กุกกักๆๆ
เสียงกุกกักทำฉันสะดุ้งจากฝันหวานอันยาวนาน ปรือตาขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองว่าใครมันทำเสียงดังในห้องตัวเอง พอเห็นว่าเป็นคินที่กำลังค้นตู้เสื้อผ้าอยู่ ฉันก็หลับตาลงอีกครั้งอย่างเกียจคร้าน
เมื่อคืนก่อนจะนอนดันเล่นไพ่กับไอ้เจ้าคินมันจนตีสี่ ตอนนี้น่าจะเช้าอยู่ด้วย ฉันเลยไม่อยากลุกจากเตียง ขอซุกหน้ากับหมอน อยู่ใต้ผ้าห่มหนาๆ ท่ามกลางสภาพอากาศยี่สิบสององศาสักสองชั่วโมงหน่อยเถอะ
ทว่านั่นมันแค่ความคิด เพราะไม่ถึงนาทีหลังจากนั้นฉันก็ได้ยินเสียง
โครม!!
ตามมาด้วย
“อะไรวะเนี่ย!”
แล้วหลังจากนั้นก้นอวบแสนงอนงามก็ถูกผู้ชายสูงกว่าหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตรถีบเข้าอย่างแรงจนเกือบตกเตียง
“ไอ้เหี้ยคิน มึงถีบกูทำไม!!” ลุกขึ้นยืนจังก้าชี้หน้าด่ามันทั้งที่ผมเผ้ายังฟูฟ่องยุ่งเหยิง คราบน้ำลายยังเต็มมุมปาก และฟันยังไม่แปรง
“กูเรียกมึงสี่ห้ารอบแล้วเนี่ย จะนอนไปถึงไหนวะ จะสายแล้วเนี่ย”
สายเหรอวะ สายอะไร?
ฉันยังคงงงเพราะถูกปลุกกะทันหันอยู่เลยยังทำตัวไม่ค่อยถูก สมองเบลอจนเดินวนตัวเองสองรอบ ก่อนตั้งสติได้ในไม่กี่วินาทีต่อมา
วันนี้วันจันทร์นี่หว่า ลืมไปเลย
“กี่โมงแล้วอ่ะ”
“แปดโมง เรามีเรียนสิบโมง ต้องรีบไปแล้ว ไม่งั้นสาย”
“ไม่ปลุกตั้งแต่แรก แล้วนี่ทำไมมึงไม่ใส่เสื้อ” สาดคำถามรัวๆ ใส่ไอ้คนเปลือยท่อนบนโชว์เรือนร่างสุดเซ็กซี่ชวนน้ำลายหก คินยืนเท้าเอวมองฉันด้วยสายตาแสนเหนื่อยหน่าย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าฉันต้องโดนด่าในอีก ห้า สี่…
“กูปลุกมือตั้งแต่เจ็ดโมง ปลุกมาแล้วสี่ห้ารอบมึงก็ไม่ตื่น เหลืออย่างเดียวแล้วที่กูจะทำได้ คือเอาน้ำมาสาดมึง ซึ่งกูไม่ทำแน่ เพราะขี้เกียจมานั่งเก็บผ้าปูที่นอนมึงซัก”
“อ้อ..” ยิ้มแหย ใช้มือลูบท้ายทอยตัวเองด้วยความขัดเขิน
ก็แหม ฉันมันคนตื่นยากนี่นา เวลาได้หลับยาวจะหลับเหมือนตายเลย เคยมีหลายครั้งพี่เดือนถึงกับเรียกรถฉุกเฉินเพราะฉันไม่ยอมตื่นก็มี (ตอนนั้นเมาหนัก)
“แล้วนี่มึงหาไรอยู่อ่ะ ทำเสียงดัง” รีบเปลี่ยนก่อนโดนด่าซ้ำ
คินทำท่าไม่พอใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรฉันต่อ
“หาเสื้อกูไง จำได้ว่าครั้งที่แล้วทิ้งไว้ตัวหนึ่ง เสื้อยืดแขนสั้นของ Louis Vuitton น่ะ เห็นไหม”
“เสื้อสีขาวเหรอ อืม…”
