เธอก้มศีรษะให้ลูกค้าที่นั่งดื่มในห้องวีไอพีตามลำพัง ยอบตัวลงจัดวางอาหารว่างที่เขาสั่งลงบนโต๊ะโดยที่ไม่กล้าสบตา จากนั้นจัดการชงเหล้าตามที่รุ่นพี่สอนมา
“มาใหม่เหรอ ผมไม่เคยเห็นหน้าคุณเลย” ปกติแล้วทางร้านจะคัดเด็กมาทำงานในโซนวีไอพี ซึ่งส่วนมากเป็นคนที่มีประสบการณ์ ทำงานคล่องรู้จักการวางตัวซึ่งก็มักจะเป็นพนักงานหน้าเดิมๆ
“ค่ะ เพิ่งมาทำงานที่นี่สามวันค่ะท่าน”
“เรียกคุณปกติเถอะ ไม่ต้องเรียกท่านนี่มันสมัยไหนแล้ว” อังกูรแย้งทำให้เด็กสาวพยักหน้า
หลังจากที่ทักทายถามชื่อกันแล้วชายหนุ่มก็ดื่มเงียบๆ โดยที่ไม่พยายามชวนคุยอีก ณิชชาเองก็คอยดูแลเขาตามหน้าที่ จนกระทั่งเวลาผ่านไปจนถึงใกล้เวลาร้านปิด
“รับงานพิเศษไหม คืนนี้ไปด้วยกัน อยากได้เท่าไหร่ก็ว่ามา” จู่ๆ อังกูรก็เอ่ยออกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
ณิชชานิ่งอึ้ง หากเป็นเมื่อก่อนเธอคงโกรธว่าเขาดูถูก แต่ชีวิตที่พลิกผันอย่างรวดเร็วทำให้เธอมองโลกเปลี่ยนไป หากไม่มีเงินเธอจะเอาที่ไหนส่งตัวเองเรียน การทำงานเสิร์ฟเพียงไม่กี่วันหากไม่หลอกตัวเองก็ย่อมรู้ว่ามันไม่เพียงพอ จะไปหยิบยืมใครมองไปรอบตัวทุกคนก็ลำบากเหมือนกัน เธอกัดริมฝีปากชั่งใจคิดอย่างหนักพลางมองไปที่ลูกค้าวีไอพีที่ตนเองดูแลมาค่อนคืน
“คุณจะให้หนูเท่าไหร่คะ” อย่างน้อยผู้ชายคนนี้ก็สุภาพ หน้าตาดี พูดจาดี ให้เกียรติกันในระดับหนึ่ง หากว่าเป็นครั้งแรกของเธอก็คงไม่แย่มากนัก และถ้าทำครั้งเดียวแล้วพอเธอก็คิดว่ามันน่าจะคุ้ม
“คุณต้องการเท่าไหร่ว่ามาเลย” อังกูรไม่ชินกับการเสนอราคาให้ใคร ที่ผ่านมาเขาแค่พิจารณาตัวเลขที่อีกฝ่ายขอ ถ้ามองว่าไม่มากไปเขาก็โอเคหรือถ้าน้อยไปและถ้าอีกฝ่ายบริการดีเขาก็อาจจะมีทิปให้เมื่องานจบ
“อีกสามวันหนูต้องจ่ายค่าเทอมค่ะ ประมาณ....” ณิชชาบอกมาเป็นตัวเลขคร่าวๆ ไม่หวังว่าเขาจะให้ทั้งหมด แต่ก็ใจมาเมื่อเขาตอบออกมาง่ายๆ
“ผมให้สองเท่า ถ้าโอเคก็ไปกันเลยค่าใช้จ่ายที่ออกก่อนเวลาที่นี่เดี๋ยวผมจัดการเอง”
และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของเขาและเธอ
“คุณอังกูรพาลูกชายมาเหรอเธอ” เสียงซุบซิบของพนักงานดังขึ้นในยามที่ณิชชาออกมาดูสินค้าที่ชั้นวางตามที่ได้รับคำร้องเรียนมา
“ใช่ นั่นไงแต่เหมือนว่าบอสจะเข้าประชุมนะ คุณเลขาเลยพาคุณหนูออกมาดูอะไรในห้าง” คำพูดนั้นทำให้หญิงสาวมองตามมือของพนักงานคนดังกล่าว
