“รับเลี้ยงหนูไว้ได้ไหมคะ?” “ฉันไม่นิยมเลี้ยงเด็ก” “ไม่ได้เหรอคะ หนู หนูบริการคุณได้นะคะ” “บริการอะไร” “ทำแบบนั้นไงคะ แบบที่เมื่อคืนเราทำกันหนู หนูทำให้คุณได้นะ” “ถ้าอมให้ฉันแตกได้ จะลองพิจารณาดู”
Voir plus“มาร์ มาร์ขออยู่ที่นี่อีกปีหนึ่งได้มั้ยจ๊ะแม่”
“ได้อีกแค่วันเดียวเท่านั้น! เก็บข้าวของให้เรียบร้อยพรุ่งนี้จะให้คนไปส่ง ฉันใจดีกับแกสุดแล้วนะ”
“แล้วเงินของมาร์ล่ะจ๊ะ”
“เงินอะไร!?” แม่เลี้ยงตวาดลั่น จนร่างเล็กที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องนอนตัวเองสะดุ้งด้วยความตกใจ “ค่าหัวพ่อแกก็ถือเป็นค่าเลี้ยงดูที่ฉันเลี้ยงแกมาเกือบห้าปีนี่ไง”
“แล้วมาร์จะเอาเงินไหนไปเช่าห้องล่ะจ๊ะ มาร์ขอเงินติดตัวสักสองพันได้ไหม?”
“นั่นมันปัญหาของแกและฉันไม่ให้ ตอนหกโมงเช้าต้องไสหัวออกไปจากที่นี่และอย่ากลับเข้ามาอีก!”
“แต่ว่า…”
“แกไม่มีสิทธิ์มาต่อรองอะไรกับฉันทั้งนั้น!” พูดจบจิตรดาก็เดินจากไป ทิ้งให้สาวน้อยวัยสิบเก้าปียืนจมอยู่กับน้ำตา เธอปิดประตูห้องแล้วเดินกลับไปนั่งกอดเข่าตัวเองร้องไห้อยู่ข้างเตียง
ดวงตาที่เพิ่งผ่านการร้องไห้มาตลอดเจ็ดวันที่ผ่านมาหลังจากบิดาที่เป็นครอบครัวเพียงคนเดียวเสียชีวิตได้เริ่มทำงานหนักอีกครั้งเมื่อเสร็จจากงานศพผู้เป็นพ่อแม่เลี้ยงก็ไล่เธอออกจากบ้านด้วยเหตุผลที่ว่าเธอไม่มีประโยชน์อะไรกับหล่อน
เด็กสาวที่มีอายุเพียงสิบเก้าปีจะเอาชนะอะไรหล่อนได้นอกจากยอมก้มหน้ารับกรรมที่ในชาติที่แล้วคงทำไว้เยอะ ชาตินี้จึงต้องมารับผลกรรมไม่เคยได้มีชีวิตที่สุขสบายเหมือนเด็กคนอื่น ไม่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับพ่อแม่สักที
ตั้งแต่เด็กจนอายุได้สิบขวบกว่าๆ เธออยู่กับแม่มาสองคนเพราะพวกท่านเลิกกัน พอช่วงอายุสิบสี่จู่ๆ แม่ก็บอกว่าคืนดีกับพ่อจึงพามาอยู่กับพ่อได้เพียงเดือนเดียวแม่ก็จากไปด้วยโรคมะเร็ง ผ่านงานร้อยวันแม่ไปพ่อก็มีเมียใหม่คือจิตรดา
เธอคิดว่าอย่างน้อยนี่คงเป็นครอบครัวใหม่ของเธอ หลังจากเรียนจบเพียงไม่กี่เดือนพ่อก็เสียชีวิตลงด้วยโรคหัวใจวายเฉียบพลัน มันเหมือนฟ้าผ่าลงมาทำให้กำแพงที่กำลังก่อตัวอย่างสวยงามพังทลาย
“ฮรึก! แม่จ๋าพ่อจ๋า ทะ ทำไมไม่อยู่เป็นพ่อกับแม่หนูให้นานกว่านี้ ทำไม ฮรึก! ทำไมต้องทิ้งหนูไว้คนเดียวแบบนี้ด้วย ฮืออออ!” เธอปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาราวสามสี่นาทีก่อนจะลุกขึ้นยืนปาดน้ำตาตัวเองทิ้ง
“ไม่ เธอไม่ควรจะร้องพ่อกับแม่ไม่ชอบน้ำตาของเธอมาร์” เตือนตัวเองแล้วเดินไปหยิบกระเป๋าใบใหญ่มาเก็บเสื้อผ้าในตู้พับใส่กระเป๋าไว้ เลือกของใช้ที่จำเป็นเพื่อจะได้นำกระเป๋าไปเพียงใบเดียว
จัดแจงทุกอย่างเสร็จก็เข้าไปอาบน้ำชำระร่างกายก่อนจะมาทิ้งตัวนอนบนที่นอนนุ่มที่คงได้นอนหลับบนนี้เป็นวันสุดท้าย และแล้วไม่รอให้เวลาผ่านไปโดยศูนย์เปล่าเธอรีบพาตัวเองเข้าสู่ห้วงนิทราไปอย่างง่ายดาย
….
