LOGINห้าวัน...ห้าวันที่ผ่านไปเหมือนห้าศตวรรษ เวลาในกรงทองแห่งนี้เดินเชื่องช้าจนน่าประหลาด ร่างบางใช้ชีวิตอย่างหวาดกลัว
กิจวัตรของลลิลมีเพียงการตื่นขึ้นมาบนเตียงที่นุ่มเกินไป อาหารยังคงถูกส่งเข้ามาผ่านช่องเล็กๆ ช่องเดิม เวลาเดิม แต่ 'เจ้าของร่างสูง' ไม่เคยกลับมาเลย นับตั้งแต่วันนั้น วันที่เรียกว่า 'ตรวจสอบสินค้า'
อาหารรสเลิศ แต่ลลิลกลืนไม่ลง ร่างบาง..มองตัวเองในกระจกอีกครั้ง แก้มตอบลง ผิวซีดเผือด รอยฟกช้ำจางหาย แต่แววตาว่างเปล่า ร่างกายนี้ซูบผอม อ่อนแอ ทั้งร่างกาย และจิตใจ
'นางบำเรอ' คำที่ชายผู้นั้นพูดทิ้งไว้ มันหมายความว่าอะไร ถ้า 'เจ้าของ' ไม่เคยมาหา
หรือว่า... ความคิดที่น่ากลัวที่สุดผุดขึ้นมาหรือ 'นางบำเรอ' ไม่ได้มีไว้สำหรับเจ้าของร่างสูงเพียงคนเดียว
ความคิดนั้นทำให้ร่างบางสั่นสะท้าน และในจังหวะที่ตกอยู่ในห้วงของความคิดนั้น
คลิก
เสียงประตูหน้าถูกปลดล็อก ไม่ใช่ช่องส่งอาหาร ร่างบางสะดุ้งสุดตัว หัวใจหยุดเต้น ชายหนุ่มกลับมาแล้ว
ร่างบางวิ่งสัญชาตญาณสั่งให้ซ่อนตัว ลลิลพุ่งไปแอบหลังบานประตูไม้หนา ที่เปิดค้างเชื่อมไปยังห้องนอน ตัวสั่นเทา กลั้นหายใจ
เสียงฝีเท้าดังเข้ามา ไม่ใช่คนเดียว
"นายครับ" เสียงของเดช มือขวาคนนั้น
ลลิลแอบมองผ่านช่องว่างของบานพับ ร่างสูงสง่าก้าวเข้ามาในห้อง เจ้าของเพนต์เฮาส์ ตามด้วยเดชที่เดินตามหลังมาอย่างนอบน้อม
ร่างสูงเดินไปที่มินิบาร์ เหมือนไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของลลิล หรืออาจไม่สนใจเลย เสียงน้ำแข็งกระทบแก้วดังใส ตามด้วยเสียงรินเหล้า
เดชยืนนิ่งรออยู่กลางห้อง
"นายครับ เรื่องผู้หญิงคนนี้" เดชเริ่มต้น "ห้าวันแล้ว"
คำพูดนั้นทำให้ลลิลตัวแข็ง พวกเขากำลังพูดถึงตัวเอง
"เธอรู้เรื่องโกดังคืนนั้น" เดชพูดต่อ เสียงเรียบ แต่แฝงความกังวลเชิงธุรกิจ "การเก็บไว้แบบนี้…อาจเป็นความเสี่ยง"
ร่างสูงจิบเหล้าดวงตาคมกริบราวกับเหยี่ยวมองออกไปนอกหน้าต่าง มองแสงไฟของเมือง ไม่ได้มองเดช และไม่สนใจว่าลลิลจะได้ยินหรือไม่
"เธอไม่ใช่ความเสี่ยง" เสียงทุ้มตอบกลับ เย็นชา "เธอคือ 'เครื่องมือ'"
เครื่องมือ?
