LOGIN“ไม่เป็นไรหรอกน่า พี่ไทม์เขาอยากให้ฉันนั่งใกล้นี่นา ฉันฝากแกซื้อข้าวด้วยสิ เอากระเพราหมูกรอบไม่เผ็ดเหมือนเดิมเลย” สาวลูกครึ่งเอ่ยบอกกับเพื่อนสนิทด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ซึ่งคุณากรที่ลอบมองอยู่ ก็แอบอยากดุเพื่อนอยู่เหมือนกัน แต่พอคิดว่า ถึงบ่นไปเพื่อนสาวตัวดีก็คงไม่ยอมฟังอยู่แล้ว จึงไม่ได้พูดอะไร ออกมา แต่เลือกที่จะเดินไปซื้อข้าวกับลลิตาด้วยกันสองคนแทน
“น้องกรีนสนใจเพื่อนพี่ขนาดนั้นเลยเหรอครับ พี่ไม่เห็นมันจะมีอะไรน่าสนใจเลยนะ นิ่งเหมือนรูปปั้นขนาดนี้” พอมีโอกาสพชรก็ชิงถามรุ่นน้องสาวคนสวยในทันที
เขาไม่ได้อิจฉาเพื่อนแต่อย่างใด เพียงแค่อยากใส่ใจเรื่องของเพื่อนก็เท่านั้น
“แรก ๆ กรีนก็สนใจที่หน้าตาก่อนน่ะค่ะพี่พอร์ช แต่ว่าตอนนี้ก็คงต้องค่อย ๆ ดูไปก่อน ยังมีอีกหลายอย่างที่กรีนยังไม่เคยเห็น คงต้องรอให้พี่ไทม์ถอด อุ้ย หมายถึงเปิดเผยออกมาให้ดูค่ะ”
กรรณิการ์ตอบกลับหนุ่มรุ่นพี่อย่างเป็นกันเอง โดยเธอจงใจพูดประโยคเหล่านี้ให้เพื่อน ๆ ของเขาได้คิดจินตนาการไปเรื่อย และแน่นอนว่ามีเจตนาจะก่อกวนคนที่นั่งอยู่ข้างกันไปพร้อม ๆ กัน
จากแชตกลุ่มมหา’ลัยเมื่อเช้านี้ ก็ทำให้เธอได้รู้ชื่อของพวกเขาทุกคน เพราะทั้งกลุ่มของทัศนัยนั้นนับว่าแต่ละคนนั้นหน้าตาดีกินกันไม่ลงเลยจริง ๆ แถมยังมีเสน่ห์แตกต่างกันไป
พชรจะมีเสน่ห์ของความเป็นเพลย์บอย ปากหวานเจ้าคารม เล่นหูเล่นตาเก่งจนสาว ๆ ต่างหลงใหล
ส่วนศุภวิชญ์นั้นเป็นหนุ่มเนิร์ดดูนุ่มนิ่ม บุคลิกคล้ายกันกับคุณากรเพื่อนของเธอ แต่รุ่นพี่คนนี้ออกแนวละมุนหลอกตาเสียมากกว่า เธอเองก็เคยชื่อเสียงเรื่องผู้หญิงของเขาผ่านหูมาอยู่บ้าง
และคนสุดท้ายทัศนัยหรือก็คือเป้าหมายของเธอ เขาเป็นคนที่นิ่งและสุขุมกว่าคนอื่น ๆ ไม่ค่อยพูดค่อยจา มนุษย์สัมพันธ์ค่อนข้างติดลบ แต่เขากลับมีเสน่ห์ที่น่าค้นหากว่าใคร ๆ
นั่นก็เพราะใบหน้าของเขามันดึงดูดสายตา ไม่ค่อยเปิดเผยสิ่งใดให้ใครรับรู้ จึงทำให้ใครหลายคนอาจจะอยากล้วงดูข้างในของเขามากกว่าคนอื่น ๆ ในกลุ่ม
ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่หากพวกเขาจะถูกนำไปพูดถึงในวงสนทนาของสาว ๆ ที่ชื่นชอบผู้ชายหล่อ
