วันจันทร์ต่อมาพุฒิเมธมารับอิสริยาไปดูที่ผืนดังกล่าวหลังจากที่เธอกลับจากไปส่งลูกที่โรงเรียนแล้ว ทั้งสองเดินทางไปดูที่ดินตัวจริงที่อยู่ไม่ห่างจากบริเวณห้างเดิมของครอบครัวหญิงสาวมากนัก
“วันนี้พี่เมธนัดเจ้าของที่มาไหมคะ”
อิสริยาถาม เธอเองก็อยากรู้ว่าอะไรยังไง ทำไมพุฒิเมธจึงเสนอที่ผืนนี้มาให้เธอ
“วันนี้พี่นัดนายหน้าฝ่ายเจ้าของที่มาแล้วครับ รายละเอียดเราคงได้คุยกันคืบหน้ามากขึ้น” พุฒิเมธเองก็รู้สึกไม่ชอบมาพากลเช่นกัน ถือเป็นเคสที่เขาทำการขายได้ไม่เต็มปากเอาเสียเลย
รถยนต์คันหนึ่งแล่นมาจอดที่บริเวณที่ดิน อิสริยาเพ่งมองเธอขมวดคิ้วเมื่อรู้ว่าไม่ใช่รถยนต์ของสกนธี แต่คนที่ลงมาเป็นผู้หญิงสาวน่าจะวัยเดียวกันกับเธอเอง เป็นผู้หญิงสวยจัดแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าราคาแพง กลิ่นน้ำหอมฟุ้งมาแต่ไกล
“มาแล้วครับ คุณมิลินนายหน้าฝ่ายเจ้าของที่ เดี๋ยวพี่จะแนะนำให้รู้จักนะครับ”
พุฒิเมธเดินเร็วๆ ไปทางผู้หญิงคนนั้น อิสริยารออยู่ที่เดิมเธอเห็นเขาพูดคุยกันและคนที่ว่าเป็นนายหน้าฝั่งเจ้าของที่หันมาชำเลืองมองเธออยู่ครั้งสองครั้งและหันมาคุยกับพุฒิเมธด้วยท่าทางเคร่งเครียด
“เอ๋ครับ นี่คุณมิลินนายหน้าฝั่งที่ดิน คุณมิลินนี่คุณเอ๋รุ่นน้องผมคนที่หาที่ดินอยู่” พุฒิเมธแนะนำให้สองฝ่ายรู้จักกัน
“สวัสดีค่ะ ยินดีที่รู้จักนะคะคุณเอ๋”
มิลินยื่นมือออกมาให้จับเป็นการทักทายแบบตะวันตก ปากแดงๆ นั่นแย้มออกทำให้อิสริยาจ้องเหมือนจะนึกอะไรออก
‘สีลิปสติกแบบนี้ น้ำหอมกลิ่นนี้เราเคยได้กลิ่นที่ไหนนะ’ เธอถามตัวเอง
“สวัสดีค่ะ อยากเห็นสำเนาโฉนดไม่ทราบว่าวันนี้พร้อมให้ดูไหมคะ”
“เอ่อ สำเนาโฉนดอยู่ที่เจ้าของค่ะ แต่รับรองว่าที่ผืนนี้คุณเอ๋ต้องได้เป็นเจ้าของแน่ๆ ค่ะ” มิลินแก้ตัวในขณะที่เธอไม่เข้าใจว่าเหตุใดลูกค้าของพุฒิเมธจึงมองเธอแปลกๆ
“ออ... แล้ววันนี้เราจะมาทำอะไรกันบ้างคะ ดูที่อย่างเดียวเหรอ” อิสริยามองไปรอบๆ เธอค่อนข้างชอบที่ดินขนาดยี่สิบห้าไร่ผืนนี้ ตอนที่ยังไม่มีโครงการจะทำอะไรเธอยังไม่รู้ว่าจะเอามันมาเพื่ออะไร แต่ตอนนี้เริ่มเห็นจุดหมายแล้ว
มิลินมองท่าทางของอิสริยาอย่างพอใจ ลูกค้ามีท่าทางชอบมากเธอจะได้ไปเกลี้ยกล่อมสกนธีให้ขายได้ง่ายขึ้นถ้าเงินถึง และเธอรู้มาว่าครอบครัวของอิสริยามีฐานะที่ดีมาก เรื่องเงินไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่ หญิงสาวคิดบวกลบคูณหารค่านายหน้าอย่างชื่นใจ