"คืนพรุ่งนี้" นายของเดชพูดต่อ "งานเลี้ยงของพวกตระกูลพันธมิตร" "เจ้าสัวสมบัติก็มา"
แม้จะไม่รู้จักว่าชื่อนั้นคือใคร แต่เพียงได้ยินบทการสนทนา ร่างของลลิลก็เย็นเฉียบ หัวใจเต้นผิดจังหวะ
"ฉันคิดจะใช้เธอเป็นข้อแลกเปลี่ยนกับส่วนลดในการซื้ออาวุธล็อตใหม่ที่กำลังมีปัญหา"
โลกทั้งใบของลลิลถล่มทลาย เสียงวิ้งในหูของร่างบางดังจนกลบทุกสิ่ง แลกเปลี่ยนกับอาวุธ
นี่เอง...นี่คือความจริง การตรวจสอบคืนนั้น การที่ร่างสูงไม่กลับมา ไม่ใช่เพราะพอใจในตัวสินค้า แต่ร่างสูงแค่ 'เช็กคุณภาพ' เพื่อเตรียม 'ขายต่อ'
'นางบำเรอ' ไม่ได้หมายถึงเป็นของร่างสูง แต่เป็นของใครก็ได้ ที่ให้ผลประโยชน์สูงสุด
"ไปจัดการ 'เตรียมสินค้า' ให้พร้อมสำหรับคืนพรุ่งนี้" ร่างสูงสั่งเดช
"อย่าให้มีตำหนิ"
เดชพยักหน้ารับคำ "ครับนาย"
ทั้งคู่เดินออกจากห้องไป ทิ้งให้ลลิลอยู่กับความจริงที่โหดร้าย ร่างบางทรุดตัวลงกับพื้นไร้เรี่ยวแรง
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ร่างบางยังคงนั่งอยู่ที่เดิม จุดที่แอบฟัง จุดที่โลกแตกสลาย
คลิก
เสียงประตูเปิดอีกครั้ง เสียงนั้นทำให้ลลิลสะดุ้งสุดตัว เดช มือขวาคนนั้นกลับมา ครั้งนี้ไม่ได้มาคนเดียว มีผู้หญิงรับใช้สองคนเดินตามมา ใบหน้าเรียบเฉยนิ่งราวกับหุ่นยนต์
พวกนั้นเข็นราวแขวนเสื้อผ้าเข้ามา มีถุงคลุมสีดำสนิท เดชเดินมา รูดซิปลง สิ่งที่ปรากฏคือชุดราตรี งดงามที่สุดเท่าที่ลลิลเคยเห็น อาจจะเป็นสีแดงเลือดนก สีที่เหมือนกับชะตากรรมของร่างบาง
กล่องเครื่องประดับกำมะหยี่ถูกเปิดออก เพชร ส่องประกายระยิบระยับ บาดดวงตา เครื่องสำอางแบรนด์หรูวางเรียงราย
"คุณทัศสั่งให้คุณเตรียมตัวสำหรับงานคืนพรุ่งนี้" เสียงของเดชเรียบเฉย
งาน...งานเลี้ยง...แลกกับอาวุธ...คืนพรุ่งนี้
"ไม่" ลลิลส่ายหน้า เสียงแหบแห้ง "ไม่…ฉันไม่ไป"
ร่างบางถอยหลัง ดุจสุนัขจนตรอก สัญชาตญาณดิบสั่งให้ปฏิเสธ "ฉันไม่ไป!"
เดชเพียงพยักหน้า ผู้หญิงรับใช้สองคนเข้าประกบทันทีที่มือพวกนั้นแตะโดนแขน ลลิลก็กรีดร้อง ร่างบางต่อสู้ ข่วน กัด ปัดถาดเครื่องสำอางบนโต๊ะ เสียงแก้วและตลับราคาแพงตกแตกกระจายเกลื่อนพื้นหินอ่อน
"ปล่อยฉันนะ!"
"ฉันไม่ใช่สิ่งของ!"
ร่างบางพยายามวิ่งไปที่ประตู แต่เดชขยับรวดเร็วกว่า
เพี๊ยะ!