คิดไม่ออกแหะ ฉันเองก็จำไม่ได้ว่าซักแล้วเก็บไว้ไหน
ปกติแล้วถ้าเพื่อนคนใดคนหนึ่งมานอนค้างบ้าน พวกมันมักทิ้งเสื้อผ้าเอาไว้คนละตัวสองตัว เยอะสุดก็คือคิน เพราะไอ้เจ้านี่มาค้างบ้านฉันเกือบทุกสัปดาห์ บางครั้งมานอนด้วยเป็นเดือนก็มีด้วยซ้ำ
“เร็วๆ เสียเวลา เดี๋ยวไปสายเนี่ย” คินเร่งเร้า
“ลองหาในตู้ที่สองดู คงอยู่สักชั้นแหละ”
ฉันพูดมั่วๆ ไป ไม่รู้มีไหมอ่ะนะ จำไม่ได้ว่าเก็บไว้ไหน
“เออ” เขาตอบแค่นั้นแล้วหันหลังเดินไปยังตู้เสื้อผ้าอีกครั้ง แต่ก่อนจะถึงมัน คินดันหมุนตัวกลับมาหา “ไปอาบน้ำนับดาว ถ้าสาย กูจะให้มึงเลี้ยงข้าวทั้งอาทิตย์”
“มึงรวยกว่ากูร้อยล้านเท่า ยังจะให้คนอย่างกูเลี้ยง ไอ้คนจิตใจต่ำทราม เอาเปรียบคนจน ไม่มีมนุษยธรรมไอ้ผู้ชายนิสัยไม่ดี ไอ้เลว…”
“ถ้ามึงไม่ไปในอีกสามวิ กูจะอาบน้ำให้มึงเอง”
อย่ามาขู่ ไม่กลัวหรอกโว้ย
“ถ้ากล้ามึงก็มาอาบให้กูดิ”
“…”
คินนิ่ง สายตาคู่คมกริบมองตรงมายังฉันค่อนข้างบ่งบอกถึงความในใจอย่างดี อีแบบนี้คงกำลังอี๋อยู่แน่ๆ
“ไปแล้วก็ได้ มึงก็เก็บของให้กูด้วยละกันถ้าเจอเสื้อตัวเองแล้วน่ะ”
“อืม…”
แล้วเขาก็ไปรื้อค้นตู้ฉันต่อหลังจากรื้อหนึ่งตู้ไปแล้วเรียบร้อย
ฉันยืนมองคินสักพัก เมื่อเห็นว่าไม่มีปัญหาอะไรเลยไปหยิบเอาผ้าขนหนูเดินตัวปลิวเข้าห้องน้ำเพื่อชำระล้างร่างกาย
ใช้เวลาอยู่กับน้ำอุ่นๆ ประมาณสิบนาทีเห็นจะได้ ฉันก็ออกมาจากห้องน้ำด้วยผ้าขนหนูผืนเดียวพันหมิ่นเหม่ที่หน้าอก
“เฮือก! ตกใจหมดไอ้คิน ทำไมยังอยู่ในนี้เนี่ย”
สะดุ้งโหยงสุดตัวตอนออกมาแล้วเจอผู้ชายตัวสูงที่ตอนนี้สวมชุดครบทุกอย่างเรียบร้อยยืนจังก้าเท้าเอวมองฉัน
“ตกใจอะไรขนาดนั้น แล้วนี่ทำไมมึงแต่งตัวแบบนี้”
“คนเพิ่งอาบน้ำเสร็จจะให้ใส่ชุดเตรียมพร้อมออกไปรบหรือไง ถามอะไรแปลกๆ” ก้มลงมองเนินนมตัวเองแล้วเอียงคอมองหน้าคิน “ทำไม มึงหวั่นไหวที่เห็นเนินนมสุดอลังการกูเหรอ”
ไม่พูดเปล่า ยังส่ายหน้าอกใส่คินแบบไม่อายด้วย
กล้าทำแบบนี้กับเขาเพราะตลอดระยะเวลาที่คบกันมากว่าแปดปี คินไม่เคยล่วงเกินตัวเองเลยสักครั้ง ทั้งตอนที่มีสติครบ หรือตอนไม่มีสติก็ตาม เขาวางตัวกับฉันเหมือนเป็นเพื่อนผู้ชายอีกคน จนฉันคิดไปเองว่าเขาคงไม่มองฉันเหมือนผู้หญิงปกติธรรมดาทั่วไป
คินถอยหลังไปสามก้าวเห็นจะได้ จากนั้นก็ทำหน้าเหมือนเพิ่งอมบอระเพ็ดมาทั้งดุ้น
รังเกียจกันขนาดนั้นเชียว ไอ้บ้านี่!
