LOGINเป็นทั้งความซวยและความโชคดีในเวลาเดียวกัน นักศึกษาคณะเภสัชถูกนำตัวเข้าห้องผ่าตัดอีกครั้ง ทว่าหนนี้หาใช่การดัดแปลงพันธุกรรมเพื่อรักษาโรคไม่ หากแต่เป็นการเปลี่ยนแปลงอวัยวะบางส่วนเพื่อช่วยมวลมนุษยชาติ มือทั้งสองข้างของเขากำลังจะกลายเป็นโรบอท
.
“ผมจะช่วยคนอื่นได้ใช่ไหม?”
เปรมพูดระหว่างที่ครอบแก้วยาสลบยื่นลงมาประกบเข้าที่ปาก ดวงตาค่อย ๆ สะลึมสะลือลง ระหว่างนั้นเตียงก็ถูกเข็นเข้าสู่ห้องเชือด เปรมมองเห็นหน้าหมอไม่เป็นหน้าหมอ มันกลายเป็นหน้าของพ่อแม่แล้วก็คนรักอย่างมิวท์แล้วก็แพรวแทน
.
หลายวันผ่านไป
.
เวลาแห่งการรอคอยของเหล่าคณะแพทย์ก็มาถึง การผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะดำเนินไปได้ด้วยดี ร่างของเปรมถูกเข็นออกมาพร้อมกับแคปซูลทรงวงรีขนาดเท่ามนุษย์ ตัวของเขาถูกจับยัดไว้ในนั้น มีสายยางระโยงระยางเสียบติดตรงนั้นตรงนี้เต็มไปหมด เปรมหลับตาพริ้มราวกับเด็ก ๆ ด้วยความสัตย์จริงว่าเขาดูแข็งแรงขึ้นมาก แม้จะเห็นเพียงใบหน้ากับนัยน์ตาผ่านช่องกระจกเล็ก ๆ บนแคปซูล แต่แค่นั้นก็มากพอแล้วที่จะทำให้พวกคุณหมอตื่นเต้นกระวนกระวาย
.
“จะได้ผลไหมครับหมอ การผ่าตัดฝังเครื่องจักรลงอวัยวะของพวกเรา?”
หมอหนุ่มคนหนึ่งหันไปถามอาจารย์แพทย์เจ้าของโปรเจค
.
“ต้องได้สิ เราไม่ได้ทำทั้งตัวเราดัดแปลงใช้แค่บริเวณฝ่ามือ คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอก”
อาจารย์ตอบ
.
“ผมก็ว่างั้นครับ งั้นเรากดปุ่มเปิดแคปซูลกันเลยนะครับ”
.
“อืม..เอาเลย!”
.
แววตาเต็มไปด้วยความหวังเช่นเดียวกับกลุ่มหมอในทีมคนอื่น ๆ พวกเขายืนล้อมกันเป็นวงเต็มห้องผ่าตัด โดยมีแคปซูลของเปรมนอนนิ่งอยู่ตรงกลาง หากการทดลองนี้สำเร็จไวรัสหน้าไหนก็ไม่ต้องกลัวอีกแล้ว เปรมจะกลายเป็นคนกึ่งเครื่องจักรเขาจะเป็นกองกำลังหลักที่จะออกไปปกป้องทุกคนบนโลกใบนี้
.
“ครืดดดดด!”
.
“ฟู่!!!!!”
.
ประตูแคปซูลสไลด์เปิดลงด้านล่าง ระหว่างนั้นฐานที่ค้ำยันก็ชันตั้งขึ้นด้วยชุดขับดันไฮดรอลิก สายน้ำเกลือสายไฟระโยงระยางทยอยหลุดออกทีละเส้นสองเส้น ควันโขมงโฉงเฉง สอดคล้องกันกับร่างเปลือยไซต์หนาของเปรม ที่ก้าวเท้าออกมาราวกับกัปตันอเมริกาจากหนัง The avenger
.
“สวัสดีครับทุกคน ผมดูเป็นไงบ้าง~?”
.