เวลาตีห้ามายาวีเดินถือกระเป๋าเสื้อผ้าออกมาจากห้องนอน ลงไปยังชั้นล่างของบ้านที่ยังคงเงียบสงัดไม่ใครตื่น ดวงตากลมโตมองสำรวจภายในบ้านด้วยหัวใจแป้วๆ
“ถ้ามีโอกาสฉันจะกลับมาเยี่ยมแกอีกนะ” ร่ำลาบ้านหลังเดียวที่มีอยู่ แล้วก็เดินออกจากบ้านไปอย่างไม่อยากมารับฟังเสียงแม่เลี้ยงไล่เพราะหล่อนอาจจะไม่ได้ใช้แค่ปากอาจจะใช้ความรุนแรงกับเธอเหมือนที่เคยทำมา
แม้จะไม่รู้ว่าควรไปไหนแต่คิดว่าพ่อกับแม่ไม่อยู่แล้วเธอก็ไม่สามารถที่จะอยู่ในบ้านหลังนี้ได้ มายาวีเดินตามถนนฟุตบาทไปเรื่อยๆ ณ เวลานี้ไม่ได้เงียบวังเวงเพราะเริ่มมีรถวิ่งพลุ่งพล่าน ผู้คนเริ่มทยอยออกไปทำงานแล้ว
ครืดดด~ โทรศัพท์เครื่องเก่าสั่นอยู่ในกระเป๋าเสื้อฮู้ดของมายาวี มือเล็กหยิบมันขึ้นมามองหน้าจอที่แตกจนเละเทะ เมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ของเพื่อนเพียงคนเดียวจึงกดรับสายด้วยรอยยิ้ม
“ฮัลโหลเปรม ว่าไงแก”
(แม่ฉันบอกว่าถ้าไม่มีที่ไปจริงๆ มาอยู่ห้องฉันก่อนก็ได้)
“ได้จริงเหรอ?” ถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นอย่างมีความหวัง รีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
(แต่ว่า…)
“แต่ว่าอะไรเหรอ ถ้าจะขอเงินค่าที่พักฉันไม่มีให้หรอกแกฉันมีเงินติดตัวมาแค่ร้อยเดียวเองแต่ถ้าหางานทำได้ค่อยจ่ายคืน”
(ไม่ใช่เรื่องนั้น แกลองมาที่ห้องฉันดูก่อนก็แล้วกัน)
“โอเค กำลังไปนะ”
(โอเค ฉันอยู่หน้าห้องแหละ)
“เอ๋? นี่ตีห้ายี่สิบกว่าๆ แกทำอะไรอยู่หน้าห้องเหรอตื่นเช้าจัง” มายาวีเดินตรงไปหยุดที่กลุ่มคุณลุงคนขับวินมอเตอร์ไซค์ที่มักจะเริ่มงานช่วงตีห้ารอรับส่งคนงานแถวนี้
(มาดูสิ เดี๋ยวก็รู้)
“อ่อ เคๆ” วางสายแล้วก็บอกเส้นทางกับคุณลุงจากนั้นก็ซ้อนท้ายรถมุ่งหน้าไปยังห้องเช่าของเปมิศาเพื่อนคนเดียวของเธอที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก
“เท่าไหร่จ๊ะ”
“สามสิบครับ” มายาวียื่นเงินให้คุณลุงพร้อมรอรับเงินทอนแล้ววิ่งไปหาเปมิศาและยังไม่ทันอ้าปากถามอะไรก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายมาจากด้านในห้องพักของเพื่อนรัก
“กูบอกให้หาเงินมากูจะแดกเหล้า! อีเปรมมันไปไหนนอนตื่นสายโด่งไม่ทำงานทำการหาเงิน มึงก็อีกตัวทำงานได้เท่าไหร่ก็จะเอาไปให้แต่มันเรียน เรียนไปทำเหี้ยไรโง่แบบนั้น!”
