พรึบ
ฮัดชิ่ว
เสียงจามจากซีล่าที่ตากผ้าอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลดังแว่วมาให้คาเรนที่กำลังรดน้ำทำสวนอยู่ได้ยิน สักพักแม่บ้านสาวก็เดินหน้ายู่จากลานกว้างสำหรับตากผ้ามาหาคาเรน แล้วหล่อนก็เริ่มบ่นร่ายยาวให้เธอฟัง
“ขนแมวเต็มผ้าปูที่นอนเลยนะคะคุณหนู ขนาดซีล่าซักแล้วยังเกาะอยู่เต็มเลย ไหนจะห้องนอนที่เมื่อเช้าเข้าไปทำความสะอาด ขนแมวเต็มห้องไปหมดเลย ต้องเข้าไปทำความสะอาดบ่อยขึ้น แค่ซีล่าเข้าไปทำความสะอาดเฉยๆขนก็เกาะติดเสื้อผ้ามาด้วยตั้งเยอะ แล้วแบบนี้คุณหนูจะอยู่ไหวเหรอคะ ถ้าคุณท่านเห็นขนบนเสื้อผ้าก็จะจับได้อีกว่าคุณหนูแอบเลี้ยงแมวเอาไว้บนห้อง” เธอพูดรัวเร็วอย่างชัดถ่ายชัดคำ ด้วยความที่เธอเป็นคนช่างพูดอยู่แล้วคาเรนจึงชินกับการพูดไม่เว้นจังหวะพักของเธอ
คาเรนก้มลงมองเสื้อผ้าของตัวเองก็พบว่ามีขนแมวติดตามเสื้อผ้าของเธออยู่เยอะจริงดั่งเช่นที่แม่บ้านสาวว่า แต่จะทำยังไงได้ล่ะถ้าเลี้ยงสัตว์มีขนก็เป็นเรื่องปกติที่จะต้องมีขนร่วงอยู่บ้าง แต่คาเรนที่พึ่งจะเคยเลี้ยงแมวเป็นครั้งแรกก็ไม่คาดคิดเหมือนกันว่าแมวตัวหนึ่งจะสามารถผลิตขนได้เยอะมากมายเช่นนี้ วิธีแก้ง่ายมากคือต้องหมั่นหวีแปรงขนให้ไคล์บ่อยๆ แต่ติดตรงที่ว่าตอนนี้แผลเขายังเต็มตัวอยู่เลยนี่สิ คงต้องรอไปจนกว่าแผลของเขาจะหายดีนั่นแหละ
“แผลมันยังเต็มตัวอยู่เลยซีล่า ช่วยอดทนไปก่อนนะ เดี๋ยวแผลมันหายดีแล้วข้าจะแปรงขนให้มันบ่อยๆ” เธอบอกอย่างช่วยไม่ได้
“ก็ได้ค่ะ คุณหนูว่ายังไงซีล่าก็ว่ายังงั้น แต่อย่าให้มันขึ้นไปนอนบนเตียงบ่อยนักสิเจ้าคะ”
“จ้าๆ” เธอรับคำส่งๆไป ก็ไคล์ในร่างแมวออกจะน่ารักนี่น่า หมู่นี้เธอเลยชอบเอาเขาขึ้นมาเล่นบนที่นอนด้วยบ่อยๆ อีกอย่างซีล่าก็แค่หาเรื่องบ่นๆไปอย่างนั้นเอง เหมือนที่เธอบ่นนั่นบ่นนี่แบบทุกทีนั่นแหละ
“แล้วนี่คุณหนูมีอะไรให้ดิฉันช่วยไหมคะ”
“ไม่มีจ๊ะ นี่ก็ใกล้เสร็จแล้ว ซีล่าไปทำงานของตัวเองต่อเถอะ”
“งั้นเดี๋ยวซีล่าขอตัวไปช่วยแม่ครัวเตรียมอาหารเช้าก่อนนะเจ้าคะ” ว่าจบเธอก็หมุนตัวเดินก้าวฉับๆจากไปอย่างรวดเร็ว คาเรนรดน้ำแปลงผักต่ออีกหน่อยก็เสร็จ เธอเดินเอาของไปเก็บในโรงเรือนก่อนจะล้างไม้ล้างมือเตรียมตัวไปกินข้าวเช้า กว่าคาเรนจะมาถึงอาหารก็ถูกจัดเตรียมรอไว้บนโต๊ะแล้ว ซุปข้าวโพดร้อนๆส่งกลิ่นหอมถูกเสิร์ฟมาพร้อมกับขนมปังนุ่มๆอบใหม่ แค่เห็นมื้อเช้ามื้อนี้คาเรนก็รู้สึกได้ว่าวันนี้ทั้งวันจะต้องเป็นวันที่ดีอย่างไม่ต้องสงสัย
