ฝุ่นตลบอบอวลควันโขมงโฉงเฉง ต่างคนต่างกรี๊ดกันไม่ออกด้วยเพราะถูกแพรวใช้ฝ่ามือปิดปากเอาไว้ 4 ชีวิตรอดตายแบบเฉียดฉิว รอจนกระทั่งทุกอย่างเริ่มเจือจาง และแสงจันทร์เริ่มจะสาดแสงทุกสายตาถึงเริ่มขยับเขยื้อน แผ่นปูนผืนใหญ่ยังคงตั้งตระหง่านเป็นกำบังให้ ส่วนพวกสาว ๆ เองก็ต่างพยายามจะชะเง้อออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง หลังการถล่มของตึกหลังใหญ่ผ่านพ้น
.
“เบา ๆ นะระวังด้วย..”
แพรวกระซิบเตือน
.
ความอยากรู้อยากเห็นนี่แหละที่เป็นทั้งคุณและโทษ มันทำให้เกิดความกระตือรือร้นก็จริง แต่ก็ทำให้เกิดช่องโหว่ได้ในคราวเดียวกัน เพราะสิ่งที่ทุกคนเห็นก็คือขบวนรถพยาบาลที่วิ่งเข้ามากันอย่างขวักไขว่ สัญลักษณ์ AP บนตัวถังเด่นหลา มีการขนคนเจ็บรายทางออกมา แถมยังมีบางส่วนที่วิ่งตรงเข้าไปยังจุดปะทะเพื่อไปเอาคนเจ็บที่ตกค้างออกมาจากสมรภูมิ ไฟไซเรนหมุนติ้ววนวกคล้ายกันกับความสับสนแน่นอก ว่าจะเอายังไงต่อไปดี
.
พิจารณาแล้วคงเป็นไปไม่ได้หากแพรวจะยังดันทุรังทำตามแผนเดิม ถึงจะไม่รู้ว่าพวก AP กำลังสู้อยู่กับอะไร แต่ยังไงซะถ้าเข้าไปในสภาพแบบนี้ก็เท่ากับไปตายเปล่า แคลนของแพรวจะเอาอะไรไปสู้ ลำพังอาวุธที่มีอยู่ในมือก็ทำได้แค่ป้องกันตัวเองกับหลบซ่อนอำพรางจากคนร้ายเท่านั้น
.
“ต้องมีแผนสองแล้วล่ะค่ะพี่แพรว.. หนูไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งถ้าพี่จะพาเราไปเสี่ยงอีก!”
เจนิสเสนอ
.
ส่วนแพรวก็พยักหน้าเห็นด้วย เปล่าประโยชน์ที่เธอจะรั้น เพราะต่างก็เห็นอยู่ทนโท่ว่าอะไรเป็นอะไร แสงจันทร์ลาลับเข้ากลีบเมฆไปอีกครา บนน่านฟ้าหาใช่หมู่มวลดารา หากแต่เป็นประกายไฟจากกระสุนปืนนานาชนิดที่โหมกระหน่ำใส่กันไม่ยั้งไม่มีใครยอมใคร เสียงระเบ็งเซ็งแซ่จากยุทโธปกรณ์กึกก้องขึ้นมาอีกรอบ พื้นดินรายรอบกลับมาสั่นสนั่นหวั่นไหว และบางที่พี่สาวหัวหน้าแคลนก็ควรจะรีบตัดสินใจแบบด่วน ๆ
.
“โอเค ๆ เจอแล้ว ๆ ยังมีอีกที่หนึ่ง! ติดเป้ซะแล้วตามฉันมา!”
.
“ค่ะ! , รับทราบค่ะ!”
.
เด็ก ๆ พร้อมแพรวเองก็พร้อมเช่นกัน เธอพับแผนที่ยัดใส่กระเป๋าหลังพลันทดทุกอย่างไว้ในใจ เพราะจากนี้ไปจะไม่ใช่การเดินแบบแช่มช้า หากแต่เป็นการวิ่งแบบไม่คิดชีวิต! ระเบิดตูมตามอยู่ด้านหลังจะมาใจเย็นอยู่ก็คงจะดูไม่ใช่เรื่อง!
