ท่ามกลางความเงียบสงบของยามย่ำรุ่ง ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจที่ดังเบาๆเป็นจังหวะอย่างสม่ำเสมอของร่างบนเตียง ภายใต้ความมืดในห้องเล็กๆแห่งนี้ ไคล์ในร่างแมวกำลังนั่งนิ่งๆมองดูใบหน้ายามหลับของเด็กสาว
“เหมียว” เสียงร้องแผ่วเบาถูกส่งออกมาเมื่อเวลาผ่านไปได้สักพัก เด็กสาวไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง เหมือนเสียงจะเบาไปจนเธอที่ยังอยู่ในห้วงแห่งนิทราไม่ได้ยิน ไคล์จึงส่งเสียงร้องไปอีกครั้ง
“เหมียว” เขาส่งเสียงดังขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยและจงใจร้องข้างๆหูของเธอ
“อือ” คาเรนปัดมือข้างหู เธอปรือตาขึ้นมามอง เห็นเจ้าแมวส้มนั่งนิ่งจ้องมองอยู่ ก่อนจะหลับตาลงแล้วเข้าสู่ห้วงแห่งนิทราอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ไคล์เอียงคอ จ้องคาเรนอีกชั่วครู่ก่อนจะค่อยๆก้มหน้าลงไปใกล้ใบหน้าของเด็กสาวแล้วเริ่มเลียแก้มและจมูกของเธอเบาๆ
“อีอออออ” คาเรนปัดมือมาที่หน้าอย่างรำคาญใจก่อนจะพลิกตัวหันหนีไปอีกด้าน ดึงผ้าห่มมาคลุมโปงไปในที่สุด
“เหมียวววว” ไคล์เอาเท้าสะกิดแต่ไร้การโต้ตอบ
“เหมียววววววว” เสียงร้องลากยาวและเริ่มดังขึ้นอย่างไม่พอใจ
“ขอนอนต่ออีกหน่อยได้ไหม” เสียงอู้อี้ดังลอดออกมาจากใต้ผ้าห่ม แต่ไคล์หาได้สนใจไม่ เขาตวัดหางไปมาอย่างไม่พอใจ ก่อนจะย่อกายลงส่ายก้นไปมาเล็กน้อยแล้วกระโดดขาคู่ใส่เป้าหมายทันที
ฟุบ
“รู้แล้วๆ ตื่นแล้วน่าไคล์” คาเรนลุกพรวดขึ้นตวัดผ้าห่มลงมาอย่างฉุนๆ เธอยกมือลูบใบหน้าสองสามทีเพราะยังตื่นไม่สร่างดี ก่อนจะลุกขึ้นจุดเทียน มือบางคว้านาฬิกาบนโต๊ะตัวเล็กๆข้างหัวนอนขึ้นมาดู ตีสี่...เวลาเดิมตรงเป๊ะเช่นเดียวกับทุกวัน คาเรนอ้าปากหาวยาวๆ เดินสะลึมสะลือเทน้ำในเหยือกลงไปในชามใบใหญ่เพื่อล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นขึ้น
หลังๆพอแผลไคล์ดีขึ้น ลุกขึ้นเดินคล่อง ไม่ต้องนอนซมเพราะพิษไข้อีกเขาก็เริ่มที่จะตื่นเช้าและปลุกเธอขึ้นมาด้วยเช่นนี้ทุกวัน ปกติคาเรนจะตื่นเช้าอยู่แล้วเพื่อไปทำสวนที่หลังบ้าน แต่นี่ก็ออกจะเช้าเกินไปหน่อย แรกๆคาเรนก็ไม่เข้าใจนักว่าทำไมเขาตื่นแล้วจะต้องมาปลุกเธอให้ตื่นตามด้วยตั้งแต่ไก่ยังไม่ทันโห่แบบนี้ เขาตื่นคนเดียวก็ทำโน่นนั่นนี่คนเดียวไปสิมันจะตายหรือไร! คาเรนคาใจมากๆจนกระทั่งได้มีโอกาสถามกับเขาเรื่องนี้ ในตอนที่เขากลายร่างเป็นคนแล้วในเช้าวันหนึ่ง
