"กลุ่มพวกเธอนี่น่าอึดอัดแบบนี้ตลอดเลยหรือ?"
ซีซวนที่รับหน้าที่เป็นคนขับรถชั่วคราวเอ่ยถามขึ้น หลังจากออกรถมานานกว่าครึ่งชั่วโมง เพื่อเดินทางพากลุ่มของน้องสาวไปทำงานต่างจังหวัด
บรรยากาศน่าอึดอัดที่ซีซวนพูดถึง แผ่มาจากมนุษย์ซอมบี้ที่ชื่อคุณใส เขานั่งกอดอก ทำหน้าบอกบุญไม่รับ ใส่หูฟังและเข้าสู่โลกส่วนตัวอย่างสมบูรณ์แบบ
เมื่อตัวก่อกวนของกลุ่มเงียบหาย ทำให้คนอื่นๆ กดดันไปตามๆ กัน ส่งผลให้บรรยากาศไม่ต่างจากรถร้างไร้ผู้คน
หลินซีเหลือบมองคุณใสและน้ำมนต์สลับกัน ดูจากท่าทางอ้ำอึ้งของทั้งคู่ คงมีเรื่องผิดใจกันอีกเป็นแน่ เพื่อนสาวถึงกับปวดหัว ดูเหมือนการเป็นต้นหนเรือของคู่รักคู่นี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเสียแล้ว
"เป็นกลุ่มที่ค่อนข้างน่าเบื่อนะ..."
คำพูดของซีซวนไปกระตุกความหงุดหงิดของคุณใสเข้าให้ ชายหัวร้อนกระชากหูฟังและเริ่มหาเรื่องรุ่นพี่อีกครั้ง
"แล้วทำไมนายมาเป็นคนขับรถได้วะครับ!"
"มารับส่งน้องสาวตามหน้าที่พี่ชายไง คิดว่าฉันมาขับรถให้นายคนเดียวหรือ คิดไปเองเก่งเหมือนกันนี่..."
ถ้าไม่ติดว่าซีซวนกำลังใช้สมาธิกับการขับรถ คุณใสคงพุ่งไปหยุมหัวว่าที่คุณหมอเข้าให้แล้ว พื้นที่ในรถตู้กว้างพอให้พวกเขาชกกันสักยกยังได้เลย
"พอเถอะ..."
"พอได้แล้วคุณใส"
ยูเรพูดแทรกขึ้นตอนที่น้ำมนต์พยายามจะห้ามปรามคุณใส ญาติห่างๆ ดึงแขนคุณใสเอาไว้
น้ำมนต์มองความสนิทสนมของญาติพี่น้องสองคนนี้แล้วภายในใจเกิดสับสนขึ้นมาอีกครั้ง
ครั้งหนึ่งที่คุณใสหันมาสบตาน้ำมนต์พอดิบพอดี แต่เพียงครู่เดียวก็หันหน้าหนี
น้ำมนต์ไม่ชอบแบบนี้เลย เขามองออกไปนอกกระจกรถและตั้งมั่นว่าจะต้องแก้ไขความอึดอัดนี้ลงให้ได้โดยเร็ว
หลังจากแสงอาทิตย์ตกดิน รถตู้ก็จอดที่หน้าบ้านพักพอดิบพอดี
สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น้อยคนนักจะรู้จัก เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นชุมชนที่อาศัยอยู่ในละแวกป่าที่ห้อมล้อมไปด้วยธารน้ำและเนินเขา แหล่งที่อยู่อาศัยของชาวบ้านส่วนใหญ่ตั้งอยู่ขนาบข้างถนนเส้นใหญ่ ที่ทอดยาวออกไปตามแนวป่า บ้านและที่พักสร้างจากไม้ สายลมเย็นสบายและท้องฟ้าที่เริ่มมืดขึ้นในทุกๆ วินาทีขับเน้นให้บรรยากาศเงียบสงบเย็นยะเยือก
กลุ่มนักศึกษาทยอยลงจากรถ ขนสัมภาระส่วนตัวรวมไปถึงอุปกรณ์ถ่ายภาพและขนมขบเคี้ยวระหว่างเดินทางเข้าบ้านพัก