.
มืดก็มืดมองก็ไม่เห็น “แสงจันทร์กระจ่างส่องนำทางสัญจร” คงเป็นเพียงแค่เนื้อเพลงเก่าของอาจารย์ไข่ มาลีฮวนน่า เนื่องจากดูตามหน้างานแล้วสิ่งที่นำทั้งสี่คนมูฟท์ออนไปข้างหน้าได้ เห็นจะมีเพียงสัญชาตญาณกับการจำทางไว้ในหัวของแพรวทั้งสิ้น เธอวิ่งหน้าตั้งแบบไม่คิดอะไรมาก กระโดดตรงนั้นปีนป่ายตรงนี้ ราวกับต้องการจะเก๊กฟอร์มชดเชยความเสียหน้าที่ประเมินจุดพักผิดไปเมื่อครู่
.
จนในที่สุดก็มาถึงซะที โอ้แม่เจ้าโว๊ย! มันช่างสง่างามราวกับหอคอยคู่จากหนัง "The lord of the ring” นี่คือเสาตอม่อทางด่วนที่ตั้งฉากสูงจากพื้นมากกว่า 10 เมตร มองไปข้างบนจะมีถนนคอนกรีตทอดตัวยาวไปหลายกิโล เดาว่าเหนือขึ้นไปคงไม่มีรถวิ่งอยู่แล้ว เพราะลำพังตอม่อที่ค้ำยันอยู่ก็ยังถูกคลุมทับด้วยเถาวัลย์แล้วก็ไม้เลี้อย มันร้างอย่างกับอะไรดี ดีที่เป็นตอนกลางคืนไม่งั้นเราคงได้เห็นร่องรอยแตกร้าวจากการถูกเชื้อโควิดกัดกินเป็นแน่แท้
.
“ถึงแล้วใช่ไหมคะพี่แพรว? แฮ่ก! , แฮ่ก! , แฮ่ก! , แฮ่ก!”
เจนิสถามพลางก้มหน้าลงหอบเหนื่อย
.
“ใช่! คืนนี้เราจะพักกันที่นี่แหละ ห่างออกมาราว 1 กม. คงพ้นจากแนวกระสุนปืนครกแล้ว แต่ก็!”
.
“อย่าเพิ่งพูดอะไรพี่! พวกเราขอพักก่อน เราหิวมากแล้วเราก็เหนื่อยจนลิ้นห้อยแล้วด้วย.. เฮ้อ.. อ.. อ.. , แฮ่ก ๆ , แฮ่ก ๆ”
จริงอย่างที่เจนิสบอกเพราะแม้แต่เพื่อนอีกสองคน ก็ยังนั่งจุ่มก้นลงกับพื้นดินเฉกเช่นเธอ พวกเธอหันหลังพิงกันเหยียดขาออกสุดเหยียด พลางควักน้ำกับอาหารกระป๋องขึ้นมาดื่มกิน โดยไม่สนเลยว่าเมื่อกี้แพรวกำลังจะพูดอะไร
.
ทว่าแพรวเองก็เข้าใจเธอเห็นสภาพเด็ก ๆ แล้วก็อดสงสารไม่ได้ ก็เลยกุลีกุจอจัดแจงสถานที่ใต้ทางด่วนตรงนี้ให้เป็นที่พักชั่วคราวด้วยตนเอง แพรวทำการลากเอาถังน้ำมันเก่าที่เห็นอยู่แถวนั้นมาตั้งไว้ตรงกลาง โยนเศษไม้ท่อนไม้ลงไปเผา พร้อมกับเติมเชื้อเพลิงให้ไฟรุกโชติช่วงเพิ่มเติมความอบอุ่น ต่อด้วยการเคลียร์พื้นดินที่เหยียบอยู่ให้ราบเรียบ แล้วก็เอาผ้าใบปูนอนในกระเป๋าเป้ออกมาปู เต็นท์ไม่ต้องกางเพราะข้างบนมีทางด่วนคอนกรีตเป็นหลังคาให้อยู่แล้ว และตรงจุดนี้เองที่ทำให้บริเวณตรงนี้มีลักษณะเป็นเนินดินโล่ง ๆ ไม่มีหญ้าสักเส้น พืชพรรณรกชัฏก็ไม่มี เนื่องจากไม่มีแสงแดดแล้วก็น้ำฝนหยดลงมาถึงเนื้อดินตรงนี้เลย
.