ณิชชาหันไปเห็นเด็กชายวัยหกขวบ ใบหน้าดูละม้ายประพิมพ์ประพายคล้ายกับน้องหวานหวาน เด็กชายผิวขาวดูผ่องใสเกลี้ยงเกลาตามแบบฉบับของเด็กที่ได้รับการดูแลอย่างดี เสียงหัวเราะของเขาตรึงขาณิชชาให้อยู่กับที่จนก้าวไปไหนไม่ได้ เธอน้ำตาคลอเมื่อได้พบตัวจริงของลูกชายเป็นครั้งแรก
“ลูกแม่ น่ารักเหลือเกินลูก” เธอพึมพำกับตัวเอง
“เอาแค่นี้พอใช่ไหมคะน้องวิน”
“พอครับ พ่อให้กินขนมวันละอย่าง”
เสียงเล็กๆ ที่เจรจาโต้ตอบกับหญิงสาวผู้เป็นเลขานุการของอังกูร ทำให้ณิชชาแอบปาดน้ำตาเพราะอยากเป็นคนที่ได้ยืนตรงนั้นบ้าง หญิงสาวได้แต่มองตามสุพรรษาพาน้องวินเดินผ่านหน้าตนเองเพื่อไปจ่ายค่าสินค้าโดยที่พูดอะไรไม่ได้เลย ได้แต่บอกตัวเองซ้ำๆ
“แค่นี้ก็ยังดีนะณิช แค่ได้เห็นลูกไกลๆ ก็ดีแล้ว”
ณิชชาทำงานที่ห้างเอ็มจีมาเรื่อยๆ โดยที่อังกูรยุ่งกับเรื่องการก่อสร้างสาขาใหม่ที่จีนและการเตรียมย้ายพนักงานในสำนักงานใหญ่ส่วนหนึ่งไปประจำที่นั่น จนเขาไม่มีเวลามาใส่ใจตามหาคำตอบที่ให้ยงธนัทไปสืบเรื่องของหญิงสาวเท่าใดนัก
จนเวลาผ่านไปสองปี อังกูรได้ขึ้นเป็นประธานบริหารส่วนหญิงสาวเองก็ได้ขึ้นเป็นหัวหน้าแผนกลูกค้าสัมพันธ์ฝ่ายต่างประเทศ เธอเติบโตในสายงานตามความสามารถของตนเองและโชคดีว่าแม้จะเป็นหัวหน้าแผนก แต่ก็ยังถือว่าเป็นพนักงานระดับปฏิบัติงานอยู่ เธอจึงไม่มีหน้าที่ที่ต้องพบผู้บริหารระดับสูงแบบอังกูรให้ลำบากใจ
ระหว่างนั้นณิชชาได้พบน้องวินโดยที่ได้เห็นกันไกลๆ เฉลี่ยเดือนละครั้งหรือสองเดือนครั้ง แต่นั่นก็เป็นกำลังใจที่ดีที่ทำให้หญิงสาวมีแรงมาทำงานและดูแลลูกอีกคนที่อยู่กับตนเองได้อย่างดีที่สุดเท่าที่ตนจะทำได้
“แม่ขา วันนี้คุณครูบอกว่าฝากเอกสารให้คุณแม่เซ็นด้วย” เด็กหญิงรติชาในวัยแปดขวบส่งกระดาษขนาดเอสี่ที่ถูกพับสามทบมาให้ หญิงสาวรับมาเปิดอ่านว่าเป็นเรื่องอะไร
“ไปทัศนศึกษาเหรอลูก” หญิงสาวไล่สายตาพบว่าทางโรงเรียนจะพาเด็กๆ ไปทัศนศึกษาที่ห้างสรรพสินค้า และห้างที่ว่าก็คือห้างเอ็มจีสาขาสำนักงานใหญ่ที่เธอทำงานอยู่
“น้องหวานหวานอยากไปไหมคะลูก”
เด็กหญิงพยักหน้าทันที “อยากไปค่ะแม่ เพื่อนๆ ไปกันทุกคนเลย”
ณิชชายิ้มให้เอ็นดูกับความกระตือรือร้นของลูกสาว เธอหยิบปากกามาเซ็นชื่ออนุญาตให้เข้าร่วมกิจกรรม และแจ้งครูว่าวันนั้นเมื่อเสร็จสิ้นการทัศนศึกษาเธอจะรับลูกกลับเอง เธอพับจดหมายคืนใส่กระเป๋าให้ลูกนำส่งครูประจำชั้นในวันรุ่งขึ้น
