Se connecterหนึ่งสัปดาห์ต่อมา…
“ก็ยังเงียบอยู่เหมือนเดิมสินะ”
ละอองฟองพึมพำกับตัวเองเสียงแผ่ว หลังจากเรียนคาบสุดท้ายของวันนี้เสร็จ เธอก็เอ่ยลาพระเพลงเพื่อนสาวคนสนิท แล้วรีบเดินตรงไปยังที่จอดรถ
เธอเปิดประตูขึ้นนั่งบนเบาะคนขับ ก่อนจะถอนหายใจออกมาพรืดยาว มือเรียวเอื้อมไปล้วงหยิบโทรศัพท์ภายในกระเป๋าขึ้นมาเปิดเช็กกล่องข้อความราวกับยังมีความหวังลึก ๆ แต่สิ่งที่เจอกลับเป็นเพียงหน้าจอว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่การแจ้งเตือนจากคนที่เธออยากให้ส่งมามากที่สุด
ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา นับตั้งแต่วันที่เขาเดินออกจากห้องเธอไป เราทั้งคู่ก็ไม่เคยพูดคุยกันอีกเลย แม้จะบังเอิญเดินสวนกันในมหาวิทยาลัย หรือเจอกันในสถานการณ์ที่เลี่ยงไม่ได้ เขาก็เลือกที่จะทำเหมือนเธอเป็นเพียงอากาศ มองผ่านไปด้วยสายตาเฉยชา
และเธอก็ทำได้เพียงยอมรับมัน เพราะเราไม่ได้รักกัน เธอไม่ได้เป็นคนสำคัญของเขา เธอจึงไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรทั้งนั้น
แต่ถึงปากจะบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร แต่ในใจกลับเจ็บหน่วงราวมีบางอย่างกดทับอยู่ตลอดเวลา และทุกครั้งที่ได้อยู่เพียงลำพัง น้ำตาก็มักจะไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ราวกับหัวใจไม่ยอมทำตามเหตุผลที่สมองพยายามบอกเลยสักนิด
“พอ ๆ หยุดร้อง” ละอองฟองพยายามควบคุมให้ตัวเองหยุด
แต่มันก็ทำได้ยากมาก หญิงสาวจึงยื่นมือไปหยิบทิชชูขึ้นมาเช็ดพอลวก ๆ หลังจากนั้นก็ขับรถออกมาจากมหาวิทยาลัย มุ่งตรงสู่คอนโดมิเนียมของตัวเองเปรี้ยง!
แต่ในขณะที่เธอกำลังนั่งรอรถติดไฟแดง เสียงฟ้าร้องกึกก้องดังขึ้นอย่างฉับพลัน ราวกับจะสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งตัวรถ ละอองฟองเผลอ
กำพวงมาลัยไว้แน่น ร่างกายเกร็งโดยไม่รู้ตัว หัวใจเต้นแรงขึ้นทุกที ความรู้สึกตื่นตระหนกค่อย ๆ แทรกซึมเข้ามา เพราะเธอเป็นคนที่กลัวเสียงฟ้าอย่างฝังลึกความกลัวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะความตกใจธรรมดา แต่มันเป็นบาดแผลเก่าที่ฝังอยู่ในใจมาตั้งแต่ยังเด็ก
