Mag-log inที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อ ลินดาใช้ช้อนตักน้ำซุปที่เหลือในชามซดเข้าปากจดหมด โฟล์คยิ้มกว้างเมื่อเห็นลินดากินก๋วยเตี๋ยวร้านที่เขาแนะนำอย่างเอร็ดอร่อยจนไม่เหลืออะไรเลยนอกจากตะเกียบและช้อนในชาม
“บอกแล้ว อร่อยเด็ด” โฟล์คพูดพลางดูดน้ำจากแก้วที่จวนจะเหลือแต่น้ำแข็งแล้ว
“เด็ดจริง ฉันยอมเลย” ลินดาดูนาฬิกาที่ข้อมือ
“กลับเลยไหม ไว้ว่างๆ หลังเลิกงาน คุณค่อยมาเซอร์เวย์ดูของกินอย่างอื่น นี่วันแรก อย่าให้เลยเวลาพักเที่ยงเลย”
“ก็ไหนคุณบอกว่าไม่ซีเรียสเรื่องเวลาเพราะเป็นโฮมออฟฟิศไง” ลินดาท้วง
“ผมหมายถึงผม แต่ถ้าคุณจะทำเหมือนที่ผมทำ ผมไม่รับรองนะว่าจะไม่โดนใครดุว่าอะไร”
“โอเค งั้นกลับกันเลยดีกว่า โธ่ แล้วมาหลอกให้ดีใจ” ลินดาลุกขึ้นไปจ่ายเงิน
“ก็บอกแล้วว่าตำแหน่งคุณมันต้องรับโทรศัพท์” โฟล์คบ่นพึมพำระหว่างที่เดินตามมาจ่ายเงินพร้อมกัน ลินดาหันมาเห็นสีหน้ารู้สึกผิดจากโฟล์คแล้วก็ต้องรีบอธิบาย
“เฮ้ย ฉันไม่ได้ว่าอะไร แค่เข้าใจผิดไปเองน่ะ”
“อื้อ” โฟล์คตอบเธอด้วยการส่งเสียงออกมาสั้นๆ ลินดาคิดอยู่ในใจว่าโฟล์คดูเป็นคนจิตใจอ่อนโยน ดูเขาสุภาพน่ารัก และอัธยาศัยดีมากๆ
ทั้งคู่เดินกลับเข้าออฟฟิศมาด้วยกัน ลินดาชะโงกดูนาฬิกาที่กำแพงในบ้านอีกที เผื่อว่านาฬิกาที่นี่มันจะเร็วกว่านาฬิกาของเธอ
“โอเค ยังทัน” ลินดาหันมาบอกกับโฟล์คอย่างโล่งใจ
“เอ่อ ลินดา”
“ว่า” ลินดาถามเมื่อโฟล์คเรียกชื่อเธอเหมือนจะบอกอะไร โฟล์คไม่ได้ตอบแต่ชี้นิ้วเข้ามาในห้อง ลินดามองตามไปเห็นคุณเบนกับคุณเบลอยู่ในห้องตัดต่อกันทั้งคู่
“อุ้ย ทำไมมาอยู่ด้วยกันอย่างนี้ล่ะ” ลินดาถาม
“หรือว่าเขาไม่พอใจที่เราไปกินข้าวไม่ชวน” เธอยังพูดต่อ
“ไม่ใช่หรอก รีบเข้าไปก่อนดีกว่า”
“แล้วฉันจะอยู่ตรงไหนดี”
“ก็อยู่ที่เดิมเหมือนเมื่อเช้าก็ได้” โฟล์ครีบตอบเธอเพื่อจะได้หยุดบทสนทนาเอาไว้แค่นั้น เขาเดินเข้าห้องไป
“มีอะไรรึเปล่าครับ” โฟล์คถามทั้งคุณเบลและคุณเบน
“ไปไหนกันมาล่ะ” เบลถามโดยพยายามใช้น้ำเสียงนุ่มนวล เขานั่งลงตรงหน้าเครื่องแฟ็กซ์ในห้องเหมือนจะดูว่ามันคงมีปัญหาอะไรสักอย่างระหว่างที่ถามคำถามนั้นกับโฟล์ค เบนมองหน้าเขาโดยไม่พูด ไม่ยิ้ม
