LOGINฝุ่นตลบอบอวลควันโขมงโฉงเฉง ต่างคนต่างกรี๊ดกันไม่ออกด้วยเพราะถูกแพรวใช้ฝ่ามือปิดปากเอาไว้ 4 ชีวิตรอดตายแบบเฉียดฉิว รอจนกระทั่งทุกอย่างเริ่มเจือจาง และแสงจันทร์เริ่มจะสาดแสงทุกสายตาถึงเริ่มขยับเขยื้อน แผ่นปูนผืนใหญ่ยังคงตั้งตระหง่านเป็นกำบังให้ ส่วนพวกสาว ๆ เองก็ต่างพยายามจะชะเง้อออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง หลังการถล่มของตึกหลังใหญ่ผ่านพ้น
.
“เบา ๆ นะระวังด้วย..”
แพรวกระซิบเตือน
.
ความอยากรู้อยากเห็นนี่แหละที่เป็นทั้งคุณและโทษ มันทำให้เกิดความกระตือรือร้นก็จริง แต่ก็ทำให้เกิดช่องโหว่ได้ในคราวเดียวกัน เพราะสิ่งที่ทุกคนเห็นก็คือขบวนรถพยาบาลที่วิ่งเข้ามากันอย่างขวักไขว่ สัญลักษณ์ AP บนตัวถังเด่นหลา มีการขนคนเจ็บรายทางออกมา แถมยังมีบางส่วนที่วิ่งตรงเข้าไปยังจุดปะทะเพื่อไปเอาคนเจ็บที่ตกค้างออกมาจากสมรภูมิ ไฟไซเรนหมุนติ้ววนวกคล้ายกันกับความสับสนแน่นอก ว่าจะเอายังไงต่อไปดี
.
พิจารณาแล้วคงเป็นไปไม่ได้หากแพรวจะยังดันทุรังทำตามแผนเดิม ถึงจะไม่รู้ว่าพวก AP กำลังสู้อยู่กับอะไร แต่ยังไงซะถ้าเข้าไปในสภาพแบบนี้ก็เท่ากับไปตายเปล่า แคลนของแพรวจะเอาอะไรไปสู้ ลำพังอาวุธที่มีอยู่ในมือก็ทำได้แค่ป้องกันตัวเองกับหลบซ่อนอำพรางจากคนร้ายเท่านั้น
.
“ต้องมีแผนสองแล้วล่ะค่ะพี่แพรว.. หนูไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งถ้าพี่จะพาเราไปเสี่ยงอีก!”
เจนิสเสนอ
.
ส่วนแพรวก็พยักหน้าเห็นด้วย เปล่าประโยชน์ที่เธอจะรั้น เพราะต่างก็เห็นอยู่ทนโท่ว่าอะไรเป็นอะไร แสงจันทร์ลาลับเข้ากลีบเมฆไปอีกครา บนน่านฟ้าหาใช่หมู่มวลดารา หากแต่เป็นประกายไฟจากกระสุนปืนนานาชนิดที่โหมกระหน่ำใส่กันไม่ยั้งไม่มีใครยอมใคร เสียงระเบ็งเซ็งแซ่จากยุทโธปกรณ์กึกก้องขึ้นมาอีกรอบ พื้นดินรายรอบกลับมาสั่นสนั่นหวั่นไหว และบางที่พี่สาวหัวหน้าแคลนก็ควรจะรีบตัดสินใจแบบด่วน ๆ
.
“โอเค ๆ เจอแล้ว ๆ ยังมีอีกที่หนึ่ง! ติดเป้ซะแล้วตามฉันมา!”
.
“ค่ะ! , รับทราบค่ะ!”
.
เด็ก ๆ พร้อมแพรวเองก็พร้อมเช่นกัน เธอพับแผนที่ยัดใส่กระเป๋าหลังพลันทดทุกอย่างไว้ในใจ เพราะจากนี้ไปจะไม่ใช่การเดินแบบแช่มช้า หากแต่เป็นการวิ่งแบบไม่คิดชีวิต! ระเบิดตูมตามอยู่ด้านหลังจะมาใจเย็นอยู่ก็คงจะดูไม่ใช่เรื่อง!