“นี่ใช่ไหมที่ให้ฉันมาดู” มายาวีเดินไปนั่งลงบนพื้นปูนหน้าห้องพร้อมถามเปมิศาที่ก็พยักหน้ารับด้วยสีหน้าเศร้าๆ
“อยากให้มาอยู่ด้วย แต่ดูสภาพแล้วแกน่าจะอยู่ไม่ได้เพราะลำพังฉันยังต้องรีบนอนเพื่อตื่นเช้าเลย” พ่อเลี้ยงที่มักจะไปดื่มเหล้าเข้าบ่อนช่วงหัวค่ำและกลับมาช่วงตีสี่ตีห้าทุกวันทำให้เธอกลายเป็นคนนอนเร็วตื่นเช้าไปโดยปริยาย
“ฉัน…เข้าใจ”
“เฮ้อ! แล้วแกจะไปอยู่ไหนเหรอ?”
“ไม่รู้ ว่าสายๆ จะไปหางานทำดูน่ะ”
“ฉันอยากไปหางานทำบ้าง แต่ว่าต้องช่วยแม่ขายของ”
“ก็ดีแล้วนี่แม่ยังมีของขาย ช่วยๆ แม่ไปเถอะ”
“ทำไมชีวิตเราไม่เหมือนเพื่อนคนอื่นๆ บ้างนะ เมื่อไหร่ฉันจะได้หลุดออกจากที่นี่เหมือนแกบ้างนะ”
“ไม่ดีเลยเปรม ออกมาจากครอบครัวไม่ดีเลยนะมีแม่อยู่ก็อยู่กับท่านไปเถอะ” หากไม่มีครอบครัวแล้วจะรู้ว่ามันทรมาน ไม่มีที่พึ่งจากที่ไหนไร้ที่อยู่อาศัยเหมือนเธอในตอนนี้
“ไงก็ขอให้หางานได้นะ เดี๋ยวฉันเข้าไปช่วยแม่เตรียมของก่อนอีกเดี๋ยวก็น่าจะออกไปขายของแล้ว” แม่เปมิศาเป็นแม่ค้าขายข้าวแกงแถวหน้าตลาดขายทุกวัน เรื่องเงินทองก็แค่พอมีพอใช้เธอรู้จักกับแม่เปมิศามาตั้งแต่เด็กๆ เพราะท่านเป็นเพื่อนแม่เธอ
“อืม แกเองก็อย่าเพิ่งท้อนะฉันเชื่อว่าชีวิตเราคงไม่แย่ไปตลอดหรอก” กล่าวจบมายาวีก็เดินออกไปตามทางเรื่อยๆ เพื่อมองหางานทำ มือเล็กหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเน็ตที่วันนี้จะมีเน็ตใช้เป็นวันสุดท้ายและเธอจะต้องรีบใช้มันหางา…
พลั่ก! เคร้ง!
