ยอมเพราะเห็นแก่ความมานะพยายาม“ไหนว่าเรียนจบแล้วจะร
ผมหัวเราะออกเพราะเขาดูงอนๆ หน้าก็บึ้งตึงไม่น่ารักเหมือนเคย ผมอาศัยทีเผลอพลิกตัวขึ้นคร่อมเขาแล้วระดมจูบดวงหน้าของเขาไปทั่วอย่างหนักหน่วงเอาใจ คุณตรีกอดผมแน่นโยกตัวไปมาราวกับว่าเรากำลังเต้นรำทั้งที่นอนอยู่บนเตียงด้วยกัน “โอ๋ๆ อย่างอนนะฮะบอสที่รักของผม” “คีรู้ไหมว่าทำไมฉันถึงรักคี” “ไม่รู้สิฮะ คงเพราะผมดื้อมั้ง” ผมเย้า เขายีผมของผมทันทีจนผมเบี่ยงตัวหนีแต่ไม่พ้น เขาจั๊กจี้ผมที่สีข้างจนผมที่บ้าจี้อยู่แล้วถึงกับร้องลั่น แต่เขาก็ยังไม่นำพาจนผมต้องยอมแพ้ “ก็ได้ๆ ผมอยากรู้ฮะ” ผมตอบตามที่คิดจริงๆ ผมอยากรู้ว่าระหว่างเรามันคือเรื่องบังเอิญหรือโชคชะตา “เพราะคีเข้ามาในเวลาที่ใช่ หากเป็นก่อนหน้านั้นฉันคงไม่เปิดใจ คีทำให้ฉันรู้ว่าความรักไม่จำกัดนิยามเป็นยังไง” “หมายถึงว่าไม่มีนิยามหญิงชายอะไรงี้เหรอฮะ” “อืม...แล้วก็ต้องขอบคุณพ่อฉันกับปู่คีด้วยที่เจ้ากี้เจ้าการจับคีให้ฉัน” “ตากับปู่เปล่าจับผมให้คุณซะหน่อย คุณน่ะโมเม”“นั่นสินะ ไม่โมเมจะได้คีเป็นเมียเหรอ”“ชิ คุณน่ะ แถไปเรื่อย”“แถแล้วรักไหม”“รักมาก”“ถ้ารั
“ทำไมมั่นใจในตัวฉัน” เขาถาม น้ำเสียงดูไม่มั่นใจ ไม่รู้คุณตรีกลายเป็นคนคิดเยอะตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ผมคิดว่าผมรู้ใจเขามากพอจะรู้ว่าเขาต้องยอมเพราะผมรู้จักคุณดีพอ” ผมตอบพลางยิ้มหวาน ไม่รู้ว่าเป็นยิ้มที่หวานสุดชีวิตได้หรือยัง ผมตื้นตันใจมากที่เขาคิดถึงอนาคตของผม แต่ผมก็อยากจะเป็นคนที่คู่ควรกับเขา ผมอยากเอารางวัลมาฝากบอสบนเตียงของผม...“แต่ถ้ากลับมาคนเดียวฉันต้องเหงาแน่เลย นายทิ้งฉันลงเหรอคี” “ผมจะทิ้งคุณได้ไงฮะ คุณเป็นสามีผมนะ” “แต่ก็ยังจะไปตั้งสองปี...” “แค่สองปีเอง คุณรอผมไมได้เหรอฮะ” ผมย้อนถาม ไม่ได้อยากได้คำตอบจริงจังหรอกเพราะผมรู้ว่าเวลาสองปีนานพอที่จะทำให้อะไรต่อมิอะไรสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้เสมอ โดยเฉพาะคนอย่างคุณตรีที่มีดีกรีความเหงาเป็นที่หนึ่งเขาอาจจะเหงา เปลี่ยนไป และบางทีอาจมีคนใหม่ ถ้าเขาเปลี่ยนไป ผมก็จะได้ทำใจยอมรับว่าเราอาจไม่ใช่คู่กันถึงผมจะไม่อยากให้วันนั้นมาถึงก็ตาม“ฉันไม่อยากให้คีไปเลย กลัวใจหมอนั่นจะทำคีไขว้เขว” “หมายถึงพี่จุลเหรอฮะ”“หมอนั่นแหละจะใครซะอีกล่ะ”คุณตรีค้อนผมขวับใหญ่ ผมกอดเขา จูบแก้มฟอดใหญ่“คุณ
“คีของฉัน... น่ารักใช่ไหมล่ะ”“แหม ของฉันเลยนะตรี” พิมมี่หยอก “แต่น่ารักจริงไม่อิงนิยาย คีน่ารักมากเลยจ้ะ”“แน่อยู่แล้ว นอกจากคีจะเป็นครูสอนนาราแล้วยังเป็นภรรยาผมด้วย” “คุณตรี! พูดอะไรอย่างนั้นฮะ!” “ก็มันจริง” เขาตอบ ผมอายแทบแทรกแผ่นดินหนี แต่ก็หยิกต้นแขนเขาไปที “คุณพิมอย่าไปฟังคนเพ้อเจ้อนะฮะ” ผมแก้เก้อ “พิมเห็นด้วย” เธอว่าเท่านั้นแต่ทำให้คุณตรียืดเลย “ก็มันจริงนี่ ใช่ไหมนารา” คุณตรีโยนคำถามไปให้น้องนาราทันที ทำให้ผมพูดไม่ออก ลำพังคุณตรีผมย้อนไม่ยั้งแน่ แต่กับน้องนาราที่น่ารักและผมก็รักเอ็นดูเธอ คำน้อยก็ไม่อยากให้ระคายใจ ไหนจะพิมมี่ที่ไม่ได้สนิทกันด้วย ผมได้แต่อ้ำอึ้ง... พิมมี่กับนาราหัวเราะคิกคักให้กันแล้วเป็นนาราที่พูดเสียงอ่อย “เห็นไหมคุณแม่ นาราบอกแล้วว่าพี่คีเป็นแฟนคุณพ่อจริงๆ” “โซ พริตตี้ ยูเวรี่ไนซ์” พิมมี่ชมไม่หยุด “ขอบคุณที่ดูแลลูกสาวให้ฉันค่ะ” “ลูกสาว? คุณหมายถึงน้องนาราน่ะเหรอฮะ” “ใช่จ้ะ” “เธอไม่ใช่... เอ่อ.