เสียงร้องแหบเบาที่ดังต่อเนื่องปลุกคาเรนให้สะดุ้งตื่น ความมืดจางหายไปเล็กน้อยตามเวลาย่ำรุ่งที่แสงจากม่านฟ้ายังทักทอไม่เต็มผืนดี เด็กสาวมองไปยังที่มาของเสียง ท่ามกลางแสงสลัวเลือนรางเธอมองเห็นบางสิ่งกำลังพยายามขยับกายเคลื่อนไหวอยู่ เด็กสาวสาวเท้าเข้าไปหามันทันที ยังไม่ทันทีจะเอื้อมมือไปถึง แมวผอมโซที่กำลังอ้าปากร้องด้วยความเจ็บปวดก็พลันหันมาขู่ฟ่อใส่ รูม่านตาสีดำขยายกว้างทำให้ดวงตาสีเหลืองอำพันทั้งสองข้างดูราวกับลูกแก้วกลมโต
“อ๊ะ”
คาเรนสะดุ้งรีบชักมือกลับทันที ตามมาด้วยความรู้สึกแสบนิดๆที่หลังมือ เพราะเห็นว่ามันกำลังกลัว เธอจึงพยายามจะลูบหัวปลอบมัน แต่กลับได้แผลมาซะอย่างนั้น
“เจ็บนะ อยู่นิ่งๆสิ”
“ฟ่อออออ”
รอยเล็บยาวๆเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งแถว เลือดซึมออกมาจากรอยแผลจางๆ แม้มันจะไม่ได้เจ็บอะไรมากเพราะกรงเล็บถูกส่งมาจากอุ้งมืออันอ่อนระโหยโรยแรง แต่หญิงสาวก็ไม่ได้พยายามที่จะเข้าหามันอีก เธอเลือกที่จะเว้นระยะห่างเพื่อให้มันสงบลง เมื่อเห็นว่าหญิงสาวยอมถอยออกไปแล้ว เจ้าแมวส้มจึงได้มีท่าทีสงบลงแต่มันยังคงมองเขม่งสังเกตท่าทีของอีกฝ่าย มองดูเด็กสาวเดินไปหยิบตลับยาใบเล็กๆออกมาจากลิ้นชักแล้วทาลงบนบาดแผลที่มันสร้างขึ้น
“ดุจังนะแกเนี่ย” คาเรนย่นจมูกใส่เจ้าตัวที่มองจ้องเธอตาเป็นมัน ดวงตาสีเหลืองส่องประกายแวววับท่ามกลางแสงสลัว
ก็อกๆๆ
“คุณหนูคะ คุณหนู” เสียงเรียกอันคุ้นเคยดังขึ้นนอกประตู คาเรนเลิกคิ้ว หยิบเสื้อคลุมมาสวมก่อนจะเดินไปเปิดประตู อีกฝ่ายเป็นแม่ครัวประจำคฤหาสน์ แสงจากตะเกียงน้ำมันเผยให้เห็นถึงสีหน้ากระวนกระวายร้อนใจของเธอ
“มีอะไรรึเปล่าคะคุณป้า”
“ขอโทษที่รบกวนเวลาพักผ่อนนะคะคุณหนู แต่ลูกสาวป้าตอนนี้ไข้สูงมาก แกเพ้อตลอดเลย ช่วยไปดูให้ป้าหน่อยได้ไหม”
“ได้ค่ะ ไม่เป็นไร เดี๋ยวรอแป๊บหนึ่งนะคะ” เธอบอกด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดขึ้น คาเรนหันกลับมาหยิบของสองสามอย่างในห้องก่อนจะรีบตามแม่ครัวคนนั้นไปอย่างรวดเร็ว
หลังผู้หญิงคนนั้นออกไปแล้วไม่นาน เจ้าแมวหนุ่มก็พยามยามจะลุกขึ้นยืน แต่ความเจ็บปวดกลับพุ่งจู่โจมทุกครั้งที่มันพยายามจะขยับเขยื้อนร่างกายจนไม่อาจฝืนลืมตาได้อีกต่อไป ความดำมือถาโถมเข้ามาอีกครั้งฉุดรั้งสติของมันให้เข้าสู่ห้วงลึกแห่งนิทราอย่างไร้ความปราณี
กลิ่นหอมอ่อนๆเรียกสติให้ฟื้นคืนขึ้นมาอีกครั้ง แสงยามเที่ยงวันที่ส่องลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาทำให้มันต้องรี่ตาลงเล็กน้อย เมื่อปรับสายตาให้คุ้นเคยได้ มันก็พบว่าตัวเองยังนอนอยู่บนเบาะเล็กๆในตะกร้าไม้สานใบเดิม ห้องๆเดิม และแผ่นหลังที่กำลังมองเห็นอยู่ตอนนี้ก็เป็นคนๆเดียวกันกับที่มันเห็นก่อนจะหลับไป
