ณ โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังในจังหวัดเชียงใหม่
“ถ้าน้องสาวเธอไม่ชวนลูกชายฉันไปเที่ยว ลูกชายฉันคงไม่เจ็บหนักแบบนี้หรอก” เสียงของหญิงวัยกลางคนเอ็ดดังทั่วห้องพักฟื้นของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง นินันท์ไม่ได้ห่วงว่าหญิงสาวที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงจะถูกรบกวนเพราะเสียงของเธอแม้แต่น้อย หากเป็นไปได้เธอก็อยากจะให้ลูกสะใภ้ที่เธอไม่ได้ต้องการตื่นมาฟังคำต่อว่าของเธอเหมือนกัน หากลูกชายของเธอไม่ตาต่ำไปเลือกผู้หญิงไม่มีสกุลมาเป็นภรรยาก็คงไม่ต้องมาเจ็บตัวแบบนี้ รู้ทั้งรู้ว่าช่วงนี้เป็นช่วงหน้าฝนแต่ก็ยังจะชวนลูกชายเธอออกไปเที่ยวให้ได้ ผลสุดท้ายก็พากันไปเกิดอุบัติเหตุ ทำให้ลูกชายของเธอต้องนอนอยู่ในห้อง ICU เช่นตอนนี้
ชื่นชีวา เภสัชสาวเจ้าของใบหน้าหวานเต็มไปด้วยเสน่ห์เพราะมีลักยิ้มบุ๋มอยู่ที่แก้มทั้งสอง เธอยืนก้มหน้างุด แม้ปากอยากจะพูดสวนกลับแม่สามีของน้องสาวเสียเหลือเกินว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นมันเป็นอุบัติเหตุ ไม่ใช่เรื่องที่ใครอยากจะให้เกิด ทว่าหากพูดไปก็กลัวว่าคำพูดของเธอจะเป็นเหมือนน้ำมันไปราดกองไฟเสียเปล่าๆ
“มันไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องแบบนี้หรอกครับคุณแม่ บ่นไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอกครับ ตอนนี้คุณชมพูต้องพักผ่อนมากๆ คุณแม่หยุดโวยวายแล้วกลับบ้านกับผมนะครับ” วายุรู้ว่าแม่ตนโมโหหนักเพราะห่วงพี่ชายของเขา ทว่าการหาคนผิดกับเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดมันดูไม่มีเหตุผลไปหน่อย
“แม่จะอยู่เฝ้าอาการพี่แกที่นี่”
“แต่ว่า...”
“ถ้าไม่อยากให้แม่โวยวายที่นี่ก็อย่ามาห้ามแม่ด้วยตายุ” หญิงวัยกลางคนมองค้อนขวับใส่คนทั้งสองที่มองมายังเธอ ก่อนจะเดินหน้าบึ้งตึงออกไปเฝ้าลูกชายคนโตที่หน้าห้อง ICU
“หวังว่าคุณจะไม่ถือสาแม่ผมนะครับ”