.
มืดก็มืดมองก็ไม่เห็น “แสงจันทร์กระจ่างส่องนำทางสัญจร” คงเป็นเพียงแค่เนื้อเพลงเก่าของอาจารย์ไข่ มาลีฮวนน่า เนื่องจากดูตามหน้างานแล้วสิ่งที่นำทั้งสี่คนมูฟท์ออนไปข้างหน้าได้ เห็นจะมีเพียงสัญชาตญาณกับการจำทางไว้ในหัวของแพรวทั้งสิ้น เธอวิ่งหน้าตั้งแบบไม่คิดอะไรมาก กระโดดตรงนั้นปีนป่ายตรงนี้ ราวกับต้องการจะเก๊กฟอร์มชดเชยความเสียหน้าที่ประเมินจุดพักผิดไปเมื่อครู่
.
จนในที่สุดก็มาถึงซะที โอ้แม่เจ้าโว๊ย! มันช่างสง่างามราวกับหอคอยคู่จากหนัง "The lord of the ring” นี่คือเสาตอม่อทางด่วนที่ตั้งฉากสูงจากพื้นมากกว่า 10 เมตร มองไปข้างบนจะมีถนนคอนกรีตทอดตัวยาวไปหลายกิโล เดาว่าเหนือขึ้นไปคงไม่มีรถวิ่งอยู่แล้ว เพราะลำพังตอม่อที่ค้ำยันอยู่ก็ยังถูกคลุมทับด้วยเถาวัลย์แล้วก็ไม้เลี้อย มันร้างอย่างกับอะไรดี ดีที่เป็นตอนกลางคืนไม่งั้นเราคงได้เห็นร่องรอยแตกร้าวจากการถูกเชื้อโควิดกัดกินเป็นแน่แท้
.
“ถึงแล้วใช่ไหมคะพี่แพรว? แฮ่ก! , แฮ่ก! , แฮ่ก! , แฮ่ก!”
เจนิสถามพลางก้มหน้าลงหอบเหนื่อย
.
“ใช่! คืนนี้เราจะพักกันที่นี่แหละ ห่างออกมาราว 1 กม. คงพ้นจากแนวกระสุนปืนครกแล้ว แต่ก็!”
.
“อย่าเพิ่งพูดอะไรพี่! พวกเราขอพักก่อน เราหิวมากแล้วเราก็เหนื่อยจนลิ้นห้อยแล้วด้วย.. เฮ้อ.. อ.. อ.. , แฮ่ก ๆ , แฮ่ก ๆ”
จริงอย่างที่เจนิสบอกเพราะแม้แต่เพื่อนอีกสองคน ก็ยังนั่งจุ่มก้นลงกับพื้นดินเฉกเช่นเธอ พวกเธอหันหลังพิงกันเหยียดขาออกสุดเหยียด พลางควักน้ำกับอาหารกระป๋องขึ้นมาดื่มกิน โดยไม่สนเลยว่าเมื่อกี้แพรวกำลังจะพูดอะไร
.
ทว่าแพรวเองก็เข้าใจเธอเห็นสภาพเด็ก ๆ แล้วก็อดสงสารไม่ได้ ก็เลยกุลีกุจอจัดแจงสถานที่ใต้ทางด่วนตรงนี้ให้เป็นที่พักชั่วคราวด้วยตนเอง แพรวทำการลากเอาถังน้ำมันเก่าที่เห็นอยู่แถวนั้นมาตั้งไว้ตรงกลาง โยนเศษไม้ท่อนไม้ลงไปเผา พร้อมกับเติมเชื้อเพลิงให้ไฟรุกโชติช่วงเพิ่มเติมความอบอุ่น ต่อด้วยการเคลียร์พื้นดินที่เหยียบอยู่ให้ราบเรียบ แล้วก็เอาผ้าใบปูนอนในกระเป๋าเป้ออกมาปู เต็นท์ไม่ต้องกางเพราะข้างบนมีทางด่วนคอนกรีตเป็นหลังคาให้อยู่แล้ว และตรงจุดนี้เองที่ทำให้บริเวณตรงนี้มีลักษณะเป็นเนินดินโล่ง ๆ ไม่มีหญ้าสักเส้น พืชพรรณรกชัฏก็ไม่มี เนื่องจากไม่มีแสงแดดแล้วก็น้ำฝนหยดลงมาถึงเนื้อดินตรงนี้เลย
.