ทันทีที่ทำเสร็จแพรวก็เลยถือโอกาสได้นั่งพักบ้าง เธอหย่อนก้นลงขัดสมาธิบนผืนผ้าใบ พร้อมกับเล่าสิ่งที่ตัวเองต้องการจะบอกแก่พวกเด็ก ๆ ไปเมื่อกี้ ออกมาในใจ
.
“มาได้ไกลขนาดนี้ก็นับว่าดีอยู่หรอก แต่สิ่งที่เราเป็นกังวลก็คือใต้ทางด่วนตรงนี้มันเปิดโล่งเกินไป! มันเป็นทำเลพักที่ใครจะมาตั้งก็ได้ จึงง่ายมากหากจะโดนซุ่มทำร้ายจากแคลนอื่น ๆ โคตรเสี่ยงแต่เรากับพวกเด็ก ๆ ก็ไม่เหลือแรงจะไปได้ไกลกว่านี้แล้ว มีแต่ต้องผลัดกันเฝ้ายามจะนอนพักทั้งหมดไม่ได้ ต้องมีคนเป็นยามกันเหนียวไว้คนหนึ่ง!”
.
แพรวบ่นอุบอยู่คนเดียว สวนทางกับเจนิสและเพื่อนที่เริ่มหัวเราะหัวใคร่ออกมาหลังจากได้ทานอาหารอร่อย ๆ
.
ด้วยความสัตย์จริงว่าภาพเหล่านี้เมื่อมองผ่านกองไฟเข้าไป หัวใจแพรวกลับเป็นหวิว ๆ แปลก ๆ สีส้มอ่อนละมุนที่ฉาบผิวคนสามคนกับมิตรภาพของผองเพื่อน ช่างชวนให้แพรวหวนคิดถึงวันคืนเก่า ๆ ซะเหลือเกิน เป็นปีมาแล้วสินะที่เธอต้องโดดเดี่ยวตามลำพัง พีตายไปแล้ว.. ส่วนมิวท์ก็ไปอยู่กับเปรม.. ไม่รู้ล่ะ! ถึงจุดนี้จู่ ๆ น้ำตามันก็ไหลออกมาเอง หน้ากากกันแก๊สที่สวมอยู่ถึงกับขึ้นฝ้า มันเบลอและแสบพร่าคล้ายกับอดีตแห่งความผูกพัน ที่นับวันก็มีแต่จะลางเลือนและมองไม่เห็นกันอีกต่อไป
.
“ปั๊ก! , ปั๊ก! , ปั๊ก!”
กำกำปั้นทุบใส่หัวตัวเองเพื่อเรียกสติ เสียงดังกล่าวดังพอที่จะทำให้พวกเจนิสหันมามองทางแพรวในเสี้ยวอึดใจ ตามติดมาด้วยการยักย้ายถิ่นฐานมายังผ้าใบปูนอนที่หัวหน้าแคลนคนสวยจัดเตรียมไว้ให้
.
“ขอบคุณนะคะพี่แพรว..”
เจนิสยิ้มสวยเช่นเดียวกับเพื่อน แต่ก็ได้แค่แป๊บเดียวเพราะสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างเข้า!
.
“เอ๋.. พี่เป็นไรรึเปล่าคะทำไมท่าทางแปลก ๆ นี่พี่ร้องไห้ด้วยเหรอพี่แพรว?!”
.