หนึ่งสัปดาห์ต่อมาเป็นวันที่เด็กหญิงรติชาจะมาทัศนศึกษากับทางโรงเรียนที่ห้างเอ็มจี ณิชชาตัดสินใจลางานล่วงหน้าในช่วงบ่ายในวันนั้น เพื่อมาสังเกตการณ์และมองลูกอยู่ห่างๆ และรอรับลูกสาวกลับบ้านพร้อมกัน
เมื่อถึงเวลาคณะครูและนักเรียนมาถึงห้างสรรพสินค้าเอ็มจีในตอนเก้านาฬิกา หลังจากที่เข้าร่วมกิจกรรมของทางห้างแล้วก็ถึงเวลาพักรับประทานอาหารกลางวัน ซึ่งอังกูรได้เป็นผู้กล่าวต้อนรับคณะครูและนักเรียนด้วยตนเองและแจ้งว่าทางห้างจะเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารให้กับคณะทัศนศึกษาในวันนี้ด้วย
ในระหว่างมื้ออาหาร ในห้องจัดเลี้ยงอังกูรที่ร่วมกิจกรรมด้วยเขาเดินดูเด็กๆ เพื่อสำรวจความเรียบร้อยของงาน ชายหนุ่มเดินมาถึงแถวที่เด็กหญิงรติชานั่งอยู่ เขาสะดุดตาวงหน้าเล็กๆ ที่คุ้นอย่างประหลาด
เด็กหญิงยิ้มให้ตามประสาเด็ก เธอจำได้ว่าคุณลุงคนนี้เมื่อสักครู่พูดอยู่บนเวที จึงยกมือขึ้นไหว้และกล่าวคำสวัสดี
“สวัสดีค่ะคุณลุง”
อังกูรยิ้มรับ ชายหนุ่มย่อตัวนั่งบนส้นเท้าเพื่อคุยกับเด็กหญิง “สวัสดีค่ะ อร่อยไหมคะ”
สายตาเขามองไปที่ชื่อนามสกุลของเธอที่ปักบนอกเสื้อแล้วก็ต้องสะดุดเหมือนคนกำลังวิ่งมาแล้วมีใครมาขวางจนเบรกแทบไม่ทัน
‘เด็กหญิงรติชา (หวานหวาน) โอบเอื้อกรุณ’
“อร่อยมากค่ะ”
เสียงใสๆ เจื้อยแจ้ว ในขณะที่ชายหนุ่มมือชา หน้าชาด้วยความรู้สึกหลากหลายจนตั้งรับไม่ทัน ทำไมเขาจะจำไม่ได้ว่านี่คือนามสกุลของณิชชา ในเมื่อมันยังปรากฏหราบนใบเกิดของลูกจนทุกวันนี้
“วันนี้หนูมากับคุณครูแล้วมีใครมาด้วยอีกไหมคะ”
ไม่รู้ว่าอะไรดลใจเขาให้ถามไปเช่นนั้น แต่คำตอบที่ได้มามันเกินคาดจนเขาคิดไม่ถึง
“หนูมากับคุณครูค่ะ แต่ตอนเย็นจะกลับกับคุณแม่”
“เดี๋ยวคุณแม่มารับเหรอคะ” เขาถามต่อ ใจนึกดีใจที่จะได้อยู่รอดูหน้าแม่ของเด็กหญิงคนนี้
“คุณแม่ทำงานที่นี่ค่ะ โน่นไงคะแม่มาแล้ว แม่บอกว่าวันนี้จะลางานครึ่งวัน” เด็กหญิงชี้มือไปทางประตูห้องเมื่อเห็นมารดาเข้ามาพอดี อังกูรลุกขึ้นยืนหันหลังช้าๆ มองตามมือที่เธอชี้
“ณิช” เขาเอ่ยเสียงเหมือนครางในลำคอ
“ใช่ค่ะ แม่หนูชื่อณิชคุณลุงรู้ได้ยังไงคะ”
ชายหนุ่มกำมือแน่น เขามองไปที่อกเสื้อของเด็กหญิงอีกครั้ง ระบุว่าเธอเรียนเกรดสองซึ่งเป็นชั้นปีเดียวกันกับลูกชาย ไม่มีอะไรที่จะคิดเป็นอื่นนอกเหนือจากนี้ได้เลยว่าเขายังมีลูกอีกคนนอกจากเด็กชายรติวัชร์