“ไปกินข้าวเป็นเพื่อนลินดาครับ” โฟล์คหันมามองหน้าลินดาที่นั่งอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่งด้านนอก เธอเห็นสีหน้าของเจ้านายทั้งสองคนแล้วก็ยังไม่กล้าเข้ามา
“อย่าให้มีอะไรเกินเลยนะ ผมไม่ชอบ เรื่องอะไรผมก็ไม่ว่า ขอแค่เรื่องนี้ เดี๋ยวมันจะมีปัญหา” เบนพูดเสียงเรียบเย็น แต่โฟล์คฟังแล้วกลับรู้สึกร้อนผ่าวๆ
“ไม่มีอะไรเลยครับ เราไปกินก๋วยเตี๋ยวด้วยกันมาเฉยๆ จริงๆ” โฟล์คพยายามอธิบาย เขารู้สึกไม่ชอบใจอยู่ลึกๆ เพราะมันเรื่องเล็กนิดเดียวเท่านั้นเอง แค่ไปกินข้าวด้วยกัน ออฟฟิศนี้ก็มีกันอยู่แค่นี้ ไม่ไปกินข้าวด้วยกันแล้วจะให้ไปกินกับใคร กับแม่เจ้านายไหม เขาก็เคยแล้วไง และใครจะอยากกินข้าวกับคุณยายทุกวันกันเล่า เขาก็ต้องอยากคุยกับคนรุ่นราวคราวเดียวกันบ้างไหม
“เดี๋ยวน้องใหม่จะกลัวนะครับ” โฟล์คพยายามทำให้เป็นเรื่องตลกเมื่อเห็นว่าลินดาไม่กล้าเข้ามา
“ผมว่าจะพาพวกคุณไปกินข้าวเที่ยงด้วยกันเพื่อต้อนรับลินดาเข้ามาทำงานวันแรก เสียดาย อิ่มกันมาซะแล้ว” เบนพูดขึ้น
“อ้าว ขอโทษครับ ผมไม่รู้นี่นา แต่ลินดาเขาอยากให้พาไปหาร้านอร่อยเพราะไม่เคยมาแถวนี้ ผมก็เลยพาไป ไว้พรุ่งนี้คุณเบนค่อยพาเราไปเลี้ยงนะครับ ผมรอเลย” โฟล์คยังพยายามคลี่คลายสถานการณ์ ซึ่งเขาพอจะเดาได้แล้วในที่สุด ว่ามันเป็นเพราะอะไร
“ไม่เป็นไร ไว้ว่างๆ ก่อนแล้วกัน เรียกลินดาเข้ามาให้หน่อย” เบนพูด
“ครับ” โฟล์คออกจากห้องตัดต่อมาเรียกลินดาที่โต๊ะ ลินดาลุกขึ้นรออยู่ก่อนแล้ว เธอรีบถามเขาแบบเร็วๆ
“ตกลงมีอะไรกันเหรอ”
“เรื่องเราไปกินข้าวกันจริงด้วย”
“หา จริงเหรอ”
“เข้าไปหาคุณเบนก่อน เดี๋ยวผมเล่าให้ฟัง” เดี๋ยวเล่าให้ฟังอีกแล้ว ทำไมที่นี่มีเรื่องให้ต้องเล่าสู่กันฟังเยอะแยะนักนะ ลินดาเดินเข้าห้องตัดต่อไป เธอลากเก้าอี้หน้าคอมพิวเตอร์มานั่งลงตรงใกล้ๆ กับคุณเบนโดยไม่เคอะเขิน เบนมองดูเธอแล้วนึกชื่นชมในท่วงท่าที่คล่องแคล่วของเธอ แม้จะเป็นวันแรกในที่ทำงานใหม่ และเธอก็ยังไม่รู้ว่าเบนจะพูดอะไรด้วย
“เดี๋ยววันนี้ผมว่าจะเขียนบทตรงนี้ คุณมีอะไรในคอมพิวเตอร์ที่ต้องเซฟไว้ก่อนไหม ผมจะได้ทำงานผม” ลินดาประหลาดใจว่าทำไมคุณเบนจึงไม่ใช้ห้องทำงานของตัวเอง หรือว่าเขาอยากจะดูการทำงานของเธอว่าเป็นยังไง ซึ่งวันนี้ก็ยังไม่มีอะไรเลยนอกจากการสรุปเนื้อหาในหนังสือให้คุณเบลเท่านั้น