“เดี๋ยววันนี้ช่างจะมาซ่อมหน้าต่างโรงเรือนให้นะ” คอนเนอร์ผู้พ่อที่นั่งอยู่หัวโต๊ะกล่าวขึ้นขณะยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ
“ค่ะ ดีที่ช่วงที่ผ่านมาฝนไม่ตกนะคะ” คาเรนว่า มือฉีกขนมปังเข้าปาก
“นั่นสิ หาช่างไม้ว่างๆไม่ได้เลยน้า ว่าแต่ทำไมจู่ๆมันถึงได้พังแบบนั้นล่ะเนี่ย” จู่ๆคาเรนก็รู้สึกว่าขนมปังที่กลืนลงไปเมื่อครู่มันฝืดคอจึงรีบยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม
“อึก มะ...ไม่รู้สิคะ แต่ว่ามันก็เก่ามากแล้ว”
“นั่นสินะ เดี๋ยวพ่อให้ช่างดูบานอื่นๆให้หมดทีเดียวเลยแล้วกัน”
“ขอบคุณค่ะ” คาเรนฉีกยิ้มแห้งๆแล้วรีบเปลี่ยนประเด็นทันที “พี่คารันจะกลับมาเมื่อไหร่เหรอคะ”
“น่าจะอีกซักอาทิตย์สองอาทิตย์ล่ะมั่ง ในจดหมายก็ไม่ได้บอกไว้ชัดเจนด้วยสิ มีอะไรรึ”
“หนูว่าจะเตรียมปรุงยาเล็กๆน้อยๆไว้เป็นของขวัญพี่เขาน่ะค่ะ สงสัยต้องเร่งมือทำแล้ว”
“ดีเลย ถ้าขาดเหลืออะไรก็บอกพ่อได้นะ”
“ค่ะ ขอบคุณค่ะท่านพ่อ”
แอดดดด
คาเรนกลับขึ้นมาที่ห้องพร้อมกับอาหารสำหรับแมวอย่างเช่นทุกครั้ง ทุกวันนี้นอกจากซีล่าแล้วก็มีป้าแม่ครัวด้วยอีกคนที่กลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดเรื่องที่คาเรนแอบเลี้ยงแมวไว้ คาเรนเปิดประตูเข้ามาก็เห็นไคล์ในร่างคนนั่งอยู่ที่พื้น เธออดแปลกใจไม่ได้เมื่อเห็นเขาในร่างนี้ เพราะเขาพึ่งกลายร่างไปเมื่อวันก่อนเอง ก่อนหน้านี้กว่าจะกลายร่างก็ใช้เวลาตั้งนานแหนะ
“เจ้ากลายร่างเป็นคนอีกแล้ว” คาเรนวางชามอาหารไว้มุมห้องข้างๆชามใส่น้ำ
“ใช่ ข้าลองควบคุมมันดูอย่างที่เจ้าบอกน่ะ จู่ๆก็ทำได้” เขาเกาหัวแกรกๆเหมือนงงๆแกมประหลาดใจกับตัวเองเหมือนกัน คาเรนตาโตจู่ๆก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เธอประกบมือเข้าหากันด้วยท่าทางดีใจ