“ถ้าคุณเอ๋ชอบ สะดวกวางมัดจำจองเลยก็ได้นะคะมิลินจะได้ไปนัดเจ้าของที่เรื่องการทำสัญญาซื้อขายค่ะ”
“ขอดิฉันเจอเจ้าของที่ก่อนได้ไหมคะ” อิสริยายืนยันทำให้สองนายหน้าเริ่มมองหน้ากัน เมื่ออิสริยาไม่ได้ตกลงใจง่ายแบบที่เขาคิดกัน
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น มิลินรับขอตัวไปรับสายอีกทางหนึ่ง
“อะไรนะ แกว่าที่ผืนนั้นมีคนทำสัญญาเช่าแล้วเหรอ” เพื่อนของมิลินที่ทำงานที่กรมที่ดินแจ้งผลการตรวจสอบที่ดินผืนนี้ที่มิลินขอให้เพื่อนสืบข้อมูลเป็นกรณีพิเศษด้วยการให้ค่าน้ำร้อนน้ำชา
หญิงสาวนิ่งฟังและวางสายไป จากนั้นเธอเรียกพุฒิเมธไปคุยด้วยท่าทางเคร่งเครียด
“คุณพูดอะไร เพื่อนคุณบอกว่าทางเสี่ยกวงส่งคนมาทำสัญญาเช่าที่ผืนนี้แล้ว บ้าหรือเปล่า” พุฒิเมธแทบไม่อยากเชื่อ หากเป็นแบบนั้นอิสริยาไม่รู้เรื่องหรืออย่างไร
“เขาเพิ่งมาทำสัญญาเช่าที่ดินระยะยาวต่อหน้าเจ้าหน้าที่เมื่ออาทิตย์ก่อน ไม่ใช่เพื่อนคุณเขาไปสืบหาเจ้าของเองแล้วติดต่อขอเช่าตรงเหรอ หน้าใสๆ แต่ร้ายนะ คุณก็เหมือนกันมาหักหลังฉันได้ยังไงหรือว่าได้เปอร์เซ็นต์จากฝั่งเจ้าของที่มาแล้ว” มิลินใส่เป็นชุด ส่วนพุฒิเมธยังงงอยู่ว่าเรื่องเกิดขึ้นได้อย่างไร
“คุณนี่พูดเหมือนไม่มีหัวคิด ผมยังไม่รู้เลยว่าเจ้าของที่เป็นใคร ผมจะเอาคอนแท็กต์ที่ไหนไปติดต่อ” พุฒิเมธซัดกลับเช่นกัน
ทั้งสองยังคงโมโหเถียงกัน แต่ต้องเงียบเมื่อมีรถยนต์อีกสองคันแล่นมาจอดหน้าที่ดิน เป็นสกนธีและทีมงานสำรวจที่ของเขาที่บริษัทนั่นเอง
“คุณเก่ง!...”
มิลินเรียกชื่อเขาอย่างตกใจ สกนธีมาได้อย่างไร
“คุณรู้จักผู้ชายคนนี้เหรอมิลิน” พุฒิเมธถาม
“ก็นี่ไงเจ้าของที่”
มิลินหันมาตอบท่าทางหงุดหงิด ในขณะที่คนถามทำท่าช็อกไปแล้ว ถ้าแบบนั้นอิสริยาก็ควรรู้ดีว่าที่ผืนนี้เป็นของสามีเธอเอง แล้วทำไมเธอจึงไม่พูดอะไรเลย
ส่วนอิสริยาที่เห็นสกนธีเดินลงจากรถ เขาหันมายิ้มให้เธอและเดินเร็วๆ มาหา โดยมีทีมงานตามหลัง ตอนนั้นเธอนึกได้ทันทีว่าสีลิปสติกและน้ำหอมที่มิลินใช้ มันเหมือนกับที่ติดเสื้อเขามาในวันที่เธอและเขาทะเลาะกัน
‘แสดงว่ายายนายหน้าเป็นกิ๊กเขาล่ะสิ หรืออาจจะเป็นมากกว่านั้นถึงกล้าเอาที่ผืนนี้มาขาย มันต้องรู้จักกันแนบแน่นขนาดไหนสกนธีจึงวางใจให้เป็นนายหน้า แล้วยังมาตีหน้าซื่อบอกว่าไม่รู้เรื่องอีก’ อิสริยาคิดในใจ
“เอ๋...มาแล้วเหรอ พี่เข้าไปหาที่ร้านเด็กบอกว่าออกมาแล้ว”