“ฉันเข้าใจค่ะ” เภสัชกรสาวยิ้มแห้งให้กับหมอหนุ่มรูปหล่อทายาทโรงพยาบาลเอกชนยักษ์ใหญ่ เธอเข้าใจแม่ของเขาดีทุกอย่าง เข้าใจตั้งแค่ครั้งแรกที่เจอกันว่าแม่ของเขาไม่ได้อยากได้น้องสาวของเธอไปเป็นสะใภ้แม้แต่น้อย เธอยังคงจำวันงานแต่งงานของชมชีวันและอัคคีในโรงแรมหรูวันนั้นได้เป็นอย่างดี ทุกอย่างดูจะเรียบร้อยสวยงาม จนกระทั่งนินันท์พาเพื่อนๆ เหล่าไฮโซมาถึงงาน จากนั้นก็พากันถามไถ่หัวนอนปลายเท้าน้องสาวของเธอเสมือนกำลังจะเอาเรื่องของน้องสาวเธอไปเขียนชีวประวัติ พอรู้ว่านามสกุลไม่ได้ดัง แล้วก็เป็นเพียงแค่ครูศิลปะ และมีมรดกตกทอดเป็นหอพักธรรมดาก็ถูกดูถูกด้วยสายตาตั้งแต่ต้นจนจบงาน
เธอไม่เข้าใจเลยว่าอะไรทำให้น้องสาวของเธอตัดสินใจแต่งงานกับอัคคีในเวลาที่รู้จักกันได้แค่ไม่กี่เดือน พอสอบถามก็บอกว่าเป็นรักแรกพบ จะว่าชมชีวันเห็นแก่ความรวยของอัคคีก็ไม่น่าจะใช่ เพราะครอบครัวของเธอถูกสอนให้เห็นแก่ศักดิ์ศรีเป็นที่หนึ่งอยู่แล้ว ไม่ให้มองใครที่ฐานะหรือชาติตระกูล เพราะเชื่อว่าทุกคนมีความเป็นคนเท่ากัน
“คุณชบาทานอะไรหรือยังครับ”
“ยังเลยค่ะ ตั้งแต่รู้ข่าวชมพู ฉันก็ทานอะไรไม่ลง”
“เดี๋ยวผมโทรสั่งให้คนเอาอาหารมาให้ที่นี่ คุณจะเอาอะไรไหมครับ”
“นั่น...” ในขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนา ลำแสงสีขาวสว่างวาบก็ปรากฏขึ้นที่เตียงของชมชีวัน หมอหนุ่มและเภสัชกรสาวยกหลังมือต้านแสงสีขาวพร้อมกับหลี่ตาลงด้วยความตกใจ
“ชมพู” ชื่นชีวาเรียกชื่อน้องสาวที่กำลังขยับตัวหลังจากแสงสว่างนั้นหายไป เธอเดินเข้าไปประชิดเตียงของชมชีวัน มองน้องสาวที่เปลือกตากำลังขยุกขยิกด้วยสีหน้าที่เริ่มมีความหวัง
“ได้ยินพี่ไหมชมพู ชมพู...”
“ผมขอดูอาการเธอหน่อยครับ”
ชื่นชีวาถอยให้หมอหนุ่มเข้ามาดูอาการชมชีวัน หลังจากถอยหลังได้ไม่กี่ก้าวน้องสาวของเธอก็ลืมตาขึ้น วายุยื่นสเต็มโตสโคปฟังเสียงหัวใจของหญิงสาว ทว่าก็ยังไม่ทันที่จะได้วิเคราะห์อัตราการเต้นของหัวใจ ชมชีวันก็ปัดมือของเขาออก
“เจ้าจะทำอะไรข้า” เจ้าของใบหน้าหวานเรือนผมยาวสยายผุดลุกขึ้นนั่งพร้อมทั้งจ้องมองคนทั้งสองตรงหน้าด้วยแววตาหวาดกลัว
“ชมพู” ชื่นชีวาขมวดคิ้วมุ่น อ้าปากค้างเมื่อได้ยินคำพูดที่ออกมาจากปากน้องสาว อุบัติเหตุครั้งนี้ไม่ได้ทำให้น้องของเธอกลายเป็นคนวิกลจริตเพราะช็อคจากเหตุการณ์ใช่ไหม
“พวกเจ้าเป็นใคร?”