“นมไม่มียังจะกล้า…”
“อะ… ไอ้คิน ไอ้คนเลว มาพูดกับผู้หญิงตัวน้อยๆ แบบนี้ได้ยังไง”
ทำท่าจะเข้าไปถีบขาไอ้คนตัวสูง ฉันเลิกชายผ้าขนหนูขึ้นเตรียมพร้อมจะยกขา คินรีบยกมือขึ้นมาห้ามปรามกัน เขาร้องเสียงหลงเหมือนตกใจกับอะไรบางอย่างถึงขีดสุด
“หยุด! อย่ายกมันขึ้นมา กูไม่อยากเห็นป่าดงดิบ”
“ดงดิบเหี้ยอะไร คนเพิ่งไปเลเซอร์มา เกลี้ยงทุกอณู ไม่มีขนทุกตารางเว้ย”
คินอ้าปากค้าง มือเขาชะงักกลางอากาศ ไม่นานก็ตบหน้าตัวเองเบาๆ เพื่อเรียกสติ
“ก็ว่าทำไมห้องน้ำไม่มีขน ที่แท้มึงไปเลเซอร์มานี่เอง” เขาทำท่าเป็นโคนันยอดนักสืบ พยักหน้ากับตัวเองสองสามครั้ง
อะไรของมัน วิเคราะห์อะไรกับเส้นขนของฉันเนี่ย
“เออ ว่าแต่ทำไมมึงยังอยู่อ่ะ นึกว่าออกไปเตรียมรถแล้วซะอีก”
ได้ทีเลยเข้าเรื่อง ฉันก็เกือบลืมไปแล้วว่าเรากำลังรีบไปเรียนกัน ยืนคุยนานเลย
ได้ยินคำถาม คินก็หน้าแดงลามไปถึงหูทันที ปฏิกิริยานั้นทำฉันถึงกับงง
มันเขินเพราะถามว่ามายืนทำเซ่ออะไรอยู่ในห้องเนี่ยนะ?
คินไม่ตอบคำถาม แค่เดินไปยังปลายเตียง หยิบแท่งซิลิโคนขนาดประมาณสี่นิ้ว รูปร่างคล้ายกับปลัดขิกแต่อ่อนนุ่มกว่าหลายเท่า และที่สำคัญคือมันสามารถขยับเข้าออกขึ้นลงได้เพียงกดปุ่ม…
เอ่อ… นั่นมันของเล่นฉันนะโว้ย มันเอาออกมาทำไมเนี่ย
“มึง เอ่อ… ใช้ไอ้นี่ตอนเหงาเหรอ?” เขาถามตาโต กำลังทำเหมือนเขินฉันอยู่ก็ไม่ปาน
“ก็กูโสด จะให้ไปหาผู้ชายที่ไหน อีกอย่างมึงอย่ามาเรียกผู้ชายคนแรกกูว่าไอ้นี่นะ หยาบคาย!”
“ผู้ชายคนแรก?!” เขายกพี่ดิลโด้ขนาดสี่นิ้วขึ้น “ไอ้นี่เนี่ยนะผู้ชายคนแรกของมึง”
“ใช่ แล้วจะทำไม”
“เล็กกว่าของกูตั้งเยอะ…” แล้วเขาก็ทิ้งมันลงบนเตียงอย่างไร้เยื่อใย “เล่นไม่สนุกหรอก”
“สนุกไม่สนุกก็เรื่องของกู อย่าบังอาจทิ้งพี่โด้แบบนั้นนะ สุภาพกับเขาด้วย”
เท่านั้นคินก็ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น เขาหัวเราะจนตัวโยนท่ามกลางความขุ่นมัวของฉัน
“เออๆ ขอโทษก็แล้วกัน ใครจะไปคิดว่ามึงจะคบกับดิลโด้ รู้งี้หาผัวให้สักคนก็ดี จะได้ไม่เหงาถึงขนาดคิดสั้น”
“ที่พูดหมายความว่าไงฮะ” ฉันขึ้นเสียง เริ่มมีน้ำโหเล็กน้อย
“ไม่มีอะไร ไปละ มึงก็รีบๆ แต่งตัว มายืนพันผ้าขนหนูต่อหน้าผู้ชายสองต่อสองในห้องแบบนี้มันดูไม่ดี รู้ตัวป่ะ”
ก็ถ้าผู้ชายคนนั้นเห็นว่าฉันเป็นผู้หญิงปกติทั่วไปคงกลัวอยู่หรอก แต่ฉันรู้ว่าคินเฉยๆ และเห็นตัวเองเหมือนเพื่อนผู้ชายเลยวางใจ แค่นั้นเอง
“ไปไหนก็ไปเลยไป แต่ก่อนออกไป กราบขอโทษแฟนกูก่อน”
โป๊ก!
