LOGINคิ้วหนาเป็นปื้นเลิกขึ้นเล็กน้อย “ฉันจะทำอะไร มันไปเกี่ยวกับเธอตรงไหน” เอ่ยถามไปน้ำเสียงคล้ายฟ้ากำลังฟาด
“แต่ฉันว่า คุณ...ปล่อยฉันดีกว่านะ ฉันไม่ใช่ผู้หญิงอย่างที่คุณคิด” ชมบุหลันเอ่ยเสียงอ่อย ทาบสองมือผลักกายกำยำให้ถอยห่างไป แต่เหมือนกับเธอเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง นอกจากไม่ได้รับการปล่อยแล้วกลับถูกรัดเสียจน...สัดส่วนเรือนกายนุ่มนิ่มแนบชิดอกกว้าง พานทำให้หัวใจเต้นไหวระทึกราวกับยืนอยู่บนเส้นเชือกเปื่อยยุ่ยพร้อมขาดลงทุกเมื่อ
“ก็...คุณคีธยังไม่รู้จักชื่อยายอ้วนตุ้ยนุ้ยเลยนี่คะ แล้วจะ...พาไปด้วยได้ยังไง” พิมพ์มาดาพยายามคิดหาเหตุผลขึ้นมาอ้างให้คีธปล่อยตัวแม่สาวตุ้ยนุ้ยและดึงเอาเธอเข้าไปนั่งบนตักกว้างแทนที่
คีธก้มหน้าลงมองใบหน้านวลแดงระเรื่อ รอยยิ้มแต้มบนมุมปากหนา “เธอชื่ออะไรสาวน้อย”
“ชมบุหลัน...ไผ่หลิว” น้ำเสียงแหบนุ่มทุ้มระคนเซ็กซี่เปี่ยมล้นด้วยความเย้ายวนยั่วเย้าที่กระตุ้นให้หญิงสาวเผลอตอบกลับอย่างไม่ทันรู้ตัว ก่อนริ้วลมร้อนผ่าวจะแต้มบนแก้มใสให้คิดว่าคงแดงปลั่งยิ่งกว่าผลเชอร์รี่ อยากเบือนหน้าหนีและผลักไสแต่กลับอ่อนไร้เรี่ยวแรง ที่คงเป็นเพราะอำนาจจากมือแกร่งอุ่นซึ่งยังไม่ยอมละจากการโลมไล้ปทุมถันกลมกลึง พานพัดความปั่นป่วนวาบหวามมาสู่กายาตลอดเวลา
“น่ารักดี...ไผ่หลิว” คีธเอ่ยชม พลางยอมปล่อยมือจากเต้าอวบอัด ดันร่างอรชรจากตักกว้าง
ชมบุหลันรู้สึกเสียดายความอบอุ่นที่หายไป แต่ยังไม่ทันได้ก้าวเท้าถอยห่าง แขนกลมกลึงก็ถูกกระตุกจนกายถลาไปแนบกายใหญ่ โดยแขนกำยำโอบรัดรอบเอวคอดกิ่ว
“พร้อมแล้วใช่ไหมไผ่หลิว ที่จะไปรื่นเริงหาความสุขยามค่ำคืน เที่ยวท่องวิมานราตรีกับฉัน”
“เอ่อ...” ชมบุหลันได้แต่อ้าปากกว้างด้วยงวยงงจากสายตาคมเข้ม ก่อนรีบสะบัดศีรษะเรียกสติคืนกลับมาอย่างยากเย็นเป็นที่สุด
“เปล่าสักหน่อย ฉันไปรับปากคุณเมื่อไหร่ล่ะ แถมคุณชื่ออะไรยังไม่แนะนำตัวให้ฉันรู้จักเลยนะ แล้วฉันจะไปทำอย่างว่ากับคุณได้ยังไงกัน” หาข้ออ้างทางออกให้กับตัวเอง
คีธยิ้มหวาน “เรากำลังจะออกไปจากที่นี่ ไปทำความรู้จักกันอย่างสนิทสนมลึกซึ้งไง...ไผ่หลิว”