"ยอดเลย!...บ้านน่าอยู่สุดๆ" ยูเรวิ่งเข้าไปสำรวจที่พักอย่างตื่นเต้น
"ทำตัวตามสบายเลย" หลินซีวางเรียงอุปกรณ์ถ่ายภาพไว้ใต้บันได
น้ำมนต์ที่เดินตามหลังเพื่อนสาวเข้ามาถึงกับหยุดชะงัก ท่ามกลางเครื่องเรือนไม้เก่าที่มีอายุหลายสิบปี บนโซฟาตัวใหญ่ปรากฏร่างโปร่งสีขาวสองร่าง ดูเหมือนสายตาพิเศษของน้ำมนต์จะทำงานผิดที่ผิดเวลาอีกแล้ว
ร่างหนึ่งสูง ไหล่กว้างราวกับชายหนุ่มกำยำ ร่างนั้นนั่งพิงโซฟาอย่างเงียบสงบ ส่วนอีกร่างมีขนาดเล็กกว่า ดูบอบบางและอ่อนแอไม่ต่างจากหญิงสาว นั่งเอนพิงอีกร่างจนแทบจะกลืนเป็นร่างเดียวกัน ทว่าออร่าที่แผ่ออกมาของสองร่างนั้นไม่ได้ทำให้น้ำมนต์รู้สึกหวาดกลัวมากเท่าวิญญาณหลายตนที่เขาเคยเห็นกลับกัน เขารู้สึกอบอุ่นราวกับได้รับการดูแลจากญาติผู้ใหญ่
รูปลักษณ์ของทั้งสองต่างจากวิญญาณตนอื่นๆ ไม่น่ากลัวและดูสงบเงียบ ทั้งสองไม่สนใจพวกเด็กๆ ที่เดินเข้ามาราวกับมองไม่เห็น
"นี่หลิน...บ้านหลังนี้ไม่มีคนอยู่มานานแค่ไหนแล้วเหรอ?" น้ำมนต์ถาม
"ประมาณสิบปีได้" หลินซีไล่เปิดไฟในบ้าน "ก่อนหน้านี้คุณลุงกับคุณป้าฉันเคยอยู่ พอทั้งสองเสียไป นานๆ ทีก็จะมีคนมาคอยดูแลทำความสะอาด"
วิญญาณสองตนนั้นคือคุณลุงและคุณป้าของหลินซีนั่นเอง
น้ำมนต์พยายามไม่มองไปทางสองร่างนั้น แม้พวกเขาจะไม่ได้น่ากลัว แต่ขาของน้ำมนต์ก็ยังสั่นจนไม่กล้าเดิน มันเป็นปฏิกิริยาทางร่างกายที่น้ำมนต์บังคับไม่ได้เมื่อเขาพบเจอวิญญาณ
ฝ่ามือหนาของคุณใสแตะเข้าที่หัวไหล่ของน้ำมนต์
"กลัวหรือเปล่า?" คุณใสกระซิบ สายตาจับจ้องไปยังสองร่างโปร่ง "อยากให้ช่วยไหม?"
อยากสุดๆ เลยครับ!
น้ำมนต์ส่ายหน้า แม้เหงื่อจะผุดเพราะความวิตก ทว่าเขาจะเอาแต่พึ่งพาคุณใสไม่ได้ น้ำมนต์ต้องรู้จักเรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับความสามารถที่ตนมี
"ไม่เป็นไร แค่ไม่ชินเท่านั้นเอง..."
ว่าจบน้ำมนต์ก็พยายามก้าวขาเอาข้าวของไปเก็บ
คุณใสได้แต่ยืนมองท่าทางกระตือรือร้นของเจ้าหอยทากน้อย เป็นอีกครั้งที่คุณใสถูกปฏิเสธความช่วยเหลือ สำหรับคนอ่อนแออย่างน้ำมนต์ มันคงเป็นการดีที่จะรู้จักเรียนรู้สิ่งต่างๆ และกล้าเผชิญหน้ากับปัญหามากขึ้น เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ทว่าสำหรับคุณใสแล้ว การที่น้ำมนต์อยากเป็นคนกล้าหาญ ยิ่งทำให้ระยะห่างของทั้งสองเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
"กระเป๋าไข่ต้มนี่ของใคร?"