น้ำเสียงสกนธีร่าเริงเพราะเขารู้แล้วจากชานนท์ว่ามิลินเอาที่ของเขามาบอกขายให้คนอื่นๆ โดยพลการ และเธอเป็นสาเหตุให้เขากับภรรยาทะเลาะกัน มาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้จะได้เคลียร์ไปเลย ชายหนุ่มคิดในใจ
วันต่อมาสกนธีทำตามที่พูดจริงๆ ชายหนุ่มขนเสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัว โต๊ะและอุปกรณ์การทำงานจากบ้านมาที่ร้าน โดยมีลูกสาวตัวน้อยคอยช่วยพ่อหยิบจับของด้วยสีหน้าที่บอกว่าดีใจอย่างมากพื้นที่ชั้นสองของอาคารสามคูหานั้นกว้างพอที่เขาจะจัดมุมทำงานและวางเครื่องนอนได้อย่างสบายๆ โดยที่ไม่รบกวนการใช้ชีวิตของอิสริยา“ไหนคุณว่าจะขึ้นไปนอนชั้นสาม” อิสริยาออกจากห้องมาเห็นที่นอนแบบพับปูที่พื้นจึงถามด้วยความหงุดหงิดเล็กๆ“ตอนนี้ชั้นสามยังไม่ได้ตกแต่ง พี่ขอเวลาแป๊บนะเดี๋ยวให้ช่างเข้ามาติดแอร์ ตกแต่งเพิ่มทาสีใหม่เปลี่ยนอะไรที่เสียชำรุดด้วย” พื้นที่ชั้นสามประกอบด้วยห้องนอนสองห้อง หนึ่งห้องน้ำ และมีส่วนของพื้นที่เปิดเป็นลานกว้าง ที่สกนธีมีแผนจะทำเป็นสวนขนาดเล็กปลูกต้นไม้และดอกไม้เพื่อให้บรรยากาศสดชื่นน่าอยู่ขึ้น“แล้วก็นี่...” สกนธีหยิบโทรศัพท์ออกมากดอะไรอยู่สองสามนาที จากนั้นมีสัญญาณข้อความแจ้งเตือนว่ามีเงินถูกโอนเข้าบัญชีที่โทรศัพท์ของอิสริยา เธอยกขึ้นดูอย่างงงๆ มองตัวเลขจำนวนห้าหลักที่ถูกโอนเข้ามา“พี่โอนค่าใช้จ่ายค่ากินค่าอยู่ค่าน้ำไฟให้ ต่อไปนี้จะให้ทุกเดือน” อิสริยาถอนใจ จะไม่ให้เขาอยู่ก็ไม่อ
วันนั้นอิสริยาไม่ได้ไปส่งลูกเพราะว่าสกนธีเสนอตัวไปส่งเอง เธอเห็นว่าน้องเพียงมีความสุขดีจึงไม่อยากขวางสองพ่อลูก หญิงสาวถือโอกาสเคลียร์งานที่ร้านหลังจากที่วานนี้ออกไปดูที่กับพุฒิเมธ และมีการปะทะเล็กๆ กับสกนธีในรถยนต์จนเธอไม่มีสมาธิทั้งวันนอกจากดูแลร้านตัวเองแล้ว หญิงสาวยังมีหน้าที่หลักช่วยเรื่องระบบหลังบ้านของห้างค้าส่งของที่บ้านอีกด้วย ในเรื่องของการดูแลด้านการเงินการบัญชีและระบบเงินเดือน ตอนบ่ายเธอเข้าไปที่สำนักงานของห้างค้าส่งเพราะเป็นวันเซ็นสัญญาจ้างก่อสร้างห้างใหม่ ซึ่งตัวอิสริยาเองต้องเข้าไปในฐานะกรรมการบริหารและหุ้นส่วนคนหนึ่งของห้าง จึงได้พบกับสกนธีที่มากับ ชานนท์และทีมกฎหมายของทั้งสองฝ่าย “ดีนะ ที่อาเอ๋กับผัวไม่ได้จดทะเบียนกัน ไม่งั้นใครรู้จะหาว่าฮั้วกันเองอีก” เสียงหนึ่งดังขึ้นหลังเสร็จสิ้นการลงนามในสัญญา “เอาราคาที่เซ็นไปเช็กก็ได้ ว่าฮั้วกันยังไงบริษัทเขาลดให้เราจนแทบไม่มีกำไร จะพอจ่ายค่าแรงคนงานหรือเปล่ายังไม่รู้เลย” เสี่ยกวงว่าใส่หน้าญาติคนหนึ่งที่เป็นผู้ถือหุ้นของห้างอย่างไม่เกรงใจ ชายสูงวัยพูดต่อ“แล้วลูกสาวลูกเขยอั๊วจะจดทะเบียน