อันธิกาหยิบโบชัวร์โครงการบ้านหรูที่วางบนโต๊ะทำงานของยงธนัทมาดูอย่างแปลกใจ เขาจะซื้อบ้านหรืออย่างไร เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมเธอจึงไม่เคยรู้มาก่อน หญิงสาวถือวิสาสะหยิบแฟ้มเอกสารที่วางด้วยกันขึ้นมาดู เห็นว่าคนรักเตรียมเอกสารสำหรับการซื้อและโอนบ้านเป็นชื่อของหญิงสาวที่เธอไม่รู้จักก็เริ่มขมวดคิ้ว“ณิชชา...ใครน่ะ ใครคือณิชชา แล้วทำไมเฮียย้งต้องซื้อบ้านให้ผู้หญิงคนนี้ หรือว่าแอบซุกเมียน้อยเมียเก็บไว้” หญิงสาวยิงคำถามใส่ยงธนัททันทีเพราะเจ้าตัวเข้ามาในห้องพอดี ชายหนุ่มหน้าซีดเมื่อประมวลผลคำถามออกว่าคนรักกำลังเข้าใจผิดไปใหญ่โต“เดี๋ยวๆ แบมจ๋า ใจเย็นนะคะ คือว่าเฮียไม่ได้ซื้อบ้านให้ผู้หญิงที่ไหนเลย” “อย่ามาตอแหล แล้วนี่อะไร” แฟ้มบินเฉียดหูเขาไปนิดเดียวเพราะยงธนัทหลบทัน“แบมใจเย็น เฮียอธิบายได้” เขารีบยกมือเป็นเชิงยอมแพ้“ต้องอธิบายอะไรอีก ชัดขนาดนี้” อันธิกาหันรีหันขวางแต่ไม่รู้จะโยนอะไรที่มีน้ำหนักพอใส่หัวคนเจ้าชู้อีก“แบมๆๆ เฮียไม่ได้ซื้อ บ้านนี่เฮียต้นเป็นคนซื้อต่างหากไม่เชื่อแบมดูบนโต๊ะมีเช็คที่เฮียต้นเซ็นไว้เป็นค่าบ้านสิ” ยงธนัทรีบพูดเมื่อเห็นสาวเจ้าหยิบที่ทับกระดาษที่
หลังจากที่ณิชชากลับลงไปทำงานแล้ว บรรดาทีมผู้ช่วยเลขาของอังกูรก็เกิดเสียงซุบซิบว่าอังกูรเรียกหญิงสาวขึ้นมาทำไมเป็นนานสองนาน“ทำงานกันได้แล้วจ้ะพวกเธอ ถ้าคุณย้งหรือบอสมาเจอระวังจะเป็นเรื่อง” สุพรรษาเดินมาปรามเมื่อมองมายังเห็นสาวๆ สามสี่คนจับกลุ่มคุยกันไม่เริ่มทำงานสักที“คุณสุคะ เมื่อกี้ณิชขึ้นมาทำอะไรเหรอคะ” เมลินดาเป็นตัวแทนหมู่บ้านถามเรื่องที่อยากรู้ สรรพนามที่หล่อนใช้เรียกณิชชาทำให้สุพรรษาชะงักมองหน้าเจ้าตัว“ทำไมเรียกคุณณิชชาเขาสั้นๆ แบบนั้น รู้จักกันเหรอจ๊ะ” “ใช่ค่ะ เมลกับณิชเคยเรียนโรงเรียนเดียวกัน ก็คนที่ตอนนั้นเมลบอกคุณสุว่ามีเพื่อนทำงานอยู่ที่ออฟฟิศข้างล่างไงคะ ที่ว่าจะชวนมาสมัครงานข้างบนแต่ว่าณิชเขาบอกว่าไม่ถนัด” “อ้อ คุณณิชเองหรอกเหรอที่เราบอกพี่ตอนนั้น” “ค่ะคนนี้ละ เมลเลยไม่เซ้าซี้เพราะว่าณิชอาจจะมีวุฒิไม่ถึงก็ได้ เจ้าตัวเขาคงรู้เลยบอกว่าไม่ถนัด” เมลินดาพูดต่อสุพรรษาขมวดคิ้ว “คุณณิชเนี่ยนะ วุฒิไม่ถึง” เท่าที่เธอรู้ข้อมูลมาคือณิชชาจบการศึกษาระดับปริญญาโทด้านบริหารองค์กรจากต่างประเทศด้วยซ้ำแล้วจะเอาอะไรมาบอกว่าวุฒิไม่ถึง เธอคิดว่าตำแหน่งปัจจุบันท