คำพูดเซ็กซี่เย้ายวนชวนระทึกใจอีกทั้งฝ่ามือหนาที่ลูบไล้แผ่นหลังทำเอาชมบุหลันถึงกับขาสั่น ใบหน้านวลผ่องแหงนขึ้นมองสบสายตาคมเข้มเป็นประกายหวานพราวเว้าวอน เรียวลิ้นเล็กยื่นออกมาไล้เลียกลีบปากเชิญชวน
“เรียกฉันว่า...คีธ” เอ่ยพร้อมโน้มใบหน้าลงไปแนบปากทาบจากหางตาไล่ลงไปบนแก้มนวลนุ่มหอม ก่อนทาบบนปากอิ่มที่ยู่ยื่นออกมาอย่างขัดอกขัดใจที่เขาทำอะไรชักช้า เขาเลยจำเป็นต้องแนบปากลงไปบนความนุ่มนิ่มอย่างหิวกระหาย ขบเม้มกลีบปากล่างให้คนตัวเล็กร้อนไปทั่วร่าง
“แค่นี้ก่อนนะ...เอาไว้เราค่อยต่อเมื่อถึงห้องนอนฉัน รับรองได้ว่า...เธอจะถูกฉันจูบไปทั่วทั้งตัว ร้อนยิ่งกว่าไฟเผาเชียวล่ะ”
“จริงๆ หรือคะ คุณไม่ได้พูดเล่นใช่ไหม” ชมบุหลันยกมือปิดปากตัวเองแทบไม่ทัน เธอเป็นบ้าอะไรไปนี่ ถึงได้ทำเหมือนกับสาวร้อนแรงกระหายอยากในรสเสน่หาจนห้ามใจเอาไว้ไม่ได้
“ถ้าอยากรู้ว่าจริงหรือเปล่า เราคงต้องรีบไป เพราะฉันร้อนอยากฝังร่างเป็นหนึ่งเดียวกับเธอจะแย่แล้ว”
ชมบุหลันหัวเราะคิก บดเบียดเรือนกายอรชรแนบชิดความแกร่งกำยำ พร้อมทาบฝ่ามือนุ่มนิ่มบนอกกว้างอย่างหลงใหล “แล้วจะรอช้าอยู่ทำไมล่ะคะ”
“เธอไม่ต้องมาที่นี่แล้วนะ...พรุ่งนี้จะให้คนส่งเงินไปให้” คีธเอ่ยจบก็พาชมบุหลันเดินจากไป โดยไม่สนใจเสียงโหวกเหวกโวยวายของพิมพ์มาดา ที่เมื่อเขายกมือขึ้นโบกก็มีสองหนุ่มร่างใหญ่ล่ำบึกหน้าตาดุดันเหี้ยมเกรียมสองคนที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนยืนขนาบข้าง
“ตายแล้ว! ฉันลืมไปเลย” ชมบุหลันเอ่ยเสียงใส ขณะเอนกายกลมกลึงแนบร่างแกร่ง ที่ไม่หยุดเวียนอุ่นไฟพิศวาสด้วยการสอดมือเข้ามาลูบไล้ผิวเนื้อนวลเนียนนุ่ม ให้เธอตัวสั่นสะท้านวาบหวาม เลือดในกายสูบฉีดแรงจนแก้มแดงระเรื่อ
คีธเลิกคิ้ว ก้มลงมองคนในอ้อมแขน
“คือ...ฉันไม่ได้เข้าไปในคลับของคุณเหมือนสาวๆ คนอื่นนะ” เห็นสีหน้างุนงงสงสัยและสายตาเป็นคำถามที่ส่งมา ทำให้หญิงสาวต้องรีบอธิบายโดยเร็ว
“หุ่นฉันไม่เหมือนกับคนที่อยู่ข้างในเลยสักนิด...แถมยังออกจะเตี้ย” ทำปากโย้เย้อย่างไม่ชอบใจกับรูปร่างของตัวเอง ไม่ได้อยากสูงปรี๊ดเหมือนนางแบบนางงามหรอกนะ แค่ให้สูงกว่านี้อีกสักหน่อย แล้วก็ไม่มีเนื้อย้วยๆ เกาะอยู่ตามรอบขอบเอว สะโพกและต้นขา
“หน้าตาก็งั้นๆ แค่ไปวัดได้ไม่อายพระเณร”
