“เวลากินเยื่อที่ล่าเสร็จมันมักจะมีคราบเลือดหรือกลิ่นติดตามตัวใช่ไหม พวกข้าเลยจะต้องคอยเลียขนตัวเองเพื่อกลบกลิ่นไม่ให้นักล่าตัวอื่นที่อาจเป็นอันตรายได้กลิ่นที่ติดมากับตัวยังไงล่ะ” คาเรนนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ตรงโต๊ะเขียนหนังสือหันหลังไปฟังไคล์ที่กำลังนั่งเท้าคางอยู่ตรงปลายเตียงพลางอธิบายเรื่องที่เขาเลียมือ เลียหน้า และขนตามตัวหลังกินข้าวเสร็จทั้งๆที่ก็ไม่ได้เลอะอะไรอยู่
“จะบอกว่าเป็นสัญชาตญาณอะไรนั่นอีกแล้วใช่ไหม”
“ใช่แหละ ข้าทำจนชินไปแล้ว มันเป็นไปเองน่ะ ถ้าไม่ได้ทำแล้วมันเหมือนมันขาดอะไรไปสักอย่าง ก็เหมือนกับพวกเจ้านั่นแหละ เวลาพวกเจ้ากินข้าวเสร็จก็ต้องล้างมือใช่ไหมเล่า”
“อืม ก็พอเข้าใจได้อยู่นะ” คาเรนว่าพลางขยับปากกาขนนกในมือไปมา ตอนนี้เป็นเวลาราวๆตีห้า หลังจากไคล์ฝึกควบคุมพลังไปได้สักพักเขาก็กลายร่างเป็นคนอีกครั้ง ตั้งแต่คาเรนบังคับให้เขาฝึกควบคุมพลังอย่างจริงจังทุกวันเขาก็กลายร่างเป็นคนได้บ่อยขึ้น เธอคิดว่าที่ผ่านมาที่เขายังไม่สามารถควบคุมพลังได้สักทีคงเป็นเพราะเจ้าตัวไม่ได้มีใจจะฝึกมากกว่า ต่อให้กลายร่างเป็นคนก็กลายร่างได้แค่แป๊บเดียวเท่านั้น นั่นทำให้เขาไม่ได้ฝึกอย่างเป็นจริงเป็นจังเท่าไดนัก ด้วยการฝึกฝนทุกวัน ระยะเวลาที่สามารถกลายร่างเป็นคนได้ของไคล์ก็ค่อยๆเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แม้ไม่อาจควบคุมให้กลับร่างเดิมได้ตามที่ต้องการทุกครั้ง แต่คาเรนก็ถือว่าผลลัพธ์ที่ได้ในตอนนี้ก็นับว่าค่อนข้างน่าพึ่งพอใจทีเดียว
“แล้วที่ทำท่าเหมือนกำลังขุดๆพื้นหลังกินอาหารเสร็จล่ะ” คาเรนถือโอกาสถามข้อนี้ไปด้วยเลย นี่ก็เป็นหนึ่งในพฤติกรรมกรรมของไคล์ที่คาเรนแอบจดไว้ในใจมาสักพักใหญ่
“อ่อ นั่นก็ชินเหมือนกัน ทำเพื่อฝังกลบอาหารทิ้งน่ะ”
“ฝังกลบ? แต่เจ้ากินหมดเกลี้ยงทุกรอบเลยนะ ที่ว่าฝังทิ้งนั่นหรือว่าอาหารไม่ถูกใจเหรอ” คาเรนถามอย่างสงสัย
“ไม่ใช่อย่างนั่น ไม่งั้นจะกินหมดเหรอ ปกติหลังกินเสร็จพวกเรามักจะขุดดินฝังกลบอาหารไว้เพราะกลิ่นอาหารที่หลงเหลืออยู่น่ะจะทำให้นักล่าที่แข็งแกร่งกว่าตัวอื่นๆตามกลิ่นมาพบและทำอันตรายพวกเราได้ มันเป็นสัญชาตญาณอีกอย่างหนึ่งน่ะ”
“อ่อ แมวอย่างพวกเจ้านี่ก็เต็มไปด้วยสัญชาตญาณดีเน๊อะ”