ที่นี่...ที่ไหน
มันไม่รู้เลยว่าตัวเองมาอยู่ในห้องของเด็กสาวคนนี้ได้ยังไง แต่ความทรงจำก่อนที่มันจะมาลงเอยด้วยสภาพเช่นนี้นั้นยังคงเด่นชัด แค่นึกถึงเหงื่อเย็นก็ซึมชื้นขึ้นมาอีกครั้ง
จะเรียกว่ายังพอมีโชคอยู่ใช่ไหม...ที่ยังมีชีวิตรอกมาได้จนถึงตอนนี้
ภาพรองเท้าหุ้มส้นที่ขยับเข้ามาใกล้เรียกสติมันให้กลับมายังปัจจุบันอีกครั้ง ยังไม่ทันจะตั้งตัวดีเบาะที่มันนอนอยู่ก็ถูกยกลอยหวือขึ้นจากตะกร้า ก่อนจะไปวางบนตักของหญิงสาวที่เดินกลับมานั่งยังโต๊ะริมหน้าต่างตัวเดิม
“ฟ่อออออ” ปากร้องขู่ทันทีอย่างโกรธเกรี้ยว ตวัดเล็บลงไปยังมือที่มาจับต้องตัวตามอำเภอใจ แม้ความเจ็บจะพุ่งขึ้นทันทีที่ขยับแต่ก็ถูกความโกรธที่เหนือกว่ากลบไปจนเกือบมิด
“โอ๊ะ” เสียงอุทานเบาๆดังออกมาจากปากเด็กสาวคนนั้น เมื่อแหงนหน้าขึ้นไปก็เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เป็นต่อของเจ้าตัวระบายกว้าง
“แหง่ววววววว” ตามมาต้วยเสียงร้องครวญครางของตัวมันเอง เพราะเล็บของมันเกี่ยวค้างอยู่กับบางสิ่งจนแขนยกค้างอยู่กลางอากาศ เจ้าแมวผอมโซมองค้อน ยัง ยังไม่รีบแกะเล็บของมันออกจากถุงมือให้อีก!
“รอบนี้ทำอะไรฉันไม่ได้แล้วนะ หึหึ” แม้เสียงที่ดังออกมาจะฟังไฟเราะเสนาะหู แต่ถ้อยคำและเสียงหัวเราะทิ้งท้ายกลับชวนให้รู้สึกหงุดหงิดเป็นที่สุด หลังจากที่มือหลุดเป็นอิสระได้มันก็ยังไม่วายดิ้นขลุกขลักให้หลุดจากการเกาะกุม “อย่าดิ้นสิ เห็นไหมเลือดซึมออกมาอีกแล้ว”
เสียงดุเบาๆดังออกมา ตามมาด้วยผ้าพันแผลที่ถูกแกะคลายออก แม้มันจะไม่ชอบใจกับสัมผัสที่ได้รับแต่กลิ่นคาวเลือดกับความเจ็บที่เพิ่มขึ้น ทำให้มันคิดได้ว่าไม่ใช่เรื่องฉลาดสักเท่าไหร่ที่จะขัดขืนความช่วยเหลือนี้ รอบนี้มันจึงยอมให้หญิงสาวจับนู่นสำรวจนี่อย่างว่าง่ายขึ้นแม้ว่าจะรู้สึกหงุดหงิดก็ตาม หางเรียวยางของมันตวัดไปมาอย่างแรงด้วยความไม่พอใจ
“เสร็จแล้ว” ในที่สุดเจ้าหล่อนก็ร้องออกมาเมื่อกลัดผ้าพันแผลเสร็จเป็นที่เรียบร้อย เจ้าแมวส้มทำท่าจะลุกขึ้นนั่ง แต่จู่ๆก็มีผ้าผืนโตมาคลุมร่างของมันแถมยังถูกห่อเป็นก้อนด้วยจนไม่อาจกระดิกตัวไปมาได้ “ต่อไปก็...”
“แหง่วววววว ฟ่ออออ” เจ้าเหมียวขู่ฟ่อจ้องหล่อนอย่างมาดร้าย อย่าให้หลุดไปได้นะ คอยดู!! มันออกแรงดิ้นแต่ก็เหมือนจะไม่เป็นผล หญิงสาวไม่สนใจ เธอหยิบช้อนเงินคันเล็กๆคนของเหลวบางอย่างในถ้วยสองสามที ตักและเลื่อนช้อนมาจ่อปากมัน ของเหลวสีเขียวเข้มส่งกลิ่นเหม็นเขียว มันย่นจมูกอย่างรังเกียจ พยายามกระเถิบคอหนีให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
“กินหน่อยนะเจ้าเหมียว จะได้แข็งแรงไวๆ” ไม่ว่าเปล่า ขยับช้อนเข้ามาใกล้มากยิ่งขึ้นด้วยอีกต่างหาก เด็กสาวอาศัยจังหวะที่มันกำลังจะอ้าปากงับมือเธอรีบดันช้อนเข้าไป
แหวะ!