"ถ้าคุณดิ้น" เสียงเย็นชาของเดชดังลงมาจากเบื้องบน "คุณทัศสั่งให้ 'มัด' แล้ว 'ห่อ' ไป"
"คืนพรุ่งนี้ คุณต้องไป เลือกเอาว่าจะไปดีๆ...หรือจะให้เราห่อไป"
ความหวังสุดท้ายดับวูบลง ลลิลหยุดดิ้นรน ร่างกายสั่นเทา แต่ไร้การต่อต้าน
"พาไปล้างตัว"
ผู้หญิงรับใช้ลากร่างที่ไร้วิญญาณของลลิลไปยังห้องน้ำ พวกหล่อนไม่รอให้ร่างบางถอดเสื้อผ้า ชุดนอนผ้าฝ้าย ที่ลลิลใส่มาหลายวัน ถูก 'กระชาก' เสียงผ้าขาดดัง แคว่ก ร่างบางเปลือยเปล่า ต่อหน้าคนแปลกหน้าที่มองมาด้วยสายตาว่างเปล่า
ลลิลถูกผลัก ตกลงไปในอ่างน้ำวนที่เตรียมน้ำไว้แล้ว น้ำร้อนจนเกือบลวกผิว
ร่างบางพยายามจะลุกขึ้น แต่ถูกมือกดไหล่ไว้ ผู้รับใช้คนหนึ่ง หยิบ 'แปรงขัดตัว' ไม่ใช่ฟองน้ำนุ่มๆ แต่เป็นแปรงขนแข็ง ที่ใช้ขัดผิว
พวกหล่อนเริ่มขัดถูร่างกายอย่างรุนแรง เหมือนขอดเกล็ดปลา ความเจ็บแสบ แล่นไปทั่วผิว โดยเฉพาะบริเวณรอยช้ำเก่า ร่างบางถูกจับพลิกไปมา ถูกยกแขน ยกขา เหมือน 'ปลาที่ถูกขอดเกล็ด'
ร่างบาง 'จิตหลุด' ดวงตาว่างเปล่า จ้องมองเพดานหินอ่อน ปล่อยให้สองคนทำกับร่างกายนี้ไป
เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น ทีมงานถอยออกไปยืนรอที่มุมห้อง และประตูเพนต์เฮาส์ก็เปิดขึ้นอีกครั้ง
ร่างสูงใหญ่ของเดชก้าวเข้ามา สายตาเย็นชาของเดช กวาดมอง 'ผลงาน' ตรงหน้า ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเป็นการตรวจสอบไม่ใช่การชื่นชม
"หันไป" เดชสั่ง ลลิลตัวแข็งทื่อ
"หันหลัง" เสียงนั้นเด็ดขาด ร่างบางจำต้องลุกขึ้นยืน หมุนตัวช้าๆ เหมือนตุ๊กตาไขลาน ความอัปยศแล่นริ้วไปทั่วร่าง
เดชยกแท็บเล็ตขึ้น ถ่ายรูป ด้านหน้า ด้านหลัง
"นิ่งๆ" เดชคำราม เมื่อเห็นว่าร่างบางกำลังสั่น
ภาพในหัวของลลิลชัดเจน นี่คือการถ่ายรูป 'สินค้า' เพื่อส่งให้ 'ผู้ซื้อ' อย่างเจ้าสัวสมบัติดูหรือส่งให้ 'เจ้าของ' อย่างธนาทัศอนุมัติ
เดชก้มมองจอภาพ พยักหน้าอย่างพอใจ
"ดี" ร่างนั้นหันไปพูดกับเหล่าผู้รับใช้ "พรุ่งนี้ ทุกอย่างต้องเหมือนเดิมแบบนี้ เป๊ะ เข้าใจไหม"
"ค่ะ" เหล่าผู้รับใช้รับคำ
เดชหันกลับมามองลลิลที่ยืนตัวสั่นในชุดราตรี
"คืนนี้บำรุงผิว 'สินค้า' ให้ดีที่สุด" "พรุ่งนี้คุณทัศไม่ต้องการเห็น 'ตำหนิ' แม้แต่รอยเดียว"
เดชเดินออกจากห้องไป ทิ้งความอัปยศระลอกใหม่ไว้ให้
"ถอดชุด" ผู้รับใช้คนเดิมสั่ง ลลิลที่กำลังสับสนแต่ก็ถูกบังคับให้ถอด ชุดราตรีราคาแพง และเครื่องเพชร 'ป้ายราคา' ถูกนำกลับไปเก็บอย่างดี เพื่อรอการใช้งานจริงใน 'คืนพรุ่งนี้'