“เอ่อ... คุณหมอคะ ฉันว่าหมอต้องเอาน้องฉันไปตรวจอย่างละเอียดแล้วล่ะค่ะ”
หมอหนุ่มมีอาการหน้าเสียเมื่อได้ยินคำพูดคำจาของชมชีวันไม่ได้ต่างจากชื่นชีวาแม้แต่น้อย เมื่อรู้ว่าหญิงสาวน่าจะมีอะไรผิดปกติทางสมองเขาก็เลือกที่จะปรึกษากับหมอท่านอื่นและรีบพาชมชีวันเข้าเครื่องMRI
ระหว่างที่กำลังทำการตรวจหญิงสาวไม่ได้มีอาการขัดขืน ทว่ายังคงมีสายตาหวาดระแวงและยังคงพูดจาไม่รู้เรื่อง และยังจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร รวมถึงเธอยังเพ้ออยู่ตลอดเวลาว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านของตัวเอง
ชมชีวันยังคงตามติดดูแลน้องสาวของเธออยู่ไม่ห่างโดยการใช้อภิสิทธิ์ในการเป็นบุคลากรของโรงพยาบาลแห่งนี้เข้านอกออกในตามติดหมอที่ดูแลน้องสาวของเธอทุกฝีก้าว เมื่อหมอตรวจร่างกายของชมชีวันเรียบร้อย ชื่นชีวาก็พาน้องสาวกลับมาที่ห้องพักฟื้นระหว่างที่รอผลตรวจ
“จำอะไรไม่ได้สักนิดเลยเหรอชมพู” เภสัชสาวมองน้องตัวเองด้วยสายตาเวทนา
“นามของข้าคือชมพูฤา” เจ้าของเรือนผมยาวดำขลับเงยหน้ามองคนเป็นพี่ด้วยสายตาที่ว่างเปล่า เพราะเธอจำไม่ได้แม้กระทั่งชื่อของตัวเอง รู้เพียงว่าไม่เคยคุ้นกับที่แห่งนี้แม้แต้นิดเดียว
“เอ่อ...ใช่ พี่เป็นพี่สาวของชมพู ชื่อชบา แล้วก็มีน้องชายอีกคนชื่อวี ชมพูพอจะจำได้ไหม”
ชมชีวันส่ายหัวด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดี “ที่แห่งนี้มิใช่บ้านของข้า ข้าจักมีพี่มีน้องได้อย่างไร เข้าไม่เข้าใจว่าทำไมข้าถึงได้จำเรื่องราวอะไรไม่ได้”
“เพราะก่อนหน้านี้ชมพูกับคุณอัคไปเที่ยวแล้วขับรถไปชนต้นไม้ก็เลยบาดเจ็บกันทั้งคู่ ชมพูอาจจะตกใจมากเลยช็อค ตอนนี้ก็เลยยังจำอะไรไม่ได้”
“คุณอัคคือใครกันฤา”
“สามีของชมพูไง ชมพูเพิ่งแต่งงานกับเขาไม่นานมานี้”
“สามี คือ...”
สายตาฉงนหนักที่น้องสาวเธอส่งมานั้นทำให้ชื่นชีวารู้ทันทีว่าเธอต้องอธิบายคำว่าสามี “คู่ชีวิตไงชมพู”
“สวามีใช่ฤาไม่”
“ถ้าจะเอาภาษาแบบนั้นก็ใช่” ชื่นชีวาพยักหน้าน้อยๆ พร้อมยิ้มแหย ดูท่าแล้วอาการของน้องสาวเธอจะหนักมากกว่าที่เธอคิด ไม่รู้ว่าจะใช้ศัพท์เหมือนละครจักรๆ วงศ์ๆ ไปอีกนานเท่าไรเลย