มันรีบดันลิ้นและคายพ่นของเหลวข้นหนืดออกมาในทันที ด้วยความรีบร้อนและพยายามขัดขืนมันจึงสำลักซะเอง ไม่เอา! ขมชะมัด เอาอะไรให้ข้ากินเนี่ย จะฆ่ากันด้วยเจ้านี่รึไง!!
คาเรนชะงัก รีบเอาผ้าสะอาดมาเช็ดปากและหน้าให้มัน รวมไปถึงกระโปรงตัวสวยที่เลอะเป็นดวงเขียวๆของเธอ เสียงถอนหายใจยาวๆดังแว่วออกมาให้ได้ยิน เธอนิ่งไปนานจนเจ้าเหมียวคิดว่าเธอถอดใจและเลิกยุ่งกับมันแล้ว แต่มันก็รู้ว่าตัวเองคิดผิดเมื่อหญิงสาวเริ่มจัดท่าทางการอุ้มมันเสียใหม่
ห่อผ้าถูกมัดพันทบแน่นหนากว่าเดิม หญิงสาววางเจ้าเหมียวไว้บนตักและใช้มือข้างซ้ายบีบปากมันให้อ้าออก ใบหน้าน่ารักจิ้มลิ้มมีเงามืดทะมึนพาดผ่าน ดูน่าหวาดหวั่นอย่างบอกไม่ถูก
“จะไม่กินดีๆใช่ไหม” ช้อนเงินกลับมาจ่ออยู่ที่ปากของมันอีกรอบ แต่คราวนี้เจ้าเหมียวจำต้องยอมแพ้อย่างไม่มีทางเลือกและกินยาที่เธอป้อนแต่โดยดี
คาเรนยืนเท้าเอวมองเจ้าแมวตัวผอมโซนั่งเลียเท้าหน้าแต่งขนอย่างพอใจหลังจากป้อนยาและอาหารเสร็จ สภาพในตอนนี้ของมันดูดีกว่าตอนที่เจอครั้งแรกอยู่มากเนื่องจากเธอล้างและเช็ดตัวของมันไว้เป็นอย่างดี กว่าจะสางก้อนขนที่แห้งกรังไปด้วยเลือดทั้งตัวนั่นได้ก็เล่นเอาเธอเหนื่อยอยู่เหมือนกัน มองดูขนเรียวยาวที่โผล่พ้นผ้าผันแผล แม้ตอนนี้จะยังไม่สลวยหนักแต่เธอคิดว่าถ้าบำรุงอีกสักหน่อยมันจะต้องสวยน่าลูบแน่นอน เด็กสาวมองนาฬิกาเมื่อเห็นว่าได้เวลาแล้วจึงเก็บข้าวของ
“เดี๋ยวกลับมา ทำตัวเป็นเด็กดีนะเจ้าเหมียว” เธอลูบหัวของมันอย่างเบามือ ไม่ถือสาที่มันเอียงหัวหลบ ก่อนจะออกจากห้องไปไม่ลืมที่จะวางน้ำและกระบะทรายไว้ให้มันด้วย คาเรนเดินลงมาชั้นล่างผ่านห้องทานอาหารเจอพ่อของตนนั่งอ่านจดหมายอยู่
“อ่านอะไรอยู่เหรอคะท่านพ่อ” ชายวัยกลางคนเงยหน้าขึ้น เขาแย้มยิ้มอย่างอารมณ์ดี
“โอ้ จะไปแล้วเหรอ พี่ชายเราส่งจดหมายมาหาพ่อด้วย บอกเดี๋ยวจะได้กลับมาที่บ้านแล้ว”
“ดีจังเลยค่ะ ไม่ได้เจอพี่คารันนานแล้ว”
“ใช่แล้ว ไม่ได้อยู่พร้อมหน้ากันนานแล้วเนอะ ไว้มันกลับมาพ่อจะพาไปกินอาหารอร่อยๆข้างนอกกัน”
“ได้เลยค่ะ งั้นข้าไปก่อนนะคะท่านพ่อ”
“ไปดีมาดีนะลูก” ชายวัยกลางคนพยักหน้ารับคำ
คาเรน คอนเนอร์ เป็นแพทย์ฝึกหัดประจำโรงพยาบาลประจำเมืองบาโทรอน เมืองเล็กๆในชนบทแห่งนี้มีโรงพยาบาลแห่งนี้ที่เดียวที่เป็นที่พึ่งพิงยามเจ็บไข้ได้ป่วยของชาวเมือง พ่อของเธอเป็นขุนนางชั้นบารอน ขุนนางเล็กๆประจำเมืองบาโทรอน แม้ไม่ได้มีผลงานเด่นอะไรมากมายนักแต่พ่อของเธอก็เป็นที่รักของชาวเมือง เขาเป็นพ่อและแบบอย่างที่ดีแต่ก็มีข้อเสียอยู่อย่างเดียวนั่นคือเป็นพวกหัวโบราณ มักจะยึดติดกับความเชื่อเก่าๆของเมือง ซึ่งนั่นก็ทำให้คาเรนไม่ได้บอกท่านเรื่องที่แอบเก็บเจ้าแมวส้มมาดูแล แม้ชีล่าจะไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้นัก แต่บัดนี้แม่บ้านสาวก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ลงเรือลำเดียวกันกับคาเรนอย่างจำใจเป็นที่เรียบร้อย
