Masukเพราะเกรงว่าหากกลับไปที่เพ้นท์เฮ้าส์ในสภาพนี้แล้ว อาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาได้หากพี่สาวอย่างกุลนิภาเห็นว่าน้องสาวคนเล็กของบ้านมีสภาพเหมือนพึ่งไปฟัดกับหมามาจากไหนสักที่
แน่นอนว่าหากพี่สาวรู้ พี่ชายเธอก็ต้องได้รู้ เกิดเรื่องเข้าหูเกรย์สันเมื่อไหร่ เธอไม่อาจรับรองความปลอดภัยให้ใครได้เลยจริง ๆ เพื่อไม่ให้เรื่องราวมันน่าปวดหัวไปมากกว่านี้ กรรณิการ์จึงขอให้รุ่นพี่หนุ่มมาส่งที่หอของลลิตาซึ่งอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมากนัก ระหว่างทางภายในรถถูกปกคลุมด้วยความเงียบ หญิงสาวแอบชำเลืองมองคนที่กำลังขับรถอยู่เป็นระยะ เธอรู้สึกขอบคุณเขาสำหรับเรื่องในครั้งนี้มากจริง ๆ แต่ในขณะเดียวกันก็แอบรู้สึกละอายใจกับการกระทำของตนเองไปด้วย จะไม่ให้รู้สึกแบบนั้นได้ยังไง ในเมื่อเธอไปก่อกวนตามแกล้งทำตัววุ่นวายใส่เขาตั้งมากมายขนาดนั้น แต่คนพี่กลับไม่คิดปล่อยผ่านตอนที่เห็นเธอโดนทำร้าย แถมยังอาสามาส่งกันอีก แม้จะเป็นลูกคุณหนูที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามใจ แต่เธอก็ไม่ใช่คนที่เอาแต่ใจจนไม่สนสี่สนแปดขนาดนั้น ทุกครั้งที่กลั่นแกล้งเขาเธอก็พยายามไม่ให้มันเลยเถิดมากเกินไป ส่วนเรื่องแหวนเธอไม่ได้ตั้งใจจะเก็บไว้นานนัก แค่คิดว่าพ้นอาทิตย์นี้ไปก็ตั้งใจจะคืนให้เขาแล้ว “แวะซื้อยาก่อนไหม” ทว่าจู่ ๆ ทัศนัยที่จดจ่ออยู่กับถนนเบื้องหน้าก็หันกลับมาถามเธอเสียงทุ้ม เขาดูอ่อนโยนลงมากหากเทียบกับช่วงที่ผ่านมา คงเพราะนึกสงสารหรือเห็นใจขึ้นมาล่ะมั้ง “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่ประคบเย็นก็น่าจะหายแล้ว” แล้วทัศนัยก็ได้รู้อะไรเกี่ยวกับเธอเพิ่มอีกหนึ่งอย่าง นั่นก็คือความดื้อรั้นของคนน้องที่มีไม่น้อยไปกว่าความปั่นป่วนวุ่นวายของเจ้าตัวเลย แต่ถึงเธอจะบอกมาแบบนั้น ชายหนุ่มก็ยังเปิดไฟเลี้ยวแล้วหมุนพวงมาลัยเข้าข้างทางอยู่ดี “อยู่นี่แหละ” เสียงทุ้มเอ่ยบอกกึ่งออกคำสั่ง ร่างสูงเปิดประตูลงจากรถคันหรู แล้วตรงเข้าไปในคลินิกขายยา โดยปล่อยให้คนเจ็บนั่งงงอยู่บนรถ ใครไม่งงก็แปลกแล้วแหละ อยู่ดี ๆ คนที่ทำท่าทางหงุดหงิดรำคาญใส่ตลอดเวลาที่เจอหน้ากัน ยามนี้กลับเป็นคนเดียวกับคนที่เดินเข้าไปในร้านขายยา เพื่อซื้อยาให้คนที่ตัวเองรำคาญ มีตรงไหนไม่ย้อนแย้งบ้างล่ะ ผ่านไปไม่ถึงสิบนาที ทัศนัยก็เดินกลับมาที่รถพร้อมกับขึ้นมานั่งประจำที่ตัวเองเหมือนเดิม ถุงใส่ยาซึ่งมีทั้งยาทานและยาสำหรับทาแผลฟกช้ำ รวมถึงยาแก้อักเสบและอีกหลายอย่างถูกยื่นมาตรงหน้า แต่กรรณิการ์กลับไม่ยอมรับมันไปสักที จนเขาต้องเอ่ยปากบอก “รับไปสิ” ดวงตาคู่คมภายใต้เลนส์แว่นเหลือบมองใบหน้าหวานเล็กน้อย “ขอบคุณค่ะ” แม้จะยังงุนงงอยู่บ้างแต่ก็ยอมรับถุงยามาจากมือเขา เมื่อเธอรับมันมาแล้ว เขาก็ขับรถต่อจนมาถึงหอพักของลลิตา ที่เธอบอกทางกับเขาไว้ตั้งแต่ตอนขึ้นรถมากับเขา ก่อนจะมาเธอได้โทรบอกเพื่อนสาวเอาไว้ก่อนแล้ว เพราะอย่างนั้นเมื่อมาถึงเธอจึงทำเพียงส่งข้อความไปบอก แล้วรอให้เจ้าตัวลงมารับที่ด้านล่าง “คือว่า... ขอบคุณอีกครั้งนะคะ” กรรณิการ์หันไปกล่าวขอบคุณชายหนุ่มรุ่นพี่อีกครั้ง “อืม” และเขาก็ทำเพียงขานรับในลำคอสั้น ๆ เท่านั้น รออยู่ไม่นานเจ้าของห้องพักที่เธอจะมารบกวนในค่ำคืนนี้ก็เดินปรี่ลงมา กรรณิการ์เห็นแบบนั้นก็รีบเอ่ยลาชายหนุ่มแล้วลงจากรถไปหาเพื่อนสาวทันที “เห้ย! แกไปฟัดกับหมาที่ไหนมาเนี่ย” ลลิตาที่เห็นสภาพเพื่อนสนิทก็ถึงกับร้องถามด้วยความตกใจ สภาพยัยคุณหนูตอนนี้ดูไม่จืดเลยสักนิด “เอาไว้ค่อยคุยกัน ฉันอยากขึ้นไปอาบน้ำก่อน เหนียวไปทั้งตัวแล้วเนี่ย” มือเรียวยกขึ้นสางเส้นผมที่พันกันจากการถูกจิกกระชาก หนำซ้ำยังมีความเหนียวจากน้ำหวานมาทำให้มันยิ่งพันกันแน่นกว่าเดิม กรรณิการ์หันกลับไปมองรถของทัศนัย ก่อนจะเห็นว่าเขาค่อย ๆ ขับออกไปช้า ๆ ราวกับรอให้เธอและลลิตาขึ้นไปด้านบนก่อน หญิงสาวลอบอมยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะชวนเพื่อนรักคนสนิทให้ขึ้นไปบนห้องพัก “แล้วคือแกก็ปล่อยให้มันตบอยู่ฝ่ายเดียวน่ะเหรอ?” ลลิตาร้องถามเสียงดัง ใบหน้าของเธอยามนี้ดูโกรธเกรี้ยวไม่น้อย จะไม่ให้โกรธได้ยังไง ในเมื่อเพื่อนเธอถูกกระทำถึงขนาดนี้ แถมยังบอกว่าไม่เอาเรื่องฝ่ายนั้นอีก ต้องบอกว่าทั้งโกรธทั้งโมโหเลยต่างหาก กรรณิการ์มองท่าทางหัวฟัดหัวเหวี่ยงของเพื่อนสนิทแล้วก็ได้แต่นั่งนิ่ง เพราะไม่ผิดจากที่คาดเอาไว้เลยสักนิด ว่าลลิตาจะต้องโมโหมากแน่ ๆ หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ลลิตาก็ออกไปซื้ออาหารเข้ามาให้ จากนั้นพอกินเสร็จเธอก็ถูกซักถามจนต้องยอมเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นให้เพื่อนสาวฟัง และพอฟังจบก็กลายเป็นอย่างที่เห็น เพื่อนรักของเธอแทบจะกระโจนออกไปจากห้องเพื่อไปจัดการกับคนที่ทำร้ายเธอ “ช่างเถอะแก ยัยนั่นเองก็โดนสวมเขา แค่ถูกแฟนนอกใจไม่พอ เพื่อนยังหักหลังอีก ปล่อยไปเถอะ” เพราะไม่อยากติดใจเอาความอะไรมาก เธอจึงพยายามหว่านล้อมให้เพื่อนสนิทใจเย็นลง “แต่มันก็ไม่ควรมาทำร้ายร่างกายคนอื่นไหม? แล้วนี่ปกติแกไม่เคยปล่อยให้ใครทำอยู่ฝ่ายเดียว แล้วครั้งนี้ทำไมยอม?” เจ้าของห้องถามอย่างไม่เข้าใจนัก ตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมาสามปีนั้น ลลิตาก็รู้ดีว่าเพื่อนสนิทของเธอไม่ใช่พวกยอมคน ใครทำมา ก็จะโดนสวนกลับแบบหนักกว่าเสมอ นั่นจึงทำให้เธอสงสัยไม่น้อยว่าทำไมในครั้งนี้กรรณิการ์ถึงยอมปล่อยผ่านไปง่าย ๆ “แกก็รู้นี่ว่าฉันไม่ยอมเจ็บตัวฟรีอยู่แล้ว เอาเป็นว่าไม่ต้องห่วงหรอก” กรรณิการ์เอ่ยตัดบทเพราะไม่อยากพูดถึงเรื่องในวันนี้อีก “เห้อ เอาเถอะ ฉันว่าแกก็เบา ๆ ลงบ้างนะเรื่องผู้ชายน่ะ ตั้งแต่เปิดเทอมปีสามมา แกเจอแต่เรื่องวุ่น ๆ” ลลิตามองคนที่นั่งกอดหมอนอยู่บนตียงด้วยความเป็นห่วง “รับทราบแล้วค่ะคุณแม่” คนถูกเตือนตอบรับด้วยท่าทางกวน ๆ “เดี๋ยวเถอะ” เจ้าของห้องยกนิ้วขึ้นชี้ใบหน้าสวยของเพื่อนสาว ก่อนที่เธอจะเข้าไปอาบน้ำบ้าง และปล่อยให้คนเจ็บได้ใช้เวลากับตัวเอง กรรณิการ์รอจนเพื่อนสนิทหายเข้าห้องน้ำแล้ว จึงหันไปหยิบมือถือขึ้นมาเพื่อส่งข้อความหาคนที่ช่วยเหลือเธอในวันนี้ Green_eiei : ขอบคุณที่ช่วยวันนี้นะคะ Ttime : ไม่เป็นไร Green_eiei : (ส่งรูปภาพ) Green_eiei : เจ็บมากเลย ถ้ามีคนโอ๋ก็คงจะดี Ttime : อย่าลืมทายา Green_eiei : มาทาให้หน่อยสิ Ttime : ให้เพื่อนช่วยทา Green_eiei : อยากให้พี่ไทม์ทาให้ค่ะ รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้างาม เธออ่านข้อความที่เขาตอบกลับมาแล้วก็ได้แต่ลอบหัวเราะเบา ๆ ดูท่าเขาคงจะอ่อนลงให้เธอมากเลย ทั้งที่ปกติเวลาเธอแกล้งทักไปกวน เขาก็แทบไม่ตอบกลับด้วยซ้ำ คงเป็นพวกหนุ่มซึนสินะ และบทสนทนาก็จบลงเพียงเท่านั้น เพราะหลังจากเธอส่งข้อความล่าสุดไป ฝ่ายทัศนัยก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมาอีก กายบางทิ้งตัวลงนอนบนเตียงในอ้อมแขนมีตุ๊กตาแมวของเพื่อนสนิทถูกกอดจนยับยู่ กรรณิการ์เกลือกกลิ้งไปมาด้วยความสบายใจ ทั้งที่วันนี้เพิ่งถูกตบจนหน้าช้ำมา เรื่องราวในวันนี้ทำให้ความรู้สึกบางอย่างภายในใจของเธอค่อย ๆ งอกเงยขึ้นมาทีละนิด ซึ่งตอนนี้เธอก็ยังไม่ค่อยเข้าใจมันสักเท่าไหร่ แต่ก็คิดว่ามันคงเป็นความรู้สึกที่ไม่แย่เกินไปนักหรอก “คิดอะไรของแกเนี่ยยัยกรีน” พลันใบหน้าสวยก็ส่ายไปมาแรง ๆ ไล่ความคิดฟุ้งซ่านไร้สาระออกจากหัวเพราะเกรงว่าหากกลับไปที่เพ้นท์เฮ้าส์ในสภาพนี้แล้ว อาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาได้หากพี่สาวอย่างกุลนิภาเห็นว่าน้องสาวคนเล็กของบ้านมีสภาพเหมือนพึ่งไปฟัดกับหมามาจากไหนสักที่ แน่นอนว่าหากพี่สาวรู้ พี่ชายเธอก็ต้องได้รู้ เกิดเรื่องเข้าหูเกรย์สันเมื่อไหร่ เธอไม่อาจรับรองความปลอดภัยให้ใครได้เลยจริง ๆ เพื่อไม่ให้เรื่องราวมันน่าปวดหัวไปมากกว่านี้ กรรณิการ์จึงขอให้รุ่นพี่หนุ่มมาส่งที่หอของลลิตาซึ่งอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมากนัก ระหว่างทางภายในรถถูกปกคลุมด้วยความเงียบ หญิงสาวแอบชำเลืองมองคนที่กำลังขับรถอยู่เป็นระยะ เธอรู้สึกขอบคุณเขาสำหรับเรื่องในครั้งนี้มากจริง ๆ แต่ในขณะเดียวกันก็แอบรู้สึกละอายใจกับการกระทำของตนเองไปด้วย จะไม่ให้รู้สึกแบบนั้นได้ยังไง ในเมื่อเธอไปก่อกวนตามแกล้งทำตัววุ่นวายใส่เขาตั้งมากมายขนาดนั้น แต่คนพี่กลับไม่คิดปล่อยผ่านตอนที่เห็นเธอโดนทำร้าย แถมยังอาสามาส่งกันอีก แม้จะเป็นลูกคุณหนูที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามใจ แต่เธอก็ไม่ใช่คนที่เอาแต่ใจจนไม่สนสี่สนแปดขนาดนั้น ทุกครั้งที่กลั่นแกล้งเขาเธอก็พยายามไม่ให้มันเลยเถิดมากเกินไป ส่วนเรื่องแหวนเธอไม่ได้ตั้งใจจะเก็บไว้นานนัก แค่คิ
ตกเย็นหลังจากเลิกเรียนในคลาสสุดท้ายแล้ว กุลนิภาพี่สาวคนกลางของเธอก็ส่งข้อความมาบอกว่าจะเข้ามารับ เพราะเจ้าตัวมาทำธุระแถวนี้พอดี โดยคุณากรก็ขอติดรถไปด้วยกัน ความจริงแล้วเธอสามารถขอให้บิดาออกรถให้ได้หรือจะเรียกคนขับรถจากบ้านใหญ่มาคอยรับส่งก็สามารถทำได้ แต่เพราะอยากใช้ชีวิตแบบเรื่อยเปื่อยตามใจตัวเอง เธอจึงปฏิเสธที่จะซื้อรถส่วนตัวหรือใช้รถของครอบครัว ขณะกำลังนั่งเล่นมือถืออยู่บนรถโดยมีเพียงเสียงเพลงที่เปิดคลอเบา ๆ กลบความเงียบภายในรถนั้น ดวงตาคู่สวยพลันเหลือบขึ้นมองถนนเบื้องหน้าเพราะเริ่มมึนหัว แต่เรื่องบังเอิญก็ช่างเกิดได้ถูกจังหวะตรงเวลาเสียเหลือเกิน “เจ๊ เดี๋ยวจอดให้หนูลงข้างหน้านี้หน่อยค่ะ” เสียงหวานโพล่งขึ้นเมื่อรถกำลังจะเคลื่อนผ่านจุดหมายไป “จะไปเถลไถลที่ไหนอีกล่ะตัวแสบ” แม้จะปากบ่นอยู่บ้าง แต่กุลนิภาก็ตบไฟเลี้ยวเข้าข้างทางให้ในทันที “แค่ไปช้อปปิ้งเอง เอาเป็นว่าจะรีบกลับนะ” จบคำเบนซ์ลีย์คันหรูก็จอดนิ่งสนิท กรรณิการ์จึงหันมามองหน้าพี่สาวแล้วพูดต่ออีกประโยคว่า “ฝากเจ๊ไปส่งนิคด้วยนะ บ๊ายบาย” เนื่องจากคุณากรเองก็รู้จักมักคุ้นกับพี่สาวของเธออยู่พอสมควร เธอจึงคิดว่าคงไม่เป็นไรที่จะ