“มันเป็นเรื่องปกติเลยนะ แมวทุกตัวก็ตื่นเวลาเช่นนี้เหมือนกันหมด มันเป็นสัญชาตญาณน่ะ”
“สัญชาตญาณอะไร”
“ออกล่า เพราะพวกข้าเป็นนักล่า”
“แต่ที่นี่ก็มีอาหารให้ตลอด ข้าเองก็ให้อาหารเจ้าทุกวัน เจ้าไม่จำเป็นต้องออกล่า!” คาเรนว่าเสียงของเธอแทบจะกลายเสียงเป็นกรีดร้อง
“ก็มันเป็นสัญชาตญาณ ข้าทำจนชินไปแล้ว”
“งั้นเจ้าก็เก็บสัญชาตญาณนั่นไว้ใช้คนเดียวสิ ไม่จำเป็นต้องปลุกข้าขึ้นมาด้วยก็ได้นี่”
“เจ้าเคยได้ยินหรือไม่ ผู้ที่ตื่นเช้าก่อนย่อมหาอาหารที่ดีได้ก่อน”
“เคยสิ อารมณ์แบบนกที่ตื่นเช้าจะได้กินหนอนก่อนใครใช่ไหม”
“เทือกๆนั้นแหละ ก็ข้าอยากให้เจ้าเริ่มวันใหม่ด้วยการรับแต่สิ่งดีๆไง”
ว่าง่ายๆสรุปก็คือเขาหวังดีต่อเธอนั่นเอง อยากให้เธอเตรียมพร้อม เริ่มวันใหม่ด้วยการทำอะไรตั้งแต่เนิ่นๆ คาเรนอยากจะแย้งแต่ก็พูดไม่ออก ใช่ว่าทุกอย่างจะดีได้ด้วยการตื่นเช้าเสมอไป นกที่ตื่นเช้าก็แค่นกที่หิว ส่วนหนอนที่ตื่นเช้าก็คือหนอนที่เสี่ยงจะถูกนกที่ตื่นเช้ากิน! คาเรนคิดว่าความสำเร็จของคนเราไม่ได้วัดกันแค่การตื่นเช้าหรือสาย แต่อยู่ที่คุณภาพของการใช้เวลาขณะตื่นนอนมากกว่า แต่ก็เอาเถอะต่างคนต่างมุมมอง ขึ้นอยู่ที่การเลือกนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับชีวิตประจำวันของตัวเองมากกว่า หลังๆคาเรนก็เริ่มชินกับพฤติกรรมตื่นเช้าของไคล์ขึ้นมาบ้าง ไหนๆก็ไหนๆแล้วเธอจึงเอาเวลาตื่นเช้าที่ไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษมานั่งอ่านหนังสือเพิ่มเสียเลย
“เจ้าก็ฝึกควบคุมพลังด้วยนะ ข้าจะอ่านหนังสือแล้ว” คาเรนว่าขณะซับหน้าด้วยผ้า มันคือข้อแลกเปลี่ยนของเธอและเขา ในเมื่อเขาปลุกเธอขึ้นมา เธอจึงยื่นข้อเสนอแกมบังคับให้เขาใช้เวลาช่วงนี้มาฝึกควบคุมพลังไปด้วยขณะที่เธออ่านหนังสือ แบบนี้จึงจะถือว่าเสมอกันเพราะต่างฝ่ายต่างต้องปรับตัวทั้งคู่ ไม่ใช่เธอแค่ฝ่ายเดียว
“เหมียว” ไคล์ร้องตกปากรับคำ คาเรนจึงนั่งลงอ่านหนังสือภายใต้แสงจากเชิงเทียนไปเงียบๆ เธอแอบชำเลืองมองไคล์ เห็นเขานอนหมอบเก็บมือเก็บเท้าหลับตานิ่งๆ
คงไม่ได้แอบหลับใช่ไหม...กำลังฝึกอยู่ใช่รึเปล่า