เสียงหล่อเป็นห่อหมกยังไม่สู้เสียงปรบมือของพวกคุณหมอที่กระโดดโลดเต้นดีใจ การทดลองนี้สำเร็จอย่างสง่างาม พวกเขาสามารถทำให้ร่างทดลองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แค่พริบตาแรกที่ตื่นขึ้นมาเปรมก็มีปฏิกิริยา มีความทรงจำ และมีการตั้งคำถามเพื่อแสวงหาคำตอบ นี่คือคนเหนือมนุษย์เป็นกึ่งคนกึ่งโรบอทที่ทรงประสิทธิผล
.
“เพอร์เฟคมาก ล้ำค่าที่สุด”
หมอเจ้าของโปรเจคพูด ในใจแกคิดไปไกลแสนไกลว่าตั้งแต่ทำงานมาเคสนี้น่าจะเป็นเคสที่ภูมิใจที่สุดแล้วในชีวิต
.
สวมเสื้อผ้าปิดบังความโป๊กันอยู่ครู่ใหญ่ และจังหวะนั้นเองที่ทำให้เปรมรู้สึกประหลาดใจ เขาชำเลืองสายตาไปทางหมอพลันโพล่งคำถามออกไปโดยไม่มีความเกรงใจใด ๆ ทั้งสิ้น
.
“เยี่ยมจริง ๆ เหรอครับหมอ?”
“ใช่เหรอครับ? ทำไมผมถึงรู้สึกขัด ๆ ตรงฝ่ามือจัง”
.
พูดไปพลางพลิกฝ่ามือตัวเองขึ้นมาดูด้วย รอจนกระทั่งกลุ่มควันเริ่มจาง ทัศนียภาพในห้องกลับมาเป็นปกติ
.
“เนี่ยะ!?”
“ไอ้จุกกลม ๆ เท่าฝาโค้กนี่คืออะไรกัน?”
.
เงียบกริบไร้สัญญาณตอบรับจากคณะแพทย์ท่านใด ยกเว้นอาจารย์หมอเจ้าของโปรเจคที่จู่ ๆ ก็พาตัวเปรมออกไปนอกโรงพยาบาล เจตนาของแกคือการพาตัวทดลองออกไปทดสอบสมมติฐานสุดท้าย แล้วก็ต้องการพาเปรมออกไปให้เห็นกับตาตัวเอง ว่าระหว่างที่เขารับการผ่าตัดอยู่นั้น หลายวันที่ไร้ซึ่งเลือดของเขาในการช่วยเหลือผู้คน วิกฤตการณ์ข้างนอกเลวร้ายบรรลัยขนาดไหน
.
ร้างเป็นป่าช้าคือนิยามที่เปรมเห็น ต้นไม้ใบหญ้าแห้งสนิทแม้แต่ลมที่พัดเข้ามาโดนร่างก็ยังแสบซ่านไปทั้งตัว ตึกระฟ้าเต็มไปด้วยรอยร้าวแตกระแหง ซีเมนต์ที่ว่าแกร่งร่วงหลุดเป็นขุยปลิวเป็นเศษขี้กาก Covid-19 กัดกินทุกสรรพสิ่ง มันฆ่าไม่เลือกไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ยิ่งเป็นช่วงที่เปรมถูกนำตัวไปผ่าตัดด้วยแล้ว อานุภาพการทำลายล้างของมันยิ่งมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ
.
“ฟับ!”
เสียงกดสวิทซ์เรียกใช้งานหน้ากากครอบแก้ว และเพียงเสี้ยวอึดใจเดียววัสดุโปร่งใสก็ตวัดออกมาคลุมทั้งศีรษะของคุณหมอเอาไว้
.
“เราจะไปกันแค่สองคนนะคุณเปรม เพราะชุด PPE ของหมอท่านอื่นป้องกันเชื้อไวรัสสุดเข้มข้นจากภายนอกไม่ได้ หวังว่าคุณคงเข้าใจ”
.
“เข้าใจอะไรครับหมอ? นี่หมอคิดจะทำอะไรกันแน่? ให้ผมรู้อะไรบ้างสิ!"
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโมโห เปรมดูหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด
.
ตอกย้ำว่าการทดสอบขั้นที่หนึ่งสัมฤทธิ์ผล หมอใหญ่จัดแจงจดบันทึกว่าร่างทดลองสามารถต้านทานต่อเชื้อไวรัสได้โดยไม่ต้องใส่หน้ากากครอบแก้ว เชื้อไวรัสที่อยู่ในอากาศไม่มีผลต่อระบบทางเดินหายใจของโรบอทเปรม
.