คีธหัวเราะหึหึในลำคอ โน้มหน้าลงแนบปากกับซอกคอระหง ขบเม้มสลับลากไล้ปลายลิ้นอุ่นชื้นจนขนกายคนตัวเล็กลุกเกรียว ขาสั่นอ่อนยวบจนต้องรีบเกาะกอดเขาเอาไว้
“แต่เธอทำให้เลือดในกายฉันร้อนได้ ต่างจากผู้หญิงพวกนั้นลิบลับเลยนะ”
“คุณคงเป็นคนแปลกและชอบของแปลกมั้ง”
“ไม่แปลกหรอก ผู้หญิงแต่ละคนมีเสน่ห์ที่แตกต่างกัน เธอมองตัวเองว่าเป็นคนไม่สวย แต่คนอื่นอาจมองว่าสวย และยังสามารถมองเห็นลึกไปถึงจิตใจที่ดีงาม เปล่งประกายออกมาสร้างออร่าให้กับตัวเอง จนต้องรีบไขว่คว้ามาชิดใกล้และไม่ยอมปล่อยให้จากไปไหน”
ดั่งเช่นเขาที่สัญชาตญาณบ่งบอกว่าเธออันตรายต่อการมีชีวิต แต่ก็ยังเลือกเก็บเอาเธอมาอยู่ข้างกาย เพื่อเสพปรารถนาไปจนสุดเส้นทางสายเสน่หา ด้วยความคิดที่แวบขึ้นมาตั้งแต่แวบแรกที่ได้ลิ้มรสเลือดบริสุทธิ์!
เธออาจเป็นคนที่เขาตามหา...ผู้ถูกเลือกมาทำลายอสูรร้ายที่ฝังตัวอยู่ในกาย ปลดปล่อยหนุ่มผู้โชคร้ายให้อิสระ โลดแล่นไปในโลกเสรี มีชีวิตอย่างผู้คนธรรมดา
เธอนี่นะ...มีเสน่ห์ ไม่รู้สิ ยังทำใจเชื่อไม่ได้ แต่เขาชมมาก็ทำให้ปลื้มใจจนยิ้มได้กว้างๆ แล้วละ
“น่านะ...คุณไปกับฉันหน่อยนะ” เอ่ยเว้าวอนเสียงหวานใส ส่งสายตากลมโตวอนเว้าพร่างพราวระยับ ก็ถ้าไปคนเดียว เดี๋ยวคนพวกนั้นก็ไม่เชื่อ เธอก็หน้าแตกหมอไม่รับเย็บนะสิ
แม้อยากกลับไปเริงร่ากับนกน้อยในห้องส่วนตัวและบนเตียงนอนใหญ่ ทว่าเขาก็นึกขึ้นมาได้ เธอคนนี้ไม่เหมือนกับผู้หญิงคนอื่นๆ ที่เคยเจอมา คนที่ให้เขาเสพสมด้วยเนื้อกายเน่าเผละ บำเรอราคะและดื่มกินเลือดคาวๆ เป็นอาหารประทังชีวิต
“อยากให้ฉันไปก็ควรมีข้อแลกเปลี่ยน” ปลายนิ้วตวัดปัดผมนุ่มห่างจากลำคอ นวดคลึงเส้นเลือดที่เต้นตุบๆ ยั่วยุให้เขารีบกดฝังเขี้ยวลงไปดูดดื่มเลือดรสหวาน
“ใครรังแกให้เจ็บช้ำน้ำใจบอกมาเลยนะเอมมี่ พวกเราทุกคนพร้อมกระทืบมันให้จมดิน” คีธที่ละจากชมบุหลันเดินมาสมทบเป็นคนสุดท้ายเอ่ยขึ้น“มีค่ะ...มากๆ ด้วย คนที่แกล้งขอให้เอมมี่ไปซื้อของกลางแดดร้อนๆ คนนั้นไง” เอมมิเลียฟ้องคนที่ทำให้เธอดีใจจนน้ำตาไหล“อย่างอนคุณดินเลยเอมมี่ เราทุกคนเพียงแค่อยากทำให้ประหลาดใจเท่านั้นเอง” โรมผู้เป็นพี่ใหญ่กว่าเอ่ยขึ้น พลางยกมือกดซับน้ำตาบนพวงแก้มนุ่มอย่างอ่อนโยน“นั่นสิ เราอยากมาดูว่าคุณดินเขาเลี้ยงดูเอมมี่ดีแค่ไหน