คาเรนแอบคิด มองจากภายนอกยังไงเขาก็แค่แมวที่กำลังหลับตาอยู่เฉยๆนี่นา เรื่องการควบคุมพลังอะไรนั่นเธอก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันเป็นยังไง ควบคุมได้ยากแค่ไหน และกำลังฝึกอยู่รึเปล่า คงมีแค่ไคล์เท่านั้นที่รู้สึกได้อยู่คนเดียว ช่างเถอะ คาเรนส่ายหัวก่อนจะเปิดหนังสือหน้าที่คั่นไว้อยู่มาอ่านต่อ มองจากหน้าต่างห้องในเวลานี้ท้องฟ้าเวลาตี 4 ยังคงมืดมิดและทอประกายแสงดาวให้เห็น เมื่อเริ่มจับหนังสือแล้วคาเรนก็จมลงไปสู่โลกอีกใบอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่ทันไรหันมามองท้องฟ้าอีกที ฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนสีจากแสงของดวงอาทิตย์ที่กำลังเริ่มทักทอบนผืนฟ้า คาเรนปิดหนังสือ บิดขี้เกียจ ก่อนจะเตรียมตัวไปลุยงานที่สวนด้านล่างต่อ
“อาหารมาแล้วจ้า” คาเรนกลับขึ้นมาอีกครั้งพร้อมจานอาหารในมือ ไคล์ที่นั่งรออยู่ก่อนแล้วรีบพุ่งตรงเข้ามาหาทันที ดูท่าจะหิวมาก คาเรนนั่งมองไคล์กินอาหารด้วยท่าทางเอร็ดอร่อยอย่างมีความสุข มองดูเพลินๆแป๊บเดียวเขาก็กินเกลี้ยงจนหมดจาน ไคล์เริ่มกินอาหารเยอะขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เธอแอบเพิ่มปริมาณให้ที่ล่ะเล็กล่ะน้อยก็ยังกินจนหมดทุกรอบ เห็นช่วงนี้ไคล์กินได้นอนดีเธอก็โล่งใจ
“มาทำแผลกันเถอะ” คาเรนเดินไปหยิบยา
“เหมียว” ไคล์ที่กำลังนั่งเลียมือและขนตามตัวหลังกินข้าวเสร็จอยู่ร้องรับ คาเรนที่สังเกตเห็นพฤติกรรมนี้มาสักพักใหญ่ก็แอบทดไว้ในใจอีกหนึ่งข้อ ไว้จะถามเขาตอนกลายร่างเป็นคนว่าทำไมถึงต้องเลียขนเลียมือหลังกินข้าวเสร็จด้วยทั้งๆที่ก็ไม่ได้เลอะอะไร
ไคล์เดินมานั่งตรงหน้าคาเรน เด็กสาวแกะผ้าพันแผลอันเก่าออก เหมือนแผลกำลังเริ่มจะสมานตัวกันดีแล้ว บนผ้าพันแผลเองก็ไม่ค่อยมีรอยเลือดซึมติดให้เห็นซักเท่าไหร่ คาเรนรู้สึกทึ่งกับความเร็วในการฟื้นตัวของไคล์ ก็อย่างว่าแหละเนอะ จะเอามาตรฐานของปีศาจมาเทียบกับคนธรรมดาๆทั่วๆไปได้อย่างไร
“อ่ะ” คาเรนชะงัก ไคล์หันหลังมามองเอียงคอสงสัย “เปล่าไม่มีอะไร จะทายาต่อล่ะนะ”
“เหมียว”
คาเรนยิ้มเจื่อนๆ จะให้บอกไปตามตรงได้ยังไงว่าเธอเห็นขนเว้าๆแหว่งๆเป็นหย่อมๆหลายกระจุก โดยเฉพาะแถวๆหลังคอ นี่เป็นผลมาจากฝีมือการตัดผมของเธอสินะ ตัดในร่างคนพอกลับเป็นร่างแมวก็มีผลด้วยเหรอนี่ ตอนมีผ้าพันแผลก็ดูปกติดีอยู่หรอก แต่พอคลายผ้าพันแผลออกก็เห็นได้ชัดเจนจนคาเรนนึกดีใจที่มีผ้าพันแผลช่วยปกปิดไว้อยู่ ยังพอกลบเกลื่อนไคล์ให้ไม่รู้ไปได้บ้าง
ไม่ต้องให้เขารู้น่ะดีแล้ว ไว้ว่างๆเธอจะหาเวลาไปเรียนและฝึกตัดผมบ้างเพื่อเป็นการชดเชยให้แก่เขาในครั้งหน้าก็แล้วกัน!