เด็กสาวโหนตัวลงจาก ‘แอนดริว’ เจ้าม้าตัวผู้สีน้ำตาลตัวโปรดของเธอก่อนจะเดินจูงมันไปผูกไว้ที่โรงม้า โรงพยาบาลประจำเมืองเมืองบาโทรอนเป็นอาคารเดี่ยวสูง 3 ชั้น ตั้งอยู่ใจกลางเมืองบาโทรอน เดินจากคอกม้าไม่ไกลก็มาถึง เด็กสาวทักทายทุกคนทันทีที่มาถึงอย่างคุ้นเคย เดินเลี้ยวเข้าไปในแผนกห้องยาและเริ่มทำหน้าที่ของตนเหมือนเช่นทุกวัน
ผู้หญิงคนนั้นออกไปแล้ว เจ้าแมวส้มลายสลิดมองสังเกตไปรอบๆ ห้องที่มันอยู่ค่อนข้างโล่งและเป็นระเบียบเรียบร้อย เฟอร์นิเจอร์ต่างๆมีน้อยชิ้นเท่าที่จำเป็น จะมีเพียงแค่มุมเดียวเท่านั้นที่รกเป็นพิเศษคือโต๊ะและชั้นหนังสือริมหน้าต่าง หน้าต่างไม้ถูกเปิดกว้าง สายลมเอื่อยๆพัดเข้ามาในห้องจนม่านสีขาวผืนบางพลิ้วไหว อิสรภาพกำลังรออยู่ตรงหน้าเชื้อเชิญให้มันมุ่งไปหา
โครม!!
มันลองกระโดดขึ้นโต๊ะดู แต่ก็ขึ้นไม่ถึง ทำได้เพียงตะเกียดตะกายเกาะกองหนังสือและลากมันลงพื้นมาด้วยเท่านั้น หนังสือกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น มันค่อยๆลุกขึ้นเอี้ยวตัวมาเลียข้างลำตัวที่กำลังเจ็บแปล๊บๆแต่ติดที่มีผ้าผันแผลเลยทำให้เลียไม่ได้ ทำได้แค่มองดูรอยเลือดที่ค่อยๆซึมขึ้นมาเป็นวงเท่านั้น
มันในตอนนี้อ่อนแอเกินไป แค่จะปีนโต๊ะไม้ธรรมดาๆตัวหนึ่งเพื่อออกไปข้างนอกก็ยังทำไม่ได้เลย
เดินวนเวียนในห้องสักพักมันก็เริ่มเบื่อ จึงเดินกลับไปนอนที่ตะกร้าไม้สานใบเดิม นอนเอาคางเกยเท้าแล้วถอนลมหายใจยาวแบบเซ็งๆ ไม่ช้าไม่นานมันก็ผล็อยหลับไป
แกร๊ก
เสียงเปิดประตูปลุกเจ้าแมวส้มให้ตื่นขึ้น มันเฝ้ามองอย่างระแวดระวัง เห็นเด็กสาวเจ้าของห้องเดินเข้ามาด้วยฝีเท้าอันแผ่วเบา หล่อนหันมาทักทายมันเล็กน้อย ก่อนจะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในห้อง
“หวา ซนจังเลยนะแกเนี้ย” เด็กสาวบ่นอุบก่อนจะก้มตัวลงเก็บหนังสือแล้วกองมันซ้อนกันไว้บนโต๊ะตามเดิม เมื่อเรียบร้อยดีแล้วเธอจึงหันมาสนใจมันต่อ
“ไหนดูซิ”
“แง้วววววว” มันลากเสียงอย่างไม่พอใจเมื่อถูกอุ้ม เด็กสาวอุ้มมันอย่างเบามือที่สุดแต่มันก็ไม่ชอบสัมผัสที่ไม่คุ้นเคยนี่สักเท่าไหร่
“แผลเปิดอีกแล้วเห็นไหม รอเดี๋ยวนะ” มันเป็นอิสระอีกครั้งเมื่อหล่อนวางตัวมันลงก่อนจะออกจากห้องไป มันรีบวิ่งไปแอบใต้ตู้เสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว สักครู่หนึ่งเด็กสาวก็กลับเข้ามาพร้อมผ้าพันแผลและถ้วยยา เธอกวาดตามองไปรอบๆห้องและก็พบตัวมันอย่างรวดเร็วด้วยความที่ห้องค่อนข้างโล่งและมีเฟอร์นิเจอร์เพียงไม่กี่ชิ้น
“มานี่เลย อย่าหนีนะ” สุดท้ายมันก็กลับไปอยู่ในอ้อมแขนของเด็กสาวอีกครั้ง คาเรนวางแมวลงบนโต๊ะหนังสือก่อนจะคลายผ้าพันแผล เช็ดล้างยาเก่าออกก่อนจะทายาใหม่ลงไปอีกครั้ง ทาเสร็จจึงพันแผลไว้ตามเดิมด้วยผ้าขาวสะอาดผืนใหม่ จากนั้นจึงเริ่มห่อตัวมันด้วยผ้าผืนใหญ่