ทันทีที่ทำเสร็จแพรวก็เลยถือโอกาสได้นั่งพักบ้าง เธอหย่อนก้นลงขัดสมาธิบนผืนผ้าใบ พร้อมกับเล่าสิ่งที่ตัวเองต้องการจะบอกแก่พวกเด็ก ๆ ไปเมื่อกี้ ออกมาในใจ
.
“มาได้ไกลขนาดนี้ก็นับว่าดีอยู่หรอก แต่สิ่งที่เราเป็นกังวลก็คือใต้ทางด่วนตรงนี้มันเปิดโล่งเกินไป! มันเป็นทำเลพักที่ใครจะมาตั้งก็ได้ จึงง่ายมากหากจะโดนซุ่มทำร้ายจากแคลนอื่น ๆ โคตรเสี่ยงแต่เรากับพวกเด็ก ๆ ก็ไม่เหลือแรงจะไปได้ไกลกว่านี้แล้ว มีแต่ต้องผลัดกันเฝ้ายามจะนอนพักทั้งหมดไม่ได้ ต้องมีคนเป็นยามกันเหนียวไว้คนหนึ่ง!”
.
แพรวบ่นอุบอยู่คนเดียว สวนทางกับเจนิสและเพื่อนที่เริ่มหัวเราะหัวใคร่ออกมาหลังจากได้ทานอาหารอร่อย ๆ
.
ด้วยความสัตย์จริงว่าภาพเหล่านี้เมื่อมองผ่านกองไฟเข้าไป หัวใจแพรวกลับเป็นหวิว ๆ แปลก ๆ สีส้มอ่อนละมุนที่ฉาบผิวคนสามคนกับมิตรภาพของผองเพื่อน ช่างชวนให้แพรวหวนคิดถึงวันคืนเก่า ๆ ซะเหลือเกิน เป็นปีมาแล้วสินะที่เธอต้องโดดเดี่ยวตามลำพัง พีตายไปแล้ว.. ส่วนมิวท์ก็ไปอยู่กับเปรม.. ไม่รู้ล่ะ! ถึงจุดนี้จู่ ๆ น้ำตามันก็ไหลออกมาเอง หน้ากากกันแก๊สที่สวมอยู่ถึงกับขึ้นฝ้า มันเบลอและแสบพร่าคล้ายกับอดีตแห่งความผูกพัน ที่นับวันก็มีแต่จะลางเลือนและมองไม่เห็นกันอีกต่อไป
.
“ปั๊ก! , ปั๊ก! , ปั๊ก!”
กำกำปั้นทุบใส่หัวตัวเองเพื่อเรียกสติ เสียงดังกล่าวดังพอที่จะทำให้พวกเจนิสหันมามองทางแพรวในเสี้ยวอึดใจ ตามติดมาด้วยการยักย้ายถิ่นฐานมายังผ้าใบปูนอนที่หัวหน้าแคลนคนสวยจัดเตรียมไว้ให้
.
“ขอบคุณนะคะพี่แพรว..”
เจนิสยิ้มสวยเช่นเดียวกับเพื่อน แต่ก็ได้แค่แป๊บเดียวเพราะสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างเข้า!
.
“เอ๋.. พี่เป็นไรรึเปล่าคะทำไมท่าทางแปลก ๆ นี่พี่ร้องไห้ด้วยเหรอพี่แพรว?!”
.