เช้าวันรุ่งขึ้นสกนธีตื่นจากเสียงดังก๊อกแก๊กของแม่บ้านที่มาทำความสะอาด ชายหนุ่มลุกไปอาบน้ำแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ลงไปเอามาจากในรถ เขาจึงได้เห็นว่าบริเวณชั้นสองจะมีแม่บ้านขึ้นมาทำความสะอาด ในโซนห้องครัวแม่บ้านจะช่วยเตรียมอาหารสดไว้ให้อิสริยามาปรุงเองสำหรับอาหารมื้อเช้า เธอไม่ต้องตื่นแต่เช้ามืดเพื่อมาเตรียมอาหารสำหรับครอบครัว ทำงานบ้าน แต่งตัวให้ลูก ดูแลให้รับประทานมื้อเช้าและไปส่งลูก ทำทุกอย่างเองแบบในตอนที่ยังอยู่กับเขาอีกแล้ว‘นอกจากช่วยแบ่งเบาภาระไม่ได้ เรายังทำให้เอ๋เหนื่อยขึ้นด้วยการไม่ยอมให้มีแม่บ้าน มึงคิดอะไรอยู่วะตอนนั้น’ เขานึกด่าตัวเองที่เคยหลุดปากตำหนิว่าเธอไม่ดูแลตัวเอง ตอนนี้เมื่อมีโอกาสทบทวนจึงรู้ว่าอิสริยาจะเอาเวลาที่ไหนไปดูแลความสวยความงามแบบตอนก่อนแต่งงาน ในเมื่อเธอต้องดูแลทุกอย่างในบ้านคนเดียวเขาเดินเข้าไปในครัว เห็นอิสริยายืนหันหลังให้เธอกำลังทำอะไรที่หน้าเตา “มีอะไรให้พี่ช่วยไหมเอ๋” หญิงสาวเหลือบมองด้วยหางตา ก่อนจะมองเตาที่หม้อข้าวต้มกำลังเดือด “ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณ” เธอได้ยินเสียงเขาเดินมาหาจึงไม่ตกใจ “คุณจะกลับเลยก็ได้ค่ะ ถ้าลูกตื่นเดี๋ยวฉ
สองพ่อลูกหายไปกันประมาณสี่สิบนาทีเมื่ออิสริยาได้ยินเสียงแจ้วๆ ของลูกเธอจึงออกจากห้องทันได้เห็นว่าสกนธีอุ้มลูกเดินขึ้นบันไดมาเพราะเด็กหญิงอ้อนไม่อยากเดินเอง เธอฟังเสียงชายหนุ่มคุยเล่นกับลูกอย่างสะท้อนใจ ภาพความสุขของเด็กหญิงทำให้เธอไล่เขาออกไปจากบ้านไม่ลง จนกระทั่ง“โอ๊ย...” เสียงสกนธีดังขึ้นเพราะลูกที่กอดคอเขาอยู่เผลอกดมือลงบนแผลที่อิสริยากัดเขาเมื่อตอนกลางวัน“พ่อร้องทำไมคะ เจ็บเหรอ” น้องเพียงทำหน้าตกใจจนอิสริยาต้องรีบไปรับตัวลูกมา“น้องเพียงมาหาแม่ก่อนค่ะ”“ไม่มีอะไรค่ะลูก พ่อลืมว่าเดินชนประตูเลยเจ็บ” ชายหนุ่มปล่อยเด็กหญิงลงนั่งบนเก้าอี้ เขารีบพูดให้เธอสบายใจ“น้องเพียงไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากับพี่จี๊ดก่อนค่ะลูก จะได้มากินขนม” เมื่อลูกไปกับพี่เลี้ยงแล้วหญิงสาวหันมามองเขาเขม็ง“เลือดออกขนาดนั้นเลยเหรอ ทำไมคุณไม่ไปทำแผล” เธอย่อมจำได้ดีว่าตัวเองเป็นเจ้าของรอยแผลนั้น แต่เขาจะโทษเธอไม่ได้เพราะถ้าเขาไม่ทำรุ่มร่ามมันจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นสกนธีหันมามองรอยเลือดบนบ่าที่ซึมผ่านเสื้ออย่างไม่สนใจนัก “ไม่เป็นไรหรอกเอ๋ เอาไว้เตือนตัวเองก็ดีเหมือนกัน”