ตกเย็นกรรณิการ์กลับมายังเพ้นท์เฮ้าส์ที่พักอาศัยอยู่กับพี่สาวคนกลางอย่างกุลนิภาด้วยสภาพเหนื่อยอ่อนวันนี้หลังจากที่ไปก่อกวนทัศนัยเสร็จแล้วตลอดทั้งคลาสเรียนช่วงบ่ายเธอก็เหมือนถูกสูบวิญญาณออกจากร่างไปจนหมดเพราะอาจารย์ที่สอนวิชานั้นไม่ค่อยชอบเธอนัก ส่วนสาเหตุก็มาจากการที่ตอนอยู่ปีสอง เธอโดดเรียนวิชานี้บ่อย ๆ ก็เลยถูกหมายหัวมาโดยตลอดเมื่อประตูลิฟต์ส่วนตัวเปิดออก ร่างเพรียวก็ก้าวเดินเข้าไปด้านในเพ้นท์เฮ้าส์หรูที่ถูกออกแบบมาให้เหมาะสำหรับอยู่เป็นครอบครัวกรรณิการ์กำลังจะหอบหิ้วร่างอันเหนื่อยล้าขึ้นไปยังชั้นสอง ทว่ากลิ่นอาหารที่หอมโชยออกมาก็ทำเอาดวงตาคู่สวยเบิกกว้าง กรรณิการ์รีบถอดรองเท้าเปลี่ยนเป็นใส่สลิปเปอร์ ตั้งท่าจะวิ่งเข้าไปในห้องครัว แต่ก็ต้องชะงักไปก่อน เมื่อเห็นว่ามีรองเท้าหนังของผู้ชายถอดอยู่ใกล้กัน“กลับมาแล้วเหรอตัวแสบ” เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้นเรียกความสนใจจากหญิงสาวให้หันไปมอง“เกรย์สัน!” กรรณิการ์ส่งเสียงเรียกชื่อของพี่ชายคนโตออกมาด้วยความดีใจร่างเล็กวิ่งเข้าไปกระโดดกอดร่างสูงของคนเป็นพี่ด้วยความคิดถึง ทั้งกอดทั้งหอมเรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากคนโตกว่าได้เป็นอย่างดี“คิดถึงจังเลย” เส
“ไม่เป็นไรหรอกน่า พี่ไทม์เขาอยากให้ฉันนั่งใกล้นี่นา ฉันฝากแกซื้อข้าวด้วยสิ เอากระเพราหมูกรอบไม่เผ็ดเหมือนเดิมเลย” สาวลูกครึ่งเอ่ยบอกกับเพื่อนสนิทด้วยสีหน้ายิ้มแย้มซึ่งคุณากรที่ลอบมองอยู่ ก็แอบอยากดุเพื่อนอยู่เหมือนกัน แต่พอคิดว่า ถึงบ่นไปเพื่อนสาวตัวดีก็คงไม่ยอมฟังอยู่แล้ว จึงไม่ได้พูดอะไร ออกมา แต่เลือกที่จะเดินไปซื้อข้าวกับลลิตาด้วยกันสองคนแทน“น้องกรีนสนใจเพื่อนพี่ขนาดนั้นเลยเหรอครับ พี่ไม่เห็นมันจะมีอะไรน่าสนใจเลยนะ นิ่งเหมือนรูปปั้นขนาดนี้” พอมีโอกาสพชรก็ชิงถามรุ่นน้องสาวคนสวยในทันทีเขาไม่ได้อิจฉาเพื่อนแต่อย่างใด เพียงแค่อยากใส่ใจเรื่องของเพื่อนก็เท่านั้น“แรก ๆ กรีนก็สนใจที่หน้าตาก่อนน่ะค่ะพี่พอร์ช แต่ว่าตอนนี้ก็คงต้องค่อย ๆ ดูไปก่อน ยังมีอีกหลายอย่างที่กรีนยังไม่เคยเห็น คงต้องรอให้พี่ไทม์ถอด อุ้ย หมายถึงเปิดเผยออกมาให้ดูค่ะ” กรรณิการ์ตอบกลับหนุ่มรุ่นพี่อย่างเป็นกันเอง โดยเธอจงใจพูดประโยคเหล่านี้ให้เพื่อน ๆ ของเขาได้คิดจินตนาการไปเรื่อย และแน่นอนว่ามีเจตนาจะก่อกวนคนที่นั่งอยู่ข้างกันไปพร้อม ๆ กันจากแชตกลุ่มมหา’ลัยเมื่อเช้านี้ ก็ทำให้เธอได้รู้ชื่อของพวกเขาทุกคน เพราะทั้งกลุ่ม