“ไม่มีค่ะ ฉันยังไม่ได้ใช้คอมพิวเตอร์เลย แค่มานั่งเฉยๆ ดูรายละเอียดในหนังสือแล้วจดย่อๆ ไว้ก่อน” เธอกางสมุดให้เขาดู เบนเห็นท่าทางกุลีกุจอของเธอแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ลินดาถึงกับต้องลดสายตาลงเมื่อได้สบตากับเบนที่กำลังมองดูเธอแล้วยิ้มออกมาอย่างทรงเสน่ห์ โฟล์คนี่รู้ดี เธอหลงเสน่ห์คุณเบนเข้าจริงๆ นั่นล่ะ
“โอเค เดี๋ยวผมไกด์ให้หน่อยหนึ่งนะ ดูสถานที่สำคัญๆ มา แล้วลองวางเส้นทางดู ว่าเราจะเริ่มจากจุดไหนเมืองไหนก่อนตอนออกทริปไปถ่ายทำ แต่จะยังไงก็แล้วแต่ เมืองหลวงเป็นที่ที่ยังไงก็ต้องนำเสนอด้วยเพราะเป็นเมืองสำคัญ แล้วถ้าในทริปเดียวเราเก็บหมดทุกที่ไม่ได้ ก็กั๊กบางส่วนเอาไว้คราวหน้า อย่าให้ทริปหนึ่งยาวเกินหนึ่งสัปดาห์ มันจะนานเกินไป กลับมาทำงานกันไม่ทัน ถ้าส่งเทปช้าเราจะถูกปรับ”
ลินดาก้มหน้ามองดูที่หนังสือ เธอไม่กล้าเงยหน้าไปสบตากับเบนเลย
“งงไหมลินดา” เบนเรียกสติลินดาเมื่อเห็นว่าเธอเอาแต่จ้องที่หน้าหนังสือ
“ไม่งงค่ะ” ลินดายังหลบสายตาเขาเหมือนเดิม ในวัยสามสิบต้นๆ ของเบน เขาเข้าใจถูกต้องแน่ชัดว่าลินดาเป็นอะไรไป
“เอาล่ะ เดี๋ยวผมขึ้นข้างบนดีกว่า เพิ่งนึกได้ว่ามีเอกสารต้องเซ็น ต้องใช้สมาธิอ่าน คุณนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ตามสบายนะ ใช้เขียนงานได้เลย”
“ขอบคุณค่ะคุณเบน” เบนยังไม่ลุกจากโซฟา เขานั่งพิงพนักแล้วเหยียดแขนออก ลินดาทำอะไรไม่ถูกเธอจึงลากเก้าอี้กลับไปที่เก่า แล้วนั่งลงดูหนังสือต่อไปทั้งที่หัวใจเธอเต้นแรงมาก เธอหันไปมองดูโฟล์คทางซ้ายมือ ดูเขาไม่ได้สนใจอะไรในห้องแล้วตอนนี้ โฟล์คสวมหูฟังแล้วทำอะไรสักอย่างกับโปรแกรมตัดต่อ ลินดาพยายามตั้งใจดูข้อมูลจากหนังสือเพื่อที่จะเขียนสรุปส่ง แต่หางตาก็เหลือบเห็นแต่คุณเบนที่นั่งอยู่ที่โซฟาใกล้ๆ สาบานได้ว่าเธอได้ยินกระทั่งเสียงลมหายใจของเขา
ราวห้านาทีต่อมาลินดาจึงรู้สึกได้ว่าคุณเบนกำลังลุกขึ้น แม้แต่ชายเสื้อของเขาก็ยังอยู่ในความสนใจของเธอตอนนี้ หน้าตาของเบนก็ละม้ายคล้ายกับเบลอยู่มาก วันก่อนตอนสัมภาษณ์งานกับเบล เธอยังจับจ้องทุกอย่างของเบลได้โดยไม่ต้องกลัวว่าเขาจะรู้ตัว ลินดายังจำได้ว่าเธอสังเกตเห็นนิ้วมือของเบลที่เรียวยาวสวย