เจ้าแมวเริ่มใจไม่ดี ผ้าที่พันรอบตัวมันแบบนี้ ไม่นะ
ช้อนเงินคันเล็กมาจ่อรออยู่ที่ปาก กลิ่นยาขมๆเหม็นเขียวแบบเดิมกับเมื่อตอนกลางวันทำให้มันหันหน้าหนีดิ้นขลุกขลักไปมาในก้อนผ้าแต่ก็ดิ้นไม่หลุด
“อดทนกินหน่อยนะ อ้ามมมมม” มันเกลียดยานี่ เกลียดผ้าที่รัดพันรอบตัวมันอยู่นี่ และที่เกลียดที่สุดเลยคือยัยผู้หญิงจอมเผด็จการคนนี้!
เป็นเวลากว่าหลายชั่วโมงแล้วที่เด็กสาวที่น่ารำคาญคนนั้นเอาแต่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะ เจ้าแมวส้มเฝ้ามองกิจวัตรอันน่าเบื่อหน่ายของหล่อนมานาน แต่ภายในห้องนอกจากเจ้าหล่อนที่ขยับมือพลิกหน้ากระดาษไปเรื่อยๆแล้วก็ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจอีก มันจึงเฝ้ามองการกระทำของเด็กสาวเจ้าของห้องต่อไปอย่างเงียบๆ แสงจากเชิงเทียนสะท้องต้องใบหน้าด้านข้างทำให้เห็นถึงสีหน้ามุ่งมั่นจริงจังของเจ้าตัว จนเวลาผ่านไปค่อนข้างดึกมากแล้วเด็กสาวจึงปิดหนังสือลงโดยไม่ลืมคั่นหน้าที่อ่านค้างไว้ด้วย แสงไฟบนเชิงเทียนถูกดับลงทั่วทั้งห้องตกอยู่ในความมืดสลัว ค่ำคืนนี้ภายในห้องค่อนข้างสว่างกว่าคืนไหนๆเพราะเป็นคืนที่พระจันทร์เต็มดวง แสงจันทร์ลอดเข้ามาจากหน้าต่างที่เปิดกว้างรับลม
“ราตรีสวัสดิ์นะเจ้าแมวน้อย” หญิงสาวบอกก่อนจะขึ้นเตียงนอนไป เมื่อเห็นว่าหญิงสาวหลับแล้วมันจะฟุบหน้าลงหลับบ้าง
ตุบ
แมวหนุ่มกระดิกหูหันไปทางต้นเสียง ฝีเท้าเบาๆก้าวลงจากเตียงก่อนจะมาหยุดที่หน้าตะกร้าที่มันนอนอยู่ มันปรือตาขึ้นเงยหน้ามองเด็กสาวอย่างงวยงงว่าเธอต้องการจะทำอะไร
“เรามานอนด้วยกันดีกว่า” ว่าเสร็จก็อุ้มมันขึ้นไว้แนบกับอก ครู่ถัดมามันก็มาอยู่บนเตียงกับเธอเป็นที่เรียบร้อย เธอวางตัวมันให้นอนอยู่บนอก ลูบขนมันไปมาอย่างเบามือ ทีแรกมันก็เกร็งๆอยู่บ้าง จนกระทั่งคาเรนเริ่มเปลี่ยนมือจากที่ลูบมาเป็นเกาคางมันจึงเริ่มผ่อนคลายและส่งเสียงพอใจอย่างลืมตัว คาเรนเกือบจะหลับไปอยู่แล้วถ้าไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น น้ำหนักที่จู่ๆก็กดทับตัวเธอมากขึ้นจนอัดอัดบวกกับอ้อมแขนที่กอดรัดตัวเธอไว้ทำให้หญิงสาวตื่นตระหนก เบิกตากว้างดันร่างนั้นออกก่อนที่เธอจะตะลึงงันไปกับสิ่งที่ได้เห็น
ใต้แสงเงาจันทร์ดวงตาสองคู่สอดประสานจ้องมองกันอย่างต่างฝ่ายต่างตกใจ แม้มีเงาดำพาดผ่านใบหน้าแต่ด้วยระยะที่ใกล้กับเพียงแค่คืบ ดวงตาสีเหลืองคมเข้มกลับกำลังสะกดคาเรนไว้ราวกับต้องมนต์ ต่างฝ่ายต่างกลั้นหายใจอย่างลืมตัว
ผ่านไปเนิ่นนานคาเรนเป็นฝ่ายที่ได้สติเป็นคนแรกเธอผลักชายหนุ่มที่จู่ๆก็ปรากฏกายขึ้นและกำลังคร่อมตัวเธออยู่ให้ห่างออกไป
นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกันขึ้น!!