อิสริยาหันมากระชากแขนออกจากมือเขาแต่กลับถูกดึงเข้าไปกอดทั้งตัว ชายหนุ่มยกร่างบอบบางลอยหวือจากเบาะที่นั่งอยู่ไปนั่งบนตักเขา เขารวบข้อมือทั้งสองข้างของเธอไว้ด้วยกันด้วยมือเดียวไพล่หลัง อิสริยาดิ้นขลุกขลักด้านหลังเธอชนกับพวงมาลัยรถยนต์ด้านหน้าก็ถูกกอดรัดจนขยับไม่ได้“ปล่อยนะ ปล่อยเดี๋ยวนี้” เธอก้มลงกัดบ่าเขาเต็มแรงเมื่อถูกพันธนาการไว้แน่นหนาสกนธีปล่อยให้เธอกัด เขากอดเธอนิ่งจนหญิงสาวได้กลิ่นเลือดเธอเงยหน้าขึ้นเห็นเลือดที่ซึมจากแผลที่เธอกัดผ่านเนื้อผ้าของเสื้อเชิ้ตเนื้อดีที่เขาสวมอยู่ “กัดอีกก็ได้ เอ๋จะทำอะไรพี่อีกก็ได้ถ้าทำให้ความรู้สึกดีขึ้น”ชายหนุ่มเจ็บหนึบที่แผลแต่เขารู้ว่านั่นยังไม่เท่ากับที่เขาเคยทำไว้กับเธอ เขาคลายมือที่รวบข้อมือเธอไว้แต่ยังกอดเธอนิ่งรอจนเธอสงบลงเอง “ปล่อยเดี๋ยวนี้” อิสริยาขบฟันด้วยความโมโห“สัญญาก่อนว่าจะไม่วิ่งหนี เดี๋ยวพี่ไปส่งเอ๋ที่ร้านเอง”สกนธีไปส่งอิสริยาที่ร้านแล้วจึงย้อนกลับมาเอาเอกสารที่บ้าน ชายหนุ่มเข้าบริษัทในตอนบ่ายเจอกลุ่มเพื่อนที่มาหาพอดี“มึงไปโดนอะไรมาวะ” อัศราทักขึ้นมา เขาจึงนึกขึ้นได้ว่าลืมเปลี่ยนเสื้อ ฝ่ายนั้นลุกมาดูใกล้ๆ ที่ไหล่
หลังจากที่พุฒิเมธและมิลินกลับไปแล้ว อิสริยาก็ขยับตัวแต่สกนธีรีบเรียกเธอไว้“เอ๋จะไปไหนครับ ช่วยมาดูอะไรตรงนี้ก่อนได้ไหม” อิสริยาชะงักเธอกำลังจะออกไปมองหารถแท็กซี่ เมื่อครู่ดูเหมือนว่าพุฒิเมธจะลืมว่าเธอยังไม่ได้ตอบคำถาม เขารีบร้อนกลับไปโดยที่ไม่รอเธอตอบสักคำว่าจะกลับอย่างไร แต่อีกใจเธอก็เข้าใจเขาว่าคงต้องการเวลาในการปรับอารมณ์พอสมควร หญิงสาวจึงสะดวกใจที่จะหา รถกลับเองมากกว่า“มีอะไรคะ” หญิงสาวถามแต่ไม่เดินไปหาสกนธีที่กำลังกางกระดาษออกมาดูอะไรสักอย่างในนั้น“พี่อยากให้เอ๋มาดูตรงนี้ทีครับ ว่าพี่เขียนแบบมาอย่างนี้การใช้งานจริงจะโอเคไหม” ชายหนุ่มเป็นฝ่ายเดินมาหาเธอเอง เขาส่งกระดาษแบบโครงสร้างคร่าวๆ ให้เธอดู อิสริยารับไปถือดูเองเขาจึงหันไปขอร่มจากลูกน้องมากางให้ทั้งภรรยาและตนเองเนื่องจากตอนนี้แดดเริ่มแรงมาก“เฮียเขาว่าอย่างไงคะ เห็นแบบนี้หรือยัง” อิสริยาขมวดคิ้วเมื่อการออกแบบห้างใหม่ ดูต่างจากของเดิมค่อนข้างมาก“เมื่อคืนพี่ส่งไฟล์คร่าวๆ ให้ดูยังไม่ได้ลงดีเทล เฮียเขาว่าให้เอ๋ดูวันนี้ก็ได้ว่ามันเหมาะกับที่จริงไหม” “ก็น่าจะดีนะคะ แต่จริงๆ ก็คือยังไม่เห็นภาพค่ะ” เธอตอบตามตรง