“ถ้าลองทำดูก็ทำได้นี่นา งั้นมาฝึกกันบ่อยๆนะ หมู่นี้ซีล่าเองก็บ่นอยู่ว่าขนเจ้าร่วงเยอะมาก ถ้าอยู่ในร่างคนได้ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องขนแล้ว” ชายหนุ่มแอบขมวดคิ้วยามเมื่อเธอเอ่ยปากถึงแม่บ้านสาวที่เข้ามาทำความสะอาดห้องนี้อยู่บ่อยๆ ซึ่งเธอมักจะบ่นและมองเขาอย่างไม่ค่อยชอบใจไปเสียทุกครั้งที่เข้ามา
“ก็ได้นะ ถ้าเจ้าว่าอย่างงั้น แต่ไม่ใช่ว่าจะทำได้ทุกครั้งนะ ครั้งนี้ก็แค่บังเอิญเท่านั้น”
“ไม่เป็นไรหรอกค่อยๆฝึกไปเดี๋ยวก็ได้เอง ข้าจะเอาใจช่วยด้วยอีกแรงนะ” คาเรนกุมมือทั้งสองข้างของชายหนุ่มแล้วบีบเบาๆอย่างต้องการให้กำลังใจ
ที่เจ้าพูดมาฟังเผินๆมันก็ดูดีอยู่หรอก แต่เอาเข้าจริงก็มีแต่ข้าที่ออกแรงทำส่วนเจ้าก็แค่ให้กำลังใจเฉยๆไม่ใช่เร๊อะ ชายหนุ่มคิดในใจไม่ได้พูดมันออกมา
“มานี่ ได้เวลาทำแผลใหม่แล้ว” คาเรนเดินไปเอายาออกมา จากการที่ต้องทำแผลให้เขาบ่อยๆบวกกับการที่เขากลายร่างเป็นคนด้วยแล้ว คราวนี้เธอก็เลยทำยาเก็บตุนไว้บนห้องเยอะๆเสียเลย จะหยิบจะใช้ก็สะดวกดีด้วย ไคล์นั่งหันหลังให้อยู่บนพื้นปล่อยให้คาเรนแกะผ้าพันแผลออกแล้วทำแผลให้อย่างคุ้นชิน
“นี่ แมวทุกตัวเป็นปีศาจรึเปล่า” คาเรนถามระหว่างทายาไปด้วย เป็นเรื่องที่เธอสงสัยมาสักพักใหญ่แล้ว
“แค่ส่วนน้อยเท่านั้น นอกนั้นเป็นแมวปกติ”
“งั้นตำนานเมืองบาโทรอนก็ออกจะแต่งเวอร์เกินไปหน่อยเหมือนกันนะเนี่ย” แต่ก็ต้องยอมรับล่ะนะว่ามันเป็นตำนานที่เป็นเรื่องจริง เพราะหลักฐานก็มีให้เธอเห็นอยู่ตรงหน้าแล้ว
“ตำนานเมืองที่ว่าแมวเป็นปีศาจใช่ไหม”
“ใช่”
“ข้าล่ะไม่เข้าใจตำนานเรื่องนี้ของพวกเจ้ามากๆว่าทำไมถึงได้ยึดติดกับแมวนัก ทั้งๆที่สัตว์อื่นๆก็มีตั้งมากมาย” เสียงเขาว่าอย่างฉุนๆ
“ห๊ะ อย่าบอกนะว่านอกจากแมวแล้วสัตว์อื่นๆในเมืองก็เป็นปีศาจได้เหมือนกันหมด” คาเรนตกใจ ชะงักมือค้าง
“ก็ใช่น่ะสิ” เขาบอกเสียงเรียบอย่างเซ็งๆ
ตายล่ะหว่า นี่รอบๆตัวเธออาจจะมีปีศาจอื่นๆนอกจากปีศาจแมวอย่างไคล์ปะปนอยู่อีกเหรอนี่ เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลย แล้วแอนดริวล่ะ...จะเป็นปีศาจด้วยรึเปล่านะ คาเรนเริ่มคิดไปไกล
“โอ๊ย” เสียงร้องดังขึ้น คาเรนถึงพึ่งรู้สึกตัวว่าเผลอออกแรงกดที่มือเยอะไปหน่อย
“ขอโทษนะ ข้าไม่ได้ตั้งใจ” คาเรนบอกเสียงอ่อยๆ