พชรได้ยินอย่างนั้นก็ยกยิ้มชอบใจ ดูท่าแล้วเพื่อนเขาคงรอดยากจริง ๆ สมแล้วที่กรรณิการ์ถูกยกขึ้นเป็นสาวฮอตที่ผู้ชายต่อคิวรอจีบไม่เว้นว่าง
ก็เธอเล่นมีลูกล่อลูกชน แถมยังหว่านเสน่ห์เก่งแบบนี้ เขาคงทำได้เพียงเอาใจช่วยเพื่อนของเขาให้มันลืมหูลืมตามองสาวสวยข้างกายบ้าง ก่อนที่จะมีใครมาชิงตัดหน้าไปเสียก่อน
“อย่างน้อยไอ้ไทม์ก็ยังดูเป็นคนดีนะพอร์ช ไม่เหมือนมึง” ศุภวิชญ์ที่เงียบอยู่นานเอ่ยขึ้นบ้าง
“กูทำไมวะไอ้เซนต์มึงพูดให้เคลียร์ดิ๊” พชรหันไปถามเอาเรื่องคนที่นั่งอยู่ข้างกันแทน
“เหี้ย”
แน่นอนว่าสโลแกนกลุ่มพวกเขาคือ เล่นกันเองเจ็บน้อยสุด
“คิกคิก ขอโทษค่ะ” กรรณิการ์ที่นั่งมองทั้งสองเถียงกันก็หลุดหัวเราะออกมาให้กับคำพูดหยอกล้อของพวกเขา
เพื่อนของทัศนัยดูน่ารักดีเวลาที่ต่อล้อต่อเถียงกัน จะมีก็แต่เจ้าตัวที่เอาแต่นั่งปั้นหน้านิ่งแถมยังหยิ่งใส่เธอตลอดเวลาอีก
กระทั่งคุณากรและลลิตาเดินกลับมาพร้อมกับจานข้าวในมือ เธอจึงหยุดก่อกวนเขาแล้วหันมานั่งทานอาหารดี ๆ เพราะตอนนี้ก็ใกล้จะหมดเวลาพักแล้ว
บรรยากาศบนโต๊ะเป็นไปอย่างครึกครื้น เพราะกลุ่มของกรรณิการ์เข้าขากับรุ่นพี่หนุ่มทั้งสองคนอย่างพชรและศุภวิชญ์ได้ดีเกินคาด
ส่วนคนที่ยังไม่มีปากเสียงออกมาสักคำก็ทำเพียงนั่งมองอยู่เงียบ ๆ ทัศนัยรู้สึกว่าเปิดเทอมมาแค่สองวัน แต่ชีวิตของเขากลับดูวุ่นวายมากเกินไป
เขาไม่ใช่คนใจแคบอะไร แต่กับหญิงสาวซึ่งนั่งเบียดอยู่ข้างกายนั้นต่างจากคนอื่น ๆ
เพราะเขารู้ว่าเธอจงใจมาก่อกวน และยึดแหวนเอาไว้เพื่อที่จะได้เอาไว้ต่อรองกับเขาไปเรื่อย ๆ
ทัศนัยไม่ได้สบายใจที่ของสำคัญของตัวเองไปอยู่ในมือของคนอื่น แต่อย่างน้อยก็ยังห่วงน้อยกว่าการที่มันหายไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้
“กูอิ่มแล้ว” ร่างสูงผุดลุกขึ้นยืนแล้วหยิบกระเป๋าสะพายขึ้นมา พร้อมกันนั้นก็หยิบจานข้าวของตัวเองเพื่อจะนำไปคืนร้านค้าด้วย
“จะรีบไปไหนวะ วันนี้เราไม่มีเรียนต่อแล้วนะ” พชรถามคนที่เตรียมตัวจะเดินออกไปด้วยความสงสัย
นั่งเงียบเป็นป่าสากมาตั้งนาน อยู่ดี ๆ ก็จะชิ่งหนีเพื่อนแบบนี้เป็นใครจะไม่งงบ้าง
“นั่นดิ ไหนบอกว่าจะรอไปนั่งอ่านหนังสือกับพวกกู” ศุภวิชญ์ถามขึ้นบ้าง
“จะไปเข้าห้องน้ำ จะไปด้วยมั้ยล่ะ?”
“ไปค่ะ”
“กรีน!” คุณากรและลลิตาเอ่ยประสานเสียงกันขึ้นมาทันที
“อะไรอ่า...”
ทัศนัยเหลือบสายตามองคนเด็กกว่าด้วยความเบื่อหน่าย ก่อนจะรีบก้าวยาว ๆ ออกไปจากโต๊ะทันที
ชายหนุ่มเดินออกมาจากโรงอาหารหลังจากนำจานไปคืนร้านค้าแล้วเรียบร้อย เขากำลังจะเดินไปยังรถของตัวเองที่จอดอยู่ข้างตึกคณะ แต่ทว่า...
ปึก!
“โอ๊ย! จะหยุดทำไมไม่บอกกันก่อน” เสียงหวานบ่นอุบเมื่อจู่ ๆ คนที่เดินอยู่ก็หยุดฝีเท้าลง จนเธอไม่ทันตั้งตัวแล้วชนเข้ากับแผ่นหลังกว้างเข้าอย่างจัง
คนอะไรหน้านิ่งเหมือนรูปปั้นไม่พอ ตัวยังแข็งเหมือนก้อนหินอีก
กรรณิการ์ลอบบ่นอีกคนอยู่ในใจ พลางยกมือขึ้นลูบหน้าผากตัวเองป้อย ๆ ก่อนจะเหลือบเห็นคราบรองพื้นที่เคยอยู่บนหน้าเธอไปติดอยู่บนเสื้อของเขาเรียบร้อยแล้ว
แล้วทำไมต้องเกิดแค่กับเธอด้วยล่ะ!?
“จะตามมาทำไม” ทัศนัยหันกลับมามองคนที่เดินตามติดเขาเป็นเงาแล้วถามอย่างไม่เข้าใจ
เขาตามความคิดของยัยเด็กลูกคุณหนูเอาแต่ใจคนนี้ไม่ทันจริง ๆ
คนถูกถามเงยหน้ามองสบตากับคนโตกว่า ก่อนจะยกแขนขึ้นกอดอกแล้วตอบคำถามนั้นของเขากลับไป ด้วยน้ำเสียงที่เธอมักใช้เวลาล่อลวงใครสักคนให้ตกบ่วงเสน่ห์
“ก็กรีนกำลังตามจีบพี่ไทม์อยู่ไงคะ เห็นพี่ไทม์บอกว่าจะไปเข้าห้องน้ำ กรีนก็เป็นห่วงกลัวพี่จะโดนฉุดเลยตามมาด้วย” ใบหน้าสวยเอียงมองเขาพลางยกยิ้มหวานละมุน
จะว่าไปถึงเขาจะดูน่าหมั่นไส้ไปสักหน่อย แต่ก็ต้องยอมรับว่าใบหน้าของเขามันเป็นสิ่งเยียวยาจิตใจชั้นดีจริง ๆ นั่นแหละ
แต่เธอจะมาสะดุดขาตัวเองตกหลุมพรางความหล่อของเขาไม่ได้สิ
มือหนายกขึ้นดันแว่นสายตาให้กลับเข้าที่ แล้วมองใบหน้าของหญิงสาวลูกครึ่งตรงหน้านิ่ง ๆ
“หยุดตามฉันได้แล้ว ทำแบบนี้มันดูเหมือนโรคจิต” เขาว่าเสียงเรียบ
“แต่โรคจิตสวย ๆ แบบหนูก็หายากอยู่นะคะ” เมื่อได้ต่อปากต่อคำกับเขา เธอก็เริ่มหลงลืมตัวใช้แทนสรรพนามตัวเองว่า ‘หนู’ แบบที่น้อยครั้งนักจะใช้แทนตัวเองกับใคร ยกเว้นคนในครอบครัว
ทัศนัยเริ่มรู้สึกหงุดหงิดกับความมั่นใจอันเหลือล้นของหญิงสาวขึ้นมาบ้างแล้ว
สวยไม่สวยแล้วยังไง โรคจิตก็คือโรคจิตอยู่ดี
“เลิกวุ่นวายกับฉันแล้วเอาแหวนคืนมาได้แล้ว เธอควรเอาเวลาที่มาตามวอแวฉันไปตั้งใจเรียนมากกว่านะ” เขาเอ่ยด้วยท่าทีเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น