รังแกให้เจ็บกายและเจ็บช้ำน้ำใจหรือเปล่า” ไลอ้อนรับคำก่อนยอมปล่อยถอยจากเอมมิเลียไปทรุดกายลงนั่งโอบกอดปาวรินทร์ซึ่งมองมาใบหน้าเปื้อนยิ้ม“เชื่อเถอะเอมมี่ ทางนี้คุณคีธก็บ่นไม่เว้นแต่ละวัน” ชมบุหลันละจากการสนทนาถามไถ่ทุกข์สุขพี่สาวที่เคยร่วมอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกันมาก่อนอย่างปาว รินทร์เอ่ยขึ้นบ้าง“บ่นว่าคิดถึงแต่ไม่เห็นมีใครโทรมาหาเอมมี่บ้างเลย” พ้อเสียงใสและส่งยิ้มให้กับอมรินทร์ที่เดินมายื่นนิ้วเกี่ยวก้อยพาเดินไปนั่งบนมุมหนึ่งของสวนดอกไม้บานสะพรั่งกายแกร่งทรุดลงก่อนและให้เธอนั่งบนตักกว้าง แขนหนึ่งโอบรัดรอบกายเพรียว อีกมือยกขึ้นมาทาบบนผิวหน้านวลนุ่ม มองเอ
“นอนไม่หลับเพราะไม่ได้กอดเอมมี่นะสิ” “ทีเมื่อก่อนตอนไม่เจอกันยังอยู่มาได้ ตอนนี้มาทำปากหวาน” ถึงเอ่ยอย่างนั้นเอมมิเลียก็ยินยอมให้อมรินทร์ช้อนกายเพรียวไปนอนบนเตียง สองแขนเรียวยาวยกขึ้นพาดบนบ่ากว้าง กลีบปากอิ่มนุ่มคลี่ยิ้มหวาน นัยน์ตากลมใสเปล่งประกายเชิญชวน“เอมมี่เป็นยาเสพติดที่ต้องเสพทุกคราวที่มีโอกาส”“ขอให้เป็นอย่างที่ปากพูดแล้วกัน ไม่งั้นคุณถูกทุกๆ คนกลับมารุมสกรัมแน่” นิ้วยาวยกขึ้นจับปลายจมูกขยับไปมาอย่างมันเขี้ยว เลยถูกอมรินทร์แก้คืนด้วยการทาบฝ่ามือลูบไล้ไปทั่วกายนุ่มนิ่มพร้อมปลดเปลื้องอาภรณ์คลุมร่างอรชรทิ้งไปและแนบจูบบนกลีบปากอิ่มนุ่มอย่างหนักหน่วงจนคนถูกจูบหายใจหายคอไม่ทัน“ผมน่ารักออก เพื่อนๆ และพี่ชายเอมมี่ไม่มีทางทำอะไรอย่างที่ว่าหรอก” อมรินทร์เอ่ยอย่างมั่นใจ ตวัดสายตาวามวาวเป็นประกายมองไล่ไปทั่วร่างนวลเนียนนุ่ม“อย่างนี้นะหรือน่ารัก เห็นมีแต่จะรังแกกันตลอดเลย” กลีบปากอิ่มนุ่มขบเม้มเข้าหากัน มือเล็กรีบขยุ้มผ้าปูเตียงดึงทึ้งด้วยความกระสันซ่านเสียวจากฤทธิ์ฝ่ามือเพชฌฆาตที่ปลุกปั่นเพลิงเสน่หาโถมเข้าใส่ราวกับเขาไม่เหน็ดเหนื่อยในการจะมอบสัมผัสปรารถนาเลยแม้แต่น้อย“เอมมี่อยากน่าร
หญิงสาวผ่อนลมหายใจออกจากปอด นับตั้งแต่เกิดเรื่องในคืนนั้น หนังตาอ่อนนุ่มหลุบลงด้วยความอึดอัดระคนปวดร้าวทรวงใน แม้เร่งรีบทำทุกอย่างและเดินทางไปช่วยทุกคนอย่างเร็วที่สุดแล้วแต่ก็ยังไม่ทันกาลอยู่ดี“ฉันขอโทษนะที่ช่วยน้องและแม่คุณไม่ได้” มือนุ่มนิ่มพลิกกลับและลูบไล้มือใหญ่อย่างอ่อนโยนปลอบประโลมหัวใจที่ปวดร้าวให้คลายลงด้วยความรักเต็มล้นอก“ไม่เป็นไรหรอก