ทัศนัยชะงักไปเมื่อได้ยินประโยคนั้นของหญิงสาว เขาไม่รู้ว่าเด็กนี่ไปเอาความกล้ามาจากไหนถึงได้พูดจาแก่แดดแบบนี้ออกมาได้“คิกคิก ล้อเล่นค่ะ” ก่อนที่เสียงหัวเราะของกรรณิการ์จะดังขึ้น ร่างเล็กสั่นเทิ้มจากการพยายามกลั้นเสียงขำไว้ท่าทางของเขาตอนที่เธอพูดประโยคนั้นไป ทำเอาหญิงสาวรู้สึกขบขันไม่น้อย เธอก็แค่อยากรู้ว่าต้องทำยังไงหน้านิ่ง ๆ แสนหยิ่งของเขาถึงจะเปลี่ยนอารมณ์บ้างแต่ทัศนัยที่รู้สึกคล้ายถูกปั่นหัวนั้นเริ่มมีสีหน้าแววตาอึมครึมลงไม่น้อย เขาสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วผ่อนออกมาช้า ๆ ก่อนจะจ้องใบหน้าเนียนสวยของหญิงสาวตัวป่วนไว้คล้ายกำลังนับหนึ่งถึงสิบในใจ ไม่ให้ลุกขึ้นไปจับตัวผู้หญิงน่ารำคาญคนนี้มาฟาดให้เข็ดหลาบ“เธอต้องการอะไรกันแน่” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างอดกลั้นวันนี้ทั้งวันเขารู้สึกชีวิตวุ่นวายมากเสียจนน่าปวดหัว แค่เพราะผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เพียงคนเดียวที่เพิ่งเจอกันยังไม่ทันถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงด้วยซ้ำ และเพราะผู้หญิงคนนี้ตลอดทั้งวันเขาเลยแทบไม่มีสมาธิเรียน คอยพะวงห่วงกลัวว่าแหวนวงสำคัญจะหายไปแต่ทว่าคำถามนั้นของเขาก็ทำเอาคนตัวเล็กหยุดเสียงหัวเราะลง ดวงตาคู่สวยมองสบนัยน์ตาของรุ่นพี่หนุ่มแล้วคลี่ยิ้ม
ตลอดทั้งวัน ทุกครั้งที่หันไปมองหน้าเพื่อนสนิททั้งสองเธอก็มักจะได้รับสายตาล้อเลียน และท่าทางกลั้นขำเหมือนคนเส้นตื้น จากทั้งสองคนอยู่เสมอ จนเวลาล่วงเลยมาถึงตอนเลิกเรียนในคลาสสุดท้ายของวัน“นี่ พวกแกหยุดหัวเราะได้แล้ว มันมีอะไรน่าขำขนาดนั้น?” เรียวคิ้วสวยขมวดมยุ่งอย่างขัดใจ เพราะยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ“ก็มันตลกนี่ ปกติแกไม่เคยต้องหัวเสียเพราะเรื่องผู้ชายมาก่อน แล้วดูวันนี้สิ เพิ่งเปิดเทอมแต่แกหงุดหงิดผู้ชายไปแล้วสองคน” ลลิตาพูดพลางกลั้นขำไปด้วยมันอาจจะดูไม่ใช่เรื่องตลกอะไรมากมาย แต่สำหรับเธอที่เห็นเพื่อนรักปั่นหัวผู้ชายเล่นมาตลอดก็อดรู้สึกตลกไม่ได้ ที่เห็นว่าเพื่อนถูกผู้ชายสร้างเรื่องให้กลุ้มใจบ้าง“นี่ยัยเลิฟ แกเส้นตื้นเกินไปแล้วนะ” หญิงสาวหน้าลูกครึ่งปรี่เข้าไปตวัดแขนกอดคอของเพื่อนสาวที่ตัวเล็กกว่า แล้วเอ่ยเสียงลอดไรฟันคล้ายกำลังข่มขู่“นี่แกจะฆาตกรรมฉันหรือไง ฮ่าฮ่า” คนถูกกอดรัดยังคงหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจแม้จะดูอันตรายไปสักหน่อยที่สองสาวเล่นกันระหว่างเดินลงบันได แต่ด้านหลังของหญิงสาวทั้งสองมีร่างของคุณากรเดินตามมาไม่ห่าง ซึ่งทำให้สองสาวไม่ค่อยระวังตัวมากนัก เพราะเชื่อว่าเพื่อนหน