คาเรนนั่งเอนหลังพิงหัวเตียง สีหน้าของเธอดูเหนื่อยล้า เหงื่อผุดพรายเต็มใบหน้าและตามตัว มีไคล์กำลังช่วยเอาผ้าซับเหงื่อให้อยู่ข้างเตียง ในห้องยังมีหญิงวัยกลางคนอยู่อีกคนหนึ่งกำลังอุ้มทารกแรกเกิดที่ร้องให้จนเงียบเสียงไปแล้วล้างตัวในอ่างน้ำไม้ “ดีใจด้วยนะ พวกเจ้าได้ลูกสาว” หญิงวัยกลางคนบอกขณะอุ้มทารกน้อยออกมาจากอ่างแล้วซับตัวให้ด้วยผ้าสะอาด ไคล์และคาเรนมองหน้ากันด้วยสีหน้าดีใจ “ได้ยินไหมคาเรน พวกเราได้ลูกสาวแหละ” ไคล์พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ข้าได้ยินแล้ว” คาเรนยิ้ม “ท้องแรกสินะ” หญิงวัยกลางคนผู้เป็นคนทำคลอดให้ถาม “ครับ ขอบคุณที่มาช่วยทำคลอดให้ถึงคฤหาสน์นะครับ เพราะคาเรนปวดท้องคลอดกะทันหันมากเลยพาไปโรงพยาบาลในเมืองไม่ทัน คนแรกที่พอจะนึกถึงได้ก็มีแต่คุณป้าที่อาศัยอยู่ละแวกใกล้เคียงกันเท่านั้น” ไคล์ตอบและถือโอกาสนี้พูดขอบคุณหญิงวัยกลางคนไปด้วยเลย “ไม่เป็นไร ข้ายินดีช่วยเหลืออยู่แล้ว อีกอย่างพวกเราก็ทำงานอยู่โรงพยาบาลเดียวกัน เรื่องแค่นี้เล็กน้อยมาก เอ้านี่” หญิงวัยกลางคนเดินเข้ามาใกล้เตียง
“โอ้ยหนาว” หญิงสาวคนหนึ่งพูดขึ้นพลางทำท่าขนลุก ลมหายใจที่พ่นออกมาจากทางจมูกและปากกลายเป็นไอขาวๆลอยขึ้นไปในอากาศ อากาศเย็นจัด หิมะกำลังจะตกลงมาในไม่ช้า มือบางถูกเข้าหากันแล้วเป่าปากใส่ให้ลมหายใจอุ่นๆพอที่จะคลายความหนาวไปได้บ้าง เธอมีผมตรงยาวสีส้ม ดวงตาสีเขียวมรกต และมีรูปลักษณ์ราวอายุ 19-20 ปี “ถ้าไม่ติดว่ามีธุระในเมืองก็ไม่อยากออกจากบ้านเลยนะ” เธอบ่นพึมพำกับตัวเองขณะเดินผ่านตรอกเล็กๆ ฟ้าใกล้มืดแล้ว เวลานี้ผู้คนส่วนใหญ่กลับเข้าบ้านไปขลุกตัวอยู่ในเตียงอุ่นๆกันหมดแล้ว บนถนนจึงเงียบเหงาไม่ค่อยมีผู้คน ในระหว่างที่เธอเดินไปเรื่อยๆหางตาเธอก็เหลือบไปเห็นบางสิ่งที่มุมหนึ่งของถนน พอมองดูให้ดีก็เห็นเป็นร่างของเด็กผู้ชายคนหนึ่งเนื้อตัวมอมแมมนอนขดตัวอยู่ในผ้าห่มเก่าๆขาดๆ ตอนแรกเธอตั้งใจจะเดินผ่านไปอยู่แล้วแต่อะไรบ้างอย่างร้องเรียกให้เธอเดินกลับมาอีกครั้งแล้วไปหยุดยืนตรงหน้าเด็กชายคนนั้น เด็กน้อยนอนสั่นด้วยความหนาว ใบหน้ามอมแมมดูแดงก่ำเหมือนเป็นไข้ หญิงสาวลองเอามือไปแตะที่หน้าผากของเด็กชายดู ตัวร้อนจี๋เลย เป็นไข้จริงๆด้วย หญิงสาวรู้สึกว่าตัวเองคิดถูกแล้ว