แต่คนถูกตักเตือนกลับยิ้มหน้าระรื่น แล้วขยับเข้ามายืนชิดร่างสูงใหญ่ของเขามากกว่าเดิม จนร่างกายส่วนหน้าแทบจะแนบชิดกัน
“เรียนไม่จบก็ไม่เป็นไรค่ะ พอดีบ้านรวย พ่อแม่ยินดีเลี้ยงตลอดชีวิตอยู่แล้ว หรือพี่ไทม์สนใจรับหนูไปเลี้ยงไหมคะ” เสียงหวานในท้ายประโยคจงใจเน้นย้ำด้วยน้ำเสียงยั่วเย้า
ได้เห็นแววตาวูบไหวของเขาแล้วกรรณิการ์ก็นึกพอใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
ส่วนทัศนัยนั้นนึกหน่ายใจมากขึ้นทุกที พูดอะไรไปเธอก็เถียงกลับทุกคำทำเอาเขาจนใจที่จะคุยกับเธอต่อแล้ว
ผู้หญิงน่ารำคาญแบบนี้มีอะไรให้ผู้ชายครึ่งค่อนมหา’ลัยหลงกันนักหนา เขาไม่เข้าใจเลยจริง ๆ
มือหนากระชับสายกระเป๋าสะพายข้างแน่นขึ้น แล้วก้าวเท้าเข้าหาคนตัวเล็กอีกหนึ่งก้าว จนช่องว่างที่เคยมีแทบจะหายไปจนหมด
“แล้วอย่าหาว่าฉันใจร้ายล่ะ ระวังความรู้สึกของเธอเอาไว้ด้วย”
ทัศนัยเอ่ยทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้น ก่อนจะหมุนกายเดินออกมาทันที หลงเหลือไว้เพียงกลิ่นอายของเขาที่ยังคงเจือจางอยู่ในอากาศ
นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนวูบไหวไปเล็กน้อยหลังฟังประโยคนั้นจบ กลิ่นอายของเขายังคงติดตรึงไม่จางหาย ทำเอาคนที่เป็นฝ่ายพุ่งชนก่อนอย่างเธอแอบใจสั่นไปวูบหนึ่ง
“ไม่เป็นไรหรอกน่า พี่ไทม์เขาอยากให้ฉันนั่งใกล้นี่นา ฉันฝากแกซื้อข้าวด้วยสิ เอากระเพราหมูกรอบไม่เผ็ดเหมือนเดิมเลย” สาวลูกครึ่งเอ่ยบอกกับเพื่อนสนิทด้วยสีหน้ายิ้มแย้มซึ่งคุณากรที่ลอบมองอยู่ ก็แอบอยากดุเพื่อนอยู่เหมือนกัน แต่พอคิดว่า ถึงบ่นไปเพื่อนสาวตัวดีก็คงไม่ยอมฟังอยู่แล้ว จึงไม่ได้พูดอะไร ออกมา แต่เลือกที่จะเดินไปซื้อข้าวกับลลิตาด้วยกันสองคนแทน“น้องกรีนสนใจเพื่อนพี่ขนาดนั้นเลยเหรอครับ พี่ไม่เห็นมันจะมีอะไรน่าสนใจเลยนะ นิ่งเหมือนรูปปั้นขนาดนี้” พอมีโอกาสพชรก็ชิงถามรุ่นน้องสาวคนสวยในทันทีเขาไม่ได้อิจฉาเพื่อนแต่อย่างใด เพียงแค่อยากใส่ใจเรื่องของเพื่อนก็เท่านั้น“แรก ๆ กรีนก็สนใจที่หน้าตาก่อนน่ะค่ะพี่พอร์ช แต่ว่าตอนนี้ก็คงต้องค่อย ๆ ดูไปก่อน ยังมีอีกหลายอย่างที่กรีนยังไม่เคยเห็น คงต้องรอให้พี่ไทม์ถอด อุ้ย หมายถึงเปิดเผยออกมาให้ดูค่ะ” กรรณิการ์ตอบกลับหนุ่มรุ่นพี่อย่างเป็นกันเอง โดยเธอจงใจพูดประโยคเหล่านี้ให้เพื่อน ๆ ของเขาได้คิดจินตนาการไปเรื่อย และแน่นอนว่ามีเจตนาจะก่อกวนคนที่นั่งอยู่ข้างกันไปพร้อม ๆ กันจากแชตกลุ่มมหา’ลัยเมื่อเช้านี้ ก็ทำให้เธอได้รู้ชื่อของพวกเขาทุกคน เพราะทั้งกลุ่ม