คาเรนนั่งเอนหลังพิงหัวเตียง สีหน้าของเธอดูเหนื่อยล้า เหงื่อผุดพรายเต็มใบหน้าและตามตัว มีไคล์กำลังช่วยเอาผ้าซับเหงื่อให้อยู่ข้างเตียง ในห้องยังมีหญิงวัยกลางคนอยู่อีกคนหนึ่งกำลังอุ้มทารกแรกเกิดที่ร้องให้จนเงียบเสียงไปแล้วล้างตัวในอ่างน้ำไม้ “ดีใจด้วยนะ พวกเจ้าได้ลูกสาว” หญิงวัยกลางคนบอกขณะอุ้มทารกน้อยออกมาจากอ่างแล้วซับตัวให้ด้วยผ้าสะอาด ไคล์และคาเรนมองหน้ากันด้วยสีหน้าดีใจ “ได้ยินไหมคาเรน พวกเราได้ลูกสาวแหละ” ไคล์พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ข้าได้ยินแล้ว” คาเรนยิ้ม “ท้องแรกสินะ” หญิงวัยกลางคนผู้เป็นคนทำคลอดให้ถาม “ครับ ขอบคุณที่มาช่วยทำคลอดให้ถึงคฤหาสน์นะครับ เพราะคาเรนปวดท้องคลอดกะทันหันมากเลยพาไปโรงพยาบาลในเมืองไม่ทัน คนแรกที่พอจะนึกถึงได้ก็มีแต่คุณป้าที่อาศัยอยู่ละแวกใกล้เคียงกันเท่านั้น” ไคล์ตอบและถือโอกาสนี้พูดขอบคุณหญิงวัยกลางคนไปด้วยเลย “ไม่เป็นไร ข้ายินดีช่วยเหลืออยู่แล้ว อีกอย่างพวกเราก็ทำงานอยู่โรงพยาบาลเดียวกัน เรื่องแค่นี้เล็กน้อยมาก เอ้านี่” หญิงวัยกลางคนเดินเข้ามาใกล้เตียง
“โอ้ยหนาว” หญิงสาวคนหนึ่งพูดขึ้นพลางทำท่าขนลุก ลมหายใจที่พ่นออกมาจากทางจมูกและปากกลายเป็นไอขาวๆลอยขึ้นไปในอากาศ อากาศเย็นจัด หิมะกำลังจะตกลงมาในไม่ช้า มือบางถูกเข้าหากันแล้วเป่าปากใส่ให้ลมหายใจอุ่นๆพอที่จะคลายความหนาวไปได้บ้าง เธอมีผมตรงยาวสีส้ม ดวงตาสีเขียวมรกต และมีรูปลักษณ์ราวอายุ 19-20 ปี “ถ้าไม่ติดว่ามีธุระในเมืองก็ไม่อยากออกจากบ้านเลยนะ” เธอบ่นพึมพำกับตัวเองขณะเดินผ่านตรอกเล็กๆ ฟ้าใกล้มืดแล้ว เวลานี้ผู้คนส่วนใหญ่กลับเข้าบ้านไปขลุกตัวอยู่ในเตียงอุ่นๆกันหมดแล้ว บนถนนจึงเงียบเหงาไม่ค่อยมีผู้คน ในระหว่างที่เธอเดินไปเรื่อยๆหางตาเธอก็เหลือบไปเห็นบางสิ่งที่มุมหนึ่งของถนน พอมองดูให้ดีก็เห็นเป็นร่างของเด็กผู้ชายคนหนึ่งเนื้อตัวมอมแมมนอนขดตัวอยู่ในผ้าห่มเก่าๆขาดๆ ตอนแรกเธอตั้งใจจะเดินผ่านไปอยู่แล้วแต่อะไรบ้างอย่างร้องเรียกให้เธอเดินกลับมาอีกครั้งแล้วไปหยุดยืนตรงหน้าเด็กชายคนนั้น เด็กน้อยนอนสั่นด้วยความหนาว ใบหน้ามอมแมมดูแดงก่ำเหมือนเป็นไข้ หญิงสาวลองเอามือไปแตะที่หน้าผากของเด็กชายดู ตัวร้อนจี๋เลย เป็นไข้จริงๆด้วย หญิงสาวรู้สึกว่าตัวเองคิดถูกแล้ว