ร่างบางถูกทิ้งให้อยู่ในชุดคลุมอาบน้ำตัวบาง ถูกนำไปที่เตียงนวด ที่ถูกเตรียมไว้ การ 'ทำความสะอาด' รอบใหม่เริ่มต้นขึ้น แต่ครั้งนี้ไม่ใช่การขัดถูที่รุนแรง แต่คือการ 'บำรุง' โลชั่นและครีมราคาแพง ถูกชโลมลงบนผิว ทุกตารางนิ้ว นวด คลึง อย่างเป็นขั้นตอน ไร้ความปรานีแต่ก็ไร้ซึ่งอารมณ์
นี่ไม่ใช่การปรนเปรอ นี่คือการ 'บำรุงรักษาสินค้า' เพื่อให้พร้อมใช้งานที่สุดในวันส่งมอบ เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นทั้งสองคนก็ถอยออกไป ทิ้งลลิลไว้ในห้องที่มืดสลัว ตามลำพัง ในชุดคลุมอาบน้ำ กับเวลาที่เหลือนับถอยหลัง
ร่างบางลุกขึ้น มองภาพสะท้อนตัวเองในกระจกมืดๆ ผิวที่ถูกบำรุงจนขึ้นเงา แต่ดวงตาว่างเปล่า แตกสลาย
ภาพ 'เจ้าสัวสมบัติ' ที่จินตนาการว่าต้องอ้วน แก่ และน่ารังเกียจ ผุดขึ้นมา กำลังมองมาด้วยสายตาแบบเดียวกับที่ธนาทัศใช้ ในคืน 'ตรวจสอบ'
ไม่... ลลิลส่ายหน้า ตนเองหนีจากน้าเข้มมาไม่ใช่เพื่อมาถูกขายแบบนี้
ร่างบางกลัวธนาทัศ กลัวความเย็นชา กลัวการตรวจสอบ แต่ลลิลกลัว 'อนาคตที่ไม่รู้จัก' กับ 'เจ้าสัวสมบัติ' มากกว่า
ธนาทัศอย่างน้อยก็หล่อเหลา แม้จะโหดร้ายแต่ก็เป็นความโหดร้ายที่ลลิล 'เริ่มรู้จัก' แต่เจ้าสัวสมบัติ ชายแก่ตัณหากลับ ร่างบางยอมตกนรกขุมที่เลือกเองดีกว่าถูกส่งไปนรกขุมอื่น!
ทางรอดเดียวคือต้องทำให้ธนาทัศ 'ไม่อยากขาย' ต้องทำให้ร่างสูง 'ซื้อขาด' ไม่ใช่แค่ 'แลกเปลี่ยน'
ร่างบางต้องทำให้ธนาทัศเห็นว่า ร่างกายนี้ 'มีประโยชน์' กับธนาทัศ มากกว่าส่วนลดอาวุธบ้าๆ นั่น
ลลิลสบตาตัวเองในกระจก แววตาที่เคยสิ้นหวัง ค่อยๆ แข็งกร้าว เปลี่ยนเป็น 'ความเด็ดเดี่ยว' ครั้งสุดท้าย
พรุ่งนี้เช้า...นั่นคือเส้นตาย คือเวลาที่ร่างบางจะถูก 'ห่อ' ไป จะไม่ยอม...จะไม่อยู่ในห้องนี้เพื่อรอชะตากรรม
หญิงสาวก้าวไปที่ประตูมือเรียวบางกดปุ่มอินเตอร์คอม นิ้วสั่นแต่ทว่าเสียงที่เปล่งออกไปกลับเด็ดขาด
"ฉัน...ฉันขอพบคุณทัศ เดี๋ยวนี้"
เสียงดนตรีคลาสสิกและเสียงผู้คนจอแจจากงานเลี้ยงจางหายไปทันทีที่ประตูบานหนักของปีกบริการปิดลง ทิ้งไว้เพียงเสียงฝีเท้าของเดชที่ดังเป็นจังหวะ และเสียงลากร่างที่ไร้เรี่ยวแรงของลลิลมือขวาคนสนิทของธนาทัศไม่ได้พูดอะไรอีกหลังจากประโยคสุดท้ายที่แสนเยือกเย็นนั้น มือที่บีบต้นแขนของร่างบางไว้แน่นราวกับคีมเหล็ก