แล้วแกก็พูดเสริมขึ้นอีกว่า
.
“ดี! ถือว่าคุณพร้อมแล้ว”
“งั้นผมจะพาคุณไปพิสูจน์สมมติฐานสุดท้าย ไปเช็คกันหน่อยว่าจุกบนฝ่ามือคุณใช้งานได้รึเปล่า?”
.
“อ่ะ.. เอิ่ม.. ครับ เชิญนำไปเลย~!”
.
เดินย่ำเท้าฝ่าดงความเสี่ยงกันต่ออีกร่วม 5 นาที หมอผู้ใส่หน้ากากครอบแก้วจาก AP ก็หยุดฝีเท้าลงตรงบริเวณทางเท้าแห่งหนึ่ง ติดกันเป็นถนนคอนกรีตที่ไม่มีรถวิ่ง สองข้างทางมีแต่รถผุ ๆ พัง ๆ เพราะแม้แต่สนิมก็ยังขึ้นไม่ทันความเร็วของไวรัสมรณะ ทว่าครานั้นก็ยังอุตส่าห์มีลุงแก่ ๆ ที่เป็นขอทานคนหนึ่งนั่งพิงถังขยะอยู่
.
แกคือสิ่งหายากในเมืองหลวงแห่งนี้ เพราะผู้คนล้วนต้องซ่อนตัวหลบอยู่แต่ในบ้าน คุณหมอก็เลยกระซิบกับเปรมขึ้นมาเบา ๆ
.
“ขอทานคนนี้ติดเชื้อ Covid-19 ร้อยเปอร์เซ็นต์ เขาตายแน่ถ้าคุณไม่ช่วย”
.
“บ้า?!”
“แล้วจะให้ผมช่วยยังไง ก็สกัดเลือดผมไปใช้อีกซะสิ”
.
“ไม่ ๆ ๆ ไม่ต้องทำแบบนั้นแล้วคุณเปรม ก็จุกก๊อกบนฝ่ามือคุณนั่นไงเปิดมันออกซะสิผมจะได้บันทึกข้อมูลเก็บไว้ ถ้าการทดสอบสกิลการรักษาหนนี้ผ่านล่ะก็ พรุ่งนี้คุณออกทำงานภาคสนามกับทีมผมได้เลย”
คุณหมอยังคงกระซิบพลางกระเถิบตัวไปยืนด้านหลัง แล้วก็ควักโทรศัพท์ออกมาบันทึกภาพเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นเอาไว้
.
เช่นกันกับเปรม เขาสูดลมหายใจที่มีแต่เชื้อไวรัสร้ายเข้าไปจนเต็มปอด ก่อนจะหงายฝ่ามือขึ้นพลางหมุนหมุดเกรียวออกจากรูสกรู โดยที่แววตายังคงจับจ้องเป้าหมายที่เป็นขอทานเอาไว้
.
“พลาดก็แค่ตาย แต่ถ้าเราไม่ทำแกก็ตายอยู่ดี งั้นขอผมลองหน่อยนะลุงอโหสิกรรมให้ผมด้วยนะ”
.
.
“แกร๊กกก!”