“ปะ.. เปล่า! จะบ้าเหรอไม่ใช่สักหน่อย! เด็ก ๆ อย่างเธอทานข้าวแล้วก็รีบนอนซะจะได้เก็บแรงไว้ออกเดินทางแต่เช้า ตรงนี้ประเดี่ยวพี่จะเฝ้ายามให้เอง”
แพรวหลบตาสุดฤทธิ์เธอถึงกับลุกขึ้นยืนพรวดพราด ตั้งใจจะเดินหนีไปซะจะได้จบ ๆ
.
ซึ่งก็หนีไม่พ้นการจับพิรุธของเจนิสอยู่ดี เพื่อนสองคนน่ะทิ้งตัวลงไปแล้วเลยเหลือแต่เธอกับแพรวสองต่อสอง เธอลุกขึ้นยืนตามแพรวโดยพลัน ก่อนจะปรี่ตัวเข้ามาใกล้ ๆ เล่นเอาแพรวถึงกับเสียอาการไปเลย
.
“อะไรของเธอยัยหนู! อย่ามาจ้องหน้าฉันแบบนี้นะ?!”
.
“เปล่าซะหน่อย! หนูแค่จะบอกว่าหนูเองก็คิดเหมือนพี่ไม่มีผิด เนินดินตรงนี้มันไม่ปลอดภัย มันต้องมีคนเฝ้ายามไม่งั้นอาจจะโดนดักปล้นแบบครั้งก่อนได้ นี่พี่คิดว่าหนูจะทำอะไร.. จะตกใจเพื่อ?”
เจนิสผายมือออกกว้างทำท่าสงสัย เธอก็ยังเป็นเธอลักษณะนิสัยยังกวนตีนเหมือนกับแพรวเป๊ะ
.
“เปล่าไม่มีอะไร.. งั้นเธอต้องการจะสื่ออะไรล่ะเจนิส?”
.
มือเรียวของน้องถูกวางลงบนไหล่ เธอบีบไหล่แพรวเบา ๆ เป็นนัยว่าให้วางใจได้เพราะเธอจะเป็นคนเฝ้ายามในค่ำคืนนี้เอง
.
"ปกติหนูนอนเกือบเช้าอ่ะพี่ ตอนอยู่ที่โรงเรียนประจำหนูก็รับงาน Part time เป็นยามตามหอพักด้วย เพราะฉะนั้นเรื่องนี้หนูเซียนมาก พี่ต้องนำทางพวกเราอีกไกล พี่นั่นแหละยิ่งควรจะต้องพัก เสียพี่ไปแคลนเราเท่ากับล่มสลายเลยนะคะ"
หน้าท้องแบนราบบดนาบเข้าหากัน มิวท์อยู่บนเจนิสอยู่ล่างการสั่นเทิ้มดังกล่าวค่อย ๆ ทุเลาลง แล้วก็ดูเหมือนว่าเรี่ยวแรงที่ใช้ห้ามหั่นจะเอาชีวิตของมิวท์ก็เริ่มอ่อนแรงลงเช่นกัน เธอค่อย ๆ กลับคืนสู่สภาวะของคนปกติ จุกหัวถันชูชันเกร็งเสียว และแม้แต่กงเล็บที่ยื่นยาวออกมาก็เริ่มหดสั้นกลับลงไป."พี่มิวท์คะ.."เจนิสกระแอมถามทั้งที่ใบหน้ายังคงบี้อยู่กับร่องนมของมิวท์ เธอผินหน้าเอียงเปลี่ยนมุมไปมาพอให้มิวท์ตื่นตัว สลับกับการแลบลิ้นเลียที่ฐานเต้าด้านล่างพลันลากวนโค้งไปตามความอวบอูมของบัวตูมคู่."แผล็บ.. บ.. บ.. บ!"."อ่าาา..า..า..า..า.."รุ่นใหญ่เผลอหลุดครางออกมาแผ่วเบา ลมหายใจร้อนผ่าวพ่นพรูออกมาทดแทนไอแห่งความเหม็นสาปจากเชื้อโควิด ตามติดมาด้วยผิวพรรณที่กลับมามีน้ำมีนวลเป็นสีชมพูบานสะพรั่งอีกครั้ง นี่คือผิวแบบลูกคุณหนูขนานแท้ มันคงผ่านการทำสปาร์มาจากหลายสถาบัน จึงไร้ซึ่งรอยด่างรอยดำ กระจ่างใสราวกับหลุดออกมาจากกระปุกครีม ซึ่งแน่นอนว่าเป็นอะไรที่โคตรจะน่าฟัด!.ทว่าพอต้องมานอนคร่อมร่างของเด็กมัธยมอยู่แบบนี้ จิตใต้สำนึกของมิวท์ก็ต้องทำหน้าที่ของมันผ่านการปกป้องตัวเอง ทำให้สาวเจ้าต้องตัวกระตุกอีกหน พลั
