LOGIN@Canteen AJD
บรรยากาศชวนอึดอัดเกิดขึ้นเมื่อรู้สึกถึงการจับจ้องตลอดเวลา ฉันต่างจากคนธรรมดาตรงไหนวะ…ทำไมไม่เลิกมองกันสักที ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันคงกระแทกจานข้าวใส่หน้าไปแล้ว แต่ตอนนี้อยู่ในจุดที่ต้องเซฟทุกอย่าง ไม่งั้นฉันจะไม่ได้แม้แต่มาเหยียบที่นี่อีก
ฉันเดินไปนั่งตรงที่ว่าง ต่อจากมะปรางและตรงข้ามกับแพต ส่วนเด็กหนุ่มที่ชื่อวินก็ยังมีตัวตนอยู่ในนี้นะ แต่เขาแค่ไม่ค่อยพูด ตามนิสัยผู้ชาย
ไม่กี่นาทีต่อมาฉันรู้สึกเหมือนมีอะไรผิดปกติ เด็กสองคนที่นั่งตรงข้ามฉันอ้าปากค้างไม่ขยับราวกับพวกเขากำลังช็อกกับอะไรบางอย่าง
และรู้แจ้งในตอนที่เก้าอี้ข้างฉันถูกเลื่อนออก ร่างหนาของท่านประธานนั่งลงบนเก้าอี้พร้อมกับวางจานอาหารลงบนโต๊ะ
“ฮะ…เฮีย ทำอะไรเนี่ย” ฉันกระซิบถามให้ได้ยินกันแค่สองคนแต่เขากลับพูดในโทนเสียงปกติ
“กินข้าวไง” เขาตอบกลับหน้าตาเฉย ทั้งที่ตอนนี้ผู้คนทั้งแคนทีน รวมถึงแม่ค้าอีกหลายร้าน ตกอยู่ในอาการช็อกกันหมด
“จะบ้ารึไง” ฉันยังว่าเขาในโทนเสียงเดิมแต่แฝงไปด้วยความโมโห กำชับแล้วกำชับอีกว่าไม่ให้มา
ปึก!อ๊ะ…แต่ผมดันลืมคิดถึงอาวุธที่มันจะมีแรงกระแทกจากของแข็งที่ฟาดเข้ากลางหลังอย่างจังส่งผลให้เข่าผมทรุดลงไปกับพื้นข้างหนึ่งทันทีหวืดดดด..และผมเกือบโดนซ้ำอีกรอบ โชคดีที่ประสาทสัมผัสยังไวอยู่ในระดับหนึ่ง สำคัญคือไม่มีใครโง่ซ้ำสองหรอกนะ…ปึก!...ตุบ!เท้าผมถูกยกขึ้นยันกลางอกไอ้เวรนั่นจนมันถลาไปนอนราบอยู่กับพื้น ก่อนที่จะอาศัยจังหวะนี้ในการทรงตัวยืนขึ้นตรงภายในครึ่งนาที“อ๊ะ!!...ซี๊ดด” เกิดเอฟเฟคนิดหน่อยในตอนที่ผมขยับไหล่ มันเจ็บแปลกจนผมเผลอซูดปากแต่ไม่ถึงกับทนไม่ได้พอตั้งตัวได้ผมก็พุ่งไปคร่อมร่างมันทันที หวังจะซ้ำให้น่วม…หมัดที่ง้างขึ้นกลางอากาศชะงักงัน“มึงคิดว่า...มึงเก่งนักเหรอ” ประโยคที่หลุดออกมาจากปากไอ้สวะนี่ไม่ใช่สิ่งที่หยุดการกระทำของผมได้หรอกนะ แต่เป็นเพราะผมสัมผัสได้ถึงความเย็นเฉียบของวัตถุโลหะชั้นยอดที่จิ้มอยู่ตรงปลายค้างต่างหากผมไม่ได้ขี้ขลาดแต่ก็ไม่ได้อยากตายตอนนี้ปืนนะ…ไม่ใช่ไม้ โป้งเดียวจอดสนิทมันใช้ปลายกระบอกปืนลูกโม่ดันต
@เรืองขจรกรุ๊ปฉันเปิดประตูลงมาจากรถแบบเข่าอ่อนจนแทบทรุด ไม่มีแม้เรี่ยวแรงจะเดินต่อ โกดังเก็บสินค้าของเรืองขจรกลายเป็นทะเลเพลิงในชั่วพริบตารถดับเพลิงหลายสิบคันระดมฉีดน้ำกันอย่างบ้าคลั่งเฮียแม็กซ์รีบวิ่งเข้าไปหาแม่กับอาม่าที่นั่งน้ำตาตกอยู่ที่รถแอมบูแลนซ์พลางดมยาอย่างหมดแรง ส่วนฉันยังยืนพิงรถไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้ โชคดีที่ไม่มีพนักงานอยู่ในคลังตอนเกิดเหตุ ในทางกลับกันเพราะไม่มีคนอยู่ไฟถึงได้ลุกลามเร็วขนาดนี้ บวกกับสินค้าส่วนมากเป็นลังกระดาษและของแห้ง สุดท้ายก็เป็นอย่างที่เห็น เสียหายไปเกินครึ่งปึก! ปึก! ปึก!