“ปะ.. เปล่า! จะบ้าเหรอไม่ใช่สักหน่อย! เด็ก ๆ อย่างเธอทานข้าวแล้วก็รีบนอนซะจะได้เก็บแรงไว้ออกเดินทางแต่เช้า ตรงนี้ประเดี่ยวพี่จะเฝ้ายามให้เอง”
แพรวหลบตาสุดฤทธิ์เธอถึงกับลุกขึ้นยืนพรวดพราด ตั้งใจจะเดินหนีไปซะจะได้จบ ๆ
.
ซึ่งก็หนีไม่พ้นการจับพิรุธของเจนิสอยู่ดี เพื่อนสองคนน่ะทิ้งตัวลงไปแล้วเลยเหลือแต่เธอกับแพรวสองต่อสอง เธอลุกขึ้นยืนตามแพรวโดยพลัน ก่อนจะปรี่ตัวเข้ามาใกล้ ๆ เล่นเอาแพรวถึงกับเสียอาการไปเลย
.
“อะไรของเธอยัยหนู! อย่ามาจ้องหน้าฉันแบบนี้นะ?!”
.
“เปล่าซะหน่อย! หนูแค่จะบอกว่าหนูเองก็คิดเหมือนพี่ไม่มีผิด เนินดินตรงนี้มันไม่ปลอดภัย มันต้องมีคนเฝ้ายามไม่งั้นอาจจะโดนดักปล้นแบบครั้งก่อนได้ นี่พี่คิดว่าหนูจะทำอะไร.. จะตกใจเพื่อ?”
เจนิสผายมือออกกว้างทำท่าสงสัย เธอก็ยังเป็นเธอลักษณะนิสัยยังกวนตีนเหมือนกับแพรวเป๊ะ
.
“เปล่าไม่มีอะไร.. งั้นเธอต้องการจะสื่ออะไรล่ะเจนิส?”
.
มือเรียวของน้องถูกวางลงบนไหล่ เธอบีบไหล่แพรวเบา ๆ เป็นนัยว่าให้วางใจได้เพราะเธอจะเป็นคนเฝ้ายามในค่ำคืนนี้เอง
.
"ปกติหนูนอนเกือบเช้าอ่ะพี่ ตอนอยู่ที่โรงเรียนประจำหนูก็รับงาน Part time เป็นยามตามหอพักด้วย เพราะฉะนั้นเรื่องนี้หนูเซียนมาก พี่ต้องนำทางพวกเราอีกไกล พี่นั่นแหละยิ่งควรจะต้องพัก เสียพี่ไปแคลนเราเท่ากับล่มสลายเลยนะคะ"
เหลือเชื่อว่าจะได้ยินเสียงจิ้งหรีดแทนที่กระสุนปืน เจนิสส่งทุกคนเข้านอนและตอบแทนความไว้ใจจากแพรวด้วยการห่มผ้าให้กับพี่สาว แม้จะรู้ดีว่าในสถานการณ์เช่นนี้คงยากที่จะข่มตาหลับ แต่ชีวิตนั้นก็ต้องก้าวต่อไป แพรวอุตส่าห์นำทุกคนให้รอดมาถึงพื้นที่ใต้ทางด่วนตรงนี้ได้ แล้วมีหรือที่สายแข็งนักนอนเช้าอย่างเจนิสจะไม่ตอบแทนกลับไปบ้าง.เธอค่อย ๆ ย่องห่างออกมาจากจุดพัก สอดส่ายสายตาผ่านทะลุไปตามซอกหลืบต่าง ๆ ที่คิดว่าน่าสงสัย พลันตั้งคำถามกับตัวเองในใจว่าเสียงจิ้งหรีดนั้นมาจากไหน ถ้าเป็นเสียงปืนหรือเสียงคนฆ่ากันตายยังจะเป็นไปได้มากกว่า.“นั่นน่ะสิ! แปลกมากเลย? โควิดมันกินได้แม้กระทั่งผนังปูน แล้วกับสิ่งมีชีวิตเปลือกหุ้มอย่างจิ้งหรีดกลางคืนเนี่ยะนะ ไม่ใช่ล่ะ! เป็นไปไม่ได้!”