ในความทรงจำอันเลือนรางแต่เจ็บปวด วันนั้นฝนตกหนักจนท้องฟ้ามืดมิด เสียงฟ้าผ่าดังสนั่นไม่หยุด พ่อได้ลงโทษเธอเพราะเข้าใจว่าเธอทำให้พี่สาวเกือบจมน้ำ ทั้งที่ความจริงมันเป็นเพียงอุบัติเหตุ เราไปพายเรือเล่นกัน แต่พี่สาวเธอดันลุกขึ้นเต้นจนทำให้เรือที่พายล่ม เธอพยายามอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว แต่พ่อกลับไม่ฟัง กลับขังเธอไว้ในห้องมืดเพียงลำพัง
ฟ้าร้องครั้งแล้วครั้งเล่า แสงฟ้าแลบสว่างวาบลอดผ่านช่องหน้าต่างเข้ามา เสียงฝนกระหน่ำใส่หลังคาไม่หยุด เธอตะโกนร้องไห้ขอให้พ่อเปิดประตู แต่สิ่งที่ได้กลับมามีเพียงความเงียบและเสียงฟ้าผ่าที่ดังราวกับจะแหวกหัวใจให้ขาดออกเป็นเสี่ยง ๆ
คืนนั้นทั้งคืนเธอนั่งตัวสั่นกอดเข่าตัวเองอยู่มุมห้อง รอให้ฝนหยุด รอให้เสียงฟ้าสงบ แต่เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าเกินกว่าที่หัวใจดวงเล็ก ๆ จะทนไหว เหตุการณ์นั้นฝังลึกจนกลายเป็นบาดแผลที่ไม่เคยจาง และตั้งแต่นั้นมาทุกครั้งที่ฟ้าร้อง หัวใจเธอก็ยังสั่นไหวเหมือนตอนนั้นไม่มีผิด
ตอนนี้ในรถท่ามกลางสี่แยก เสียงฟ้าผ่าดังอีกครั้ง ละอองฟองเผลอหลับตาแน่น พยายามสูดหายใจลึกเพื่อปลอบตัวเอง แต่ความรู้สึกหวาดกลัวก็ยังไล่ตามราวเงาดำในอดีตที่ไม่มีวันหายไป
ปี๊ด! ปี๊ด!
เสียงบีบแตรรถดังลั่นปลุกให้ละอองฟองสะดุ้งสุดตัว ร่างกายที่กำลังนั่งตัวสั่นเพราะความกลัวยิ่งเกร็งแน่นขึ้น เธอเงยหน้าขึ้นอย่างตื่นตกใจ ก่อนจะพบว่าไฟจราจรได้เปลี่ยนเป็นสีเขียวไปแล้ว และรถของเธอก็จอดอยู่ในตำแหน่งคันแรกที่ขวางทางทุกคันด้านหลัง
หัวใจเธอเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ละอองฟองรีบเหยียบคันเร่งขับรถออกมาอย่างช้า ๆ แต่ความรู้สึกกลัวและความสั่นในมือยังไม่หายไปแม้แต่น้อย เธอพยายามสูดลมหายใจลึก ๆ แต่ก็เหมือนอากาศรอบตัวจะไม่พอ จึงตัดสินใจเลี้ยวจอดชิดข้างฟุตพาท
“ทำยังไงดี ไม่อยากอยู่ตรงนี้” เธอพึมพำเสียงสั่น ทั้งตัวร้อนผ่าวเหมือนจะร้องไห้ออกมาได้ทุกวินาที เธอไม่อยากนั่งอยู่ตรงนี้คนเดียว
ไม่อยากฟังเสียงฟ้าร้องอีกแม้แต่วินาทีเดียว แต่ร่างกายก็ไม่มีแรงจะขับรถต่อให้ถึงห้องปึก! ปึก!