ฉันทุบรัวไปที่ประตูรถเพื่อระบายอารมณ์ น้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ทุกอย่างที่ป๊าสร้างมากำลังสลายไปต่อหน้าต้องเป็นไอ้สารเลวนั้นแน่ ถึงว่าไม่มีใครหามันเจอ เพราะมันมุดหัวอยู่ในโกดังนี่เอง“แม่งเอ๊ย!!!”ฉันสูดลมหายใจเข้าพลางปาดเช็ดน้ำตาบนใบหน้า ก่อนจะหมุนตัวกลับและเดินตรงเข้าไปหาอาม่ากับแม่“อาลลิล” อาม่าเรียกฉันเสียงสั่น ใบหน้าเหี่ยวย่นเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา ฉันโผเข้ากอดท่านทันที
“แต่ถ้าถามกูว่าเขาเกี่ยวอะไรกับพ่อคุณหนูลลิล กูไม่รู้นะ เพราะป๊าก็ไม่รู้เหมือนกัน” ดินพูดพลางเหลือบมองฉัน“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ” ฉันว่าพลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เมื่อฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าความจริงเราควรจบแค่เรื่องปัจจุบันก็พอ เพราะถึงจะรู้ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี“รู้ไปก็ไม่มีประโยชน์” ฉันพูดต่อ“อันนี้กูเห็นด้วย” เฮียหมอไวน์ที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้ามเสริมขึ้นและทุกคนก็พยักหน้ารับ เอาเป็นว่าเข้าใจตรงกันแล้วดินก็ก้มลงไปกดดูอะไรบางอย่างใน Macbook ของตัวเองอีกครั้ง“เออนี่ รูปมัน”ทุกคนพากันลุกมาเป็นไทยมุงโดยอัตโนมัติแบบที่ไม่ต้องได้รับคำเชิญฉันเพ่งมองใบหน้าของคนในรูปที่ดินเปิดขึ้น มันเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดที่ไหนสักที่ ถึงมันจะไม่ได้ชัดมากแต่ก็ระบุตัวตนได้ ถ้าบังเอิญเดินส่วนกัน ที่สำคัญมันใส่หน้ากากปิดหน้าซีกซ้ายตั้งแต่ช่วงหน้าผากลงมาถึงขอบปากก่อนจะเหลือบไปเห็นน้องมิณที่มีอาการแปลกไป เธอก้าวถอยหลังออกห่างไปสักระยะ หลังจากนั้นเธอก็สาวเท้าออกไปจากคอนโดโดยไม่พูดไม่
วันต่อมา…10:00 น.ครืดดด...ครืดดดฉันรู้สึกตัวตื่นเพราะการสั่นของสายเรียกเข้าจากใครสักคน ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าสิ่งรบกวนการนอนมาจ่อตรงหน้า หรี่ตาขึ้นเล็กน้อยเฌอณารีน…?ปลายนิ้วเรียวเลื่อนรับสายและเอาแนบหู กรอกเสียงแหบแห้งไปยังปลายสาย“ว่าไงเฌอ”[พี่ลลิล เฮียดินฝากให้โทรตามพี่กับเฮียแม็กซ์มาที่คอนโดเฮียดินค่ะ]“อ๋อ โอเคๆ” แน่นอนว่าฉันตื่นเต็มตาทันทีที่ได้ยินชื่อดิน[ด่วนเลยนะคะ]“อือ พี่จะไปเดี๋ยวนี้”ฉันวางสายและทิ้งมือถือไว้บนเตียง ก่อนจะหันไปเขย่าตัวปลุกคนข้างๆ“เฮียๆ ตื่นเร็ว”“อื้อออ…” คนถูกรบกวนส่งเสียงครางเล็กน้อย นั่นจึงเป็นตอนที่ฉันก้าวลงจากเตียง เพราะคิดว่าเขาน่าจะรู้สึกตัวแล้ว“ดินมีเรื่องด่วน” ฉันพูดขณะสาวเท้าไปยังตู้เสื้อผ้า“ห่ะ…อ้อ” พอได้ยินชื่อดินคนที่สะลึมสะลือก็ดีดตัวขึ้นนั่งราวกับสปริงและโดดลงจากเตียงด้วยความเร็วฉันจัดการธุระส่วนตัวด้วยความเร่