“ที่บอกว่าจำอะไรไม่ได้นี่เรื่องอะไรบ้างครับ” ปกป้องเริ่มขมวดคิ้วมุ่น“ก็...ทุกเรื่องเลยค่ะ ไม่รู้แม้กระทั่งชื่อตัวเอง แล้วก็ชอบพูดจาแปลกๆ เลยต้องสอนการใช้ชีวิตใหม่หมดเลยค่ะ”“โห...แล้วหมอว่ายังไงครับ”“หมอตรวจเช็กร่างกายแล้วทุกอย่างออกมาปกติค่ะ แต่ที่จำอะไรไม่ได้หมอให้เหตุผลว่าอาจจะช็อคจากเหตุการณ์ หลังจากนี้ไม่นานคงดีขึ้น”“แล้วตอนนี้ชมพูอยู่ไหนครับ”“อยู่ในบ้านค่ะ เราไปคุยกันต่อในบ้านเถอะค่ะ”“ครับ”ชื่นชีวาเดินนำชายหนุ่มตรงไปยังบ้านของเธอ สีหน้าของเภสัชสาวเต็มไปด้วยความกังวล เพราะไม่รู้ว่าหลังจากปกป้องเจอกับชมชีวัน น้องสาวของเธอจะพูดอะไรเหลือเชื่ออย่างเช่นที่พูดคุยกับเธอหรือเปล่า ภาวนาในใจเอาไว้ก่อนเลยว่าอย่าให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น“ชมพู พี่ป้องมาหา”มนตรามัจฉาหันมองไปยังเสียงของชื่นชีวา เมื่อเห็นว่ามีคนแปลกหน้าตามพี่ของเธอเข้ามาในห้องนั่งเล่นก็รีบปิดโทรทัศน์แล้วลุกยืนต้อนรับคนมาใหม่เช่นที่พี่สาวเคยสอน
มื้อเช้านี้อาหารบนโต๊ะเต็มไปด้วยผัก ไม่ว่าจะเป็นผัดผักรวม ผักต้ม สลัดผัก มีเมนูที่เป็นเนื้อก็คือหมูพะโล้ กับข้าวต้มกุ้ง มนตรามัจฉาดูจะเจริญอาหารกว่ามื้อเย็นเมื่อวานเป็นที่สุด เพราะเธออร่อยกับผักต้มถาดใหญ่จิ้มกับเกลือ สองพี่น้องที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามได้แต่ตักข้าวต้มเข้าปากกันช้าๆ พลางมองไปยังคนอีกฝั่งที่กำลังอร่อยกับผักต้มจิ้มเกลือไม่วางตา“อร่อยนะ ลองสิ” มนตรามัจฉาหยิบคะน้าฮ่องกงต้มจิ้มเกลือเล็กน้อยแล้ววางไปยังถ้วยข้าวต้มของชื่นชีวาและโชติรวี เพราะจำได้ว่าเวลารับประทานอาหารต้องตักอาหารให้กันเป็นมารยาท“ผักต้มจิ้มเกลือเนี่ยนะ” โชติรวีขมวดคิ้วมุ่นเมื่อมองไปยังผักที่พี่สาวคนรองหยิบมาวางในถ้วยของตัวเอง“กินๆ ไปเถอะ” ชื่นชีวาถลึงตาใส่น้องชาย ไม่อยากให้โชติรวีพูดอะไรออกมาที่ทำให้ชมชีวันรู้สึกว่าตัวเองแปลก เธออยากจะให้น้องสาวแสดงพฤติกรรมทุกอย่างออกมาโดยไม่คิดจะห้ามอะไร เพราะเธออยากจะเก็บรายละเอียดพฤติกรรมของชมชีวันเพื่อปรึกษากับหมออีกที“เมื่อคืนชมพูไปทำอะไรที่ต้นไม้ใหญ่หน้าหอเหรอ” ชื่นชีวาเปรยถามกับคนที่ก้มหน้าก้มตามรับประทานผักต้มด้วยสีหน้าอารมณ์ดี“ไปคุยกับนางไม้ ท่านชื่อสาลิกา พี่ชบาเคยเ