จากด้านหนึ่งสู่อีกด้านหนึ่ง สาวน้อยวัยมัธยมเร่งฝ่ามือกระโจนโผทะยานไปสู่ตำแหน่งที่คิดว่าได้ยินเสียง พลางผงะเข้ากับรอยโหว่บนตัวเครื่องที่เกิดจากบานประตูที่กระเด็นออกไป แสงสว่างจากหลอดไฟภายในส่องลอดออกมาเป็นลำ นาทีนั้นแม้แต่แท่งไฟในมือเธอก็คงจะไม่จำเป็นซะแล้ว."มีการต่อสู้กันงั้นเหรอ?"เจนิสกระซิบ.พูดกับใครก็ไม่รู้ในเมื่อก็อยู่ตัวคนเดียว เหมือนเธอกำลังประเมินสถานการณ์ ข้างหน้ามีศพ ข้างหลังประตูพัง แล้วเมื่อกี้ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงกรี๊ด! นั่นอาจจะเป็นเสียงของมิวท์ก็ได้ บางทีเธออาจจะอยู่ในสภาวะวิกฤต."หรือมีผู้ติดเชื้อบุกเข้ามาทำร้ายพี่มิวท์?!".คราวนี้ไม่คิดแล้วแต่เหวี่ยงร่างกายเข้ามาในเครื่องเลย! โดยไม่สนหน้าอินท์หน้าพรหม เจนิสใช้แรงเหวี่ยงจากกระเป๋าเป้ตวัดทีเดียวร่างบางของเธอก็ม้วนหน้าเข้ามาด้านในราวกับนักยิมนาสติก เสี่ยงตายไม่ว่ามารยาทไม่ต้องทุกสิ่งที่ทำล้วนมาจากความต้องการจากหัวใจ ทว่าสิ่งที่เธอเห็นก็คือ...มิวท์ในเวอร์ชั่นผู้ติดเชื้อ.. ที่ยืนจังก้าเล็บยาวเฟื้อยลากมากับพื้น.!.หากย้อนกลับไปอ่านสักหน่อย จะเห็นเลยว่าบุคลิกของมิว์นั้นใกล้เคียงกับเปรมตอนที่รอเย่อร์เธอในห้องกระจกมาก
ปลายนิ้วแห้งผากราวกับกระดาษทราย กว่าจะสัมผัสได้ถึงหยดน้ำหยาดแรกกลีบผกาก็ช้ำมากจนออกสีแดงแกมระเรื่อ มิวท์เสียวแค่ในใจแต่ร่างกายกลับไม่เป็นดังที่หวัง เธอเอาแผ่นหลังพิงกับกำแพงห้องโดยสารพลางหลุบสายตามองเรียวขาของตัวเองทั้งสองข้างที่ตั้งชันขึ้นและกำลังสั่นระริก เธอเร่งเกินไปเธอฝืนทั้งที่ไม่ได้เงี่ยนจริง.ตอกย้ำการโกหกตัวเองด้วยการดีดกางเกงผ้ายืดที่พันอยู่กับข้อเท้าออก เธออยากเห็นความงุ้มเกร็งของปลายตีน เผื่อจะทำให้มีอารมณ์กระสันขึ้นมาต้านทานการกลายร่างได้บ้าง."ซีดดดด...จิ๋มแห้งจัดเลยอ่ะโถ่เอ๊ย!".แท่งน้ิวเปลี่ยนจากสองเป็นสาม ชี้ , กลาง , นาง เรียงตัวเป็นขยุมพลันยัดเข้าไปแบบสุดเหยียดก็แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ผลหล่อนจึงได้รับแต่ความเจ็บปวดกลับมา แรงเสียดสีที่ขาดน้ำหล่อลื่นเป็นอะไรที่ทำร้ายช่องคลอดมาก มิวท์เหมือนกำลังทำทารุณกรรมกับตัวเอง และที่สำคัญที่สุดก็คือ ณ ตอนนี้และเดี๋ยวนี้ มุมมองสายตาของเธอก็เริ่มเห็นเป็นฉากสีแดงและเส้นเลือดยึกยือถักทอขึ้นมาแล้ว!."เรากำลังจะกลายร่าง.. อ่ะ.. อ๊ากกก..ก..ก..ก , อั๊ก..ก..ก!""เด็กผู้หญิงคนนั้นกับแท่งไฟส่องสว่างในมือ ทำให้เชื้อโควิดในตัวเรากำลังจะออกมา..