ทัศนัยชะงักไปเมื่อได้ยินประโยคนั้นของหญิงสาว เขาไม่รู้ว่าเด็กนี่ไปเอาความกล้ามาจากไหนถึงได้พูดจาแก่แดดแบบนี้ออกมาได้“คิกคิก ล้อเล่นค่ะ” ก่อนที่เสียงหัวเราะของกรรณิการ์จะดังขึ้น ร่างเล็กสั่นเทิ้มจากการพยายามกลั้นเสียงขำไว้ท่าทางของเขาตอนที่เธอพูดประโยคนั้นไป ทำเอาหญิงสาวรู้สึกขบขันไม่น้อย เธอก็แค่อยากรู้ว่าต้องทำยังไงหน้านิ่ง ๆ แสนหยิ่งของเขาถึงจะเปลี่ยนอารมณ์บ้างแต่ทัศนัยที่รู้สึกคล้ายถูกปั่นหัวนั้นเริ่มมีสีหน้าแววตาอึมครึมลงไม่น้อย เขาสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วผ่อนออกมาช้า ๆ ก่อนจะจ้องใบหน้าเนียนสวยของหญิงสาวตัวป่วนไว้คล้ายกำลังนับหนึ่งถึงสิบในใจ ไม่ให้ลุกขึ้นไปจับตัวผู้หญิงน่ารำคาญคนนี้มาฟาดให้เข็ดหลาบ“เธอต้องการอะไรกันแน่” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างอดกลั้นวันนี้ทั้งวันเขารู้สึกชีวิตวุ่นวายมากเสียจนน่าปวดหัว แค่เพราะผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เพียงคนเดียวที่เพิ่งเจอกันยังไม่ทันถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงด้วยซ้ำ และเพราะผู้หญิงคนนี้ตลอดทั้งวันเขาเลยแทบไม่มีสมาธิเรียน คอยพะวงห่วงกลัวว่าแหวนวงสำคัญจะหายไปแต่ทว่าคำถามนั้นของเขาก็ทำเอาคนตัวเล็กหยุดเสียงหัวเราะลง ดวงตาคู่สวยมองสบนัยน์ตาของรุ่นพี่หนุ่มแล้วคลี่ยิ้ม
ตลอดทั้งวัน ทุกครั้งที่หันไปมองหน้าเพื่อนสนิททั้งสองเธอก็มักจะได้รับสายตาล้อเลียน และท่าทางกลั้นขำเหมือนคนเส้นตื้น จากทั้งสองคนอยู่เสมอ จนเวลาล่วงเลยมาถึงตอนเลิกเรียนในคลาสสุดท้ายของวัน“นี่ พวกแกหยุดหัวเราะได้แล้ว มันมีอะไรน่าขำขนาดนั้น?” เรียวคิ้วสวยขมวดมยุ่งอย่างขัดใจ เพราะยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ“ก็มันตลกนี่ ปกติแกไม่เคยต้องหัวเสียเพราะเรื่องผู้ชายมาก่อน แล้วดูวันนี้สิ เพิ่งเปิดเทอมแต่แกหงุดหงิดผู้ชายไปแล้วสองคน” ลลิตาพูดพลางกลั้นขำไปด้วยมันอาจจะดูไม่ใช่เรื่องตลกอะไรมากมาย