“ถ้าเราไม่หูแว่วไปเอง เราควรจะตรวจสอบทุกจุดที่น่าสงสัยให้ละเอียดที่สุด”.กระชับหน้ากากครอบแก้วให้ติดแน่น ตัวเลขสถานะก๊าซลดลงเล็กน้อยเพราะความตื่นเต้น ส่วนในมือที่ถืออยู่ก็คือพลองไม้ขนาดยาวที่เป็นเหมือนอาวุธประจำกายของเธอ มันทั้งง่อนแง่นแล้วก็ดูบอบบางจนจินตนาการไม่ออกว่าถ้าเอาไปฟาดหัวใครเข้า Damage จะเข้าสักเท่าไหร่ แต่ครานั้นเจนิสก็
ฝุ่นตลบอบอวลควันโขมงโฉงเฉง ต่างคนต่างกรี๊ดกันไม่ออกด้วยเพราะถูกแพรวใช้ฝ่ามือปิดปากเอาไว้ 4 ชีวิตรอดตายแบบเฉียดฉิว รอจนกระทั่งทุกอย่างเริ่มเจือจาง และแสงจันทร์เริ่มจะสาดแสงทุกสายตาถึงเริ่มขยับเขยื้อน แผ่นปูนผืนใหญ่ยังคงตั้งตระหง่านเป็นกำบังให้ ส่วนพวกสาว ๆ เองก็ต่างพยายามจะชะเง้อออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง หลังการถล่มของตึกหลังใหญ่ผ่านพ้น.“เบา ๆ นะระวังด้วย..”แพรวกระซิบเตือน.ความอยากรู้อยากเห็นนี่แหละที่เป็นทั้งคุณและโทษ มันทำให้เกิดความกระตือรือร้นก็จริง แต่ก็ทำให้เกิดช่องโหว่ได้ในคราวเดียวกัน เพราะสิ่งที่ทุกคนเห็นก็คือขบวนรถพยาบาลที่วิ่งเข้ามากันอย่างขวักไขว่ สัญลักษณ์ AP บนตัวถังเด่นหลา มีการขนคนเจ็บรายทางออกมา แถมยังมีบางส่วนที่วิ่งตรงเข้าไปยังจุดปะทะเพื่อไปเอาคนเจ็บที่ตกค้างออกมาจากสมรภูมิ ไฟไซเรนหมุนติ้ววนวกคล้ายกันกับความสับสนแน่นอก ว่าจะเอายังไงต่อไปดี.พิจารณาแล้วคงเป็นไปไม่ได้หากแพรวจะยังดันทุรังทำตามแผนเดิม ถึงจะไม่รู้ว่าพวก AP กำลังสู้อยู่กับอะไร แต่ยังไงซะถ้าเข้าไปในสภาพแบบนี้ก็เท่ากับไปตายเปล่า แคลนของแพรวจะเอาอะไรไปสู้ ลำพังอาวุธที่มีอยู่ในมือก็ทำได้แค่ป้องกันตัวเอง
จะสิ่งใดสิงอยู่ในใจเจนิสก็แล้วแต่ จริตจะก้านของเธอ ไลฟ์สไตล์ รวมไปถึงรสนิยมทางเพศที่เหมือนจะสปาร์คทุกทีที่เจอหญิงที่ใช่ ล้วนเป็นสิ่งที่เธอยังคงปกปิด บางทีอาจจะเป็นเพราะแพรวสนิทกับมิวท์ก็เป็นได้เจนิสถึงยังคงอยู่ เธอไม่เคยบอกใครแม้แต่กลุ่มเพื่อนที่มาด้วยกัน ก็เป็นเพียงแค่เพื่อนร่วมชะตากรรมเท่านั้น ไม่ใช่คนที่จะคุยเปิดอกหรือเปิดใจอะไรได้.“เสร็จแล้วจะเอาไงกันต่อดีคะพี่แพรว?”อีกครั้งที่เจนิสเลี่ยงความรู้สึก ในขณะที่แพรวนั้นเห็นเธอเหมือนเป็นตัวเอง แต่หารู้ไม่ว่าเจนิสกลับเห็นแพรวเป็นตัวแทนของมิวท์ไปซะแล้ว.