มะเหงกแข็งๆ ฟาดเข้าหน้าผากฉันอย่างจัง
“โอ้ย เขกหัวกันทำไม เดี๋ยวโง่ไม่รู้เหรอ”
“เป็นเอามากนะมึง ถ้าเหงานัก เดี๋ยวช่วยเอง” คินส่ายหน้าหัวเราะเสียงดัง ลูบหัวฉันสองสามที ก่อนเดินตัวปลิวออกไปจากห้องทั้งที่ยังหัวเราะร่า
ลับหลังนั้นฉันก็หรี่ตามองแฟนตัวเองที่นอนแอ้งแม้งบนเตียง
ด้วยความสงสาร
“โถๆ พี่โด้ ไม่น่าเลย ดูสิถูกทิ้งตั้งแรง ถ้าพี่เป็นอะไรไปแล้วฉันจะอยู่ยังไง”
[Vincent’ s POV]ผมเคยคิดเล่นๆ นะว่าชีวิตคนเรามันดราม่าได้สักแค่ไหนกันเชียว จนกระทั่งวันหนึ่งรุ่นพี่ที่ตัวเองชอบและพึงใจมานานมาภาพรักในตอนที่เธอกำลังไปเรียนต่อต่างประเทศ แล้วหลังจากนั้นก็มีรุ่นน้องมาบอกว่าชอบในเวลาไล่เลี่ยกัน เธอไม่ได้ขอสถานะ ขอแค่ให้ได้มีผมอยู่ข้างๆ ก็พอดีและผมก็ตอบรับมันอย่างเต็มใจในวันนั้นผมคบกับเธอแบบไม่มีสถานะ เรานอนด้วยกัน ผมเลี้ยงดูเธอเหมือนเลี้ยงผู้หญิงคนหนึ่งไว้ใช้งาน ไม่ได้ให้ใจ ไม่ได้ให้อย่างอื่นนอกจากเงินและเซ็กซ์ดีๆ และเธอก็ยอมรับมัน เข้าใจ ไม่ทำตัวน่ารำคาญ ไม่อยากเลื่อนขั้นแต่อย่างใด“พี่วินซ์… พี่ว่าเราเป็นอะไรกัน”จู่ๆ วันหนึ่งเธอก็ถามผมขึ้นในขณะที่กำลังบรรจงจูบเธออย่างดูดดื่มท่ามกลางแสงจันทร์“คู่ขา คู่นอน อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่แฟน”“อ้อ อย่างนั้นเหรอคะ ดีใจจังที่ได้รู้”เธอตอบแบบยิ้มๆ ไม่ได้มีท่าทีผิดหวังแต่อย่างใด ทั้งยังกอดผม เรียกชื่อผมทั้งคืนอีกต่างหาก ทว่าเมื่อตอนเช้ามาถึง ตัวเล็กๆ กลับหายไป ไม่ทิ้งแม้กระทั่งความอบอุ่นบนเตียงเอาไว้วันแรกที่เธอหาย ผมรู้สึกเฉยๆ ไม่ได้เสียใจแต่อย่างใดสัปดาห์ต่อมาก็ยังไม่รู้สึกว่าขาดอะไรไปกระทั่งหหนึ่งเดือนผ่าน อยู
[Valton’ s Pov]ผมคือหนึ่งในลูกที่ครอบครัวตั้งความหวังมากเกินไป และตามใจจนเสียนิสัย เป็นคนเอาแต่ใจอย่างร้ายกาจ ดูผิวเผินผมอาจจะเป็นลูกคุณหนูเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ดูเปราะบางน่าทะนุถนอมเหมือนหญิงสาว แต่เนื้อในผมไม่ใช่อย่างนั้น ผมไม่ใช่คนที่ยอมใครง่ายๆ ดื้อรั้น ชอบทำตามใจตัวเองเสียจนเคยตัว มีอยู่ไม่กี่คนหรอกที่ผมจะยอมก้มหัวให้ และพวกนั้นก็คือเพื่อนในกลุ่มเรา นั่นคือ คิน นับดาว และวินเซนต์เท่านั้นพ่อผมเป็นชาวเอสโตเนีย เป็นผู้มีอิทธิพลในเมืองเมืองหนึ่ง ท่านทำธุรกิจหลากหลาย ทั้งเทา และขาวสะอาด เดินทางไปรอบโลกเพื่อติดต่อเจรจาหาคู่ค้าอยู่เสมอจนมาหยุดที่นี่ ที่เมืองไทย เมื่อเจอแม่ผมเข้า ทั้งสองแต่งงานมีลูก และเลิกราเพราะพ่อเจอคนที่ถูกใจกว่าในตอนไปติดต่อการค้าในประเทศอื่นถึงอย่างนั้นพ่อก็ยังส่งเสียเลี้ยงดูผมตลอด เงินไม่เคยขาดมือ อยากได้อะไรก็ประเคนให้ เพราะเหตุผลเดียวเลยคือ ท่านเป็นหมันหลังจากประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ไม่สามารถมีลูกได้อีก นั่นหมายถึง ผมคือทายาทคนเดียวที่มียังไงล่ะพ่อตั้งความหวังไว้กับผมสูงมาก อยากให้ผมเรียนวิศวกรรมการบิน เพราะจะได้สานต่อธุรกิจที่มี แต่ผมที่ถูกเลี้ยงดูมาโดยแม่เพี
เที่ยงคืนหลังจากที่เราแยกย้ายห้องใครห้องมัน ฉันกับคินก็จูงมือกันออกมาขับรถเล่นที่บ่อกุ้งของเพื่อระลึกถึงบรรยากาศเก่าๆ ค่ำคืนอันแสนเร่าร้อนที่เราเกือบมีอะไรกันตรงท่าน้ำฉันหย่อนตัวลงนั่งที่เดิมพร้อมไม้ตกกุ้ง ไม่นานคินก็นั่งลงตาม แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้เว้นระยะห่างเหมือนเคย ขยับเข้ามาเบียดฉันทั้งยังโอบไหล่หลวมๆ“ไม่ต้องมาเบียดขนาดนั้นก็ได้มั้ง คืนนี้ไม่ได้หนาว” ขยับเข้าชิดเขา แต่ปากคือไล่ ฉันก็แค่เป็นพวกปากไม่ตรงกับใจอ่ะนะ เรื่องนี้คินรู้ดีเลยไม่ถือสา“ก็อยากกอดแฟน” พูดทั้งยังเกยคางบนหัวฉัน “อยากกอดแบบนี้ไปนานๆ อยากกอดตลอดไปเลย”“พูดดีไปเถอะ เดี๋ยววันหนึ่งก็เบื่อกันอยู่ดี”คินผละออกมามองหน้าฉัน ก่อนหยิกแก้มด้วยความมันเขี้ยว “ทำไมกล้าพูดว่ากูจะเบื่อมึงอ่ะ นี่คบกันมากี่ปีแล้ว”“ไม่รู้สิคิน แค่คิดว่าพอสถานะเปลี่ยน ทุกอย่างก็เปลี่ยน วันหนึ่งกูอาจจะคาดหวังกับมึงมากเกินไปแล้วมึงรำคาญก็ได้ใครจะรู้”คินยิ้มเหมือนรู้อยู่แล้วว่าฉันกังวลเรื่องนี้ บางทีตอนพูดกับพ่อเมื่อตอนกลางวันเขาคงแอบได้ยินมันเลยไม่ได้ตกใจอะไรกับคำพูดฉันมาก“ก็ไม่เห็นเปลี่ยนนี่ เรารักกันเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำไม่เห็นเหรอ”“ก็เห็น” คินแสดง
เราใช้เวลาซื้อของประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนพากันขับรถตรงไปยังบ่อกุ้ง ระหว่างทางฉันก็ตัดสินใจเล่าเรื่องราวในอดีตของตัวเองก่อนเจอกันให้คินฟังเขาเป็นคนรับฟังที่ค่อนข้างดี ไม่ดุ ไม่ว่าที่ฉันทำตัวไม่ดี และที่สำคัญยังชมว่าฉันเก่งที่ก้าวข้ามมันมาได้ฉันรู้ด้วยตัวเองไงว่าอะไรดีอะไรไม่ดี เพราะงั้นหลังจากถูกลงโทษแล้วพ่อส่งไปดัดสันดานกับพี่เดือนที่กรุงเทพฯ เลยไม่ขัดขืน