แต่สำหรับเธอที่เห็นเพื่อนรักปั่นหัวผู้ชายเล่นมาตลอดก็อดรู้สึกตลกไม่ได้ ที่เห็นว่าเพื่อนถูกผู้ชายสร้างเรื่องให้กลุ้มใจบ้าง“นี่ยัยเลิฟ แกเส้นตื้นเกินไปแล้วนะ” หญิงสาวหน้าลูกครึ่งปรี่เข้าไปตวัดแขนกอดคอของเพื่อนสาวที่ตัวเล็กกว่า แล้วเอ่ยเสียงลอดไรฟันคล้ายกำลังข่มขู่“นี่แกจะฆาตกรรมฉันหรือไง ฮ่าฮ่า” คนถูกกอดรัดยังคงหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจแม้จะดูอันตรายไปสักหน่อยที่สองสาวเล่นกันระหว่างเดินลงบันได แต่ด้านหลังของหญิงสาวทั้งสองมีร่างของคุณากรเดินตามมาไม่ห่าง ซึ่งทำให้สองสาวไม่ค่อยระวังตัวมากนัก เพราะเชื่อว่าเพื่อนหน
“เราสนใจนายอ่ะ จีบได้ป้ะ?”คำพูดของกรรณิการ์สร้างความตกตะลึงระคนตกใจให้กับสองหนุ่มที่นั่งฟังอยู่ทั้งพชรและศุภวิชญ์ต่างหันมองหน้าเพื่อนสนิทอย่างทัศนัยซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยสีหน้าอึ้ง ๆ ปนงุนงงสาวฮอตเป็นฝ่ายรุกว่าอึ้งแล้ว แต่นี่เพื่อนพวกเขายังโดนสาวสวยดีกรีอดีตดาวมหา’ลัยขอจีบซึ่ง ๆ หน้าอีก มันจะหล่อเท่เสน่ห์แรงอะไรเบอร์นั้นแต่คนถูกขอจีบกลับไม่แสดงสีหน้าอาการอะไรออกมาแม้แต่น้อย เขาทำเพียงจ้องหน้าหญิงสาวนิ่ง ๆ ก่อนจะพูดออกมาด้วยสีหน้าที่เริ่มเปลี่ยนจากนิ่งสุขุมเป็นเบื่อหน่ายแทน“ไร้สาระ” เขาเอ่ยเสียงเรียบกรรณิการ์นึกหมั่นไส้ท่าทางไม่สนใจอะไรของชายหนุ่มไม่น้อย แต่เธอก็ยังทำทียิ้มแย้มแล้วตื๊อเขาต่อมาถึงขนาดนี้แล้วเรื่องอะไรที่เธอจะถอยกลับไปมือเปล่า เขาทำเธอหน้าแตกละเอียดชนิดหมอไม่รับเย็บขนาดนั้น เธอคงจะยอมได้อยู่หรอก!“เราจริงจังนะ ถือว่านายอนุญาตก็แล้วกัน งั้นขอไอจีหน่อยสิ แลกกับแหวนวงนี้” หญิงสาวยกเรื่องแหวนเข้ามาเป็นข้อต่อรองทัศนัยนึกเหนื่อยใจอยู่ไม่น้อย เขาไม่เคยเจอผู้หญิงน่ารำคาญขนาดนี้มาก่อน หากเป็นปกติป่านนี้เขาคงลุกหนีไปแล้ว ไม่ยอมนั่งอยู่กับตัววุ่นวายอย่างนี้เป็นแน่แต่เ
“เป็นอะไรรึเปล่าครับ” เสียงทุ้มโทนต่ำค่อนไปทางเรียบนิ่งเอ่ยถามคนในอ้อมแขนวินาทีนั้นกรรณิการ์คล้ายตกอยู่ในภวังค์ เมื่อลืมตาขึ้นมาเห็นใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติในระยะใกล้ รูปหน้าของเขาดูคมคาย ริมฝีปากหยักบางสีชมพูธรรมชาติ ดวงตาคมดุสีถ่านด้านหลังเลนส์แว่นใสไร้ขอบดูมีเสน่ห์ยากจะต้านทานเรือนผมสีดำถูกเซ็ตขึ้นเปิดหน้าผากกว้าง