เสียงเคาะกระจกดังขึ้นสองครั้ง ละอองฟองสะดุ้งหันไปตามเสียง และหัวใจก็เต้นแรงด้วยความตกใจปนโล่งใจเมื่อเห็นว่าเป็นคินที่อยู่ข้างรถที่เธอนั่งอยู่ โดยตัวเขาเปียกฝนเล็กน้อย สีหน้าเขายังคงเรียบนิ่งเช่นเคย ซึ่งเธอเห็นแบบนั้นก็รีบเอื้อมมือไปปลดล็อกประตูทันที
“พะ…พี่คิน” ละอองฟองเอ่ยด้วยเสียงสั่นกลัว
“กลัวใช่ไหม”
น้ำเสียงที่เปล่งออกมาจากเขา อบอุ่นและมั่นคงจนหัวใจเธอเหมือนถูกโอบกอดไว้ ความรู้สึกดีค่อย ๆ แผ่ซ่านไปทั่วร่าง แต่ละอองฟองก็ยังคงเลือกที่จะไม่เอ่ยคำใดออกมา เพียงแค่พยักหน้ารับเบา ๆ ทั้งที่ดวงตาเริ่มเอ่อคลอด้วยน้ำตา
“ลุกขึ้นไปนั่งเบาะข้าง เดี๋ยวฉันขับให้”
เธอทำตามโดยไม่คิดอะไร ปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วค่อย ๆ ก้าวข้ามมานั่งที่นั่งฝั่งข้างคนขับ ขณะที่คินลงมานั่งตำแหน่งคนขับแทน ก่อนจะถอดเสื้อช็อปของเขาออกมาคลุมตัวเธออย่างเบามือ
“ถ้ากลัวก็หลับตา เดี๋ยวฉันจะไปส่งที่ห้อง”
“พะ…พี่คิน หนูขอโทษ” เสียงเธอสั่นทั้งจากความกลัวและความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
“คลุมเอาไว้” เขาตอบสั้น ๆ แต่สายตานั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
ละอองฟองดึงเสื้อช็อปคลุมหัวตัวเอง ปิดกั้นทั้งเสียงฟ้าและภาพรอบตัว ก่อนจะค่อย ๆ หลับตาลง ขณะที่คินเหลือบมองเธอเป็นระยะ ใบหน้าของหญิงสาวที่กำลังนั่งตัวสั่นทำให้หัวใจของเขาหนักอึ้ง
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้เห็นเธออยู่ในสภาพเช่นนี้ และเขาเอง
ก็ไม่อาจนับได้แล้วว่ามันเป็นครั้งที่เท่าไร ทุกครั้งที่ภาพนั้นปรากฏต่อสายตา ความรู้สึกสงสารและห่วงใยก็เอ่อท่วมในใจเขาเสมอ ราวกับอยาก จะปกป้องเธอจากทุกสิ่งที่ทำให้หวาดกลัว“ละอองฟอง”
หลังจากขับรถเข้ามาจอดที่ลานจอดรถใต้คอนโดฯของเธอ คินหันมาเรียกชื่อหญิงสาวที่ยังนั่งสั่นกลัวอยู่เบา ๆ
ละอองฟองก็ค่อย ๆ ดึงเสื้อช็อปที่คลุมหัวออก แล้วเงยหน้าจ้องมองเขาด้วยสายตาไม่มั่นคง
“เป็นยังไงบ้าง” เขาถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“.....” เธอยังคงนิ่งไม่ตอบอะไรออกมา
“ทำไมไม่พูดล่ะ” เขาถามอีกครั้ง เพราะเห็นว่าเธอเพียงแค่มองเขาอย่างเงียบ ๆ
“ทำไมพี่ถึงรู้ว่าหนูอยู่ตรงนั้นคะ”
“บังเอิญขับรถผ่าน เห็นพอดีก็เลยแวะไปดู”
คินเอ่ยโกหกออกไป เพราะความจริงแล้วเขาเห็นเธอขับรถออกจากมหาวิทยาลัยตอนที่กำลังนั่งคุยกับเพื่อนอยู่ที่หน้าคณะตัวเอง และเมื่อเห็นท้องฟ้าครึ้มฝนและบรรยากาศแปลก ๆ ชายหนุ่มจึงวานให้เสือเพื่อนสนิทตัวเองขับรถพามาดูเผื่อเธอจะเกิดอาการที่เคยเป็น แล้วมันก็เป็นจริงด้วยตามที่เขาคิด
“.....” ละอองฟองก้มหน้าลง น้ำเสียงอ่อนลง “งั้นก็ขอบคุณมากเลยนะคะที่มาส่ง ถ้าไม่ได้พี่ หนูคงขับกลับเองไม่ได้แน่ ๆ”
“ไม่เป็นไร” เขาเอ่ยตอบกลับ
“งั้นหนูไปก่อนนะคะ ส่วนรถนี่พี่ขับกลับคอนโดฯ ไปเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้หนูจะไปเอาเอง”
“.....” คินเลิกคิ้วก่อนจะเอ่ยขึ้น “เธอจะไม่ชวนฉันขึ้นห้องเธอหรือไง”
“ตะ...แต่ว่าเราสองคนคะ... (ละอองฟอง) / ตราบใดที่ฉันยังไม่ได้หมั้นกับพี่สาวเธอ ฉันก็ไม่มีพันธะอะไรทั้งนั้น (คิน)”
ละอองฟองที่ยังพูดไม่ทันจบประโยคก็หยุดชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา ๆ “ทำไมพี่ถึงเห็นแก่ตัวจังเลยคะ”
“ฉันก็เป็นของฉันแบบนี้แหละ”
คินหันกลับมาแล้วยิ้มมุมปากอย่างไม่สะทกสะท้าน พร้อมเดินสาวเท้าตรงไปยังลิฟต์
ซึ่งละอองฝนที่มองอยู่ก็รีบวิ่งตามเขามายังหน้าลิฟต์ติด ๆ “พี่คิน~!”