ซึ่งก็ไม่ได้ต่างอะไรกับเบนด้วยความเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน แต่มันมีอะไรสักอย่างในตัวเบนที่ต่างออกไป ใจเธอจึงได้เต้นแรงอย่างนี้เมื่อได้อยู่ใกล้เขา แม้แต่เสียงลมหายใจของเขาก็ยังทำให้เธอว้าวุ่น ตอนนี้เบนลุกออกจากห้องไปแล้ว แล้วเมื่อห้านาทีก่อนหน้านี้ล่ะ เขายังนั่งทำอะไรต่อหลังจากคุยกับเธอเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลินดาไม่กล้าหันกลับไปมองในระหว่างนั้นเพราะกลัวว่าจะต้องสบตากัน เธอกลัวว่าเจ้านายจะรู้ว่าใจเธอคิดอะไรอยู่ ห้านาทีก่อนหน้านี้ที่เธอกลับมาดูรายละเอียดในหนังสือเล่มเดิมนั้น มันยังไม่มีอะไรผ่านหัวสมองของเธอเลย นอกจากเสียงของคุณเบนเวลาที่เขาขยับตัวอยู่บนโซฟาแม้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ลินดากลับมาตั้งสติและมีสมาธิกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ได้อีกครั้ง เธอนำเอารายละเอียดที่โน้ตไว้ในสมุดมาเริ่มเรียบเร
ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อ ลินดาใช้ช้อนตักน้ำซุปที่เหลือในชามซดเข้าปากจดหมด โฟล์คยิ้มกว้างเมื่อเห็นลินดากินก๋วยเตี๋ยวร้านที่เขาแนะนำอย่างเอร็ดอร่อยจนไม่เหลืออะไรเลยนอกจากตะเกียบและช้อนในชาม “บอกแล้ว อร่อยเด็ด” โฟล์คพูดพลางดูดน้ำจากแก้วที่จวนจะเหลือแต่น้ำแข็งแล้ว “เด็ดจริง ฉันยอมเลย” ลินดาดูนาฬิกาที่ข้อมือ “กลับเลยไหม ไว้ว่างๆ หลังเลิกงาน คุณค่อยมาเซอร์เวย์ดูของกินอย่างอื่น นี่วันแรก อย่าให้เลยเวลาพักเที่ยงเลย” “ก็ไหนคุณบอกว่าไม่ซีเรียสเรื่องเวลาเพราะเป็นโฮมออฟฟิศไง” ลินดาท้วง “ผมหมายถึงผม แต่ถ้าคุณจะทำเหมือนที่ผมทำ ผมไม่รับรองนะว่าจะไม่โดนใครดุว่าอะไร” “โอเค งั้นกลับกันเลยดีกว่า โธ่ แล้วมาหลอกให้ดีใจ” ลินดาลุกขึ้นไปจ่ายเงิน “ก็บอกแล้วว่าตำแหน่งคุณมันต้องรับโทรศัพท์” โฟล์คบ่นพึมพำระหว่างที่เดินตามมาจ่ายเงินพร้อมกัน ลินดาหันมาเห็นสีหน้ารู้สึกผิดจากโฟล์คแล้วก็ต้องรีบอธิบาย “เฮ้ย ฉันไม่ได้ว่าอะไร แค่เข้าใจผิดไปเองน่ะ” “อื้อ” โฟล์คตอบเธอด้วยการส่งเสียงออกมาสั้นๆ ลินดาคิดอยู่ในใจว่าโฟล์คดูเป็นคนจ