กว่าทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางก็ตอนที่ลูกๆ ของมายาวีเติบโตเป็นสาวเป็นหนุ่มแล้ว ณลิลในวัยสิบเจ็ดปีและเป็นหนึ่งในวัยสิบสามปี ส่วนคุณแม่ก็ปาไปสามสิบปลายๆ และคุณพ่อที่จะห้าสิบอยู่ไม่กี่ปีทว่าความรักของพวกเขากลับไม่เคยลดน้อยถอยลงเลยแม้แต่น้อย“คุณพ่อขา คุณแม่ไปไหนเหรอคะ” เสียงหวานใสของเด็กสาววัยสิบเจ็ดปีอย่างณลิลวิ่งเข้ามานั่งบนพื้นพับเพียงข้างผู้เป็นพ่อที่นั่งอ่านข่าวกีฬาจากไอแพดอยู่ เปลวเพลิงวางไอแพดลงยกมือขึ้นมาลูบผมบุตรสาวอย่างอ่อนโยน“คุณแม่ไปตลาดกับน้องครับ”“วันนี้วันเกิดเพื่อนหนูขอไปได้ไหมคะ?”“รอขอแม่ก่อนไหมครับ”“อือ คุณแม่ไม่ให้ไปอยู่แล้ว”“แล้วคิดว่าพ่อจะให้ไปเหรอ”“ก็คุณพ่อใจดีกว่าคุณแม่นี่คะ ณินก็ไปด้วยนะคะหนูไม่ได้ไปคนเดียว”“หนูเพิ่งอายุสิบเจ็ดเองนะ จะหัดเที่ยวกลางคืนแล้วเหรอ” ถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ไม่แข็งหรือว่าอ่อนนุ่มจนเกินไป ณลิลขยับขึ้นไปนั่งบนโซฟายกแขนขึ้นมากอดอกแสดงท่าทาเอาแต่ใจออกมา“ไม่รักหนูแล้วล่ะสิถึงพูดแบบนี้”“ถ้าหนูดื้อพ่อก็ไม่รัก”“คุณพ่ออ่า” ขยับเข้าไปโอบกอดผู้เป็นพ่อที่มีอายุจะห้าสิบแล้วทว่าความหล่อของเขากลับไม่แผ่วลงเลยสักนิด ยิ่งอายุเยอะก็ยิ่งหล่อดึงดูดสาว
ผ่านไปไม่กี่เดือนคุณแม่มือใหม่อย่างมายาวีก็ได้ให้กำเนินลูกสาว ทุกคนต่างเห่อมาก มาดูและชื่นชมกันไม่หยุดหย่อนแต่เปลวเพลิงคุณพ่อมือใหม่กับเห็นแววดื้อรั้นของลูกสาวตั้งแต่เกิดมาไม่กี่ชั่วโมง ดูจากตอนนี้ที่ร้องไม่หยุดแม้จะมีนมจากเต้าของแม่อุดปากอยู่ก็ตาม…“โอ๋ๆ หนูจะร้องทำไมลูก คุณหมอคะเขาเจ็บหรือเปล่าทำไมร้องไม่หยุดเลย” มายาวีหันไปถามคุณหมอที่กำลังยืนคุยอยู่กับเปลวเพลิงเมื่อลูกสาวตัวน้อยนั้นร้องไม่ยอมหยุด แม้จะอ้าปากคาบนมแต่ก็ยังส่งเสียงร้องออกมาด้วย“ไม่เป็นอะไรหรอกครับ เด็กร้องน่ะดีแล้ว”“อ่อ เงียบแล้ว” ก้มมองเด็กน้อยในอ้อมอกที่ปิดเปลือกตาลงแล้ว ปากยังคงดูดนมเธออย่างเอร็ดอร่อย มายาวีถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อลูกสาวหลับไปแล้วใช้เวลาพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาลไม่กี่วันก็กลับมาเลี้ยงลูกอยู่ที่บ้านจนตอนนี้ครบสามเดือนแล้ว คุณแม่มือใหม่กับความวุ่นวายที่เกิดขึ้นแทบทุกวันจนบางคืนคุณพลับพลึงต้องมานอนที่นี่เพื่อช่วยลูกสะใภ้เลี้ยงหลานสาวตัวน้อยที่อ้อนเก่งเสียเหลือเกิน“ณลิลน้อย ดูดนมเก่งแล้วนะเรา” เสียงหวานใสของคุณแม่ที่นั่งอุ้มเด็กน้อยอยู่ในอกดังขึ้น ดวงตากลมใสจ้องมองลูกสาวตัวน้อยที่ดูดนมจ๊วบจ๊วบหล
บ้านปรัชญา…ภายในบ้านที่กำลังครึกครื้นเมื่อทุกคนยกเว้นเรมิกับรัญช์ต่างพากันมารวมตัวกันเมื่อพูดคุยสังสรรค์กันเป็นประจำแทบทุกอาทิตย์เลยก็ว่าได้ ตอนนี้ปัณณพรกับเปมิศาย้ายมาอยู่ที่บ้านของปรัชาแล้วเพราะทั้งคู่เพิ่งแต่งงานไปเมื่อเดือนที่แล้วปัณณพรแยกทางกับสามีโดยมีปรัชญาสั่งห้ามไม่ให้พ่อของเปมิศาเข้ามาวุ่นวายที่นี่แต่จะส่งเงินให้รายเดือนเอาซึ่งสองแม่ลูกตกลงเพราะสามีเอาแต่เมาไม่ทำมาหากินตัวปัณณพรจึงไม่ได้ต้องการมาสร้างปัญหาให้ตัวเองสักเท่าไหร่“แล้วทำไมหนูเรมิไม่มาล่ะ” ปัณณพรเอ่ยขณะกำลังล้างผักเพื่อเตรียมอาหารให้เด็กๆ อยู่ในครัวกับลูกสาวคนสวยที่คอยเป็นลูกมือ“ตีกันกับพี่รัญช์มั้งคะ”“ตีกีนจริงไหม?”“ก็ทะเลาะกันปกติแหละค่ะ เถียงกันนิดๆ หน่อย”“เรมิเอาแต่ใจครับ พอถูกรัญช์ตามใจก็เคยตัวแต่ช่วงนี้รัญช์มันเริ่มเอาจริงเรมิก็เลยงอแงน้อยใจ” ปรัชญาที่นั่งหั่นเนื้อสัตว์อยู่บนโต๊ะกลางครัวเอ่ยขึ้นบ้าง เขารู้มาจากเปลวเพลิงว่าช่วงนี้รัญช์ดุขึ้นซึ่งนั่นคือนิสัยที่แท้จริงของหมอนั่นและที่ดุก็คงเพราะภรรยาสาวของตัวเองคงจะดื้อมากจนเกินไป เขาไม่ได้ห้ามหรือเข้าไปยุ่งเพียงแต่แค่กำชับรัญช์ไว้แค่สองอย่างคือเรื่องนอ
หลายเดือนต่อมา…“พี่เพลิงคะ” เสียงหวานของหญิงสาวร่างเล็กเอ่ยเรียกแฟนหนุ่มที่กำลังปลูกดอกไม้อยู่หน้าบ้าน เขาละมือจากงานตรงหน้าเพื่อหันไปมองแฟนสาวที่กำลังเดินตรงมาทางเขา“ว่าไงครับ?”“พี่เรมิโทรมาชวนไปนั่งเล่นที่คาเฟ่ ขอไปนะคะ”“อืม รอพี่ไปอาบน้ำก่อนนะครับ”“หนูไปคนเดียวไม่ได้เหรอคะ?”“นัดผู้ชายไว้?” ถามเสียงเข้มๆ จ้องหน้าแฟนสาวอย่างจับผิด ร่างเล็กส่ายหัวให้ก่อนจะจูงมือหนาพาเดินเข้าไปในบ้าน“มีผู้ชายให้นัดก็ดีสิคะ”“แล้วทำไมถึงอยากไปคนเดียว”“พี่เรมิอยากมาระบายเรื่องความรักกับพี่รัญช์ พี่เขาบอกว่าไม่อยากให้พี่ไปกลัวพี่จะไปหาเรื่องพี่รัญช์”“มันทำอะไรเรมิ?”“ก็แบบนั้นแหละ”“มีอะไรกันแล้ว?”“อือ”“แล้วทำไมจะต้องมาระบาย แต่งงานแล้วจะมีเซ็กส์กันก็ไม่แปลกอะไรนี่นา เรมินี่ยิ่งนับวันปัญหายิ่งเยอะนะ”“ก็เพราะแบบนี้ไงคะพี่เรมิถึงไม่อยากให้พี่ไปกับหนู”“และพี่ก็ไม่ให้หนูไปด้วยครับ ท้องอยู่เดินทางบ่อยไม่ดีอยู่บ้านนี่แหละ” บอกอย่างเป็นคำสั่งจ้องหน้าแฟนสาวด้วยสายตาแข็งๆ มายาวีจึงซบหน้าลงบนต้นแขนถูใบหน้าไปมาเบาๆ เหมือนแมวตัวน้อยที่กำลังอ้อนเจ้าของ“งื้ออ! แต่หนูอยากไป”“ไม่ครับ ขึ้นไปนอนพักบนห้อง”“พ