“นี่คือไคล์ เป็นน้องชายต่างแม่ของเจ้า ฝากดูแลเขาแทนข้าหน่อยนะ” นั่นคือประโยคที่ท่านพ่อพูดกับเขาในวันหนึ่งพลางส่งลูกแมวสีส้มลายสลิดตัวน้อยมาให้ ไครัสในวัยเด็กยื่นมือออกไปรับมาอุ้มไว้ เขาเป็นปีศาจที่เกิดมามีพลังสูงตั้งแต่เด็กจึงสามารถรับรู้ได้ถึงพลังปีศาจในตัวลูกแมวน้อยนี่ได้ทันที “ท่านพ่อ ข้าจะต้องทำยังไงบ้าง” ไครัสในรูปลักษณ์เหมือนเด็กชาวมนุษย์อายุ 11 ขวบเงยหน้าถามผู้เป็นพ่อ เขามีพี่น้องต่างแม่หลายคนแต่ด้วยความที่ที่ผ่านมาเขาเป็นลูกชายคนเล็กของปราสาทจอมมารจึงเคยแต่ถูกตามเอาใจจากคนรอบตัว และด้วยความที่ถูกฝึกให้เป็นนักรบมาอย่างเดียวตั้งแต่เด็กจึงไม่รู้ว่าควรจะดูแลกับน้องชายต่างแม่ร่างจิ๋วนี่อย่างไรดี “ดูแลและเป็นเพื่อนให้เขาในช่วงระหว่างที่ข้าจัดการกับกลุ่มกบฏ ฝึกเขาให้กลายร่างเป็นคนให้ได้และคอยสอนสิ่งต่างๆที่เจ้ารู้ให้แก่เขา ส่วนเรื่องอาหารและน้ำพวกหญิงรับใช้จะเป็นผู้จัดการเอง” ท่านพ่อบอกแบบนั้นแล้วหลังจากนั้นก็ยุ่งอยู่กับการจัดการกับกลุ่มกบฏจนไม่มีเวลามาดูเขาและน้องชายต่างแม่ในร่างแมวตัวนี้อีกเลย ส่วนท่านพี่คนอื่นๆไม่ออกไปช่วยท่านพ่อรบก
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนแต่สภาพและบรรยากาศภายในปราสาทราชาปีศาจแห่งนี้ก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ไคล์เดินบนโถงทางเดินที่ทอดยาวไปยังเบื้องหน้า เขาไม่ได้กลับมาที่นี่อีกเลยจนกระทั่งวันนี้ เวลาก็น่าจะผ่านมาซักร้อยปีเศษๆเห็นจะได้นับตั้งแต่เขามาพาคาเรนกลับไปยังโลกมนุษย์ตอนราชาปีศาจสาปเมืองบาโทรอน ในมือไคล์มีสายใยพลังสีแดงผูกโยงไปยังดวงวิญญาณมนุษย์ชายที่อยู่ด้านหลัง ใช่แล้ว วันนี้เขากลับมาทำตามสัญญาที่เคยได้ให้ไว้ สัญญาที่ว่าจะนำวิญญาณมนุษย์มามอบให้กับซาตาลตลอดชั่วชีวิตของเขา ไคล์เดินเรื่อยๆโดยมีดวงวิญญาณมนุษย์ชายลอยตามหลังมาจนกระทั่งถึงประตูทางเข้าปราสาทชั้นในเขาก็ยื่นป้ายทองคำสลักตราของราชาปีศาจขึ้นมาแสดงให้ทหารยามที่เฝ้าอยู่หน้าประตูดู ทหารยามรับไปดูสักครู่หนึ่งก่อนจะยื่นส่งคืนกลับมาให้ “เชิญขอรับท่านไคล์ ตอนนี้ท่านราชาปีศาจน่าจะอยู่ที่ห้องทรงงาน จากนี้ไปข้าจะนำทางท่านไปต่อเอง” นายทหารบอก ดูเหมือนทหารยามทุกคนจะรู้จักป้ายทองคำนี้กันเป็นอย่างดีและรู้จักชื่อของเขาด้วย แค่เขาแสดงมันให้ดู ทุกคนก็ยอมเปิดทางให้อย่างง่ายดายและต้อนรับขับสู่เป็นอย่างดี