“ไม่เป็นไร” เขาว่าเสียงเรียบไม่ได้โกรธเธอ เพื่อเป็นการไถ่โทษคาเรนจึงพยายามเรียกสติให้มาอยู่กับเนื้อกับตัวแล้วตั้งใจทำแผลให้เขา
“เสร็จแล้ว” คาเรนว่าอย่างภูมิใจหลังจากกลัดผ้าผันแผลบนตัวเขาเสร็จ “นี่ไหนๆก็อยู่ในร่างคนแล้วเจ้าเปลี่ยนไปใส่ชุดที่ข้าซื้อให้เลยสิ”
“ได้” เขารับคำ คาเรนจึงเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบเสื้อผ้าที่ซื้อไว้ก่อนหน้านี้ส่งให้เขา ไคล์รับมันมาจากมือของเด็กสาว เสื้อผ้าเนื้อนุ่มส่งกลิ่นหอมอ่อนๆเนื่องจากถูกซักเตรียมไว้ให้อยู่ก่อนแล้ว
“เอ่อ งั้นข้าจะหันหน้าไปทางนั้นนะ ถ้าเจ้าเปลี่ยนเสร็จก็ค่อยเรียกข้าตกลงไหม” คาเรนชี้มือไปทางพนังห้องด้านหนึ่ง
“ได้” เขารับคำนิ่งๆอย่างว่าง่ายอีกแล้ว คาเรนรู้สึกว่าเขาว่าง่ายและเป็นมิตรกว่าเมื่อก่อนเยอะอยู่พอสมควร ซึ่งเธอเองก็ชอบในนิสัยข้อนี้ของเขาและถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เธอหันหลังให้เขาตามที่บอกไว้ รอชายหนุ่มเปลี่ยนเสื้อผ้า ใช้เวลาไม่นานเขาก็เปลี่ยนเสร็จ
“ข้าเปลี่ยนเสร็จแล้ว เจ้าหันมาได้” คาเรนหันกลับไปมอง แม้จะเป็นเสื้อผ้าเรียบๆแต่พอเขาแต่งตัวดีๆแล้วก็ดูดีขึ้นจากเดิมลิบลับ
“ไหนดูสิ” คาเรนจับเขาหมุนตัว เสื้อและกางเกงดูเข้ากับเขาดีแต่ติดตรงที่ว่าออกจะตัวใหญ่เกินร่างผอมๆของเขาไปสักหน่อย ดีที่เธอซื้อกางเกงเป็นแบบผูกมาไม่งั้นเขาอาจจะใส่ไม่ได้ก็ได้ คาเรนช่วยจัดเสื้อที่เอียงไปด้านข้างจนเกือบจะตกไปที่ไหล่ข้างหนึ่งให้เขา “ก็ไม่เลวนะ หลวมหน่อยแต่ก็ใส่ได้อยู่ เจ้าชอบไหม”
“ข้าชอบ ใส่สบายมาก ขอบใจเจ้าจริงๆ” เขายิ้ม คาเรนชะงักค้างไปเล็กน้อยกับรอยยิ้มนั้น ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาเธอพึ่งจะเคยเห็นเขายิ้มเป็นครั้งแรก
“ดีแล้วที่เจ้าชอบ แต่เหมือนจะมีอะไรบางอย่างขัดๆตาชอบกล” คาเรนไล่สายตามองขึ้นลง แล้วผมสีส้มที่ชี้โด่ชี้เด่ไม่เป็นทรงและยาวจนปรกตาของเขาก็สะดุดตาขึ้นมาทันที “มาตัดผมกันไหม”
“เจ้าตัดเป็นหรือ”
“พอได้นิดหน่อย” นิดหน่อยของคาเรนคือแต่ตั้งแต่เกิดมาเธอเคยตัดผมให้พ่อกับพี่ชายแค่คนละครั้งเท่านั้น หลังจากนั้นพวกเขาก็เลือกที่จะไปใช้บริการที่ร้านตัดผมแทน
“ก็ได้”