“ก็คงต้องรีบหาที่พักให้ได้ก่อนค่ำ เสียงปืนเมื่อกี้ทำให้เราอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้ มันเรียกแขกเกินไป”แพรวตอบเสียงห้วน ต่อด้วยการสอดปืนเข้าไปเก็บด้านหลังสลับกับควักแผนที่อันเดิมออกมา เธอกวัดแกว่งสายตาแคล่วคล่องเช็คพิกัดไปพลาง ส่วนกลุ่มเด็กสาวก็จัดแจงแพ็คเสบียงลงกระเป๋าไปด้วย .จวบจนเวลาผ่านไปราว 10 นาทีทุกอย่างก็เรียบร้อย ศพลุงกับป้าไม่ได้ถูกเผาพวกเขาไม่ได้ทำพิธีใด ๆ ทางศาสนาให้เลยด้วยซ้ำ แต่กลับเลือกที่จะทิ้งไว้เช่นนั้นเพื่อให้เชื้อโควิดกัดกินไปเอง เศร้าและโคตรน่าสงสาร แต่ก็ต้องเข้าใจว่า
“พวกแกมีของอะไรบ้างส่งมาให้หมด! เดี๋ยวนี้! อย่าลีลา!”กดมีดคัตเตอร์จมคอจนเลือดซิบ คอเหี่ยว ๆ ของลุงสั่นสะบั้นไม่มีทางเลยที่คนแก่ แถมยังเป็นตัวประกอบอย่างแกจะสู้แรงคนหนุ่มได้.และก่อนที่พวกเจนิสจะกระดุกกระดิกหรือทำอะไรลงไป ชายในเสื้อฮูดอีกคนที่ถือปืนอยู่ในมือก็ได้ย้ายปลายกระบอกมาจ่อเข้าที่ขมับของลุง เพื่อเพิ่มแรงกดดันให้ถาโถมขึ้นไปอีก เขาตะคอกใส่หน้าไปอีกคำรบ.“แล้วพวกเอ็งมีกันกี่คน?! ยังมีคนอื่นอีกรึเปล่า?!”“ห๊าาา!”“บอกมาสิโว๊ยยย!”.ฝอยน้ำลายฟุ้งกระจาย ทว่าสิ่งที่สกปรกกว่านั้นกลับเป็นการเหนี่ยวขึ้นลำกระสุนเพื่อเตรียมยิง เหลือเพียงออกแรงเหนี่ยวไกหัวของลุงก็คงจะเละเป็นลูกแตงโมไม่ต่างจากป้า.เจนิสกับเพื่อนเลยเลือกที่จะเงียบ เธอพยายามเบี่ยงสายตามองด้านข้าง ก่อนจะพบว่าแพรวเองก็ไม่ได้อยู่ตรงตู้กดก๊าซหยอดเหรียญแล้ว หัวหน้าแคลนหายไปอย่างไร้ร่องรอย แถมยังไม่มีแม้แต่เสียงฝีเท้าสักแอะ พอหันหน้ากลับมามองตรงตามเดิมพลางเพ่งสายตาให้ยืดยาวออกไป จนทะลุผ่านร่างของชายทั้งสองจนลึกสุดทางเดินด้านในได้ เธอก็ได้พบกับบางสิ่งบางอย่างที่เด็กไม่ควรจะเห็นเข้า.คุณพระช่วย! มันคือศพที่แห้งทับถมกันนับสิบ ๆ ศพ