จากด้านหนึ่งสู่อีกด้านหนึ่ง สาวน้อยวัยมัธยมเร่งฝ่ามือกระโจนโผทะยานไปสู่ตำแหน่งที่คิดว่าได้ยินเสียง พลางผงะเข้ากับรอยโหว่บนตัวเครื่องที่เกิดจากบานประตูที่กระเด็นออกไป แสงสว่างจากหลอดไฟภายในส่องลอดออกมาเป็นลำ นาทีนั้นแม้แต่แท่งไฟในมือเธอก็คงจะไม่จำเป็นซะแล้ว."มีการต่อสู้กันงั้นเหรอ?"เจนิสกระซิบ.พูดกับใครก็ไม่รู้ในเมื่อก็อยู่ตัวคนเดียว เหมือนเธอกำลังประเมินสถานการณ์ ข้างหน้ามีศพ ข้างหลังประตูพัง แล้วเมื่อกี้ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงกรี๊ด! นั่นอาจจะเป็นเสียงของมิวท์ก็ได้ บางทีเธออาจจะอยู่ในสภาวะวิกฤต."หรือมีผู้ติดเชื้อบุกเข้ามาทำร้ายพี่มิวท์?!".คราวนี้ไม่คิดแล้วแต่เหวี่ยงร่างกายเข้ามาในเครื่องเลย! โดยไม่สนหน้าอินท์หน้าพรหม เจนิสใช้แรงเหวี่ยงจากกระเป๋าเป้ตวัดทีเดียวร่างบางของเธอก็ม้วนหน้าเข้ามาด้านในราวกับนักยิมนาสติก เสี่ยงตายไม่ว่ามารยาทไม่ต้องทุกสิ่งที่ทำล้วนมาจากความต้องการจากหัวใจ ทว่าสิ่งที่เธอเห็นก็คือ...มิวท์ในเวอร์ชั่นผู้ติดเชื้อ.. ที่ยืนจังก้าเล็บยาวเฟื้อยลากมากับพื้น.!.หากย้อนกลับไปอ่านสักหน่อย จะเห็นเลยว่าบุคลิกของมิว์นั้นใกล้เคียงกับเปรมตอนที่รอเย่อร์เธอในห้องกระจกมาก
ปลายนิ้วแห้งผากราวกับกระดาษทราย กว่าจะสัมผัสได้ถึงหยดน้ำหยาดแรกกลีบผกาก็ช้ำมากจนออกสีแดงแกมระเรื่อ มิวท์เสียวแค่ในใจแต่ร่างกายกลับไม่เป็นดังที่หวัง เธอเอาแผ่นหลังพิงกับกำแพงห้องโดยสารพลางหลุบสายตามองเรียวขาของตัวเองทั้งสองข้างที่ตั้งชันขึ้นและกำลังสั่นระริก เธอเร่งเกินไปเธอฝืนทั้งที่ไม่ได้เงี่ยนจริง.ตอกย้ำการโกหกตัวเองด้วยการดีดกางเกงผ้ายืดที่พันอยู่กับข้อเท้าออก เธออยากเห็นความงุ้มเกร็งของปลายตีน เผื่อจะทำให้มีอารมณ์กระสันขึ้นมาต้านทานการกลายร่างได้บ้าง."ซีดดดด...จิ๋มแห้งจัดเลยอ่ะโถ่เอ๊ย!".