“หยุดพูดได้แล้วน่า” เขาตัดบทเสียงเข้ม แต่ในน้ำเสียงนั้นยังแฝงความห่วงใยอยู่
“แต่ว่าถ้าพี่ฝนจับได้”
“ฉันจะจัดการเอง ฉันจะไม่ทำให้เธอเดือดร้อนเด็ดขาด”
พอประตูลิฟต์เปิดออก ชายหนุ่มรีบยื่นมือออกมาจับมือเธอไว้แน่น ก่อนจะดึงให้เดินเข้ามาในลิฟต์ด้วยกัน
ละอองฟองก็ไม่ขัดขืน ยอมเดินตามอย่างว่าง่าย เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นและมั่นใจจากสัมผัสนั้น แม้ใจจะยังมีความลังเล แต่สายตาของเขาที่ส่งมาเป็นเสมือนคำสัญญาที่ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น
“ขอบคุณมากนะคะ”
“เธอขอบคุณฉันมาหลายรอบแล้ว” คินพูดพลางมองเธอนิ่ง ๆ
“หนูคิดถึงพี่มากเลย”
ละอองฟองพูดก่อนจะขยับเข้าไปโอบกอดชายหนุ่มไว้แน่น ราวกับกลัวว่าเขาจะหายไปจากอ้อมแขน ซึ่งอีกฝ่ายก็ยืนนิ่งให้เธอกอดโดยไม่ได้ผลักไส
“ในนี้มีกล้องนะ ไม่กลัวหรือไง” เขาเอ่ยเตือนเสียงเรียบ
“หนูรู้ว่าพี่คินไม่ยอมให้มันหลุดออกไปหรอก”
“มั่นใจอะไรขนาดนั้น ฉันอาจจะแกล้งโดยการให้คนไปปล่อยคลิปก็ได้”
“คิดถึงมากเลย”
เธอไม่ตอบคำถามเขา แต่กลับเอ่ยย้ำความรู้สึกของตัวเองแทน เพราะตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา เธอไม่ได้กอดเขาเลยสักครั้ง เธอโหยหาอ้อมกอดอบอุ่นนี้อย่างที่สุด
“.....” คินเงียบ ไม่พูดอะไรออกมาเลย เอาแต่ก้มมองคนที่กอดตัวเองอยู่
“ทำไมไม่มาหาหนูเลยคะ แถมเวลาเจอกันก็รีบหันหน้าหนี หมางเมินกันมาก” เธอพูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจ
“ก็เธอบอกว่าไม่อยากอยู่ในความสัมพันธ์แบบที่เราเป็นกัน ฉันก็คิดว่าเธอไม่อยากเจอฉันแล้ว ฉันก็เลยไม่ให้เธอเจอไง เธอจะได้พอใจ”
“หนูขอโทษ หนูแค่น้อยใจ”
“.....” เขายังเงียบ
“หนูรู้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์อะไรทั้งนั้น แต่มันก็อดคิดน้อยใจไม่ได้ หนูขอโทษค่ะ”
“พอแล้ว ไม่ต้องขอโทษแล้ว ไปกัน”
เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก คินก็จูงมือเธอออกไปตรงห้องพัก เขาหยิบคีย์การ์ดที่อยู่ในมือเสียบเปิดประตูอย่างเคยชิน แล้วเดินเข้าไปก่อนจะเลื่อนปิดม่านหน้าต่างให้สนิท ก่อนจะกลับมาหาละอองฟองที่นั่งนิ่งอยู่บนโซฟาหน้าโทรทัศน์
“ยังกลัวอยู่ไหม” เขาถามเสียงเรียบ
“มะ...ไม่ได้กลัวละ...”