“หวัดดีครับ เป็นไงบ้าง น้องใหม่ โดนโฟล์คแกล้งรึเปล่า” เบนโผล่หน้าเข้ามาถามไถ่ทั้งคู่อย่างเป็นกันเอง โฟล์คทักทายคุณเบนกลับไปอย่างอ่อนน้อม ลินดาได้แต่พนมมือไหว้เขา “แคปฟุตที่มาเลย์อยู่ใช่ไหม” คุณเบนเดินเข้ามาในห้องโดยเปิดประตูคาไว้ เป็นสัญญาณบอกว่าเขาคงจะไม่อยู่ในห้องนี้นานนัก เขายืนดูฟุตเทจปัจจุบันจากเทปเบต้าม้วนที่กำลังเล่นอยู่โดยใช้สองฝ่ามือเท้าลงบนโต๊ะตรงหน้าจอคอมพิวเตอร์ ลินดามองดูเขาจากด้านหลัง “ครับคุณเบน อีกไม่กี่ม้วนก็หมดแล้ว” โฟล์คตอบ “อื้ม ดีละ” คุณเบนยืดตัวขึ้นยืนตรง แล้วหันหน้ามาทางลินดา “เบลบอกรายละเอียดงานให้บ้างแล้วใช่ไหมครับ เช่นว่าบริษัทเราทำอะไร แล้วหน้าที่คุณคืออะไร” เบนถามกับลินดา “เอ่อ... บอกแล้วค่ะ” ลินดาไม่ทันตั้งตัว จู่ๆ เบนก็เล่นหันมาหาเธออย่างกะทันหันในระหว่างที่เธอกำลังมองดูไรจอนผมของเขา เนื้อเสียงคุณเบนนุ่ม หวาน และน่าฟังมาก ถึงแม้โทนเสียงจะฟังดูจริงจังอยู่ในทีแต่ลินดาฟังแล้วก็ไม่รู้สึกไม่ติดขัดตรงไหนเลย “ดีครับ แล้วนั่นอ่านอะไรอยู่” “หนังสือเกี่ยวกับประเภทจอร์แดนค่ะ คุณเบลให้ทำส
ลินดานิ่งไปเล็กน้อยเมื่อเบลอธิบายถึงเนื้องานที่เธอต้องรับผิดชอบ ทำเอกสารอะไรน่ะไม่มีปัญหา แต่ต้องไปต่างประเทศเนี่ยสิ ไปประสานงานกองเชียวเหรอ มันฟังดูสลักสำคัญเกินไปไหมสำหรับเด็กใหม่อย่างเธอ “ได้ค่ะ” เธอตอบไปอย่างมั่นใจแม้ข้างในจะเป็นตรงกันข้าม “ไม่ทราบมีพาสปอร์ตรึยังครับ” เบลถามต่อ “ยังเลยค่ะ” “งั้นวันสองวันนี้ไปทำไว้เลยนะ” ลินดาพยักหน้า เธอเริ่มหวั่นๆ อยู่ในใจ แม้จะเชื่อมั่นว่าตัวเธอมีศักยภาพเพียงพอ แต่ดูอะไรๆ มันดำเนินไปไวเหลือเกินสำหรับวันแรกในที่ทำงาน นี่ก็ต้องไปทำพาสปอร์ตรอไว้แล้ว “ได้ค่ะ ไปในเวลางานเลยเหรอคะ” ลินดาถามเบล “ใช่ครับ ไปได้ ไม่มีปัญหา ผมเป็นคนอนุญาต” “ค่ะ” “วันนั้นตอนเห็นหน้าผม คุณดูชะงักไป มีอะไรรึเปล่า” เบลถามเธอด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เปล่าหรอกค่ะ พอดีวันนั้นโฟล์คบอกว่าคุณเบลจะเป็นคนสัมภาษณ์ เห็นว่าชื่อเบลฉันก็นึกว่าคุณจะเป็นผู้หญิง พอเจอตัวจริงก็เลยแปลกใจนิดหน่อย นิดเดียวจริงๆ ค่ะ” ลินดากางนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ให้อยู่ห่างกันให้น้อยที่สุดเพื่อประกอบการอธิบาย “ชื่