เต็มใจที่จะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ และที่ไม่น่าเชื่อเลยคือ ฉันไปได้ดีมากกับทางใหม่ที่เลือก อาจจะเพราะได้เจอคิน ไม่ก็เพราะสภาพแวดล้อมที่ดีกว่ามากก็ได้ ฉันไม่ได้ว่าที่บ้านไม่ดีอะไรหรอกนะ แต่เพื่อนที่ฉันคบในโรงเรียนพาฉันไปทำในสิ่งที่ไม่น่ารักซะส่วนใหญ่น่ะสิ แล้วเด็กอ่ะนะ ยิ่งมีคนอวยยิ่งได้ใจ ผลลัพธ์ที่ได้ก็อย่างที่เห็น มีคนเกลียดจนถึงทุกวันนี้ แม้จะผ่านไปหลายต่อหลายปีแล้วก็ตาม“มาแล้ว!!”ตู้ม!ร้องเสียงดังวิ่งตรงไปยังบ่อกุ้งของพ่อ กระโดดตูมลงน้ำแบบไม่ฟังพ่อห้ามเลยสักนิด“ไอ้ดาว กุ้งตื่นหมดแล้ว” เสียงเอ็ดนี้ไม่ใช่จากพ่อ แต่เป็นเวลที่ตอนนี้จดจ่อ ตั้งใจสุดๆ กับการลากตาข่ายต้อนเจ้ากุ้งที่แสนน่ารัก“กูอยากช่วย”“ไปไกลๆ เลย กูจะทำเอง กุ้งกูหายหมด
เราเดินทางมายังบ้านพ่อแม่ฉันหลังจากเคลียร์ปัญหา และจัดการเรื่องโปรเจกต์เรียนจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยครั้งนี้ไม่ได้มีแค่เราสี่คน (ฉัน คิน เวล และเม่า) ยังมีแม่ของคินตามมาด้วยเพื่อมาขออนุญาตให้ลูกๆ ได้คบกันทีแรกฉันบอกท่านแล้วนะว่าไม่ต้องก็ได้ แต่คุณหญิงดื้อมาก ท่านบอกไม่ได้ พูดแบบนั้นไม่ดี (ตำหนิฉันไปอีก) ยังไงผู้ใหญ่ต้องมาพูดเองถึงจะถูก ส่วนเรื่องหมั้นหมายไม่ได้บังคับ แล้วแต่เราทั้งสองเลยเอาตรงๆ นะ ฉันรู้สึกแปลกๆ เหมือนว่าคุณหญิงมาตากำลังเร่งจับฉันแต่งงานกับคินอย่างไรอย่างนั้น ยิ่งพักหลังมานี้ยิ่งหนัก โทรคุยกับแม่ฉันเป็นวรรคเป็นเวร มีแอบไปได้ยินว่าแพลนจะอุ้มหลานกี่คนด้วยนะคืออีดาวเพิ่งยี่สิบต้นๆ นะ ยังไม่พร้อมเสียสละเวลาไปเลี้ยงเด็กขนาดนั้นแต่ข้อดีคือพวกแม่ๆ ไม่ได้กดดันกันตรงๆ เพียงแค่พูดว่าอยากมีหลาน เพราะครอบครัวฉัน พี่เดือนตอนนี้ก็ยังไม่ท้อง ฉันเองยังเรียนอยู่มีลูกไม่ได้ ส่วนคินเป็นลูกชายคนเดียวในบ้าน ถ้ามันไม่แต่งงานหรือทำผู้หญิงท้องยังไงคุณหญิงก็ไม่มีวันได้เห็นหน้าหลานถึงจะพูดอย่างนั้นมันก็แอบกดดันไม่น้อยอ่ะนะ ถ้าเราสองคนคบกันนานจนขนาดแต่งงานมีลูกได้ก็ค่อยว่ากันอีกที อนาคตไม่