เปรี้ยง!
แต่หญิงสาวยังพูดไม่จบประโยค เสียงฟ้าผ่าก็ดังสนั่นจนเธอที่นั่งอยู่สะดุ้ง
คินที่มองอยู่ก็ก้าวเข้าไปกอดคนตัวเล็กเอาไว้แน่น มือใหญ่ลูบหลังเธอเบา ๆ ราวกับจะปลอบประโลม
“ไม่ต้องกลัว ฉันอยู่นี่ อยู่กับเธอ” คินเอ่ยเสียงทุ้ม พลางกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น
“วันนี้พี่คินจะอยู่กับหนูไหมคะ” ละอองฟองเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“เอ่อ...คือ” คินชะงักเล็กน้อย แววตาเขามีแววลังเล เพราะช่วงค่ำนี้เขามีนัดกินข้าวกับละอองฝน พี่สาวของคนที่เขากอดอยู่
“ไม่ว่างเหรอคะ”
“อืม ฉันมีนัดกินข้าวกับพี่สาวเธอ”
เพียงแค่ได้ยินคำตอบนั้น หัวใจของละอองฟองก็สั่นระรัว แต่เธอก็ยังพยายามฝืนยิ้ม พยักหน้ารับทั้งที่ในอกมันเจ็บร้าว
“ไปเถอะค่ะ หนูอยู่คนเดียวได้”
“.....” คินมองสีหน้าเธอแล้วเอ่ยเบา ๆ ออกไป “ฉันจะรีบไปรีบมานะ”
“ไม่ต้องรีบหรอก หนูอยู่ได้”
“อยู่ได้แล้วเมื่อกี้ใครมันร้องลั่นห้อง” เขาหรี่ตามองอย่างจับผิด
“นะ...หนูแค่ตกใจ”
เธอตอบอู้อี้ในลำคอ ก่อนจะขยับตัวมานั่งเกยตักเขาแทน แขนเรียวเล็กโอบรอบเอวเขาแล้วซุกหน้าลงที่อกอย่างต้องการความอบอุ่น
คินถอนหายใจออกมาเบา ๆ ยอมปล่อยให้เธอซบอยู่อย่างนั้น มือใหญ่ลูบศีรษะเธอช้า ๆ ราวกับกำลังกล่อมให้หัวใจของเธอสงบลง ทั้งที่ตัวเขาเองก็รู้ดีว่าคืนนี้เขาอาจจะกลับมาช้ากว่าที่พูดไว้
หลังจากหญิงสาวปลดปล่อยคราบคาวรักออกมา จนถึงกับหอบหายใจถี่ คินก็พลันปาดลิ้นโลมเลียไปทั่วกลีบดอกไม้ เพื่อกลืนกินน้ำหวานทั้งหมดของเธอแน่นอนว่าในจังหวะนั้น ร่างกายของเธอก็พลันสั่นกระตุกอีกครั้งคล้ายคนจวนจะเสร็จสม ทั้งเสียวซ่าน ทรมานและรู้สึกสุขสมอารมณ์ไปพร้อมกัน“อึก...อื้อ พี่คิน พอแล้ว นะ...หนูเสร็จแล้ว อือ...”เธอเอ่ยเสียงสั่นพลางพยายามดันใบหน้าของชายหนุ่มอีกห่างจากตัวเอง เพราะแค่ถูกเขาสัมผัสเพียงเล็กน้อย เธอก็เสียวซ่านจนใจแทบจะขาดเสียให้ได้ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอจะถูกเขากินในห้องครัวแทนข้าวแบบนี้“หนูเสร็จแล้ว แต่พี่ยังไม่เสร็จนี่” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาตอบเสียงเรียบ ๆ แบบไม่อายปาก“พะ...พี่ยังไม่เสร็จแล้วจะให้หนูทำยังไงเล่า”ละอองฟองเอ่ยตอบทั้งที่หน้าแดงก่ำ ไม่กล้าสบตากับอีกฝ่าย แถมยังเริ่มรู้สึกเขินอายขึ้นมานิด ๆ จนต้องยกมือขึ้นปิดหน้าอก พลางหุบขาเข้าหากันอีกครั้งทว่าคินกลับเร็วกว่า เขาคว้าวงแขนเรียวทั้งสองข้างเอาไว้ ก่อนจะซุกหน้าเข้าหาเต้าอวบที่ชูช่อเต่งตึงล่อใจอยู่ตรงหน้า พลางอ้าปากงับด้วยท่าทางหิวโหย“อ๊ะ! อะไรกัน พี่คิน อื้ออ กินไปรอบหนึ่งแล้วนี่นา อ๊า”ละอองฟองแกล้งโวยวายเบา