“แล้วเจ้าจักได้เห็นเมื่อพลังบุญมากพอ หากมีอันใดให้ข้าได้ช่วยเหลือ เจ้าจงบอก”“ข้าเข้าใจแล้ว อาภรณ์ของท่าน งดงามเหลือเกิน” เมื่อคลายความสงสัยว่าตัวเองเป็นใครไปหนึ่งเปราะ นิสัยของผู้ที่เกิดเป็นหญิงก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยชื่นชมถึงอาภรณ์สีแดงสดผืนงามที่นางไม้สวมใส่อยู่ไม่ได้“ผู้คนที่นี่เรียกว่าชุดไทย หากเจ้าอยากสวมอาภรณ์ของข้า เจ้าก็มาหยิบไปใช้สอยได้เลย ข้าอนุญาต”“ขอบใจท่านมาก ข้าจักทำหน้าที่ของร่างนี้ให้ดีดั่งที่ท่านบอก แลจักหมั่นสั่งสมความดีให้มากที่สุด”นางไม้ยิ้มกว้าง เธอพยักหน้าน้อยๆ ให้กับดวงจิตของเงือกสาวที่อยู่ในร่างของมนุษย์ สาลิการับรู้ได้ว่ายังมีเรื่องราวอีกมากมายที่เงือกสาวจะต้องเจอ ทว่าเธอก็ไม่สามารถที่จะบอกอะไรได้ เพราะมันจะผิดกฎของสวรรค์ จากนั้นแสงที่เปล่งประกายก็ค่อยๆ หายเข้าไปในต้นไม้มนตรามัจฉาเห็นเช่นนั้นเธอก็รีบเอื้อมมือไปหยิบชุดไทยสีเดียวกับที่นางไม้สาลิกาสวมใส่มาไว้ในอ้อมแขน ทว่ายังไม่ทันที่เธอจะหันหลังเดินกลับเข้าไปในบ้านชุดในมือของเธอก็ถูกใครบางคนดึงเอาไป“อ้าววี”“พี่จะทำอะไร”“นางไม้ให้พี่ยืมชุดไปใส่ได้”“อะไรนะ ที่พี่ยืนพูดคนเดียวเมื่อกี้พี่คุยกับนางไม้เหรอ” โชติร
“ไม่เป็นไร เราไปกินข้าวกันเถอะ ไปช้าเดี๋ยวเจ้าวีกินกับข้าวเล่นหมด”สามพี่น้องมานั่งรวมกันที่โต๊ะรับประทานอาหาร บนโต๊ะอาหารตอนนี้มีกับข้าวที่เป็นของโปรดของชมชีวันอยู่หลายอย่างที่ชื่นชีวาตั้งใจทำให้ เพราะหวังเล็กๆ ว่ารสชาติของอาหารจะกระตุ้นความทรงจำของน้องตัวเองได้“วันนี้มีแต่ของโปรดพี่ชมพูเหรอ ไก่ผัดตะไคร้ของผมไม่เห็นมีเลย” โชติรวีบุ้ยปากมองไปยังถาดปลาทับทิมนึ่ง ต้มจืดมะระยัดไส้ และน้ำพริกหนุ่มกับกากหมูติดมัน นอกจากนั้นก็เป็นต้มยำกุ้งและผัดผักของชอบของพี่สาวคนโต“ก็พี่ลืมซื้อไก่มาวันหลังจะทำให้กินแล้วกัน ของพวกนี้แกก็ชอบเหมือนกัน ทำเป็นขี้น้อยใจไปได้”โชติรวีจ้วงตักปลานึ่งเต็มช้อน ก่อนจะวางลงไปยังจานข้าวของชมชีวัน “พี่กินเยอะๆ จะได้แข็งแรงเร็วๆ”“พี่ไม่อยากกินปลา ดูน่าสงสารเหลือเกิน”“ฮะ!” โชติรวีเกาหัวยิก เหลือจะเชื่อว่าพี่สาวคนรองของเขาจะเอ่ยว่าสงสารของอร่อยที่เคยสวาปามทีละสองสามตัวยังได้“ปลาทับทิมนึ่งของโปรดชมพูเลยนะ บางที่ที่ชมพูหิวมากๆ ก็กินทีละสองตัวเลย” ชื่นชีวามีอาการตกใจไม่ต่างจากโชติรวี“ฉันกินมันลงด้วยเหรอ” สีหน้าของชมชีวันเหือดแห้งไร้สี ดูไม่สู้ดีจนคนทั้งสองเข้าใจโดยที่ไม