ณิชชาไปทำงานในเช้าวันต่อมา เธอได้รับคำสั่งจากหัวหน้าฝ่ายว่าให้ขึ้นไปที่ฝ่ายบริหารชั้นเก้า ซึ่งเป็นชั้นที่พนักงานรู้กันดีว่าเป็นพื้นที่ของประธานกรรมการบริหารคืออังกูรและทีมผู้ช่วย เลขานุการของเขาทำงานที่ชั้นนั้น“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะพี่หยง” “พี่ไม่รู้เหมือนกันจ้ะ คุณสุเลขาของคุณอังกูรโทรลงมาเองเลย บอกว่าถ้าณิชมาแล้วให้ขึ้นไปพบท่านข้างบน” ตันหยงหัวหน้าฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ที่เป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของณิชชาแจ้ง เธอมองลูกน้องสาวอย่างเป็นห่วงเพราะว่าที่ผ่านมาไม่เคยมีใครในแผนกที่ถูกอังกูรเรียกขึ้นไปเช่นนี้ณิชชาตรงไปยังลิฟต์ตัวพิเศษที่เป็นตัวเดียวที่จะขึ้นไปได้ถึงชั้นเก้า พนักงานรักษาความปลอดภัยด้านหน้ารีบกดลิฟต์ให้เธอทันทีเมื่อหญิงสาวแจ้งชื่อตัวเอง“สวัสดีค่ะ” สุพรรษารีบลุกขึ้นเมื่อเห็นเธอก้าวออกจากลิฟต์“ดิฉันมาพบคุณอังกูรตามที่มีแจ้งลงไปน่ะค่ะ” ณิชชาบอกจุดประสงค์ที่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้อยู่แล้ว“บอสรอคุณณิชอยู่ค่ะ เชิญทางนี้เลย” เลขานุการสาวรีบเปิดประตูห้องทำงานของเจ้านายหลังจากที่เคาะให้สัญญาณแล้ว จากนั้นเธอปิดประตูให้ความเป็นส่วนตัวกับคนในห้องเต็มที่ณิชชาเดินเข้าไ
รับประทานอาหารแล้วอังกูรพาหวานหวานกับณิชชาออกไปข้างนอก โดยที่แม้ว่าหญิงสาวจะไม่ได้อยากไปแต่ก็ขัดไม่ได้ เมื่อเขาบอกว่าจะพาไปรับน้องวินที่โรงเรียนเรียนพิเศษแล้วเลยไปดูบ้านใหม่ ท่าทางดีอกดีใจของลูกที่จะได้ไปไหนมาไหนกับพ่อทำให้หญิงสาวอดทนเก็บความรู้สึกของตัวเองไว้ “สวัสดีฮะพ่อ แม่ หวานหวานด้วย” เด็กชายรติวัชร์เปิดประตูรถด้านหลังขึ้นนั่งหลังจากที่สวัสดีบิดามารดาและทักทายน้องสาวฝาแฝดแล้ว หวานหวานจึงยุกยิกเดินข้ามจากเบาะหน้าจะนั่งกับคู่แฝด“ณิชมานั่งหน้าดีกว่าครับ ข้างหลังให้เด็กๆ นั่งด้วยกัน” ณิชชาถอนใจ ไม่อยากโต้เถียงกับเขาต่อหน้าลูกจึงทำตามเงียบๆ โดยที่ไม่ได้ตอบอะไร แต่อาการถอนใจแรงก็ทำให้อังกูรรู้ว่าเธอไม่พอใจ หรือว่าเธออาจจะยังโกรธเรื่องที่เขาพูดไม่ดีตอนก่อนกินข้าวก็ได้“เรื่องโรงเรียนลูก ผมว่าถามลูกก่อนก็ได้ว่าอยากย้ายไหม ลูกว่ายังไงเราก็ค่อยว่ากันมันยังมีเวลากว่าจะปิดเทอม” ณิชชาพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเป็นคำพูด หญิงสาวหันหน้ามองไปทางนอกตัวรถสนทนาโต้ตอบกับเด็กๆ บ้างเวลาคู่แฝดมีคำถามอะไร อังกูรเห็นอาการนั้นก็ถอนใจแต่เขาไม่ได้พูดอะไรอีกจนไป