ซีซวนเอ่ยถามหลังจากจัดการจอดรถเข้าที่ และหยิบเอาสัมภาระใบสุดท้ายติดมือลงมาด้วย กระเป๋านั้นเป็นเป้ขนาดพกพาที่ห้อยพวงกุญแจรูปไข่ต้มเอาไว้
คุณใสฉวยเอากระเป๋าไปพร้อมคำขอบคุณห้วนๆ ก่อนจะไปสมทบกับเพื่อนคนอื่นๆ ในบ้าน
การแบ่งที่นอนเป็นอะไรที่วุ่นวายสุดๆ เนื่องจากห้องนอนมีแค่สองห้องที่ชั้นสอง ห้องหนึ่งพักได้สองคน แน่นอนว่าห้องหนึ่งตกเป็นของหลินซี เนื่องด้วยเธอเป็นเจ้าบ้าน และเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในกลุ่ม ดังนั้นอีกห้องที่เหลืออยู่จึงเป็นการจับฉลากเลือกสองคนที่จะได้นอนบนห้อง และอีกสองคนที่ต้องนอนในห้องรับแขก
อย่าว่างั้นงี้เลย ถ้าเป็นไปได้น้ำมนต์ก็อยากไปนอนในห้อง หรือที่ไหนก็ได้ในบ้านที่ไม่มีวิญญาณคุณลุงคุณป้าของหลินซี
ทั้งสองท่านนั่งอยู่กับที่ ต่อให้ยูเรนั่งทับร่างของพวกเขา ร่างของทั้งสองก็ไม่หายไปไหน
น้ำมนต์เป็นคนแรกที่ได้จับฉลาก เด็กหนุ่มสูดหายใจเต็มปอด ก่อนจะล้วงมือลงไปในกระป๋องนมผงเก่าๆ หยิบม้วนกระดาษเล็กๆ ขึ้นมา เมื่อคลายม้วนกระดาษออก สิ่งที่ได้ก็คือ
"หะ ห้องรับแขก"
น้ำมนต์ยิ้มทั้งน้ำตา
"เป็นไรหรือเปล่า?" หลินซีเอ่ยถามเมื่อเห็นเพื่อนรักกำลังแปลงร่างเป็นเยลลี่ตัวยวบไปกับพื้น
"มะ ไม่เป็นไร" น้ำมนต์โกหก
หลินซียื่นกระป๋องจับฉลากให้คุณใสเป็นคนต่อไป
ในเมื่อที่นอนของน้ำมนต์ถูกกำหนดแล้ว คุณใสก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องจับฉลากอีกต่อไป เขาดันกระป๋องออกและเดินไปนั่งลงข้างน้ำมนต์
"ไม่ต้องจับแล้วล่ะ ฉันนอนข้างล่างเอง"
น้ำมนต์มองคนข้างกาย เมื่อคิดว่าคืนนี้ต้องนอนกับคุณใส หัวสมองก็ปั่นป่วนอีกครั้ง
"เอาแบบนั้นก็ได้" หลินซีพยักหน้าอย่างพอใจ นี่เป็นโอกาสที่ดีให้ทั้งสองปรับความเข้าใจกัน
"งั้นฉันก็จะนอนข้างล่างด้วย" ยูเรโพล่งขึ้น ทำท่าจะลงไปนั่งข้างคุณใส
"นายขึ้นไปนอนข้างบนนั่นแหละ" คุณใสกล่าว
"ทำไมล่ะ พวกเราเป็นแขก ให้เจ้าของบ้านสองคนนอนข้างบนก็ถูกแล้ว พวกเรานอนรวมกันข้างล่างนี่แหละ" ยูเรไม่ยอมแพ้
"จะมานอนเบียดกันทำไมเล่า ขึ้นไปเถอะน่า!"