“งั้นเจ้ามานั่งบนเก้าอี้นี้นะ เดี๋ยวข้าตัดให้เอง” เธอลากเก้าอี้จากโต๊ะอ่านหนังสือริมหน้าต่างออกมาและเตรียมหยิบกรรไกร ชายหนุ่มนั่งเธอตามที่บอก ปล่อยให้เธอจัดการกับตัวเองได้ตามใจชอบ คาเรนเดินวนไปมาประเมินอย่างชั่งใจ เอ...จะตัดให้สั้นประมาณไหนดีนะ แล้วเริ่มจากตรงไหนล่ะ เอาเถอะค่อยๆเล็มออกเดี๋ยวก็เข้ารูปเข้ารอยเองนั่นแหละ คาเรนเริ่มต้นตัดจากด้านหลังก่อนเป็นอันดับแรก
แกร๊บๆๆ
ความยาวประมาณนี้น่าจะได้แล้วมั้ง ที่เหลือก็ตัดประมาณนี้ไปเรื่อยๆ คาเรนตัดไปด้วยเม้มปากไปด้วย เหงื่อเริ่มออกมือเล็กน้อย
ฉับ
เอ๊ะ ตะกี้สั้นไปรึเปล่านะ คาเรนถอยออกมาดูภาพรวม เหงื่อเริ่มผุดพรายเมื่อเห็นผมย่อมหนึ่งสั้นกุดต่างจากพวกจนเห็นได้ชัด
“เป็นอะไรไป” ไคล์ถามเมื่อเห็นว่าเด็กสาวนิ่งไป
“ไม่มีอะไรจ๊ะ” คาเรนแทบจะกัดลิ้นตัวเอง ตั้งแต่เจอไคล์เธอก็รู้สึกว่าตัวเองเริ่มโกหกบ่อยเกินไปแล้ว เอ...ลองเล็มๆดูอีกหน่อยก็ไม่น่าจะเสียหายนะ อาจจะดูดีขึ้นก็ได้
แกร๊บๆๆ
“เสร็จแล้ว” ผ่านไปนานในที่สุดคาเรนก็บอกออกมา เพราะผมของเขายาวมากเธอจึงตัดผมเขาออกไปค่อนข้างเยอะพอสมควร ผมสีส้มที่บัดนี้ถูกซอยสั้นระท้ายทอยน้อยๆเผยให้เห็นช่วงคอเรียวยาวที่มีปุ่มกระดูกคอชัดเจนเนื่องจากเขาค่อนข้างผอม ผมด้านหน้าถูกซอยเปิดขึ้นประมาณหนึ่งเพื่อไม่ให้ปิดตาส่งผลให้หน้าสว่างและเห็นโครงหน้าชัดขึ้นมาก ผลประกอบการที่ได้ก็ไม่แย่นักถ้าไม่นับกระจุกหย่อมเว้าๆแหว่งๆบางส่วน
“ขอข้าดูในกระจกหน่อยได้ไหม”
“ได้สิ” ไคล์ลุกไปส่องกระจก คาเรนยืนถือกรรไกรเอามือไขว้หลังมองตามไปอย่างลุ้นๆ เขาส่องกระจกเอียงซ้ายเอียงขวาไปมาอยู่ซักครู่
“ฝีมือเจ้าก็ไม่เลวนี่ ใช้ได้เลย ข้าชอบ” ใช่สิเพราะนายไม่ได้เห็นด้านหลังนี่นา คาเรนไม่ได้พูดออกไป
“ชอบก็ดีแล้ว” เธอฉีกยิ้มกว้างให้เขา
คาเรนนั่งเอนหลังพิงหัวเตียง สีหน้าของเธอดูเหนื่อยล้า เหงื่อผุดพรายเต็มใบหน้าและตามตัว มีไคล์กำลังช่วยเอาผ้าซับเหงื่อให้อยู่ข้างเตียง ในห้องยังมีหญิงวัยกลางคนอยู่อีกคนหนึ่งกำลังอุ้มทารกแรกเกิดที่ร้องให้จนเงียบเสียงไปแล้วล้างตัวในอ่างน้ำไม้ “ดีใจด้วยนะ พวกเจ้าได้ลูกสาว” หญิงวัยกลางคนบอกขณะอุ้มทารกน้อยออกมาจากอ่างแล้วซับตัวให้ด้วยผ้าสะอาด ไคล์และคาเรนมองหน้ากันด้วยสีหน้าดีใจ “ได้ยินไหมคาเรน พวกเราได้ลูกสาวแหละ” ไคล์พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ข้าได้ยินแล้ว” คาเรนยิ้ม “ท้องแรกสินะ” หญิงวัยกลางคนผู้เป็นคนทำคลอดให้ถาม “ครับ ขอบคุณที่มาช่วยทำคลอดให้ถึงคฤหาสน์นะครับ เพราะคาเรนปวดท้องคลอดกะทันหันมากเลยพาไปโรงพยาบาลในเมืองไม่ทัน คนแรกที่พอจะนึกถึงได้ก็มีแต่คุณป้าที่อาศัยอยู่ละแวกใกล้เคียงกันเท่านั้น” ไคล์ตอบและถือโอกาสนี้พูดขอบคุณหญิงวัยกลางคนไปด้วยเลย “ไม่เป็นไร ข้ายินดีช่วยเหลืออยู่แล้ว อีกอย่างพวกเราก็ทำงานอยู่โรงพยาบาลเดียวกัน เรื่องแค่นี้เล็กน้อยมาก เอ้านี่” หญิงวัยกลางคนเดินเข้ามาใกล้เตียง
“โอ้ยหนาว” หญิงสาวคนหนึ่งพูดขึ้นพลางทำท่าขนลุก ลมหายใจที่พ่นออกมาจากทางจมูกและปากกลายเป็นไอขาวๆลอยขึ้นไปในอากาศ อากาศเย็นจัด หิมะกำลังจะตกลงมาในไม่ช้า มือบางถูกเข้าหากันแล้วเป่าปากใส่ให้ลมหายใจอุ่นๆพอที่จะคลายความหนาวไปได้บ้าง เธอมีผมตรงยาวสีส้ม ดวงตาสีเขียวมรกต และมีรูปลักษณ์ราวอายุ 19-20 ปี “ถ้าไม่ติดว่ามีธุระในเมืองก็ไม่อยากออกจากบ้านเลยนะ” เธอบ่นพึมพำกับตัวเองขณะเดินผ่านตรอกเล็กๆ ฟ้าใกล้มืดแล้ว เวลานี้ผู้คนส่วนใหญ่กลับเข้าบ้านไปขลุกตัวอยู่ในเตียงอุ่นๆกันหมดแล้ว บนถนนจึงเงียบเหงาไม่ค่อยมีผู้คน ในระหว่างที่เธอเดินไปเรื่อยๆหางตาเธอก็เหลือบไปเห็นบางสิ่งที่มุมหนึ่งของถนน พอมองดูให้ดีก็เห็นเป็นร่างของเด็กผู้ชายคนหนึ่งเนื้อตัวมอมแมมนอนขดตัวอยู่ในผ้าห่มเก่าๆขาดๆ ตอนแรกเธอตั้งใจจะเดินผ่านไปอยู่แล้วแต่อะไรบ้างอย่างร้องเรียกให้เธอเดินกลับมาอีกครั้งแล้วไปหยุดยืนตรงหน้าเด็กชายคนนั้น เด็กน้อยนอนสั่นด้วยความหนาว ใบหน้ามอมแมมดูแดงก่ำเหมือนเป็นไข้ หญิงสาวลองเอามือไปแตะที่หน้าผากของเด็กชายดู ตัวร้อนจี๋เลย เป็นไข้จริงๆด้วย หญิงสาวรู้สึกว่าตัวเองคิดถูกแล้ว
“นี่คือไคล์ เป็นน้องชายต่างแม่ของเจ้า ฝากดูแลเขาแทนข้าหน่อยนะ” นั่นคือประโยคที่ท่านพ่อพูดกับเขาในวันหนึ่งพลางส่งลูกแมวสีส้มลายสลิดตัวน้อยมาให้ ไครัสในวัยเด็กยื่นมือออกไปรับมาอุ้มไว้ เขาเป็นปีศาจที่เกิดมามีพลังสูงตั้งแต่เด็กจึงสามารถรับรู้ได้ถึงพลังปีศาจในตัวลูกแมวน้อยนี่ได้ทันที “ท่านพ่อ ข้าจะต้องทำยังไงบ้าง” ไครัสในรูปลักษณ์เหมือนเด็กชาวมนุษย์อายุ 11 ขวบเงยหน้าถามผู้เป็นพ่อ เขามีพี่น้องต่างแม่หลายคนแต่ด้วยความที่ที่ผ่านมาเขาเป็นลูกชายคนเล็กของปราสาทจอมมารจึงเคยแต่ถูกตามเอาใจจากคนรอบตัว และด้วยความที่ถูกฝึกให้เป็นนักรบมาอย่างเดียวตั้งแต่เด็กจึงไม่รู้ว่าควรจะดูแลกับน้องชายต่างแม่ร่างจิ๋วนี่อย่างไรดี “ดูแลและเป็นเพื่อนให้เขาในช่วงระหว่างที่ข้าจัดการกับกลุ่มกบฏ ฝึกเขาให้กลายร่างเป็นคนให้ได้และคอยสอนสิ่งต่างๆที่เจ้ารู้ให้แก่เขา ส่วนเรื่องอาหารและน้ำพวกหญิงรับใช้จะเป็นผู้จัดการเอง” ท่านพ่อบอกแบบนั้นแล้วหลังจากนั้นก็ยุ่งอยู่กับการจัดการกับกลุ่มกบฏจนไม่มีเวลามาดูเขาและน้องชายต่างแม่ในร่างแมวตัวนี้อีกเลย ส่วนท่านพี่คนอื่นๆไม่ออกไปช่วยท่านพ่อรบก
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนแต่สภาพและบรรยากาศภายในปราสาทราชาปีศาจแห่งนี้ก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ไคล์เดินบนโถงทางเดินที่ทอดยาวไปยังเบื้องหน้า เขาไม่ได้กลับมาที่นี่อีกเลยจนกระทั่งวันนี้ เวลาก็น่าจะผ่านมาซักร้อยปีเศษๆเห็นจะได้นับตั้งแต่เขามาพาคาเรนกลับไปยังโลกมนุษย์ตอนราชาปีศาจสาปเมืองบาโทรอน ในมือไคล์มีสายใยพลังสีแดงผูกโยงไปยังดวงวิญญาณมนุษย์ชายที่อยู่ด้านหลัง ใช่แล้ว วันนี้เขากลับมาทำตามสัญญาที่เคยได้ให้ไว้ สัญญาที่ว่าจะนำวิญญาณมนุษย์มามอบให้กับซาตาลตลอดชั่วชีวิตของเขา ไคล์เดินเรื่อยๆโดยมีดวงวิญญาณมนุษย์ชายลอยตามหลังมาจนกระทั่งถึงประตูทางเข้าปราสาทชั้นในเขาก็ยื่นป้ายทองคำสลักตราของราชาปีศาจขึ้นมาแสดงให้ทหารยามที่เฝ้าอยู่หน้าประตูดู ทหารยามรับไปดูสักครู่หนึ่งก่อนจะยื่นส่งคืนกลับมาให้ “เชิญขอรับท่านไคล์ ตอนนี้ท่านราชาปีศาจน่าจะอยู่ที่ห้องทรงงาน จากนี้ไปข้าจะนำทางท่านไปต่อเอง” นายทหารบอก ดูเหมือนทหารยามทุกคนจะรู้จักป้ายทองคำนี้กันเป็นอย่างดีและรู้จักชื่อของเขาด้วย แค่เขาแสดงมันให้ดู ทุกคนก็ยอมเปิดทางให้อย่างง่ายดายและต้อนรับขับสู่เป็นอย่างดี