ลากหญิงสาวผ่านโถงทางเดินที่สว่างจ้า ตรงไปยังประตูทางออกฉุกเฉินความอัปยศแล่นริ้วไปทั่วร่าง ลลิลไม่ได้ถูกลากกลับเข้าไปในงานเลี้ยง ไม่ได้ถูกประจานต่อหน้าแขกเหรื่อ แต่นี่อาจจะเลวร้ายกว่า การถูกลากเหมือนซากสัตว์ที่ไร้ค่าออกทางประตูหลัง ตอกย้ำสถานะ 'ทรัพย์สิน' ที่เสียหายของร่างบางเท้าเปลือยเปล่าที่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วนและคราบดิน ก้าวสะเปะสะปะไปบนพื้นปูนเย็นเฉียบ ชุดราตรีสีแดงสดที่เคยงดงาม ตอนนี้ขาดวิ่นและเปรอะเปื้อนจนดูน่าสมเพชเดชลากร่างบางมาจนถึงลานจอดรถด้านหลังที่มืดสลัว รถลีมูซีนสีดำสนิทคันเดิมจอดรออยู่ เครื่องยนต์ติดอยู่ แต่เงียบกริบราวกับสัตว์ร้ายที่รอคอยเหยื่อประตูหลังฝั่งหนึ่งถูกเปิดออกโดยคนขับรถที่ยืนรออย่างนอบน้อม เดชไม่พูดพร่ำทำเพลง มือหนาผลักร่างที่ไร้วิญญาณของลลิลเข้าไปด้านในอย่างไ
รั้วเหล็กตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ห่างออกไปเพียงไม่กี่สิบก้าว ลมหายใจของลลิลขาดห้วง ร่างกายที่บอบช้ำจากเมื่อคืนก่อนถูกผลักดันด้วยสัญชาตญาณเฮือกสุดท้าย เท้าเปล่าที่เหยียบย่ำบนหญ้าเปียกชื้นไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดอีกต่อไปความหวัง...มันคือสิ่งเดียวที่ขับเคลื่อนร่างบางในตอนนี้อีกแค่สิบก้าว...อีกห้าก้าว... มือเล็กยื่นออกไปข้างหน้า ปลายนิ้วสั่นเทาเกือบจะสัมผัสได้ถึงความเย็นเฉียบของโลหะธาตุแห่งอิสรภาพแต่แล้วร่างบางที่พุ่งทะยานก็หยุดชะงักกะทันหันราวกับชนเข้ากับกำแพงที่มองไม่เห็นไม่ใช่กำแพง แต่เป็นเงาร่างหนึ่งที่ก้าวออกมาจากเงามืดของต้นไม้ใหญ่ เงามืดที่ลลิลกำลังจะใช้เป็นที่หลบซ่อนนั่นเองร่างหนาไม่ได้วิ่งไล่ตาม ไม่ได้รีบร้อน ชายคนนั้นเพียงแค่ก้าวออกมา 'ยืนขวาง' อย่างใจเย็น ราวกับยืนรออยู่ตรงนั้นนานแล้วร่างที่กำลังพุ่งทะยานชะงักกึก ร่างกายเสียหลักเกือบล้มลงบนพื้นหญ้าที่ลื่นชื้น หัวใจที่เคยเต้นรัวด้วยความหวัง หล่นวูบลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม และหยุดเต้นไปชั่วขณะแสงจันทร์สลัวสาดส่องลงมาเผยให้เห็นใบหน้าที่เรียบเฉย ไร้ความรู้สึกแต่ลลิลจดจำได้แม่นยำ'เดช'มือขวาคนสนิทของธนาทัศความหวังทั้งหมดที่เคยลุกโชน
ลลิลยืนนิ่งเป็นตุ๊กตาประดับห้อง แก้วแชมเปญในมือสั่นระริกจนของเหลวสีอำพันเกือบจะกระฉอกออกมา มืออีกข้างกำแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ ความเจ็บปวดทางกายเทียบไม่ได้เลยกับความอัปยศที่แผดเผาอยู่กลางอกคำพูดของธนาทัศยังคงดังก้อง 'เห็นไหม เธอมี 'ประโยชน์' แล้ว'ประโยชน์...คำนี้ช่างน่ารังเกียจ ประโยชน์ของร่างบางคือการถูกใช้เป็นเครื่องมือตบหน้าคนอื่น คือการถูกตีตราต่อหน้าสาธารณะด้วยจูบที่ไร้ความรู้สึก จูบที่อ้างสิทธิ์ความเป็นเจ้าของอย่างป่าเถื่อนลลิลเหลือบมองร่างสูงที่ยืนห่างออกไปไม่กี่ก้าว ชายหนุ่มกลับเข้าสู่บทบาทนักธุรกิจผู้ทรงอำนาจได้อย่างไร้รอยต่อ พูดคุย หัวเราะเบาๆ กับกลุ่มนักการเมือง โดยไม่หันมามอง 'ถ้วยรางวัล' ที่เพิ่งใช้งานไปแม้แต่น้อยร่างสูงคงคิดว่าลลิลสิ้นฤทธิ์แล้ว คงคิดว่าการ 'ซื้อขาด' ในคืนนั้น และการ 'ลงทัณฑ์' ด้วยจูบเมื่อครู่ ได้ทำลายศักดิ์ศรีของร่างบางจนหมดสิ้นแล้วใช่...ศักดิ์ศรีของลลิลถูกขยี้จนไม่เหลือชิ้นดี แต่มันไม่ได้ดับไฟในใจของหญิงสาว มันกลับจุดไฟแห่งความเกลียดชังและความปรารถนาที่จะหนีให้ลุกโชนขึ้นมาแทน'ฉันต้องหนี'ความคิดนั้นชัดเจนยิ่งกว่าครั้งไหนร่างบางกวาดสายตามองไปรอบห้อ
เท้าเปล่าที่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วนครูดไปกับพื้นปูนเย็นเฉียบของลานจอดรถ ลลิลไม่มีเวลาแม้แต่จะทรงตัว ร่างบางถูกลากกึ่งจูงให้ก้าวตามแผ่นหลังกว้างของธนาทัศที่เดินนำลิ่วไปยังลิฟต์ส่วนตัวบรรยากาศภายในกล่องเหล็กนั้นน่าอึดอัดยิ่งกว่าในรถ หญิงสาวยืนตัวสั่นอยู่มุมหนึ่ง โดยมีเดชยืนคุมเชิงอยู่ข้างๆ ขณะที่ร่างสูงของผู้เป็นนายยืนกอดอกนิ่งมองตัวเลขชั้นที่เลื่อนขึ้นอย่างใจเย็นติ๊งประตูลิฟต์เปิดออกยังชั้นเซฟเฮาส์ร่างบางถูกกระชากออกจากลิฟต์ และถูกผลักอย่างแรงจนร่างทั้งร่างปลิวเข้าไปในห้องนอน หญิงสาวเสียหลักล้มลงบนเตียงนุ่มอย่างไม่ออมแรงความทรงจำอันเลวร้ายจากสถานที่แห่งนี้หวนกลับมาจู่โจมทันทีปัง!เสียงประตูห้องปิดตามหลัง พร้อมเสียงล็อกอัตโนมัติที่ดังสนั่น ลลิลสะดุ้งสุดตัว รีบตะเกียกตะกายทรงตัวลุกขึ้นนั่งดวงตาทั้งสองข้างฉายแววความกลัวออกมาอย่างปิดไม่มิด เมื่อเห็นร่างสูงสง่าของธนาทัศก้าวตามเข้ามาในห้อง ร่างบางพยายามที่จะถอยหลังหนีไปอีก จนกระทั่งแผ่นหลังบอบบางแนบสนิทกับหัวเตียงชายหนุ่มปลดเนกไทสีดำออกจากลำคอแกร่งอย่างเชื่องช้า"นี่คือโทษสำหรับการหลบหนีของเธอ"ธนาทัศไม่พูดเปล่า ร่างสูงจับข้อมือเล็กไว้