คนถูกปฏิเสธทำแก้มป่องงอนญาติสนิท แววตายังคงมุ่งมั่น ไม่ยอมถอยง่ายๆ
"จะขึ้นนอนได้ยัง ฉันง่วงแล้ว เวลานอนของฉันยิ่งน้อยอยู่" ซีซวนอ้าปากหาวเป็นครั้งที่สาม "จะเป็นใครก็ช่างเถอะ ฉันไม่สนหรอก"
ซีซวนจับมือยูเร ลากให้เดินตามขึ้นไปยังชั้นสอง ญาติของคุณใสดูไม่ชอบใจเท่าไร แต่ก็ไม่อาจต้านทานแรงควายของซีซวนได้
หลินซีเดินเข้าไปในห้องเก็บของข้างห้องครัวแล้วหยิบผ้าห่มใหม่เอี่ยมที่เก็บในพลาสติกอย่างดีพร้อมเบาะรองนอนมาให้ ก่อนจะขอตัวขึ้นไปข้างบน
น้ำมนต์และคุณใสช่วยกันจัดที่นอน พวกเขาเลือกที่จะนอนใกล้โทรทัศน์เพื่อที่จะได้ห่างจากโซฟามากที่สุดเท่าที่จะทำได้ คุณใสเสียสละให้น้ำมนต์นอนด้านใน และใช้ร่างกายกำยำของตัวเองเป็นกำแพงกั้นไม่ให้คุณลุงคุณป้าเข้ามา น้ำมนต์ซาบซึ้งในน้ำใจของคุณใสน้ำตาแทบแตก
"อยากเปิดไฟเอาไว้ไหม?" คุณใสเอ่ยถามและมองไปทางร่างวิญญาณสองร่าง
"ปิดเถอะ ฉันไม่เป็นไร"
ต่อให้กลัวมากเพียงใด ก็ไม่ใช่เหตุผลให้ไปกินค่าไฟบ้านเพื่อน อีกทั้งวิญญาณสองตนนั้นเป็นญาติผู้ใหญ่ของหลินซี หากน้ำมนต์ทำตัวดี พวกท่านก็คงไม่ทำอันตรายเขาหรอก
หลังจากปิดไฟ ร่างวิญญาณทั้งสองก็เหมือนจะเด่นชัดขึ้นมากกว่าเดิม และเริ่มมีการเคลื่อนไหว
น้ำมนต์หลับตาปี๋ แขนกอดตัวเองแน่น ถึงกระนั้นหัวสมองของเขาก็ยังจินตนาการไปต่างๆ นานา
วงแขนแกร่งของคุณใสโอบรอบตัวเจ้าหอยทากที่กำลังสั่นเพราะความกลัว คุณใสออกแรงเพียงเล็กน้อย ร่างของน้ำมนต์ก็ขยับเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขาแล้ว ใบหน้าของคนขี้กลัวซุกอยู่ที่อกของคุณใส ทั้งสองต่างสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของร่างกายที่แผ่ออกมา
แม้จะยังตกใจอยู่บ้าง แต่อ้อมกอดของคุณใสก็ทำให้ความกลัวของน้ำมนต์ลดลงอย่างน่าเหลือเชื่อ
"อย่าเงยหน้าขึ้นมาล่ะ"
คำเตือนของคุณใสทำเอาคิ้วของน้ำมนต์ขมวดเป็นปม ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ มิใช่คำกล่าวเกินจริงเลย
น้ำมนต์เงยหน้า ทันใดนั้นก็สบกับนัยน์ตาดำสนิทของร่างไร้วิญญาณ
ร่างของหญิงวัยกลางคนเปล่งแสง เธอยืนอยู่หลังคุณใส ห่างออกไปเพียงเล็กน้อย เธอกำลังก้มหน้ามองชายหนุ่มสองคนที่กอดกันกลมบนพื้นบ้านของเธอ
คุณป้าผู้แสนอ่อนโยนพยายามส่งยิ้มหวานให้เพื่อนของหลานสาว โชคร้ายที่เด็กหนุ่มตัวเล็กคนนั้นขวัญอ่อนเกินกว่าจะเข้าใจการทักทายอย่างเป็นมิตร
เพียงเสี้ยววินาทีน้ำมนต์ก็เป็นลมและหลับไปในอ้อมกอดของคุณใส
"ก็บอกแล้วว่าอย่ามอง เจ้าหอยทากเอ๊ย!"
คุณใสยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก เขาจัดท่านอนของน้ำมนต์ ห่มผ้า และจุมพิตที่หน้าผากของคนตัวเล็ก โดยไม่สนใจเลยว่าวิญญาณของคุณป้ายังคงจับจ้องการกระทำของเขาด้วยใบหน้าชอบอกชอบใจ
ถ้าวิญญาณผลิตเม็ดเหงื่อได้ บนใบหน้าของคุณลุงคงชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อแห่งความหนักใจ แม้อยู่ในโลกหลังความตายมานานหลายปี นิสัยชื่นชอบเรื่องราวแนวชายรักชายของภรรยาดูเหมือนจะไม่ได้ลดน้อยลงเลย
“หลิน! ฟังก่อนได้ไหม เพราะเธอเอาแต่ปฏิเสธฉันแบบนี้ไงฉันถึงได้ไปมีคนอื่น”คำพูดของคนหน้าด้านหน้าทนทำให้หลินซีเดือดปุดๆทีแรกก็ว่าจะรวมพลังไปหาถึงที่ ใครจะคิดว่าแค่ส่งข้อความพร้อมคลิปหลักฐานไป หมอนี่ก็โผล่มาทันที แล้วยังเอาแต่พ่นคำแก้ตัวปัญญาอ่อนนี่ต่อหน้าเธอไม่หยุด“ได้ งั้นในเมื่อเป็นแบบนี้ก็จบกัน แล้วแยกย้ายซะ” หลินซีตัดบทสรุปอย่างง่ายดาย“ไม่นะหลิน นี่หลิน ฟังฉันสิ!”เมื่อคำออดอ้อนใช้ไม่ได้ผลเหมือนทุกครั้ง ธีร์จึงเริ่มใช้ความรุนแรง เขาจับแขนของหลินซีแน่นเสียจนเป็นรอยเขียวช้ำถ้าคิดว่าหลินซีจะยอมอยู่ฝ่ายเดียวละก็ คิดผิดแล้วทว่าก่อนที่หญิงสาวจะทันได้ใช้วิชาป้องกันตัวที่เรียนมาจากคุณพ่อที่เป็นสารวัตรตำรวจ รองเท้าผ้าใบข้างหนึ่งก็ลอยข้ามหลังหัวของเธอไปกระแทกเข้ากับหน้าหนาๆ ของธีร์เข้าอย่างจังพลั่ก!“โอ๊ย! อะไรวะเนี่ย!”ก่อนที่ธีร์จะทันได้โวยวาย ลูกเตะขาคู่ของคุณใสก็ยันเอาร่างของนักศึกษาแพทย์ลอยปลิวไปชนกำแพงน้ำมนต์รีบวิ่งไปดูหลินซี เธอสะดุ้งเมื
“คิดว่าผู้หญิงคนนั้น จะยังอยากมองหน้าพวกนายต่องั้นเหรอ หลังจากที่โดนคนประเภทนั้นแย่งคนรักไป”“แน่นอน” คุณใสพูดอย่างมั่นใจ “ถึงยัยนั่นจะน่าหงุดหงิดไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้โง่ถึงขนาดที่แยกแยะไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร ถ้านายคิดว่าตัวเองยั่วยุให้ยัยนั่นแตกคอกับพวกเราได้สำเร็จแล้วละก็...หึ นายคิดผิดถนัด”นิ้วมือและกล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกายของยูเรเกร็งเพราะความเดือดดาล ทั้งที่ยังไม่ได้เห็นกับตา แค่เพียงได้ยินคำพูดนั้นจากปากของคุณใส ยูเรก็รู้สึกว่าตนได้พ่ายแพ้แล้วจริงๆนาฬิกาข้อมือของยูเรหนักอึ้ง ราวกับสวมหินขนาดใหญ่ไว้ที่ข้อมือทำไมถึงเป็นเช่นนี้...มันเป็นความผิดของใครกัน ยูเรนึกคิดในใจ“กลับกันได้แล้ว...อย่าลืมไปขอโทษน้ำมนต์ด้วยล่ะ”น้ำมนต์...แค่เพียงได้ยินชื่อนั้นยูเรก็รู้สึกเกรี้ยวโกรธ ราวกับลาวาปะทุ ใบหน้าเกร็ง คิ้วขมวดเข้าหากันเป็นปม ชื่อนี้นี่เองที่เป็นตัวการทำลายความสุขของเขาห่างออกไปที่ด้านหลังของคุณใส ชายผู้เป็นตัวการคนนั้นกำลังวิ่งตรงเข้ามา บนใบหน้าเต็มไปด้