แท่งน้ิวเปลี่ยนจากสองเป็นสาม ชี้ , กลาง , นาง เรียงตัวเป็นขยุมพลันยัดเข้าไปแบบสุดเหยียดก็แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ผลหล่อนจึงได้รับแต่ความเจ็บปวดกลับมา แรงเสียดสีที่ขาดน้ำหล่อลื่นเป็นอะไรที่ทำร้ายช่องคลอดมาก มิวท์เหมือนกำลังทำทารุณกรรมกับตัวเอง และที่สำคัญที่สุดก็คือ ณ ตอนนี้และเดี๋ยวนี้ มุมมองสายตาของเธอก็เริ่มเห็นเป็นฉากสีแดงและเส้นเลือดยึกยือถักทอขึ้นมาแล้ว!."เรากำลังจะกลายร่าง.. อ่ะ.. อ๊ากกก..ก..ก..ก , อั๊ก..ก..ก!""เด็กผู้หญิงคนนั้นกับแท่งไฟส่องสว่างในมือ ทำให้เชื้อโควิดในตัวเรากำลังจะออกมา..
ภาพในฝันประเดประดังเข้ามาในหัว ภาพของการสังวาชกันในน้ำ ภาพของมิวท์สาวสวยหุ่นงามที่ถูหน้าอกบี้บดกับแผ่นหลังของเธอ สิ่งเหล่านี้ทำเอาเจนิสถึงกับมือไม้สั่น แม้ว่าเธอจะมองไม่เห็นโลโก้ของบริษัท AP ตรงท้ายเครื่องบิน และจากจุดที่ยืนอยู่ก็สูงและมืดเกินกว่าจะพิสูจน์อัตลักษณ์ได้ แต่ด้วยสัญชาตญาณที่ติดตัวมายังไงเธอก็ว่าใช่ นี่ต้องเป็นเฮลิคอปเตอร์ที่ตั้งใจออกมาตามหาแน่นอน."เอาไว้ก่อนเรื่องช่วยเหลือผู้คน เสียใจด้วยนะคะน้า แต่ก็ต้องขอบคุณด้วยเหมือนกันนี่ถ้าไม่ใช่ลูกผัวน้าหนูคงไม่ได้เจอกับเครื่องบิน"."ปั๊ก! , ฟู่..!!!"จากอุปกรณ์จุดไฟในมือกลายเป็นแท่งไฟส่องสว่าง มันถูกกระทุ้งด้วยหัวเข่าและเปล่งแสงสว่างโพลงออกมาทำให้ทั้งสองฟากของซอกเขากลายเป็นสีแดง."รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลอง" ถ้าจะต้องมีซาวด์ดนตรีประกอบเพลง "เล่นของสูง" ของวงบิ๊กแอสถือว่าเหมาะมาก เพราะเจนิสรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นเสี่ยงแค่ไหน แท่งความร้อนเรืองแสงที่ถืออยู่จะกลายเป็นตัวล่อชั้นดีให้บรรดาผู้ติดเชื้อพุ่งเป้ามาที่เธอ แต่ก็นะ! จะให้ทำไงได้ล่ะในเมื่อหัวใจเรียกร้อง.เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณคิดหาเหตุผลให้กับความรัก เมื่อนั้นก็แปลว่