“คิน…”น้ำเสียงเธออ้อนวอนเสียจนใจผมสั่น จัดการจับเรียวขาทั้งสองข้างแยกออกจากกัน ก่อนรูดชั้นในสีดำลายลูกไม้สุดเซ็กซี่ออกจากขาเธออย่างช้าๆ ไปกองไว้ที่ข้อขาข้างหนึ่งผมมองหน้าเธอไม่ละสายตาไปไหน มองจนนับดาวต้องหลบตาไปเองเพราะเขิน“มองเหมือนอยากจะกินกันทั้งตัว…” เธอพูดเบาๆ ในลำคอ“ก็อยากจับกินจริง ไม่ผิดเลยสักนิด”พูดจบก็จุ๊บเบาๆ ตรงข้อเท้าเธอ นับดาวมีปฏิกิริยาทันที เธอขยับตัวหนึ่งครั้ง แล้วหลับตาพริ้มมีความสุขเมื่อผมไล่จูบขึ้นไปตามปลีน่อง ขาอ่อนและมาหยุดตรงส่วนที่น่าหลงใหลที่สุดสะโพกยกขึ้นสูงอย่างไม่ต้องเอ่ยขอ ผมใช้มือช้อนใต้ก้นอวบอัดเธอไว้ ดันขึ้นสูงอีกนิดแล้วฝังหน้าลงไปดูดกินเธออย่างคนหิวกระจาย“อา คิน!”นับดาวไม่เก็บเสียงอีกต่อไป ทันทีที่ลิ้นของผมเลียย้ำๆ ไปยังจุดอ่อนไหวที่สุดเธอก็กรีดร้องเสียงหวาน สะโพกบิดเร่าไปมา เรียวขาทั้งสองเปิดอ้าสลับกับหนีบหัวผมไว้ เห็นดังนั้นผมยิ่งคึกคัก อยากจะช่วยเธอถึงฝั่งฝันให้เร็วขึ้นผมขยับตัวหนีห่างเพื่อมองหน้าเธอเล็กน้อย ตอนนี้แก้มทั้งสองของนับดาวสุกปลั่งราวกับเพิ่งได้ตากแดดมา ริมฝีปากอิ่มสวยอ้าค้าง แลบลิ้นสีสดออกมาเพื่อระบายความร้อนของร่างกายเซ็กซี่เป
[Akirah’ s POV]“ฝันดีฮะแม่ วันศุกร์นี้อย่าลืมนะฮะว่าเราต้องไปบ้านไอ้ดาว”“ไม่ลืมหรอกลูก ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้เมีย”“งั้นผมไปนะฮะ”“จ้ะสุดหล่อของมาม้า แต่อย่าลืมนะว่าห้ามเข้าห้องนับดาว”“ไม่เข้าแน่นอนครับ”ผมยิ้มหวาน จุ๊บแก้มแม่เบาๆ บอกฝันดีท่าน ก่อนเดินเร็วๆ ออกจากห้องเพื่อตรงไปยังอีกห้องที่อยู่ชั้นล่าง ซึ่งไม่ใช่ห้องผมแน่นอนวันศุกร์นี้เราจะเดินทางไปยังบ้านนับดาว เพื่อให้ผู้ใหญ่คุยกันเรื่องการคบหาอย่างเปิดเผยที่จริงแม่ผมบอกว่าไม่ได้อยากเร่งเร้า ไม่ได้รีบร้อนหรืออะไรเลย แต่แค่อยากไปพบพ่อกับแม่นับดาวเพราะเหตุผลหลักๆ เลยคือไปจองตัวไว้ อีกอย่างคือท่านรู้ว่าผมได้เสียกับนับดาวแล้ว เลยอยากจะให้เกียรติเธอด้วยการไปบอกกล่าว ผูกแขนเอาไว้ตามวัฒนธรรมคนอีสาน ซึ่งผมเองก็ไม่ได้ขัด นับดาวก็ไม่ได้ว่า เหมือนฝั่งครอบครัวเธอก็ไม่ค้าน สรุปทุกอย่างลงตัว พร้อมเปิดทางให้เราหมดแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ผมจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมานั่งดราม่าแม่ไม่ชอบเมียเหมือนคนส่วนใหญ่เป็นกัน อาจจะเพราะแม่ผมชอบนับดาวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทุกอย่างมันเลยง่ายขึ้นก็คนที่ฉุดกระชาก ดึงผมให้ออกมามีที่หายใจบนโลกนี้ได้ก็คือนับดาวนี่นะ จะไม่ให