ฉันแอบแยกเขี้ยวใส่เขาด้วยนะ แต่มือก็ยังลูบหัวคนบนตักอย่างอ่อนโยน ฉันไม่เคยทำแบบนี้กับใครเลยนะจะบอกให้…เขาเป็นคนแรกและคงเป็นคนเดียวด้วยที่ฉันจะยอมทำให้ทุกอย่างบางทีเขาก็มีมุมที่ดูเป็นเด็ก คล้ายกับตอนที่เขาอ้อนแม่ของตัวเองยังไงยังงั้นเลยพอคิดแบบนี้แล้วก็รู้สึกแปลกๆเขาคงไม่ได้คิดว่าฉันเป็นแม่เขาอีกคนหรอกใช่ไหมผ่านไปหลายนาที ร่างหนาไม่ไหวติงจนฉันเริ่มสงสัย“เฮีย หลับแล้วเหรอ” ฉันถามเสียงแผ่ว“ยัง” ไม่หลับแต่ทำไมนิ่งขนาดนี้…“เฮียว่า…ทุกอย่างมันกำลังจะจบแล้วใช่ไหม” ฉันเริ่มประเด็นที่ยังค้างคาในใจ บางทีการได้คุยกับเขาอาจทำให้ฉันสบายใจขึ้น เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา“แน่นอน” เขาตอบ ขณะพลิกตัวกลับมานอนหงายและเอ่ยถาม“ทำไม กังวลเหรอ”“ไม่รู้สิ มัน…” ฉันหยุดไว้แค่นั้น พ่นลมหายใจยาวผ่านปลายจมูกเลื่อนสายตาโฟกัสท้องฟ้าสีน้ำเงินเข็มด้านนอกตรงช่องว่างของม่านที่แง้มไว้ไม่กว้างนัก ไม่ใช่ไม่อยากบอกเขา แต่ฉันไม่รู้จะพูดยังไง เพราะเร
ดวงตากลมโตยังเบิกกว้างท่ามกลางความมืดสลัวภายในห้อง ทั้งที่ล่วงเลยเวลาเข้านอนมาหลายชั่วโมง ลมหายใจยังคงถูกพ่นทิ้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า เรื่องราวต่างๆ บวกคำถามมากมายที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ วนเวียนอยู่ในหัวไม่หยุดหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ครอบครัวใหม่ของแม่จะเป็นยังไงท่านจะอยู่ได้ไหม ไม่มีใครรู้เลยว่าแม่รักสามีใหม่ของตัวเองมากแค่ไหน ความสูญเสียกำลังจะเกิดขึ้นกับท่านอีกแล้ว แถมยังมีเด็กไร้เดียงสาคนนั้นอีก จากที่เธอจะได้มีครอบครัวสมบูรณ์ก็คงพังทลายตั้งแต่ยังไม่รู้ความ เธอต้องเติบโตมาโดยไม่มีพ่อไหนจะธุรกิจหนักอึ้งที่ต้องแบบรับความเป็นจริงฉันควรวางใจ โล่งใจ ที่หัวหน้ามาเฟียใหญ่ตอบรับที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยสะสางเรื่องที่มนุษย์ตัวเล็กๆ อย่างฉันหรือเฮียแม็กซ์ไม่อาจจัดการได้ ต่อจากนี้เรืองขจรจะได้อยู่แบบสงบสุขจริงๆสักที แต่ไม่เลย...ฉันยังรู้สึกกังวลใบหน้าหวานสะบัดไปมาเล็กน้อยเพื่อไล่ความคิดที่ยังไม่เกิดขึ้นออกจากหัวก่อนจะใช้มือเล็กค่อยๆ ยันตัวขึ้นนั่งพิงหัวเตียงอย่างเชื่องช้าและระแวดระวังสุดชีวิตฉันหยุดนิ่งชั่วขณะ ในตอนที่รับรู้ได้ถึงแรงยุบของฟูกจาก