ปาดดวงเนตรก้มลงมองแผนที่ในมือด้วยความฉับไว ระบบประมวลผลจากแกนสมองสอดประสานกับภาพจำในเมมโมรี่ ได้ออกมาเป็นเส้นทางเดินแบบสามมิติที่แพรวนั้นมองเห็นอยู่คนเดียว มันกระพริบวูบวาบเป็นจุดนำทางราวกับระบบค้นหาในวีดีโอเกมแบบโอเพนท์เวิร์ล เพียงแค่นำทุกคนเดินไปตามนั้นความปลอดภัยก็จะบังเกิด.“ข้างหน้ามีร้านมินิมาร์ท ทุกคนตามฉันมา เราจะหาก๊าซเพิ่มกันที่นั่นแล้วก็พักกันสักแป๊บ”แพรวออกคำสั่งไปพลาง แล้วก็เดินนำหน้าทุกคนไปด้วย.ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าในมือสาวเจ้า จะมีเพียงไม้หน้าสามที่ฝังตะปูไว้ตรงหัวเป็นอาวุธเท่านั้น นั่นแสดงว่าแพรวค่อนข้างมั่นใจในแผนที่ของตัวเองอยู่พอสมควร เธอไม่กลัวเลยสักนิดว่าจะมีพวก AP ดักอยู่รึเปล่า แล้วก็ไม่กลัวด้วยว่าจะมีคนจากแคลนอื่นซุ่มดูอยู่หรือไม่ ทุกอย่างดำเนินไปอย่างรวดเร็ว สถิติที่บันทึกไว้บวกกับประสบการณ์ที่เคยปะทะกับกลุ่มต่าง ๆ ตรงนี้มาก่อน ทำให้แพรวค่อนข้างคุ้นชินกับพื้นที่ จนกระทั่งเจนิสต้องขอขัดจังหวะขึ้น.“ช้าหน่อยพี่แพรว! พวกเราตามไม่ทันข้างหลังยิ่งมีแต่คนแก่ ๆ”ที่ต้องบอกเพราะทุกครั้งที่ผินหน้ามองกลับหลัง คนที่รั้งท้ายขบวนดันกลายเป็นลุงกับป้าที่ชรามากแล้ว คนจาก
เขาคนดังกล่าวผละตัวออกมาจากแผงคอนโทรลพร้อม ๆ กับจอมอนิเตอร์ที่ค่อย ๆ ดับแสงลง เขาใช้หลังเท้าแหวกเขี่ยผู้คนที่นอนเกะกะขวางทางอยู่บนพื้นออก และบางจังหวะก็ถึงกับเตะวิทยุสื่อสารออกจากมือของเจ้าพวกนั้น เพื่อไม่ให้ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือจากหน่วยเสริมได้.“เงียบไปเลยเจ้าพวก AP ชั่ว! ตอนนี้หอดูดาวแห่งนี้ได้ถูกฉันยึดครองไว้หมดแล้วโว่ย!".“เปรี๊ยง!”รวบรวมพลังกระทืบวิทยุวอร์คกี้ทอล์คกี้จนแตกเป็นเสี่ยง ต่อด้วยการหวดหลังเท้าเตะเข้าที่ปลายคางจนศัตรูสะบัดคอพับ!.โหดจริงอย่างจริงจังขนาดอยู่ตัวคนเดียวยังเด็ดเดี่ยวขนาดนี้ จินตนาการไม่ออกเลยว่าหลังจากผลักบานประตูหอดูดาวแห่งนี้ออกไปแล้ว อะไรจะเกิดขึ้นกับแคลนของแพรวบ้าง เหมือนเขาจะล็อคเป้าเอาไว้แล้ว ความหอบเหนื่อยที่ไม่ทราบสาเหตุเองก็เหมือนจะค่อย ๆ หายไปทีละนิดทีละน้อย และเมื่อกำลังวังชาฟื้นกลับมาครบ เขาคนเดิมก็น่าจะพร้อมต่อการออกไปเผชิญกับโลกภายนอกโดยทันที.“วู้ววว!”“เอาล่ะ.. ไปกันเลยดีกว่า”"ฮึบ!".“แอ๊ดดด!”เสียงประตูเหล็กแง้มเปิดออกแสงสว่างของแดดเช้าแลบผ่านเข้ามาแยงตา ก่อนที่สักพักต่อมา Riot โดรนจำนวน 3 ลำจะบินโฉบขึ้นมาจากเส้นขอบฟ้า ในท่วงท่าฉ