เผยให้เห็นโครงหน้าหล่อได้อย่างชัดเจน ผิวของเขาค่อนข้างขาว แต่ดูเหมือนจะสว่างน้อยกว่าผิวของเธอสักหน่อยกรรณิการ์มองสำรวจใบหน้าดุจพระเจ้าสร้างอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรู้ตัวว่าเผลอจ้องเขานานเกินไป แต่เพราะกลิ่นโคโลญจน์อ่อน ๆ ผสมกับกลิ่นน้ำหอมจาง ๆ จากร่างสูงตรงหน้าทำให้เธอไม่อยากผละออก“ได้ยินรึเปล่าครับ?” เขาถามซ้ำขึ้นอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าหญิงสาวดูเหม่อลอยคนที่เพิ่งได้สติขึ้นมารีบผละตัวออกจากอ้อมแขนหนา กรรณิการ์กระแอมเบา ๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองสบตาเขาชายหนุ่มตรงหน้าจัดว่าหล่อมาก น่าแปลกที่เธอไม่ค่อยคุ้นหน้าคุ้นตาเขาเท่าไหร่นัก หรือจะเป็นเด็กใหม่ก็ไม่แน่ใจแต่ดูจากสถานการณ์แล้วก็อดคิดไม่ได้ว่า...“ขอโทษนะคะ”“ไม่เป็นระ-” แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดจบ หญิงสาวก็ชิงพูดขึ้นมาก่อนแล้ว
ลูกคุณหนูตระกูลผู้ดีอันมีประวัติยาวนานในแวดวงสังคม หญิงสาวที่ถูกจับตามองและเพียบพร้อมไปด้วยฐานะทางสังคมสวย หุ่นดี มีชื่อเสียง ถูกรายล้อมด้วยผู้ชายที่พากันเข้ามาหยอดคำหวาน นั่นอาจจะเป็นชีวิตที่สาว ๆ หลายคนใฝ่ฝันแต่ไม่ใช่กับเธอ!“ให้โอกาสธันอีกสักครั้งไม่ได้เหรอครับ”“เราบอกว่าจบก็คือจบไงธัน เธอจะมาเรียกร้องอะไรอีก”“ทำไมล่ะกรีน ธันไม่ดีตรงไหน ทำไมกรีนถึงตัดธันง่าย ๆ แบบนี้”กรีน หรือ กรรณิการ์ สาวลูกครึ่งไทย-ฝรั่งเศส ของดีประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ ดีกรีอดีตดาวมหา’ลัยหญิงสาวรูปร่างอรชรซึ่งมีส่วนสูงกว่าหนึ่งร้อยหกสิบแปดเซนติเมตร ใบหน้าสวยตามแบบฉบับลูกครึ่งสาว เรือนผมถูกย้อมเป็นสีบลอนด์ทอง รับกับรูปหน้าอันโดดเด่นขับให้หญิงสาวดูมาดมั่นและมีเสน่ห์น่าหลงใหลเครื่องหน้ารูปไข่ประดับไว้ด้วยเรียวคิ้วสวยได้รูป ดวงตาเรียวรีซึ่งมีนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเป็นประกาย ปลายจมูกโด่งรั้นดูน่าหยิก ริมฝีปากอวบอิ่มเคลือบลิปสติกสีแดงเรื่อ มุมปากสวยยกขึ้นเล็กน้อยดูซุกซน“มันไม่ใช่ว่าเธอไม่ดี แต่เราก็คุยกันแล้วไม่ใช่เหรอว่าถ้าเบื่อก็จบ” กรรณิการ์ตอบกลับชายหนุ่มร่างสูงโปร่งตรงหน้าด้วยน้ำเสียงหวานเจือความหงุดหงิดธันว