“นี่คือไคล์ เป็นน้องชายต่างแม่ของเจ้า ฝากดูแลเขาแทนข้าหน่อยนะ” นั่นคือประโยคที่ท่านพ่อพูดกับเขาในวันหนึ่งพลางส่งลูกแมวสีส้มลายสลิดตัวน้อยมาให้ ไครัสในวัยเด็กยื่นมือออกไปรับมาอุ้มไว้ เขาเป็นปีศาจที่เกิดมามีพลังสูงตั้งแต่เด็กจึงสามารถรับรู้ได้ถึงพลังปีศาจในตัวลูกแมวน้อยนี่ได้ทันที “ท่านพ่อ ข้าจะต้องทำยังไงบ้าง” ไครัสในรูปลักษณ์เหมือนเด็กชาวมนุษย์อายุ 11 ขวบเงยหน้าถามผู้เป็นพ่อ เขามีพี่น้องต่างแม่หลายคนแต่ด้วยความที่ที่ผ่านมาเขาเป็นลูกชายคนเล็กของปราสาทจอมมารจึงเคยแต่ถูกตามเอาใจจากคนรอบตัว และด้วยความที่ถูกฝึกให้เป็นนักรบมาอย่างเดียวตั้งแต่เด็กจึงไม่รู้ว่าควรจะดูแลกับน้องชายต่างแม่ร่างจิ๋วนี่อย่างไรดี “ดูแลและเป็นเพื่อนให้เขาในช่วงระหว่างที่ข้าจัดการกับกลุ่มกบฏ ฝึกเขาให้กลายร่างเป็นคนให้ได้และคอยสอนสิ่งต่างๆที่เจ้ารู้ให้แก่เขา ส่วนเรื่องอาหารและน้ำพวกหญิงรับใช้จะเป็นผู้จัดการเอง” ท่านพ่อบอกแบบนั้นแล้วหลังจากนั้นก็ยุ่งอยู่กับการจัดการกับกลุ่มกบฏจนไม่มีเวลามาดูเขาและน้องชายต่างแม่ในร่างแมวตัวนี้อีกเลย ส่วนท่านพี่คนอื่นๆไม่ออกไปช่วยท่านพ่อรบก
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนแต่สภาพและบรรยากาศภายในปราสาทราชาปีศาจแห่งนี้ก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ไคล์เดินบนโถงทางเดินที่ทอดยาวไปยังเบื้องหน้า เขาไม่ได้กลับมาที่นี่อีกเลยจนกระทั่งวันนี้ เวลาก็น่าจะผ่านมาซักร้อยปีเศษๆเห็นจะได้นับตั้งแต่เขามาพาคาเรนกลับไปยังโลกมนุษย์ตอนราชาปีศาจสาปเมืองบาโทรอน ในมือไคล์มีสายใยพลังสีแดงผูกโยงไปยังดวงวิญญาณมนุษย์ชายที่อยู่ด้านหลัง ใช่แล้ว วันนี้เขากลับมาทำตามสัญญาที่เคยได้ให้ไว้ สัญญาที่ว่าจะนำวิญญาณมนุษย์มามอบให้กับซาตาลตลอดชั่วชีวิตของเขา ไคล์เดินเรื่อยๆโดยมีดวงวิญญาณมนุษย์ชายลอยตามหลังมาจนกระทั่งถึงประตูทางเข้าปราสาทชั้นในเขาก็ยื่นป้ายทองคำสลักตราของราชาปีศาจขึ้นมาแสดงให้ทหารยามที่เฝ้าอยู่หน้าประตูดู ทหารยามรับไปดูสักครู่หนึ่งก่อนจะยื่นส่งคืนกลับมาให้ “เชิญขอรับท่านไคล์ ตอนนี้ท่านราชาปีศาจน่าจะอยู่ที่ห้องทรงงาน จากนี้ไปข้าจะนำทางท่านไปต่อเอง” นายทหารบอก ดูเหมือนทหารยามทุกคนจะรู้จักป้ายทองคำนี้กันเป็นอย่างดีและรู้จักชื่อของเขาด้วย แค่เขาแสดงมันให้ดู ทุกคนก็ยอมเปิดทางให้อย่างง่ายดายและต้อนรับขับสู่เป็นอย่างดี