เสียงกริ่งหน้าบ้านทำให้ณิชชาชะงักมือจากการเตรียมทำอาหาร วันนี้เป็นวันหยุดทั้งเธอและลูกสาวต่างก็ตื่นสายกว่าทุกวันเป็นเรื่องปกติ และเธอเองก็ไม่ได้มีแพลนจะพาลูกไปไหนในวันนี้ด้วยจึงตั้งใจจะทำอะไรกินกันง่ายๆ ที่บ้านสองแม่ลูก“หนูไปดูเองค่ะแม่” เด็กหญิงรติชาหรือน้องหวานหวานวัยแปดขวบลงจากเก้าอี้แล้ววิ่งออกไปดูยังหน้าบ้าน“คุณพ่อ...” นาทีต่อมาเสียงของหวานหวานดังขึ้นลั่นบ้านทำให้ณิชชาขมวดคิ้ว อังกูรมาหรือ? แล้วเหตุใดไม่เห็นเขาบอกล่วงหน้าว่าจะมาอังกูรจอดรถที่หน้าบ้านชายหนุ่มลงจากรถพอดีกับที่หวานหวานเดินไปถึงหน้าบ้านเพื่อเปิดประตูรั้วให้ “คุณพ่อสวัสดีค่ะ มาคนเดียวเหรอคะ” เด็กหญิงมองไปทางด้านหลังของเขา เผื่อว่าจะเห็นคู่แฝดของตัวเองมาด้วย“วินไปเรียนพิเศษน่ะลูก พ่อไปส่งเขามาแล้วเลยมาหาลูกที่บ้าน หนูกับแม่กินอะไรหรือยังคะ” ชายหนุ่มลูบศีรษะเด็กหญิงอย่างเอ็นดูพลางถามถึงมารดาของแก“แม่ทำกับข้าวอยู่ค่ะ” หวานหวานเข้าไปในครัวบอกมารดาว่าคุณพ่อมา เด็กหญิงรินน้ำใส่แก้วจะยกไปให้คุณพ่อแต่อังกูรตามเข้ามาพอดี “ไม่ต้องยกไปให้พ่อหรอกลูก เดี๋ยวพ่อช่วยแม่ทำกับข้าวดีกว่า หนูออกไปดูทีวีข้างนอ
ในระหว่างที่ณิชชาอึ้งกับคำพูดของชายหนุ่ม ประตูห้องถูกเคาะเบาๆ สามครั้งและเปิดเข้ามา เป็นยงธนัทที่พาเด็กหญิงรติชาขึ้นมาตามคำสั่งของอังกูรนั่นเอง “มาแล้วครับเฮีย” ยงธนัทเตรียมล้างหูฟังอังกูรบ่นเต็มที่ หรือดีไม่ดีอาจจะด่าด้วยก็ได้แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อ... “นายไปทำเรื่องย้ายตำแหน่งณิชขึ้นมาทำงานบนนี้ทีย้ง” สองคนที่ได้ยินหน้าตาตื่น “ไม่นะคะคุณต้น ณิชไม่ย้ายงานค่ะ” “นั่นสิฮะ แล้วจะให้ณิชทำงานตำแหน่งอะไรละเฮีย บนนี้ไม่มีตำแหน่งว่างเลย” ยงธนัทถึงกับเกาศีรษะแกรก ในขณะที่เด็กหญิงวิ่งมาหามารดา“แม่ขาเสร็จงานหรือยังคะ” ณิชชาอุ้มลูกขึ้นมานั่งบนตัก “ค่ะ หนูจะกลับบ้านแล้วเหรอ” อังกูรทำมือโบกไล่ให้ยงธนัทออกไปจากห้อง “นายออกไปก่อนย้ง มีไรเคลียร์กันวันหลัง” ประโยคว่าเคลียร์กันวันหลังทำให้ยงธนัทรีบออกไปอย่างรวดเร็ว นึกขอบใจที่วันนี้มีเด็กหญิงรติชาอยู่ด้วยทำให้ทุกอย่างนุ่มนวลลงมาก เขาสังเกตสีหน้าของทั้งอังกูรและณิชชาพบว่าไม่ได้แย่มากนัก จึงปลีกตัวออกมาอย่างโล่งใจ ยงธนัทออกไปแล้ว เหลือเพียงอังกูรที่จ้องสองแม่ลูก จนเด็กหญิงเริ่มขยับตัวอย่างอึ