“ทั้งหมดนั่นก็เพื่อเอาตัวรอดจากโลกภายนอกอันโหดร้ายนั่นแหละ มนุษย์อย่างพวกเจ้าจะมาเข้าใจอะไร” ไคล์ว่าอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ ปีศาจแมวตัวเล็กๆอย่างเขาต้องเผชิญหน้ากับปีศาจที่แข็งแกร่งกว่าอยู่ตลอด ต่อให้ไม่ใช่ปีศาจด้วยกันเอง การอาศัยอยู่ในเมืองที่มีความเชื่ออคติกับแมวเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเช่นกัน
“ไม่เอาน่าไคล์ อย่าว่าอย่างนั้นสิ พอเจ้าอธิบายข้าก็เข้าใจอยู่นะ” เพราะเป็นคนช่างสังเกตและไวต่ออารมณ์ของคนอื่น คาเรนเลยรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของไคล์ได้ทันที เธอจึงพูดปลอบอย่างเห็นอกเห็นใจ
“มีแค่เจ้าคนเดียวที่เข้าใจ ข้าก็ดีใจแล้ว” เขาว่าแล้วเปลี่ยนมาเป็นฉีกยิ้มกว้าง
“ขนาดนั้นเลยนะ” คาเรนหัวเราะ มองรอยยิ้มที่เริ่มกว้างขึ้นกว่าแต่ก่อนของเขาอย่างรู้สึกใจฟู
“ขนาดนั้นแหละ”
“เจ้าลองฝึกควบคุมให้กลับไปอยู่ในร่างแมวให้ได้ด้วยนะ” คาเรนว่าขณะกำลังจะหันกลับไปเขียนหนังสือต่อ ไคล์มองแผ่นหลังของคาเรนอย่างชั่งใจ
“หญ้า”
“ว่าไงนะ หญ้ามันทำไม” คาเรนถามมือยังไม่หยุดเขียน
“ข้าอยากกินหญ้าบ้างน่ะ”
“ห๊ะ แมวอย่างเจ้าต้องกินหญ้าด้วยเหรอ” คราวนี้คาเรนหยุดมือและหันหลังกลับมาคุยกับเขาอีกครั้ง เธอทำหน้าประหลาดใจสุดๆอย่างไม่คิดว่าจะได้ยินประโยคเมื่อครู่จากปากของเขา
“กินสิ แมวก็กินพืชได้นะ” ไคล์หยักไหล่
“กินแล้วมันช่วยเรื่องอะไรเหรอ นายไม่สบายงั้นเหรอ?”
“ช่วยหลายๆอย่างนะ ไม่สบายตัว สมานแผลก็ช่วยได้ ช่วยให้ขย้อนเอาเศษอาหารที่ไม่ย่อยหรือพวกก้อนขนภายในท้องออกมาก็ยังได้ แต่ข้ากินเพื่อปรับสมดุลการขับถ่าย จะให้กินแต่เนื้อสัตว์ท้องก็จะอืดเอาน้า” คาเรนผู้ชื่นชอบสมุนไพรเป็นทุนเดิมอยู่แล้วตาเป็นประกายขึ้นมาทันที ตอนนี้เธอชักอยากจะรู้มากๆแล้วว่าเขากินพืชอะไรได้บ้างในสวนของเธอ
“ได้สิ งั้นลงไปกินที่สวนข้างล่างวันนี้เลยดีไหม ข้าอยากจะรู้แล้วว่าเจ้ากินอะไรได้บ้าง”
“ให้ข้าลงไปจะดีเหรอ เจ้าบอกว่าพ่อเจ้าไม่ชอบแมวไม่ใช่เหรอ แล้วถ้าเกิดเขามาเห็นข้าเข้าล่ะ”
“ไม่เห็นหรอกพ่อไม่ได้มาหลังบ้านนานแล้ว ซีล่าเองก็รู้อยู่แล้วว่าข้าเลี้ยงเจ้าเอาไว้” เธอบอกอย่างมั่นใจ ไคล์มองคาเรน ดวงตาสีเขียวกลมโตของเด็กสาวเป็นประกายแวววาวภายใต้แสงจากเชิงเทียน เธอมองเขาอย่างใจจดใจจ่อรอคอยคำตอบ
“ก็ได้ ถ้ากลับร่างเดิมได้น่ะนะ”