คลิปวิดีโอของชายหนุ่มสองคนที่กำลังกอดจูบลูบคลำกันใต้แสงไฟสลัวในสถานเริงรมย์ ทำเอาใบหน้าของหญิงสาวที่ปกติแทบไม่แสดงอารมณ์ บัดนี้กลับบิดเบี้ยวเพราะความเศร้าโศกเสียใจเหตุเพราะยูเรเลือกที่จะเปิดคลิปที่เขาบังเอิญเจอธีร์กำลังมีสัมพันธ์กับชายอื่น ซึ่งเป็นการนอกใจ และนอกกายอย่างไม่น่าให้อภัย“ขอโทษนะหลิน ไม่ได้อยากทำให้เสียใจนะ แต่พอมาคิดดูแล้ว ก็จริงอย่างที่น้ำมนต์พูดเมื่อวาน บางเรื่องมันก็จำเป็นต้องพูดจริงๆ ” ยูเรเอ่ยพลางก้มหน้าก้มตารู้สึกผิดน้ำมนต์มองใบหน้าเศร้าสร้อยของเพื่อนสาวแล้วรู้สึกเจ็บปวด สายตาว่างเปล่าของหลินซีดูน่าเป็นห่วงเอาการ แม้ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร แต่น้ำมนต์ก็จับมือเพื่อนสาวเอาไว้ตลอดเวลา“ไอ้เวรนั่น ว่าแล้วเชียว!” คุณใสกัดฟันกรอด “แค่เห็นหน้าครั้งแรกก็ไม่สบอารมณ์แล้ว นี่หลินให้ฉันไปต่อยมันสักทีดีมั้ย!”หยาดน้ำตาใสไหลอาบแก้มของหญิงสาว!!!น้ำมนต์กับคุณใสแทบช็อก ตั้งแต่รู้จักกันมา นี่เป็นครั้งแรกที่หลินซีแสดงด้านอ่อนแอของเธอให้เห็น ครั้นจะพยายามหยุดน้ำตาของเธอก็ไม่ได้ การร้
“นายมองเห็นดวงวิญญาณเนี่ยนะ” ยูเรเอ่ยถาม เขาดูไม่เชื่อคำพูดของน้ำมนต์เสียเท่าไรเป็นเรื่องปกติที่จะมีคนไม่เชื่อเรื่องนี้ แต่กับคนที่น่าสงสัยว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มากที่สุด ดันออกตัวพูดทำให้เรื่องเล่าของน้ำมนต์ดูไม่มีน้ำหนักเช่นนี้ ยิ่งทำให้ความสงสัยในใจของน้ำมนต์เพิ่มขึ้นหลายร้อยเท่าหลินซีพิจารณาสิ่งที่ได้ยินด้วยเหตุผล เธอรู้ดีว่าน้ำมนต์ไม่ใช่คนโป้ปด ถึงกระนั้นสิ่งที่เขาพูดก็ยากที่จะเชื่อ เธอจึงตัดสินใจไม่พูดอะไร เพื่อรอคำอธิบายเพิ่มเติม“ฉันรู้ว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อ” นิ้วมือของน้ำมนต์ประสานเข้าด้วยกัน“ที่นายไม่สบายครั้งก่อน เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้หรือเปล่า” หลินซีถามน้ำมนต์พยักหน้า นัยน์ตาเหลือบมองปฏิกิริยาของเพื่อนทั้งสอง“ที่ฉันเล่าให้ฟัง เพราะพวกเราเป็นเพื่อนกัน เรื่องนี้เป็นปัญหากับฉันพอสมควร ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้พวกนาย...”“มั่นใจนะว่านายไม่ได้คิดไปเอง...”คำถามของยูเรทำให้แววตาของคุณใสเย็นเยียบ ร่างสูงกระแอม&ldquo