“จะยกเจ้านี่เหรอ มาเดี๋ยวข้าช่วย” เสียงดังมาจากทางด้านหลัง อีวานที่กำลังจะยกหม้อต้มสมุนไพรใบโตออกจากเตาเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่าซาร่าเดินเข้ามาช่วยจับที่หูหิ้วด้านหนึ่งไว้ “จะยกไปไหนเหรอ”“จะเอาไปตั้งเอาไว้ให้เย็นตรงโต๊ะนู้น” อีวานชี้ไปที่โต๊ะตัวหนึ่งในห้อง“อ๋อ ได้เลย” หญิงสาวพยักหน้าเข้าใจ อีวานจับที่หูหิ้วอีกด้านที่เหลือแล้วนับให้สัญญาณ“งั้นยกพร้อมกันนะ หนึ่ง สอง สาม เอ้า ฮึบ” หม้อใบโตที่ใส่น้ำต้มสมุนไพรไว้ค่อนหม้อถูกยกลอยขึ้นอย่างง่ายดายเมื่อมีคนยกพร้อมกันสองคน อีวานกับซาร่าช่วยกันยกหม้อไปวางที่โต๊ะตัวที่อีวานชี้บอก“ขอบใจ” อีวานพูดขึ้นเมื่อหม้อถูกวางลงบนโต๊ะเรียบร้อยดีแล้ว“ไม่เป็นไร” แล้วซาร่าก็เดินไปทำงานอย่างอื่นต่อ อีวานมองตามหลังของเธอไป นับตั้งแต่หายดีจากโรคระบาดประหลาดเขาก็พึ่งจะกลับมาทำงานได้ไม่นาน เขารู้สึกว่าซาร่าไม่ได้เขม่นเขาเหมือนเมื่อก่อนหน้านี้อีกแล้ว แถมบางทีถ้าเธอผ่านมาเห็นในจังหวะที่เขาต้องทำอะไรหนักๆคนเดียว เธอก็จะอาสาเข้ามาช่วยเขาอยู่บ่อยๆ อ้อ จำได้แล้ว เธอเริ่มกลับมาคุยกับเขาตอนช่วงที่ต้องพลัดเวรกันไปช่วยพวกรุ่นพี่ดูแลผู้ป่วยที่ป่วยจากโร
ประตูมิติที่ไคล์สร้างเปิดขึ้นภายในห้องพักห้องเดิมที่คาเรนเคยนอนอยู่ก่อนหน้านี้ก่อนที่เธอจะถูกพาไปยังโลกปีศาจ ไคล์อุ้มคาเรนที่หลับไม่ได้สติเดินออกมาจากประตู พอเดินพ้นออกมาประตูมิติก็ปิดตัวลงและหายไป ไคล์วางร่างของคาเรนลงบนเตียง ใช้มือปัดปอยผมที่ตกลงมาบดบังใบหน้าขาวนวลออกแล้วจ้องมองใบหน้ายามหลับของเธอ “เรากลับมาที่โลกมนุษย์แล้วนะคาเรน คำสาปก็ถูกถอนออกไปแล้ว ข้าทำตามที่สัญญาแล้ว ทีนี้เจ้าก็ฟื้นได้แล้วนะคนดี” ไคล์ก้มลงพูดกับคาเรนเบาๆ ราวกับรอให้ไคล์ปลุกให้ตื่นขึ้นจากห้วงฝัน ฉับพลันแพขนตาหนาก็ขยับน้อยๆตอบรับคำพูดของไคล์ ก่อนที่หญิงสาวจะค่อยๆลืมตาขึ้นจ้องมองมายังชายหนุ่มด้วยความงุนงง “ไคล์? ทำไมข้าถึงมานอนอยู่ที่นี่?” คาเรนถามเสียงเบาอย่างยังคงค่อยไม่มีแรง ภาพสุดท้ายที่เธอจำได้คือเธอกำลังขึ้นเวรดูแลผู้ป่วยอยู่ แต่พอลืมตาขึ้นมาอีกทีก็มานอนอยู่บนเตียงนี่แล้ว “เจ้าหลับไป...นานมาก” ไคล์บอก ยกมือเธอขึ้นมากุมไว้อย่างดีใจที่เธอฟื้น “แต่ตอนนี้เจ้าก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว” “ข้าหลับไปนานแค่ไหน” คาเรนถาม“12 ชั่วโมงได้” ไคล์ตอบ“น