และแล้วไคล์ก็กลับร่างเดิมได้จริงๆแม้จะทุลักทุเลไปหน่อยก็เถอะ กว่าจะลงมาจากห้องได้ก็เลยเวลาทำสวนตอนเช้าของคาเรนไปแล้วเล็กน้อย คาเรนเดินนำหน้าไปทางประตูหลังบ้านโดยมีไคล์ในร่างแมววิ่งตามหลังไปติดๆ ซีล่าที่เดินถือตะกร้าเปล่าหลังเอาผ้าไปตากเสร็จเดินสวนออกมาจากทางที่พวกเธอกำลังจะไป
“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณหนูวันนี้ลงมาสาย...ว้าย ตายแล้ว” ซีล่าตาโตอุทานออกมาเมื่อเห็นเจ้าแมวส้มออกมาอยู่ในที่ที่มันไม่ควรจะอยู่
“ชู่วว์ เจ้าอย่าเอะอะไปซีล่า เงียบหน่อย” คาเรนรีบตะครุบปากแม่บ้านสาวฉับ ซีล่ายังคงเบิกตากว้าง หล่อนกอดตะกร้าในมือมองคาเรนแล้วพยักหน้าเบาๆ คาเรนจึงค่อยปล่อยมือออกในที่สุด
“จะไม่ให้ซีล่าเอะอะได้ยังไงคะ แค่คุณหนูแอบเลี้ยงเอาไว้บนห้องก็ว่าแย่แล้ว นี่ให้มันออกมาเดินข้างนอกห้องด้วยจะไม่เป็นอะไรเหรอคะ” ซีล่ากระซิบเสียงเบากลัวเสียงของเธอจะก้องไปตามทางเดิน
“ไม่เป็นไรน่า เชื่อข้าเถอะ ให้มันไปสำรวจสวนหลังบ้านบ้าง แค่ไม่นาน พ่อไม่มีทางรู้หรอก” คาเรนพูดเสียงเบาตอบ
“จะดีหรือคะ” แม่บ้านสาวถามอย่างไม่ค่อยจะแน่ใจนัก ไม่ดีเลย ไม่ดีเอามากๆ
“เถอะน่า ไปนะ” คาเรนว่าก่อนจะเปิดประตูให้ไคล์ออกก่อนและพาตัวเองตามออกไป ซีล่ามองตามประตูที่ปิดลงอย่างเป็นกังวล นับตั้งแต่เก็บเจ้าไคล์มาจากโรงเรือน คุณหนูผู้แสนน่ารักและเรียบร้อยของเธอก็ดื้อดึงเช่นนี้มาโดยตลอด ไม่คิดว่าคุณหนูของเธอเองก็มีมุมเช่นนี้อยู่เหมือนกัน นั่นทำให้ซีล่าที่แอบสังเกตสิ่งต่างๆรอบตัวคุณหนูของเธออยู่อย่างเงียบๆเริ่มไม่ชอบใจเจ้าแมวส้มเข้าไปทุกทีๆ
“เอ้า ลองเดินดูรอบๆได้เลยนะข้าปลูกเอาไว้หลายอย่างเลยล่ะ ถ้าเจ้ากินต้นไหนได้ก็ร้องบอกข้าหน่อยนะ” คาเรนผายมือไปทางสวนอย่างภาคภูมิใจ ท่ามกลางแปลงผักและพืชนาๆชนิด ไคล์เริ่มจากต้นหญ้าธรรมดาๆที่ขึ้นอยู่เต็มลานกว้างเป็นอันดับแรก
“เหมียว”
“อ่าหะ หญ้าทั่วๆไปที่เจ้าบอก” ไคล์เดินสำรวจไปเรื่อยๆก่อนจะมาหยุดยืนที่แปลงๆหนึ่งที่เป็นพืช สีเขียวขอบหยักคล้ายๆผักชีใบเล็กๆ มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว
“เหมียว”
“พาร์สลีย์เหรอ น่าสนใจดีนี่ต่อไปล่ะ” ไคล์พยักหน้าเดินสำรวจพลางเอาจมูกดมหากลิ่นฟุดฟิดไปเรื่อย พอได้กลิ่นหอมเย็นๆก็มุ่งหน้าตรงไป
“เมี้ยว”
“เปเปอร์มินต์ ไม่เคยคิดมาก่อนเลยนะเนี่ย จากนั้นล่ะ” ไคล์แหงนหน้ามองซ้ายขวาก่อนจะมุ่งตรงไปที่แปลงดอกไม้แปลงหนึ่งที่มีลักษณะเป็นพุ่ม ดอกวงนอกสีขาวล้อมรอบตุ้มเกสรสีเหลืองขนาดใหญ่