“จริงๆ ชั้นสองนี้เราไม่ค่อยได้ขึ้นมาใช้งานเท่าไรหรอก แต่ผมพามาดูจะได้รู้เผื่อเจ้านายให้ขึ้นมาหยิบอะไรเล็กๆ น้อยๆ ให้ บางทีเขาลืมเอกสารไว้บนโต๊ะแล้วเผอิญติดสายอยู่อะไรทำนองนั้น” โฟล์คอธิบายระหว่างที่ทั้งคู่เดินขึ้นบันไดมาชั้นสองด้วยกัน “แล้วปกติคุณเบนกับคุณเบลเขาไม่ได้อยู่ที่นี่เหรอ” ลินดาถามเมื่อเห็นว่าคราวก่อนคุณเบลมาถึงทีหลังเธอและยังต้องเอารถไปจอด ส่วนคุณเบน โฟล์คก็บอกว่าวันนี้เขายังไม่มา “ครับ พอเริ่มโต เริ่มทำงาน เขาก็ออกไปอยู่คอนโดกัน สไตล์คนหนุ่มน่ะ ต้นตระกูลคุณพ่อของเจ้านายเราเป็นมหาดเล็กเก่าในวังตั้งแต่สมัยไหนก็ไม่รู้ คงมีเงินทุนเตรียมไว้ให้ลูกๆ ทำธุรกิจตอนเรียนจบ อันนี้คุณยายเคยเล่าให้ฟังตอนทานข้าวด้วยกัน แต่ผมก็จำรายละเอียดไม่ค่อยได้” ลินดาฟังเขาเล่าเรื่องราวของบ้านเจ้านายเหมือนกำลังฟังเรื่องเล่าจากผู้เฒ่าผู้แก่ โฟล์คอมยิ้มเมื่อเห็นเธอยืนฟังตาแป๋ว เขาพาเธอเดินไปดูห้องทำงานของคุณเบนซึ่งอยู่ด้านในสุด ถัดมาจึงเป็นห้องของคุณเบล “มันเคยเป็นห้องนอนเขานั่นล่ะครับ พอย้ายไปอยู่คอนโด ก็ใช้ห้องนอนเป็นห้องทำงานแทน” โฟล์คเปิดประตูให้เธอได้เห็นข้าง
ฟ้ายังคงมืดสนิทแม้ใกล้จะหกโมงเช้าแล้ว ตามธรรมดาของฤดูหนาวที่ช่วงเวลากลางคืนจะยาวนานกว่าเวลากลางวัน พระอาทิตย์วันนี้คงจะโผล่พ้นขอบฟ้าในอีกไม่ช้า ผิดกับลินดาที่ตื่นขึ้นพร้อมรับวันใหม่ตั้งแต่ตีห้าเศษๆ เพื่อจะเริ่มงานวันแรกในที่ทำงานใหม่ซึ่งเธอดีใจเหลือเกิน ลินดาเปิดตู้เย็นเพื่อจะหาอะไรเบาๆ กินรองท้องก่อนออกจากบ้าน ถุงบะหมี่ที่ซื้อมาเมื่อวานซืนยังอยู่ดีไม่มีทีท่าว่าจะเน่าบูด แต่ลินดาก็เลือกที่จะทิ้งมันไป แล้วหยิบถ้วยโยเกิร์ตมาเปิดกินแทน เมื่อฟ้าข้างนอกเริ่มสว่างได้ที่ ลินดาจึงปิดไฟในห้องเมื่อเห็นว่าแสงเทียมๆ จากหลอดไฟนั้นไม่จำเป็นอีกต่อไป เธอเดินไปที่ริมหน้าต่างพร้อมถ้วยโยเกิร์ตในมือแล้วนั่งลงที่ขอบหน้าต่าง มองลงมาที่ถนนในซอยห้องพักแล้วกินโยเกิร์ตต่อจนหมดถ้วยอย่างสบายใจ ไม่รู้ทำไมเธอถึงได้ชอบที่นี่นัก มันเงียบสงบแบบไม่รู้จักเหงา ผู้คนบางตาแต่ก็มากพอให้รู้สึกถึงความเป็นชุมชน เธออยู่ที่นี่มาตั้งแต่สมัยเรียน รู้จักคุณเชอร์รีเจ้าของที่พักมาได้ก็หลายปีตั้งแต่เริ่มเข้ามาอยู่ แต่ก็ไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเธอมากไปกว่าชื่อและหน้าตาของเธอ ส่วนคุณเชอร์รีก็ไม่เคยถามอะไรซอกแซกเกี่