คินพาฉันมาที่บ้านใหม่แม่เขาประมาณสองสัปดาห์ต่อมา วันนี้เป็นวันขึ้นบ้านใหม่ พ่วงด้วยปาร์ตี้สละโสดของคุณหญิงมาตา จะไม่มาแสดงความยินดีในฐานะว่าที่สะใภ้ (เขิน~) คงไม่ได้ฉันแต่งตัวให้น่ารักที่สุด ใช้ชุดที่ท่านซื้อให้ จ้างช่างแต่งหน้าทำผมมาโดยเฉพาะเพื่อไม่ให้คุณหญิงเสียหน้า รู้ว่าสังคมของท่านคงมีแต่คนรวย จะมาทำตัวเป็นอีสร้อยอีแซวคงไม่ได้ ฉันรู้จักกาลเทศะดีแต่ถึงอย่างนั้นพอก้าวเข้ามาในงาน ก็ไม่วายโดนตีราคาว่าเป็นผู้หญิงชั้นต่ำมาเกาะบ้านคุณหญิงกินอยู่ดี เอาจริงๆ มันก็ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่เป็นแบบนั้น เพื่อนคุณหญิงส่วนใหญ่น่ารักกันหมด มีเพียงแค่ประมาณสองถึงสามคนที่มองฉันแบบเปิดเผยว่ารังเกียจนั่นทำให้ฉันกลัวไหม?ก็ไม่อีกนั่นแหละ มองแรงมา อีนี่ก็มองแรงกลับ เบะปากใส่ฉันเพราะหมั่นไส้ อีนี่ก็เบะปากใส่เป็นพี่กิ๊ก สุวัจนี เหมือนกัน หลายคนพอเห็นฉันตอบโต้กลับ ก็ไม่นึกกล้าเสนอหน้าออกมาให้ด่า ไม่ก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่าน้องนับดาวคนนี้เอาเรื่องพอตัว“คิน หนูคินคะ”ขณะที่เรากำลังเดินไปยังซุ้มเครื่องดื่มหลังจากทักทาย มอบของขวัญให้คุณแม่คินเสร็จแล้ว อยู่ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาทักคิน เธอคนนั้นรูปร่างหน้าตา
“เหมือนตอนเด็กๆ เราจะเคยเล่นด้วยกันน่ะ แม่น้องเป็นเพื่อนกับแม่กู ชอบพาลูกมาเล่นด้วยกันบ่อยๆ เหมือนผู้ใหญ่ก็ยุว่าจะจับหมั้นบ้าง จับให้คู่กันบ้าง โตขึ้นจะผูกแขนให้เป็นแฟนกันบ้าง นานเข้าๆ เด็กมันคงคิดลึก คิดว่าจะได้กับกูเลยฝังใจ เริ่มตามกูแบบเงียบๆ มาตั้งแต่ตอนคบกับมึงใหม่ๆ จำได้ไหมช่วงมอปลายที่เรารู้จักกัน”“อือ” นับดาวพยักหน้าตอบเบาๆ “เหมือนเคยเห็นหน้าโรงเรียนบ่อยๆ ทีแรกนึกว่ามาหาใคร ที่แท้มาหามึงนี่เอง”“ใช่ เด็กนั่นมาดักรอกู แค่ให้เห็นหน้าแล้วเขาก็ไปแค่นั้น”นับดาวครางเสียงต่ำในลำคอ เกาคางตัวเองครุ่นคิดกับอะไรบางอย่างอยู่ น่าจะกำลังระลึกชาติ ทบทวนความจำตัวเอง ส่วนสองคนที่เหลือแค่นั่งพิงโซฟาด้วยท่าทีสบายๆ รอฟังเท่านั้น ไม่ได้เอายถามหรือทำอะไรมากกว่านี้“มีช่วงเข้ามหาลัยปีสามปีสี่นี่แหละเริ่มหนักสุดเพราะกูกับมึงเล่นกันถึงเนื้อถึงตัวมากขึ้น เด็กนั่นคงหึงเลยเริ่มตามกูไปทุกที่ ทำตัวเป็นสต็อกเกอร์ จ่ายใต้โต๊ะกับคอนโดฯ ที่กูอยู่เพื่อให้ได้คีย์การ์ดเปิดห้อง จ่ายให้กับทุกคนเพื่อเข้าถึงตัวกู ดีว่าตอนนั้นกูระแคะระคายก่อนเลยยังปลอดภัย ไม่อย่างนั้นวันนี้ไม่รู้จะเป็นยังไง”“มึงควรเอาเรื่องคอนโดฯ ม