“คาโมมายล์ กินดอกไม้ได้ด้วยเหรอเนี่ย” คาเรนอุทาน ข้อสังเกตอย่างหนึ่งที่เธอพบคือพืชแต่ละต้นที่เขาบอกว่ากินได้จะมีกลิ่นหอมเย็นสดชื่นเป็นเอกลักษณ์ แมวชอบอะไรแบบนี้เองเหรอเนี่ย “มีอะไรอย่างอื่นอีกไหม”
ไคล์เชิดหน้าเดินนำไปที่ริมขอบรั้วของสวนอย่างภูมิใจนำเสนอ อ้าปากเคี้ยวใบที่ขึ้นเป็นพุ่มก่อนจะลงไปนอนกลิ้งหงายท้องท่ามกลางพุ่มเหล่านั้น แถมยังส่งเสียงในลำคออย่างมีความสุขอีกด้วย คาเรนที่เดินตามมาดูประหลายใจเล็กน้อย มันก็ถือเป็นพืชในสวนของเธอก็จริงเพราะอยู่ในรั้ว แต่เธอไม่ได้เป็นคนปลูก มันขึ้นเองและเป็นพืชล้มลุกที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปตามป่า
“แคทนิปนี่เอง” คาเรนลืมต้นนี้ไปเลย เพราะเป็นพืชที่ไม่ต้องปลูกก็พบได้ทั่วไปอยู่แล้ว และส่วนใหญ่ชาวเมืองจะนำมาใช้สำหรับไล่ยุงและแมลงวันมากกว่า เหมือนเคยได้ยินอยู่ว่าเมืองอื่นที่ผู้คนนิยมเลี้ยงแมวกันตามปกติไม่ได้มีความเชื่อแบบชาวเมืองบาโทรอน พืชชนิดนี้ก็ขึ้นชื่อในเรื่องของการทำให้แมวผ่อนคลาย บรรเทาความเครียด และถูกนำมาใช้กับแมวมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่นอกเหนือจากสรรพคุณที่ว่ามาแล้วมันยังมีฤทธิ์ทำให้แมวมึนเมาเล็กน้อยอีกด้วย
ไคล์...เจ้านี่ก็ขี้เมาเหมือนกันนะเนี่ย
คาเรนนั่งเอนหลังพิงหัวเตียง สีหน้าของเธอดูเหนื่อยล้า เหงื่อผุดพรายเต็มใบหน้าและตามตัว มีไคล์กำลังช่วยเอาผ้าซับเหงื่อให้อยู่ข้างเตียง ในห้องยังมีหญิงวัยกลางคนอยู่อีกคนหนึ่งกำลังอุ้มทารกแรกเกิดที่ร้องให้จนเงียบเสียงไปแล้วล้างตัวในอ่างน้ำไม้ “ดีใจด้วยนะ พวกเจ้าได้ลูกสาว” หญิงวัยกลางคนบอกขณะอุ้มทารกน้อยออกมาจากอ่างแล้วซับตัวให้ด้วยผ้าสะอาด ไคล์และคาเรนมองหน้ากันด้วยสีหน้าดีใจ “ได้ยินไหมคาเรน พวกเราได้ลูกสาวแหละ” ไคล์พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ข้าได้ยินแล้ว” คาเรนยิ้ม “ท้องแรกสินะ” หญิงวัยกลางคนผู้เป็นคนทำคลอดให้ถาม “ครับ ขอบคุณที่มาช่วยทำคลอดให้ถึงคฤหาสน์นะครับ เพราะคาเรนปวดท้องคลอดกะทันหันมากเลยพาไปโรงพยาบาลในเมืองไม่ทัน คนแรกที่พอจะนึกถึงได้ก็มีแต่คุณป้าที่อาศัยอยู่ละแวกใกล้เคียงกันเท่านั้น” ไคล์ตอบและถือโอกาสนี้พูดขอบคุณหญิงวัยกลางคนไปด้วยเลย “ไม่เป็นไร ข้ายินดีช่วยเหลืออยู่แล้ว อีกอย่างพวกเราก็ทำงานอยู่โรงพยาบาลเดียวกัน เรื่องแค่นี้เล็กน้อยมาก เอ้านี่” หญิงวัยกลางคนเดินเข้ามาใกล้เตียง
“โอ้ยหนาว” หญิงสาวคนหนึ่งพูดขึ้นพลางทำท่าขนลุก ลมหายใจที่พ่นออกมาจากทางจมูกและปากกลายเป็นไอขาวๆลอยขึ้นไปในอากาศ อากาศเย็นจัด หิมะกำลังจะตกลงมาในไม่ช้า มือบางถูกเข้าหากันแล้วเป่าปากใส่ให้ลมหายใจอุ่นๆพอที่จะคลายความหนาวไปได้บ้าง เธอมีผมตรงยาวสีส้ม ดวงตาสีเขียวมรกต และมีรูปลักษณ์ราวอายุ 19-20 ปี “ถ้าไม่ติดว่ามีธุระในเมืองก็ไม่อยากออกจากบ้านเลยนะ” เธอบ่นพึมพำกับตัวเองขณะเดินผ่านตรอกเล็กๆ ฟ้าใกล้มืดแล้ว เวลานี้ผู้คนส่วนใหญ่กลับเข้าบ้านไปขลุกตัวอยู่ในเตียงอุ่นๆกันหมดแล้ว บนถนนจึงเงียบเหงาไม่ค่อยมีผู้คน ในระหว่างที่เธอเดินไปเรื่อยๆหางตาเธอก็เหลือบไปเห็นบางสิ่งที่มุมหนึ่งของถนน พอมองดูให้ดีก็เห็นเป็นร่างของเด็กผู้ชายคนหนึ่งเนื้อตัวมอมแมมนอนขดตัวอยู่ในผ้าห่มเก่าๆขาดๆ ตอนแรกเธอตั้งใจจะเดินผ่านไปอยู่แล้วแต่อะไรบ้างอย่างร้องเรียกให้เธอเดินกลับมาอีกครั้งแล้วไปหยุดยืนตรงหน้าเด็กชายคนนั้น เด็กน้อยนอนสั่นด้วยความหนาว ใบหน้ามอมแมมดูแดงก่ำเหมือนเป็นไข้ หญิงสาวลองเอามือไปแตะที่หน้าผากของเด็กชายดู ตัวร้อนจี๋เลย เป็นไข้จริงๆด้วย หญิงสาวรู้สึกว่าตัวเองคิดถูกแล้ว
“นี่คือไคล์ เป็นน้องชายต่างแม่ของเจ้า ฝากดูแลเขาแทนข้าหน่อยนะ” นั่นคือประโยคที่ท่านพ่อพูดกับเขาในวันหนึ่งพลางส่งลูกแมวสีส้มลายสลิดตัวน้อยมาให้ ไครัสในวัยเด็กยื่นมือออกไปรับมาอุ้มไว้ เขาเป็นปีศาจที่เกิดมามีพลังสูงตั้งแต่เด็กจึงสามารถรับรู้ได้ถึงพลังปีศาจในตัวลูกแมวน้อยนี่ได้ทันที “ท่านพ่อ ข้าจะต้องทำยังไงบ้าง” ไครัสในรูปลักษณ์เหมือนเด็กชาวมนุษย์อายุ 11 ขวบเงยหน้าถามผู้เป็นพ่อ เขามีพี่น้องต่างแม่หลายคนแต่ด้วยความที่ที่ผ่านมาเขาเป็นลูกชายคนเล็กของปราสาทจอมมารจึงเคยแต่ถูกตามเอาใจจากคนรอบตัว และด้วยความที่ถูกฝึกให้เป็นนักรบมาอย่างเดียวตั้งแต่เด็กจึงไม่รู้ว่าควรจะดูแลกับน้องชายต่างแม่ร่างจิ๋วนี่อย่างไรดี “ดูแลและเป็นเพื่อนให้เขาในช่วงระหว่างที่ข้าจัดการกับกลุ่มกบฏ ฝึกเขาให้กลายร่างเป็นคนให้ได้และคอยสอนสิ่งต่างๆที่เจ้ารู้ให้แก่เขา ส่วนเรื่องอาหารและน้ำพวกหญิงรับใช้จะเป็นผู้จัดการเอง” ท่านพ่อบอกแบบนั้นแล้วหลังจากนั้นก็ยุ่งอยู่กับการจัดการกับกลุ่มกบฏจนไม่มีเวลามาดูเขาและน้องชายต่างแม่ในร่างแมวตัวนี้อีกเลย ส่วนท่านพี่คนอื่นๆไม่ออกไปช่วยท่านพ่อรบก