"ไป! ,ไป! ,ไป!, เดินหน้าเร่งฝีเท้าหน่อยทุกคน! ใกล้จะค่ำแล้วอย่าแตกแถวดูแลกันและกันด้วย!"เสียงหัวหน้าหน่วยหันมากำชับ."อีกราว 500 เมตรก็จะถึงประตูหน้าวิลเลจแล้ว ในนั้นทุกคนจะปลอดภัยสบายใจได้"แกผินหน้ากลับมามองตรงพลางกระชับปืนคู่ใจแนบวงแขน แบกเป้ประทับบ่าเดินจ้ำอ้าวรวดเร็วปานจรวด.ที่ด้านหลังมีสมาชิกกลุ่มเพิ่มจำนวนขึ้นกว่า 20 ชีวิต มีทั้งเด็กและผู้หญิงแล้วก็คนแก่ ทุกคนต่างอยู่ในสภาพเหนื่อยล้าอิดโรย โดยมีสมาชิกหน่วยลาดตระเวนกระจายตัวล้อมรอบพวกเขาไว้อีกชั้นหนึ่ง พวกเขาต่างปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขันแล้วก็โชคดีมากที่ไม่มีใครเสียชีวิตจากการปะทะกันเมื่อตอนบ่ายเลย.แต่ถ้าเป็นช่วงเวลาโพล้เพล้ใกล้ค่ำแบบนี้ก็ไม่แน่ ไม่มีใครอยากเสี่ยงกับกลุ่มผู้ติดเชื้อเวอร์ชั่นกลางคืนหรอก หัวหน้าหน่วยก็เลยพยายามย้ำนักย้ำหนาว่าให้ทุกคนเร่งฝีเท้าต้องไปให้ถึงวิลเลจก่อนตะวันตกดินให้ได้ ภาษากายดูจริงจังน่าเกรงขาม แต่ใครเล่าจะรู้ว่าในใจลึก ๆ นั้นหัวหน้าเป็นห่วงเจนิสมากขนาดไหน."โถ่.. เจนิสเอ๊ย! อุตส่าห์บอกแล้วว่าให้รักษาแนวด้านหลังเอาไว้ ทำไมถึงทำอะไรโดยพลการนะ""นี่เธอคิดจริง ๆ เหรอว่าตัวเองเก่งพอจะอาสาไปช่วยเหล
ทิ้งกระเป๋าเป้ปลดสัมภาระที่คิดว่าจะเป็นภาระในภายภาคหน้าไว้ที่พื้น เจนิสทำตามอย่างว่าง่าย เธอไม่มีแม้แต่อารมณ์ขี้งอนหรืองี่เง่าใด ๆ ด้วยเพราะรู้สถานการณ์ดี สิ่งที่ติดตัวมาจึงมีแค่ปืนหน้าไม้กับซองใส่ลูกดอก ในทิศหกนาฬิกาด้านตรงกันข้าม ร่างบางเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยการคลานศอก เธอกดตัวให้ต่ำกระดืบ ๆ คืบคลานไปอยู่ในแนวด้านหลังสุดตามที่รุ่นพี่ออกคำสั่ง."เข้าใจแล้วค่ะ.. ไว้ใจหนูได้เลยหนูจะระวังหลังให้เอง ถ้าเจอผู้รอดชีวิตบอกให้ตามมาทางนี้ได้เลยนะคะ!"แม้แต่ซุ่มเสียงก็ดุดันจริงจังขึ้น ตอกย้ำว่าเธอไม่ได้มาเล่น ๆ.ด้วยความสัตย์จริงว่าการบู้นั้นไม่ใช่สไตล์ของเจนิสมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เธอเป็นนักรบสายซับพอร์ตไม่ใช่ตัวแทงค์ และถ้านับสถิติการฆ่าผู้ติดเชื้อแล้วล่ะก็ในแคลนก็คงจะเป็นเธอนี่แหละที่ตัวเลขอยู่ในลำดับต่ำสุด กลับกันแต่ถ้าหากเป็นการหนีเพื่อเอาตัวรอดแล้วล่ะก็ เจนิสก็จะพลิกสถิติกลับขึ้นมาเป็นผู้นำแห่งวงการได้เลย.จากคลานเริ่มค่อย ๆ ลุกขึ้นกระหยิ่มย่อง มือเรียวเกี่ยวตะขอขึ้นสายหน้าไม้เตรียมไว้ พลันกระโดดยิงหนึ่งดอกออกไปเมื่อเห็นเป้าหมายชัดเจน."ฟิ้ววว!"."ปั๊ก!"."หัว" เหมือนกันแต่เป็น "หัวเ