“จะยกเจ้านี่เหรอ มาเดี๋ยวข้าช่วย” เสียงดังมาจากทางด้านหลัง อีวานที่กำลังจะยกหม้อต้มสมุนไพรใบโตออกจากเตาเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่าซาร่าเดินเข้ามาช่วยจับที่หูหิ้วด้านหนึ่งไว้ “จะยกไปไหนเหรอ”“จะเอาไปตั้งเอาไว้ให้เย็นตรงโต๊ะนู้น” อีวานชี้ไปที่โต๊ะตัวหนึ่งในห้อง“อ๋อ ได้เลย” หญิงสาวพยักหน้าเข้าใจ อีวานจับที่หูหิ้วอีกด้านที่เหลือแล้วนับให้สัญญาณ“งั้นยกพร้อมกันนะ หนึ่ง สอง สาม เอ้า ฮึบ” หม้อใบโตที่ใส่น้ำต้มสมุนไพรไว้ค่อนหม้อถูกยกลอยขึ้นอย่างง่ายดายเมื่อมีคนยกพร้อมกันสองคน อีวานกับซาร่าช่วยกันยกหม้อไปวางที่โต๊ะตัวที่อีวานชี้บอก“ขอบใจ” อีวานพูดขึ้นเมื่อหม้อถูกวางลงบนโต๊ะเรียบร้อยดีแล้ว“ไม่เป็นไร” แล้วซาร่าก็เดินไปทำงานอย่างอื่นต่อ อีวานมองตามหลังของเธอไป นับตั้งแต่หายดีจากโรคระบาดประหลาดเขาก็พึ่งจะกลับมาทำงานได้ไม่นาน เขารู้สึกว่าซาร่าไม่ได้เขม่นเขาเหมือนเมื่อก่อนหน้านี้อีกแล้ว แถมบางทีถ้าเธอผ่านมาเห็นในจังหวะที่เขาต้องทำอะไรหนักๆคนเดียว เธอก็จะอาสาเข้ามาช่วยเขาอยู่บ่อยๆ อ้อ จำได้แล้ว เธอเริ่มกลับมาคุยกับเขาตอนช่วงที่ต้องพลัดเวรกันไปช่วยพวกรุ่นพี่ดูแลผู้ป่วยที่ป่วยจากโร
ประตูมิติที่ไคล์สร้างเปิดขึ้นภายในห้องพักห้องเดิมที่คาเรนเคยนอนอยู่ก่อนหน้านี้ก่อนที่เธอจะถูกพาไปยังโลกปีศาจ ไคล์อุ้มคาเรนที่หลับไม่ได้สติเดินออกมาจากประตู พอเดินพ้นออกมาประตูมิติก็ปิดตัวลงและหายไป ไคล์วางร่างของคาเรนลงบนเตียง ใช้มือปัดปอยผมที่ตกลงมาบดบังใบหน้าขาวนวลออกแล้วจ้องมองใบหน้ายามหลับของเธอ “เรากลับมาที่โลกมนุษย์แล้วนะคาเรน คำสาปก็ถูกถอนออกไปแล้ว ข้าทำตามที่สัญญาแล้ว ทีนี้เจ้าก็ฟื้นได้แล้วนะคนดี” ไคล์ก้มลงพูดกับคาเรนเบาๆ ราวกับรอให้ไคล์ปลุกให้ตื่นขึ้นจากห้วงฝัน ฉับพลันแพขนตาหนาก็ขยับน้อยๆตอบรับคำพูดของไคล์ ก่อนที่หญิงสาวจะค่อยๆลืมตาขึ้นจ้องมองมายังชายหนุ่มด้วยความงุนงง “ไคล์? ทำไมข้าถึงมานอนอยู่ที่นี่?” คาเรนถามเสียงเบาอย่างยังคงค่อยไม่มีแรง ภาพสุดท้ายที่เธอจำได้คือเธอกำลังขึ้นเวรดูแลผู้ป่วยอยู่ แต่พอลืมตาขึ้นมาอีกทีก็มานอนอยู่บนเตียงนี่แล้ว “เจ้าหลับไป...นานมาก” ไคล์บอก ยกมือเธอขึ้นมากุมไว้อย่างดีใจที่เธอฟื้น “แต่ตอนนี้เจ้าก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว” “ข้าหลับไปนานแค่ไหน” คาเรนถาม“12 ชั่วโมงได้” ไคล์ตอบ“น