ใช้เวลาร่วมครึ่งชั่วโมงรถเก๋งสีขาวก็แล่นมาถึงลานจอดรถหน้าหอพักสี่ชั้น ด้านหน้าหอพักติดกับประตูรั้วมีต้นไม้ใหญ่ที่มีผ้าสามสีพันเอาไว้หลายชั้นพร้อมกับชุดไทยที่แขวนเอาไว้สองสามชุด ไม่ไกลจากต้นใหญ่ก็เป็นบ้านสีขาวสองชั้นหลังใหญ่ที่มีสวนหย่อมเล็กๆ หน้าบ้านพร้อมกับศาลพระภูมิสีขาวตั้งอยู่“นี่หอพักที่พ่อกับแม่ทิ้งเป็นมรดกให้เราหลังจากท่านเสีย ในรูปที่พี่ให้ดูไง ตอนที่ชมพูถูกหวย ชมพูก็เอาเงินทั้งหมดมารีโนเวทที่นี่ พอจะจำได้ไหม”ชมชีวันเงยหน้ามองหอพักสีขาว เธอไล่สายตาจากชั้นบนค่อยๆ เลื่อนลงมาถึงชั้นล่างก่อนจะส่ายหัวช้าๆ เป็นการตอบกลับชื่นชีวา ทว่าคนเป็นพี่ก็ไม่ได้แปลกใจกับคำตอบ เพราะเธอเคยถามคำถามนี้กับน้องสาวมาแล้วโชติรวีดึงมือชมชีวันให้หนไปทางขวาของมุมตึก ที่มีตึกแถวสองชั้นสี่คูหาตั้งตระหง่าน “ตรงมุมขวาสุดเป็นร้านขายของชำกับอาหารตามสั่งของป้าน้อย พี่ชอบไปซื้อข้าวกะเพราหมูกรอบบ่อยๆ ข้างร้านป้าน้อยก็เป็นร้านทำผมป้าศรีที่พี่ชอบไปให้แกสระผมให้ทุกอาทิตย์ ส่วนข้างร้านป้าศรีก็เป็นร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์ของผมเอง มุมซ้ายสุดก็เป็นสำนักงานของหอพัก”“ข้ามิคุ้นเลย”“รู้ว่าจำไม่ได้ บอกเฉยๆ อ่อ...นั่นบ้านที่เร
“อ๋อ...เข้าใจแล้ว แล้วฉันจะใช้ชีวิตที่นี่ได้ยังไง ใครจะสอนฉัน”“ข้านี่ไง อาจารย์คนเก่งของเจ้า” ผู้เฒ่าเต่าโพล่งเสียงดัง ชมชีวันยังคงเงียบ สีหน้าและแววตาของเธอดูว่างเปล่า ตอนนี้ในหัวโล่งไปหมดเพราะคิดอะไรไม่ออก นี่เธอจะต้องอยู่ในร่างของเงือกสาวตนนี้อีกนานเท่าไร แล้วจะต้องทำอารมณ์ให้เป็นอย่างไรในตอนนี้ เธอใช้คำว่างงหนักได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ก็วันนี้ หรือควรจะคิดว่าทุกอย่างเป็นประสบการณ์ จู่ๆ ตื่นมาเป็นเงือก ใช้ชีวิตอยู่ในท้องทะเล มีอาจารย์เป็นผู้เฒ่าเต่า อะไรกันเนี่ย...สองวันแล้วที่ชมชีวันรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล เธอมีชื่นชีวาและโชติรวีคอยสลับมาดูแลอยู่ตลอด สองพี่น้องช่วยกันหาเรื่องพูดคุยกับชมชีวันเพื่อที่จะเรียกความจำของชมชีวันกลับมาได้บ้าง ทว่าไม่เพียงหญิงสาวจำไม่ได้ แต่เธอก็ยังไม่หยุดที่จะพูดจาภาษาโบราณ แทนตัวเองว่าข้า เรียกคนอื่นว่าเจ้า ทั้งยังชอบพูดว่าไม่ค่อยเข้าใจภาษาที่คนปกติพูดกันอีก“ผมเอาอุปกรณ์วาดรูปมาให้พี่ดู เผื่อพี่ได้เห็นแล้วจะจำอะไรขึ้นมาได้บ้าง” ชายหนุ่มช่างซ่อมมอเตอร์ไซค์วัยยี่สิบกว่า เจ้าของใบหน้าอันหล่อเหลาราวกับพระเอกเกาหลียื่นสมุดวาดรูปพร้อมกับดินสอและกล่องสีให้ก