ภาพในฝันประเดประดังเข้ามาในหัว ภาพของการสังวาชกันในน้ำ ภาพของมิวท์สาวสวยหุ่นงามที่ถูหน้าอกบี้บดกับแผ่นหลังของเธอ สิ่งเหล่านี้ทำเอาเจนิสถึงกับมือไม้สั่น แม้ว่าเธอจะมองไม่เห็นโลโก้ของบริษัท AP ตรงท้ายเครื่องบิน และจากจุดที่ยืนอยู่ก็สูงและมืดเกินกว่าจะพิสูจน์อัตลักษณ์ได้ แต่ด้วยสัญชาตญาณที่ติดตัวมายังไงเธอก็ว่าใช่ นี่ต้องเป็นเฮลิคอปเตอร์ที่ตั้งใจออกมาตามหาแน่นอน."เอาไว้ก่อนเรื่องช่วยเหลือผู้คน เสียใจด้วยนะคะน้า แต่ก็ต้องขอบคุณด้วยเหมือนกันนี่ถ้าไม่ใช่ลูกผัวน้าหนูคงไม่ได้เจอกับเครื่องบิน"."ปั๊ก! , ฟู่..!!!"จากอุปกรณ์จุดไฟในมือกลายเป็นแท่งไฟส่องสว่าง มันถูกกระทุ้งด้วยหัวเข่าและเปล่งแสงสว่างโพลงออกมาทำให้ทั้งสองฟากของซอกเขากลายเป็นสีแดง."รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลอง" ถ้าจะต้องมีซาวด์ดนตรีประกอบเพลง "เล่นของสูง" ของวงบิ๊กแอสถือว่าเหมาะมาก เพราะเจนิสรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นเสี่ยงแค่ไหน แท่งความร้อนเรืองแสงที่ถืออยู่จะกลายเป็นตัวล่อชั้นดีให้บรรดาผู้ติดเชื้อพุ่งเป้ามาที่เธอ แต่ก็นะ! จะให้ทำไงได้ล่ะในเมื่อหัวใจเรียกร้อง.เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณคิดหาเหตุผลให้กับความรัก เมื่อนั้นก็แปลว่
"ไป! ,ไป! ,ไป!, เดินหน้าเร่งฝีเท้าหน่อยทุกคน! ใกล้จะค่ำแล้วอย่าแตกแถวดูแลกันและกันด้วย!"เสียงหัวหน้าหน่วยหันมากำชับ."อีกราว 500 เมตรก็จะถึงประตูหน้าวิลเลจแล้ว ในนั้นทุกคนจะปลอดภัยสบายใจได้"แกผินหน้ากลับมามองตรงพลางกระชับปืนคู่ใจแนบวงแขน แบกเป้ประทับบ่าเดินจ้ำอ้าวรวดเร็วปานจรวด.ที่ด้านหลังมีสมาชิกกลุ่มเพิ่มจำนวนขึ้นกว่า 20 ชีวิต มีทั้งเด็กและผู้หญิงแล้วก็คนแก่ ทุกคนต่างอยู่ในสภาพเหนื่อยล้าอิดโรย โดยมีสมาชิกหน่วยลาดตระเวนกระจายตัวล้อมรอบพวกเขาไว้อีกชั้นหนึ่ง พวกเขาต่างปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขันแล้วก็โชคดีมากที่ไม่มีใครเสียชีวิตจากการปะทะกันเมื่อตอนบ่ายเลย.แต่ถ้าเป็นช่วงเวลาโพล้เพล้ใกล้ค่ำแบบนี้ก็ไม่แน่ ไม่มีใครอยากเสี่ยงกับกลุ่มผู้ติดเชื้อเวอร์ชั่นกลางคืนหรอก หัวหน้าหน่วยก็เลยพยายามย้ำนักย้ำหนาว่าให้ทุกคนเร่งฝีเท้าต้องไปให้ถึงวิลเลจก่อนตะวันตกดินให้ได้ ภาษากายดูจริงจังน่าเกรงขาม แต่ใครเล่าจะรู้ว่าในใจลึก ๆ นั้นหัวหน้าเป็นห่วงเจนิสมากขนาดไหน."โถ่.. เจนิสเอ๊ย! อุตส่าห์บอกแล้วว่าให้รักษาแนวด้านหลังเอาไว้ ทำไมถึงทำอะไรโดยพลการนะ""นี่เธอคิดจริง ๆ เหรอว่าตัวเองเก่งพอจะอาสาไปช่วยเหล