คงเป็นเวรเป็นกรรมของเอื้อมกับแม่” แม้บอกอย่างนั้นอมรินทร์ก็อดใจหายและปวดร้าวไม่ได้ เขาไปทันได้เห็นเอื้อมดาวถูกโทมัสซึ่งต่อสู้จนเหนื่อยล้าจับตัวเอาไว้“ยอมแพ้และปล่อยตัวเอื้อมดีกว่านะโทมัส เราทุกคนล้อมไว้แล้ว ยังไงนายก็หนีไม่รอดหรอก” หว่านล้อมพร้อมเหลียวมองไปยังคนอื่นๆ ที่มีอาการเหนื่อยหอบหลังจากจัดการเหล่าสมุนของโทมัสจนสิ้นลายไม่สามารถลุกขึ้นมาต่อกรได้อีกแล้วและต่างก็ยืนคุมเชิงเตรียมพร้อมเข้าช่วยเหลือเอื้อมดาวซึ่งอ่อนระโหยโรยแรงจนแม้กระทั่งจะเอ่ยปากพูดก็ไม่มีเสียงออกมาแล้ว“ข้าไม่เชื่อจะแพ้พวกเจ้า” โทมัสคำรามลั่น ตัวเขามีจุดเหมือนเอมมิเลียคือดื่มเลือดมนุษย์เป็นอาหาร แต่ต่างที่สามารถมีชีวิตอยู่กลางวันได้ด้วยอำนาจจากคัมภีร์เวทและตอนนี้เขาจำต้อ
“ข้าเอมมิเลีย โฮเดการ์ด ขอรับอมรินทร์ จิอาฟองโซติด้วยกายและใจ” พูดไม่ทันขาดคำดีกายก็รับเอาความอึดอัดคับแน่นสอดแทรกเข้ามาจนน้ำตาหยดไหล ปากอิ่มสั่นระริกพร้อมเสียงร้องผะแผ่วของความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั่วกายาราวกับถูกฉีกทึ้ง จนต้องรีบผงกศีรษะพร้อมแยกเขี้ยวแหลมคมและคำรามลั่นก่อนกดฝังลงบนลำคอแกร่งเจ็บจี๊ดมาพร้อมความรวดร้าวจากเพลิงไฟพิศวาสที่แล่นลิ่วไปทั่วกายา กายสาวคับแน่นและบีบกระชับจนอดเปล่งเสียงคำรามออกมาไม่ได้“อดทนอีกนิดนะเอมมี่” เอ่ยปลอบประโลมเอมมิเลีย มือหนาลูบไล้นวดเคล้นกายเพรียวบางจากบั้นท้ายงามงอน ไต่เรื่อยขึ้นไปกดคลึงพฤกษาสวาทเพื่อผ่อนคลายความปวดร้าวให้กับเอมมิเลียและหลอมรวมสองร่างให้เป็นหนึ่งเดียวอย่างสมบูรณ์ แต่กว่าภมรใหญ่จะชอนไชบุหงาแรกแย้มลึกล้ำก็ทำเอาเหงื่อกาฬไหลอาบกายสองแขนกลมกลึงโอบกระชับรอบกายแกร่ง “ฉันไม่เป็นไร” โต้กลับเสียงอู้อี้ด้วยหิวกระหายในเลือดรสหวานที่แตะปลายลิ้น จิกเล็บลากบนแผ่นหลังกว้างผ่อนคลายความเจ็บร้าวจากการขยับกายของอมรินทร์ยังทำให้เธอนั้นมีความเจ็บปวดเสียดแทรกมาพร้อมความกระสันรัญจวนใจ จนต้องอัดสูดลมหายใจเข้าปอดจนปทุมถันไหวกระเพื่อมเสียดสีกับอกกว้างกำยำเพ