คินเดินเข้ามาในบ้านด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม อารมณ์ดีตั้งแต่ยังไม่ก้าวพ้นประตู เพราะเพียงแค่คิดว่าภรรยาสาวกำลังลงมือทำอาหารรอเขาอยู่ ความเหนื่อยล้าจากการทำงานทั้งวันก็พลันสลายไปในพริบตาโดยทันทีที่เสียงประตูบ้านปิดลง ภาพที่ปรากฏตรงหน้าก็ทำเอาหัวใจของเขาเต้นแรงกว่าเดิม เพราะตอนนี้ภรรยาสาวกำลังยืนอยู่หน้าเตาในครัว ร่างบอบบางสวมผ้ากันเปื้อนพิมพ์ลายน่ารัก ผมยาวถูกรวบขึ้นลวก ๆ ให้พ้นใบหน้า เผยลำคอระหงขาวนวล ขณะที่มือเล็กกำลังขยับปรุงอาหารอย่างคล่องแคล่วเธอกำลังฮัมเพลงเบา ๆ ไปตามจังหวะดนตรีที่เปิดคลออยู่ เสียงหวานนั้นกลมกล่อมพอ ๆ กับกลิ่นหอมจากหม้อแกงที่ลอยอบอวลไปทั่วห้องครัวคินหยุดยืนมองอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่งโดยไม่เอ่ยอะไร แววตาคมเต็มไปด้วยความละมุน ราวกับต้องมนตร์สะกด เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าความสุขของตัวเองจะเรียบง่ายเพียงเท่านี้ การได้กลับบ้านมาเจอผู้หญิงคนนี้ที่ยืนรออยู่ในครัวริมฝีปากหยักยกยิ้มกว้างขึ้นอีกนิด ก่อนที่เขาจะเดินย่องเข้าไปข้างหลังเธออย่างเงียบเชียบ พลางยกแขนกว้างโอบเอวบางจากด้านหลังแนบแน่น ก้มหน้าซุกลงที่ไหล่ขาวพร้อมสูดกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเธออย่างเต็มปอด“หอมทั้งกับข้าว หอมทั้ง
“คุณหนู”ทันทีที่ร่างบางก้าวลงจากรถ เหล่าแม่บ้านต่างก็รีบวิ่งกรูเข้ามาหาด้วยสีหน้าดีใจที่ได้เห็นเจ้านายสาวกลับมา หญิงสาวเห็นดังนั้นก็รีบยกมือไหว้อย่างนอบน้อม“สวัสดีค่ะ ช่วยเอาของหลังรถเข้าไปในบ้านให้หน่อยนะคะ วันนี้หนูแวะซื้อของมาเยอะเลย” เธอกล่าวเสียงอ่อนหวาน ก่อนจะยิ้มบาง “มีขนมครกด้วยนะ เอาไปแบ่งกันกินได้เลยค่ะ”“ขอบคุณค่ะคุณหนู” เสียงแม่บ้านตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง ต่างช่วยกันขนของเข้าไปอย่างขะมักเขม้น“แล้วนี่คุณพ่อกับคุณแม่อยู่ไหนเหรอคะ” เธอหันไปถามแม่นมที่คอยเดินตามไม่ห่าง“คุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายกำลังนั่งดื่มชาที่หลังบ้านค่ะ”“อ๋อ งั้นหนูไปหาคุณพ่อคุณแม่ก่อนนะคะ แม่นมไปนั่งพัก กินขนมกับพี่ ๆ เขาได้เลย”“ได้ค่ะคุณหนู” แม่นมพยักหน้า ยิ้มอย่างเอ็นดู ก่อนจะถอยออกไปหญิงสาวเดินตรงไปยังสวนด้านหลังบ้านอย่างคุ้นเคย กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกมะลิที่ปลูกเรียงรายตามทางเดินโชยมาตามสายลมอ่อน ๆ จนทำให้เธอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวพอมาถึงหลังบ้าน ก็พบว่าคุณพ่อกับคุณแม่กำลังนั่งจิบชากันอยู่ที่ศาลากลางสวน บรรยากาศร่มรื่นจนชวนให้รู้สึกอบอุ่นใจ“คุณพ่อ คุณแม่ สวัสดีค่ะ” เธอรีบยกมือไหว้ด้วยความนอบน้อมทันทีที่
“สวัสดีค่ะคุณพ่อคุณแม่”ทันทีที่รถจอดสนิท ละอองฟองก็รีบเปิดประตูลงจากรถ ก่อนจะเดินจูงมือสามีหนุ่มตรงเข้าไปในตัวบ้านด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความคิดถึงคนบ้านหลังนี้เมื่อก้าวเข้ามาด้านในแล้ว เธอก็พบกับคุณพ่อคุณแม่ของคินที่กำลังนั่งเล่นอยู่กับหลานชายตัวน้อยวัยสองขวบ ลูกชายคนเล็กของคิมน้องชายฝาแฝดของสามี ซึ่งทันทีที่ทั้งสองท่านเห็นเธอเดินเข้ามา ก็ยิ้มกว้างพลางกวักมือเรียก ละอองฟองจึงรีบเดินเข้าไปกอดท่านทั้งคู่ด้วยความรักและผูกพัน“คิดถึงจังเลยลูก ตอนพี่คินโทรมาบอกว่าหนูมาหาที่บริษัท แม่ก็ตกใจนะ เพราะเมื่อวานยังคุยกันอยู่ ไม่เห็นบอกอะไรเลย”“ถ้าบอกก่อน งั้นก็ไม่เซอร์ไพรส์สิคะ” ละอองฟองยิ้มสดใส ก่อนจะหันไปโบกมือทักหลานชายตัวน้อยที่นั่งเล่นอยู่ “ตัวเล็กน่ารักจังเลยค่ะแม่”“จริงจ้ะ น่ารักมากเลย”ละอองฟองมองเด็กน้อยด้วยสายตาอบอุ่น ก่อนจะหันกลับมาถาม “แล้วพ่อแม่ของหลานไปไหนกันคะ”“พ่อแม่เขาพาเจ้าแฝดไปซื้อชุดนักเรียนน่ะลูก เปลี่ยนชั้นเรียนแล้ว ชุดมันคับก็เลยต้องไปซื้อใหม่”“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง”ละอองฟองพยักหน้าเข้าใจ คุณแม่ก็ไม่รอช้า จูงมือเธอไปนั่งลงที่โซฟาตัวว่าง โดยมีพี่คินนั่งลงเคียงข้างไม่ห่าง
ห้าปีต่อมา...