“จะยกเจ้านี่เหรอ มาเดี๋ยวข้าช่วย” เสียงดังมาจากทางด้านหลัง อีวานที่กำลังจะยกหม้อต้มสมุนไพรใบโตออกจากเตาเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่าซาร่าเดินเข้ามาช่วยจับที่หูหิ้วด้านหนึ่งไว้ “จะยกไปไหนเหรอ”“จะเอาไปตั้งเอาไว้ให้เย็นตรงโต๊ะนู้น” อีวานชี้ไปที่โต๊ะตัวหนึ่งในห้อง“อ๋อ ได้เลย” หญิงสาวพยักหน้าเข้าใจ อีวานจับที่หูหิ้วอีกด้านที่เหลือแล้วนับให้สัญญาณ“งั้นยกพร้อมกันนะ หนึ่ง สอง สาม เอ้า ฮึบ” หม้อใบโตที่ใส่น้ำต้มสมุนไพรไว้ค่อนหม้อถูกยกลอยขึ้นอย่างง่ายดายเมื่อมีคนยกพร้อมกันสองคน อีวานกับซาร่าช่วยกันยกหม้อไปวางที่โต๊ะตัวที่อีวานชี้บอก“ขอบใจ” อีวานพูดขึ้นเมื่อหม้อถูกวางลงบนโต๊ะเรียบร้อยดีแล้ว“ไม่เป็นไร” แล้วซาร่าก็เดินไปทำงานอย่างอื่นต่อ อีวานมองตามหลังของเธอไป นับตั้งแต่หายดีจากโรคระบาดประหลาดเขาก็พึ่งจะกลับมาทำงานได้ไม่นาน เขารู้สึกว่าซาร่าไม่ได้เขม่นเขาเหมือนเมื่อก่อนหน้านี้อีกแล้ว แถมบางทีถ้าเธอผ่านมาเห็นในจังหวะที่เขาต้องทำอะไรหนักๆคนเดียว เธอก็จะอาสาเข้ามาช่วยเขาอยู่บ่อยๆ อ้อ จำได้แล้ว เธอเริ่มกลับมาคุยกับเขาตอนช่วงที่ต้องพลัดเวรกันไปช่วยพวกรุ่นพี่ดูแลผู้ป่วยที่ป่วยจากโร
ประตูมิติที่ไคล์สร้างเปิดขึ้นภายในห้องพักห้องเดิมที่คาเรนเคยนอนอยู่ก่อนหน้านี้ก่อนที่เธอจะถูกพาไปยังโลกปีศาจ ไคล์อุ้มคาเรนที่หลับไม่ได้สติเดินออกมาจากประตู พอเดินพ้นออกมาประตูมิติก็ปิดตัวลงและหายไป ไคล์วางร่างของคาเรนลงบนเตียง ใช้มือปัดปอยผมที่ตกลงมาบดบังใบหน้าขาวนวลออกแล้วจ้องมองใบหน้ายามหลับของเธอ “เรากลับมาที่โลกมนุษย์แล้วนะคาเรน คำสาปก็ถูกถอนออกไปแล้ว ข้าทำตามที่สัญญาแล้ว ทีนี้เจ้าก็ฟื้นได้แล้วนะคนดี” ไคล์ก้มลงพูดกับคาเรนเบาๆ ราวกับรอให้ไคล์ปลุกให้ตื่นขึ้นจากห้วงฝัน ฉับพลันแพขนตาหนาก็ขยับน้อยๆตอบรับคำพูดของไคล์ ก่อนที่หญิงสาวจะค่อยๆลืมตาขึ้นจ้องมองมายังชายหนุ่มด้วยความงุนงง “ไคล์? ทำไมข้าถึงมานอนอยู่ที่นี่?” คาเรนถามเสียงเบาอย่างยังคงค่อยไม่มีแรง ภาพสุดท้ายที่เธอจำได้คือเธอกำลังขึ้นเวรดูแลผู้ป่วยอยู่ แต่พอลืมตาขึ้นมาอีกทีก็มานอนอยู่บนเตียงนี่แล้ว “เจ้าหลับไป...นานมาก” ไคล์บอก ยกมือเธอขึ้นมากุมไว้อย่างดีใจที่เธอฟื้น “แต่ตอนนี้เจ้าก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว” “ข้าหลับไปนานแค่ไหน” คาเรนถาม“12 ชั่วโมงได้” ไคล์ตอบ“น