“อืม...” เอมมิเลียร้องครางเสียงหวานเมื่อถูกจูบเป็นพายุบุแคม เหมือนอมรินทร์ปลุกเร้าเลือดที่แข็งตัวให้ไหลเวียนทั่วร่างดึงเอาวิญญาณที่หายไปกลับคืนมา ก่อกองไฟกึ่งกลางกายสาวให้สะบัดส่ายไหวด้วยปั่นป่วนจนทนอยู่นิ่งเฉยไม่ได้ มือเล็กเคลื่อนไหวไปบนกล้ามเนื้อแข็งแกร่งอย่างสะเปะสะปะ ด้วยความสยิวซ่านจากฝ่ามือหนาที่นวดคลึงบัวตูมอวบอัด ขณะเขานั้นเคลื่อนปากอุ่นทาบทับไปบนผิวเนื้อนวลนุ่มหอม คลอเคลียขบกัดซอกคอขาวนวลเอมมิเลียหายใจติดขัด ยามฝ่ามือหนานวดเฟ้นทรวงอกกลมกลึงอย่างหนักหน่วง ขณะปากอุ่นเคลื่อนลงไปหา สองบัวตูมไหวระริก ขนตามเรือนกายลุกขึ้นทีละน้อยจนตั้งชันพอๆ กับปลายยอดทับทิมที่แข็งตัวตั้งชันยั่วยุให้อมรินทร์เร่งรีบจรดปากลงไปหาและทาบทับอย่างรวดเร็วด้วยอดใจไม่ไหวฟันขาวสะอาดขบกัดสลับใช้ปลายลิ้นลากไล้เวียนวนบนปลายจะงอยถันอย่างแผ่วเบาและนุ่มนวล พร้อมส่งอีกมือบีบเคล้นจากฐานอวบอิ่มหนักเบาสลับกันถึงปลายยอดบัวชูช่อนูนเด่นปลุกเร้าอารมณ์จนเอมมิเลียเริ่มร้องครางครวญหาบางสิ่งบางอย่าง สองเท้าบอบบางถูไถพลางสะบัดกายส่ายไปมาเป็นระวิงจากเพลิงไฟร้อนที่ลามเลียทั่วร่างจากอารมณ์ซึ่งปะทุเหมือนลาวาใต้พื้นดินเมื่อเพลิงเ
ปากบอกไม่ว่าเธอเลือกตัดสินใจอย่างไรทุกคนก็รับได้ทั้งนั้น แต่เอมมิเลียก็รู้ดีทุกคนรอวันได้เดินคลอเคลียกับคนรักท่ามกลางแสงแดดด้วยรอยยิ้มและความสุข! ซึ่งถ้าหากเธอเลือก...ไม่! ก็จะกลายเป็นเธอนั้นเห็นแก่ตัว ไม่คิดถึงใจคนที่เอ่ยว่าเป็นเพื่อนเป็นครอบครัวแค่มองตาอมรินทร์ก็รู้แล้วเอมมิเลียคิดอะไร “ต้องเป็นที่สูงและมองเห็นดวงจันทร์เต็มดวงหรือเปล่า” เอ่ยถามขณะสถานที่หนึ่งแวบเข้ามาในสมอง“คิดว่าไม่” เพราะครั้งก่อนก็เป็น...หุบเหวมีบริเวณลานกว้างด้านบนเปิดโล่งให้เห็นดวงจันทร์ คราวนี้ก็คงไม่แตกต่างกัน “ที่ยังไงก็ได้แต่ต้องเห็นจันทร์เต็มดวง”โรมบอกกล่าวขณะรับมือกับไอ้พวกที่ไม่กลัวตาย จนเขาอยากรู้นักโทมัสเลี้ยงด้วยอะไรถึงได้จงรักภักดีขนาดยอมตายถวายหัวแบบนี้หรือจะถูกเวทมนตร์ก็ไม่รู้ได้“ฝากแม่กับน้องผมด้วย” อมรินทร์เอ่ยขึ้นโดยไม่เจาะจง ก่อนดันตัวน้องสาวที่ยังไม่ละลดความพยายามจัดการกับเอมมิเลียและหันไปแย่งอาวุธจากมารดา แต่ถูกขัดขวางจากโทมัสจนเกือบเพลี่ยงพล้ำ ดีว่าโรมมาช่วยได้ทันท่วงทีและยังแย่งเอากริชมาส่งให้เขาโดยที่ผู้เป็นมารดายังพยายามแย่งเอาคืนไป“ฝากเอมมี่ด้วย ถ้าหากคุณทำร้ายเธอแม้เพียงนิดเดียว ผม