หลายวันต่อมา… สุดท้ายวันที่ได้กลับมาบ้านก็ถึงสักที ร่างเล็กลงจากรถวิ่งตรงเข้าไปในตัวบ้านที่จากลาไปเสียหลายเดือนกว่าจะมาได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ดวงตากลมโตมองไปรอบตัวบ้านที่ยังคงใหม่สะอาดน่าอยู่เหมือนกับเมื่อก่อน “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ” เสียงหวานเอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มหวานๆ ขาเรียวก้าวตรงไปยังรูปภาพพ่อกับแม่ที่ติดอยู่ข้างผนังบ้าน มือเล็กยื่นไปแตะใบหน้าของพวกเขาพร้อมฉีกยิ้มหวานให้ “หนูมาร์กลับมาแล้วนะแม่จ๋าพ่อจ๋า” “กลับมาแล้วก็อย่ามาส่งเสียงดังรบกวนคนอื่น” จิตรดาที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาเอ่ยขึ้น หล่อนเบะปากใส่ลูกเลี้ยงที่หันมามองก่อนจะหยิบนิตยสารขึ้นมาอ่านแทนการสบตากับหญิงสาวที่เป็นเจ้าของบ้าน “พี่จันตรีล่ะคะ ไหนว่ากลับมาอยู่ที่นี่แล้ว” มายาวีเดินไปจูงมือแฟนหนุ่มแล้วพากันไปนั่งบนโซฟาตรงข้ามแม่เลี้ยงจิตรดา “อยู่ในครัว” “พี่ให้ทำขนมหวานให้เธอน่ะ” เปลวเพลิงบอกพลางโน้มใบหน้าลงมาหอมแก้มแฟนสาว มายาวีพยักหน้ารับแล้วมองแม่เลี้ยง “ไม่ได้ไปทำงานเหรอคะ?” “วันนี้หยุด” “อ่อ พี่จันก็หยุดเหรอคะ” “จะถามอะไรมากมา…” เมื่อหันไปสบกับสายตาคมกริบของเปลวเพลิงจากที่จะใส่อารมณ์กับลูกเลี้ยงจิตรดาก็ต้อง
สิบห้านาทีต่อมา…“เมียครับ กลับบ้านกันเถอะ” เปลวเพลิงเดินผิวปากเข้ามาในร้านพร้อมเอ่ยเรียกแฟนสาว ด้านหลังเขามีปรัชญาเดินตามมาด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่“คุณปรัช…” เปมิศาเดินไปสำรวจใบหน้าร่างกายของปรัชญาก็พบว่าทุกอย่างปกติเหมือนตอนเดินออกไป มีเพียงแค่สีหน้าเขาเท่านั้นที่ดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ “เป็นอะไรเหรอคะ”“ไม่ได้เป็นไร”“แต่สีหน้าคุณดูหงุดหงิดนะคะ”“ก็ไอ้เวรนี่มันให้ฉันจัดการคนพวกนั้นคนเดียวไง!” ตอบด้วยน้ำเสียงห้วนๆ ไม่สบอารมณ์“คุณปรัชจัดการคนเดียวเหรอคะ แล้วพวกนั้นมีกี่คน” มายาวีถามต่อ มองหน้าแฟนหนุ่มที่เอื้อมมือมายีผมเธอพร้อมรอยยิ้ม“ใช่ครับ มันจัดการคนเดียวพวกนั้นก็แค่ห้าคนเอง”“มันน่าภูมิใจมากไหมคะ?”“ก็ประมาณหนึ่งครับ มีพี่ชายเก่ง” ยกหน้ายกตาพูดอย่างกับภูมิใจจริงๆ มายาวีได้แต่ส่ายหน้าให้เขาเบาๆ ก่อนจะยกมือโบกลาเปมิศาแล้วเดินตามเปลวเพลิงออกไป“จันตรีล่ะคะ?”“วิ่งหนีหัวซุกหัวซุนไปแล้ว”“แล้วผู้ชายพวกนั้น…”“โดนไอ้ปรัชกับไอ้รัญช์จัดการแล้ว เธออยากไปไหนไหมเดี๋ยวพี่พาไป” เปลวเพลิงหยุดเดินเมื่อมาถึงรถ เขายื่นมือไปแตะแก้มนุ่มของแฟนสาวเบาๆ ระหว่างรอคำตอบจากเธอ“อยากกลับบ้านค่ะ แต่ว
Commentaires