"มาๆ นั่งตรงนี้เลย" พนักงานหนุ่มลูกชายเจ้าของร้านวาดแขนเป็นการเชื้อเชิญด้านในของร้าน เป็นโต๊ะอาหารที่อยู่ใต้หลังคา ซึ่งแทบจะอยู่ติดกับเวทีการแสดง แม้จะไม่ได้เป็นห้องปิดหรือมีเครื่องปรับอากาศ แต่ก็นับได้ว่าเป็นโต๊ะระดับ VIPกลุ่มนักศึกษาสี่คนนั่งลงที่โต๊ะไม้ใหญ่ ชาร์ปทำงานอย่างกระฉับกระเฉง ทั้งแนะนำเมนูทั้งยกน้ำมาเสิร์ฟ บริการผู้หญิงที่เพิ่งพบหน้ากันเพียงไม่กี่วินาทีได้ดีกว่าบริการเพื่อนสนิทอย่างคุณใสเสียอีกไม่นานอาหารก็ถูกยกมาเสิร์ฟ ทว่าจานอาหารของหลินซีกับถูกตกแต่งอย่างสวยงามราวกับอาหารในร้านหรู ช้อนส้อมก็เงาวับอย่างกับของใหม่แกะกล่อง ที่สำคัญใต้ขวดน้ำดื่มของหลินซียังมีกระดาษโน้ตที่เขียนเบอร์โทรศัพท์ และชื่อของชาร์ปเอาไว้ด้วยคุณใสแทบสำลัก...เขาหันไปกระซิบกับน้ำมนต์ที่นั่งข้างๆ"เมื่อก่อนฉันไม่ได้จีบนายด้วยวิธีเห่ยๆ แบบนั้นใช่ปะ ดูแล้วน่าขนลุก"น้ำมนต์ส่งยิ้มอันตรายจนแฟนหนุ่มถึงกับปากหุบในทันทีใช่สิ...ก่อนหน้านี้อย่าเรียกว่าจีบ คนที่เอาแต่กลั่นแกล้ง ฉวยโอกาส ล่วงละเมิดทางเพศน้ำมนต์อย่างคุณใสน่ะ ไม่มีสิทธิ์มาพู
ยามว่างของหลินซีเป็นอะไรที่แสนเรียบง่ายและน่าเบื่อหญิงสาวพบว่าพี่ชายของเธอไม่กลับบ้านอีกแล้ว เรียกได้ว่าคอนโดห้องนี้แทบจะถูกเธอยึดครองอย่างสมบูรณ์แบบ มันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือ เธอสามารถทำอะไรก็ได้ตามต้องการ มีพื้นที่ส่วนตัวและห้องเงียบสงบเป็นของตัวเอง ข้อเสียคือ เธอต้องรับหน้าที่เป็นผู้จัดการงานบ้านงานเรือนทุกอย่างแต่เพียงผู้เดียวเอาเถอะ...ก็สมเหตุสมผลดีหลินซีก้มลงมองข้อความในโทรศัพท์ที่ถูกส่งมาจากคนรักของเธอ'หลินวันนี้ไม่ว่างนะ ต้องติวหนังสือต่อ ไว้วันหลังค่อยไปดูหนังด้วยกันนะ''ได้ พี่อย่าแอบอู้แล้วกัน''ครับผมมมมมมม'การสนทนาสิ้นสุดลงเพียงเท่านั้น เป็นเรื่องปกติสำหรับคู่รักของเธอ ธีร์เรียนแพทย์ บทเรียนต่างๆ ทั้งยากและยังต้องศึกษาอยู่ตลอดเวลา อาจเพราะพี่ชายของเธอเองก็มีพฤติกรรมบ้าเรียนไม่ต่างกัน เธอจึงเข้าใจได้ ไม่ทำตัวงี่เง่าให้คนรักต้องทิ้งสิ่งที่เขาชอบเพื่อมาเอาอกเอาใจเธอหลินซีเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าเสื้อเชิ้ตเอาล่ะ...วันนี้เป็นวันว่างของจริงแล้วเธอกวาดตามองไ