ทิ้งกระเป๋าเป้ปลดสัมภาระที่คิดว่าจะเป็นภาระในภายภาคหน้าไว้ที่พื้น เจนิสทำตามอย่างว่าง่าย เธอไม่มีแม้แต่อารมณ์ขี้งอนหรืองี่เง่าใด ๆ ด้วยเพราะรู้สถานการณ์ดี สิ่งที่ติดตัวมาจึงมีแค่ปืนหน้าไม้กับซองใส่ลูกดอก ในทิศหกนาฬิกาด้านตรงกันข้าม ร่างบางเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยการคลานศอก เธอกดตัวให้ต่ำกระดืบ ๆ คืบคลานไปอยู่ในแนวด้านหลังสุดตามที่รุ่นพี่ออกคำสั่ง."เข้าใจแล้วค่ะ.. ไว้ใจหนูได้เลยหนูจะระวังหลังให้เอง ถ้าเจอผู้รอดชีวิตบอกให้ตามมาทางนี้ได้เลยนะคะ!"แม้แต่ซุ่มเสียงก็ดุดันจริงจังขึ้น ตอกย้ำว่าเธอไม่ได้มาเล่น ๆ.ด้วยความสัตย์จริงว่าการบู้นั้นไม่ใช่สไตล์ของเจนิสมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เธอเป็นนักรบสายซับพอร์ตไม่ใช่ตัวแทงค์ และถ้านับสถิติการฆ่าผู้ติดเชื้อแล้วล่ะก็ในแคลนก็คงจะเป็นเธอนี่แหละที่ตัวเลขอยู่ในลำดับต่ำสุด กลับกันแต่ถ้าหากเป็นการหนีเพื่อเอาตัวรอดแล้วล่ะก็ เจนิสก็จะพลิกสถิติกลับขึ้นมาเป็นผู้นำแห่งวงการได้เลย.จากคลานเริ่มค่อย ๆ ลุกขึ้นกระหยิ่มย่อง มือเรียวเกี่ยวตะขอขึ้นสายหน้าไม้เตรียมไว้ พลันกระโดดยิงหนึ่งดอกออกไปเมื่อเห็นเป้าหมายชัดเจน."ฟิ้ววว!"."ปั๊ก!"."หัว" เหมือนกันแต่เป็น "หัวเ
"ซึบ!!!".เสียบ ๆ ๆ ! กระซวก ๆ ๆ ! ย้ำแผลเดิมอีกราวสิบกว่าครั้ง ทำให้ร่างเปลือยของชายที่แน่นิ่งอยู่แล้วกลายเป็นเหมือนหมูที่อยู่บนเขียง กงเล็บของมิวท์ถูกดึงขึ้นมา ความแหลมเฟี้ยวดังกล่าวถูกฉาบเคลือบไว้ด้วยลิ่มเลือดที่หยดติ๋ง ๆ ไหลซึมลงมาถึงข้อศอก.แววตาแดงก่ำไม่เห็นแม้แต่ลูกตาดำ ขนาดฟันเขี้ยวด้านหน้ายังยื่นแหลมงุ้มออกมาพ้นมุมปาก ไม่มีทางเลยที่มิวท์ตัวจริงจะต่อต้านตัวตนใหม่เฉกเช่นปีศาจนี้ได้ มันบังคับร่างกายเธอให้เคลื่อนไหวไปไหนต่อไหนตามอำเภอใจ และครั้งนี้ก็คงจะหิวถึงได้เริ่มคอนโทรลมืออีกข้างของมิวท์ให้ควักลงไปในปากแผล พลันดึงเอาเครื่องในอวัยวะสด ๆ ออกมาจากลำตัว."ควัก!!!""หมึบบบ! , หมับบบ!!!".ไม่พูดพร่ำทำเพลงให้เสียเวลา ไม่ถามดินถามฟ้า พอได้ออกมาก็จับยัดเข้าปากแล้วก็เคี้ยวตุ้ย ๆ แทบจะทันที ซึ่งนั่นก็คือภาพสุดท้ายที่มิวท์หวนคิดถึง....ตัดภาพกลับมา ณ เหตุการณ์ปัจจุบันในเฮลิคอปเตอร์.หญิงสาวลุคคุณหนูกลับมาสวมใส่เสื้อผ้าแล้ว เธออยู่ในอาภรณ์มิดชิด ปากยังคงเคี้ยวเอื้องเอาเศษอวัยวะของพี่พลขับลงคอไปเป็นอาหาร.. อึก.. อึก...ตอกย้ำว่ามิวท์รู้ทุกอย่างว่าที่ผ่านมานั้นคืออะไร เธอถูกเชื้อโค