แทนที่จะเดินหนี ธนาทัศกลับจูงลลิล ลากผ่านฝูงชนที่แหวกทางให้ เหมือนคลื่นทะเลที่แยกออกให้พญาราชสีห์เดินผ่าน เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นรอบทิศทาง ตอกย้ำสถานะ 'ของเล่นชิ้นใหม่'ทุกย่างก้าวหัวใจของลลิลหล่นวูบ'โกหก!' ความคิดนั้นเหมือนฟ้าผ่า 'กำลังจะส่งมอบฉันเดี๋ยวนี้!'ร่างบางพยายามดึงแขนกลับ ต้านทานแต่ไร้ผล มือใหญ่ของธนาทัศ บีบลงบนแขนเล็ก แน่นเหมือนคีมเหล็ก เป็นการเตือน 'อยู่นิ่งๆ' คำขู่เมื่อคืนดังก้องในหัวทั้งคู่มาหยุดตรงหน้าชายแก่ร่างท้วมคนนั้น"อา...สวัสดี คุณทัศ ผู้ยิ่งใหญ่" ชายแก่หัวเราะ เสียงดังกลบเสียงดนตรี สายตาตะกละตะกรามยังคงไม่ละไปจากลลิล"และนี่คงเป็น..." ชายแก่หันมามองลลิล ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า "ดอกไม้ที่งดงามที่สุดในคืนนี้"ชายแก่พยายามจะคุยกับลลิลโดยตรง "ไม่ทราบว่าดอกไม้นี้ ชื่ออะไร"ลลิลก้มหน้าเม้มปากแน่น ร่างบางสั่นสะท้านด้วยความกลัวจนควบคุมไม่ได้ ธนาทัศยิ้ม แต่ตาไม่ยิ้ม ร่างสูงตอบราวกับลลิลไม่มีตัวตน "เด็กคนนี้ไม่มีชื่อหรอกครับ เจ้าสัว""แต่มี 'ราคา'"คำว่า 'เจ้าสัว' ทำให้ร่างบางยิ่งสั่นสะท้าน นี่คือชายแก่ที่ร่างสูงพูดถึงในห้องทำงาน คนที่ร่างบางเกือบถูก 'ขาย' ให้"ยอดเยี
แสงแดดอ่อนๆ ส่องผ่านม่านหนา ลลิลลืมตาขึ้นบนพื้นกระเบื้องที่เย็นเฉียบ ร่างกายยังคงเปลือยเปล่าใต้ชุดคลุมอาบน้ำที่ชื้นแฉะ ร่างกายปวดร้าว โดยเฉพาะความระบมช้ำ ณ จุดเร้นลับที่ถูกย่ำยีเมื่อคืน ทำให้ทุกการขยับตัวคือความทรมาน จิตใจ ว่างเปล่า'รอดแล้ว' ความคิดนั้นแวบเข้ามา 'อย่างน้อยก็ไม่ถูกขาย' ร่างบางจำคำพูดของธนาทัศได้'ฉันตกลง' แต่ความโล่งใจนั้นถูก 'ราคา' ที่ต้องจ่ายกลบจนหมดสิ้นคลิกเสียงปลดล็อกดิจิทัลดังขึ้น ตรงเวลา ลลิลสะดุ้ง แต่ไม่ได้ซ่อนตัว 'ทีมงาน' ชุดเดิม ผู้หญิงในชุดยูนิฟอร์มหน้าหุ่นยนต์สองคน ก้าวเข้ามา ครั้งนี้ ลลิล 'ไม่ต่อสู้' ร่างบางรู้แล้วว่ามันไร้ประโยชน์หญิงสาวยอมเป็น 'ตุ๊กตาไร้ชีวิต' ฝืนพยุงร่างลุกขึ้น ไม่ขัดขืน ยืนนิ่ง ปล่อยให้สายตาเย็นชาเหล่านั้นสำรวจ ปล่อยให้พวกนั้นจับร่างอาบน้ำอุ่นอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ใช่การขัดล้างที่เจ็บแสบ แต่คือการ 'บำรุง' อีกครั้งตามที่เดชสั่งโลชั่นและน้ำมันหอมราคาแพงถูกชโลมลงบนผิว เหล่าผู้รับใช้นวดวนโลชั่นอย่างเป็นกลาง ไร้อารมณ์ มือเย็นชาเหล่านั้นไม่สนใจ แม้จะต้องสัมผัสโดนรอยแดงเป็นจ้ำๆ บริเวณซอกคอและหัวไหล่ ร่องรอยความเป็นเจ้าของที่ธนาทัศขบเม้มทิ้ง