“ถ้าทำมาแล้วได้แค่นี้ ทีหลังก็ลาออกไปซะ ฉันจะได้หาคนใหม่มาทำแทน” คินตวาดเสียงเข้ม พลางโยนเอกสารในมือลงกระแทกโต๊ะอย่างแรง เสียงกระดาษกระจายไปทั่วห้องประชุมจนพนักงานหลายคนสะดุ้งเฮือก หน้าซีดเผือด ต่างก้มหน้างุดไม่กล้าแม้แต่จะสบตา“วันนี้ประชุมแค่นี้ สัปดาห์หน้าหวังว่าจะไม่เป็นแบบนี้อีก ไม่อย่างนั้น เตรียมหางานใหม่ยกทีมได้เลย”น้ำเสียงเย็นเยียบของเขากระแทกลงกลางใจคนฟัง ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นเดินออกจากห้องประชุมด้วยสีหน้าตึงเครียด ขณะที่บรรยากาศหนักอึ้งยังคงคลุ้งอยู่อย่างนั้น“ท่านรองจะรับกาแฟอีกไหมครับ ผมจะได้ไปจัดการให้” ศักดนัย เลขาฯ คู่ใจที่เดินตามหลังเอ่ยขึ้นอย่างเกรงใจ“ไม่ต้อง เอางานค้างทั้งหมดเข้ามา ฉันจะเคลียร์ให้เสร็จเอง”คินถอนหายใจแรงราวกับระบายความหงุดหงิด ก่อนจะเปิดประตูห้องทำงานเข้าไป แต่พอเข้ามาด้านใน กลับมีบางสิ่งทำให้เขาชะงัก กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของน้ำหอมที่เขาคุ้นเคย กลิ่นที่ละอองฟองชอบใช้เสมอ มันอบอวลจนหัวใจเขาเผลอสั่นไหว“นี่กูคิดถึงเมียจนเพี้ยนไปแล้วเหรอเนี่ย”เขาพึมพำกับตัวเองพลางทิ้งตัวลงบนเก้าอี้หนัง ยื่นมือไปหยิบเอกสารตรงหน้าขึ้นมาพลิกดูพอให้จิตใจได้จดจ่อก
หลายวันต่อมา...“วันนี้หนูแต่งตัวเป็นยังไง สวยไหมคะ” เสียงหวานเอ่ยถามพร้อมกับหันไปทำตาแป๋วมองคนข้าง ๆ“สวย” คินตอบสั้น ๆ แต่สายตาคมยังคงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าเธอไม่วางตา “แต่ว่าฉันว่าแก้มมันแดงไปหน่อยนะ”ละอองฟองรีบยกมือขึ้นจับแก้มตัวเองทันที “ไม่แดงหรอก แบบนี้แหละ เทรนกำลังมา” น้ำเสียงของเธอเจือความมั่นใจปนขี้เล่นเล็ก ๆคินส่ายหน้าเบา ๆ แต่รอยยิ้มมุมปากกลับปรากฏขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ “ตามใจ” เขาพูดช้า ๆ ราวกับจะยอมแพ้ให้กับความดื้อรั้นของคนตัวเล็ก “วันนี้วันสุดท้ายแล้ว ตั้งใจสอบให้ดี ถ้าเทอมนี้เกรดออกมาสวย อยากได้อะไรก็จะซื้อให้”น้ำเสียงทุ้มต่ำที่ดังอยู่ในรถทำให้บรรยากาศอบอุ่นขึ้นทันที แม้จะเป็นประโยคธรรมดา แต่ละอองฟองกลับยิ้มกว้างเหมือนเด็กที่ได้ยินสัญญาจากผู้ใหญ่ใจดี“จริงเหรอคะ พูดแล้วห้ามคืนคำนะ” เธอเงยหน้าขึ้นมามองทันที “อืม” เขาพยักหน้ารับสั้น ๆ “งั้นหนูอยากได้รถใหม่ เอาแบบแพง ๆ เลยนะ” เธอพูดพลางยิ้มกวน ความจริงไม่ได้อยากได้สักหน่อย แค่อยากลองเชิงเขาดูว่าถ้าเป็นของชิ้นใหญ่ขนาดนี้ เขาจะยังตามใจเธออยู่หรือเปล่าคินเหลือบตาไปมองนิดหนึ่ง ก่อนจะตอบเรียบ ๆ แต่แฝงความมั่นคงในน้ำเสียง“


![My Engineerรักร้ายนายจอมโหด [ต้าร์พินอิน]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)