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนแต่สภาพและบรรยากาศภายในปราสาทราชาปีศาจแห่งนี้ก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ไคล์เดินบนโถงทางเดินที่ทอดยาวไปยังเบื้องหน้า เขาไม่ได้กลับมาที่นี่อีกเลยจนกระทั่งวันนี้ เวลาก็น่าจะผ่านมาซักร้อยปีเศษๆเห็นจะได้นับตั้งแต่เขามาพาคาเรนกลับไปยังโลกมนุษย์ตอนราชาปีศาจสาปเมืองบาโทรอน ในมือไคล์มีสายใยพลังสีแดงผูกโยงไปยังดวงวิญญาณมนุษย์ชายที่อยู่ด้านหลัง ใช่แล้ว วันนี้เขากลับมาทำตามสัญญาที่เคยได้ให้ไว้ สัญญาที่ว่าจะนำวิญญาณมนุษย์มามอบให้กับซาตาลตลอดชั่วชีวิตของเขา ไคล์เดินเรื่อยๆโดยมีดวงวิญญาณมนุษย์ชายลอยตามหลังมาจนกระทั่งถึงประตูทางเข้าปราสาทชั้นในเขาก็ยื่นป้ายทองคำสลักตราของราชาปีศาจขึ้นมาแสดงให้ทหารยามที่เฝ้าอยู่หน้าประตูดู ทหารยามรับไปดูสักครู่หนึ่งก่อนจะยื่นส่งคืนกลับมาให้ “เชิญขอรับท่านไคล์ ตอนนี้ท่านราชาปีศาจน่าจะอยู่ที่ห้องทรงงาน จากนี้ไปข้าจะนำทางท่านไปต่อเอง” นายทหารบอก ดูเหมือนทหารยามทุกคนจะรู้จักป้ายทองคำนี้กันเป็นอย่างดีและรู้จักชื่อของเขาด้วย แค่เขาแสดงมันให้ดู ทุกคนก็ยอมเปิดทางให้อย่างง่ายดายและต้อนรับขับสู่เป็นอย่างดี
“จะยกเจ้านี่เหรอ มาเดี๋ยวข้าช่วย” เสียงดังมาจากทางด้านหลัง อีวานที่กำลังจะยกหม้อต้มสมุนไพรใบโตออกจากเตาเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่าซาร่าเดินเข้ามาช่วยจับที่หูหิ้วด้านหนึ่งไว้ “จะยกไปไหนเหรอ”“จะเอาไปตั้งเอาไว้ให้เย็นตรงโต๊ะนู้น” อีวานชี้ไปที่โต๊ะตัวหนึ่งในห้อง“อ๋อ ได้เลย” หญิงสาวพยักหน้าเข้าใจ อีวานจับที่หูหิ้วอีกด้านที่เหลือแล้วนับให้สัญญาณ“งั้นยกพร้อมกันนะ หนึ่ง สอง สาม เอ้า ฮึบ” หม้อใบโตที่ใส่น้ำต้มสมุนไพรไว้ค่อนหม้อถูกยกลอยขึ้นอย่างง่ายดายเมื่อมีคนยกพร้อมกันสองคน อีวานกับซาร่าช่วยกันยกหม้อไปวางที่โต๊ะตัวที่อีวานชี้บอก“ขอบใจ” อีวานพูดขึ้นเมื่อหม้อถูกวางลงบนโต๊ะเรียบร้อยดีแล้ว“ไม่เป็นไร” แล้วซาร่าก็เดินไปทำงานอย่างอื่นต่อ อีวานมองตามหลังของเธอไป นับตั้งแต่หายดีจากโรคระบาดประหลาดเขาก็พึ่งจะกลับมาทำงานได้ไม่นาน เขารู้สึกว่าซาร่าไม่ได้เขม่นเขาเหมือนเมื่อก่อนหน้านี้อีกแล้ว แถมบางทีถ้าเธอผ่านมาเห็นในจังหวะที่เขาต้องทำอะไรหนักๆคนเดียว เธอก็จะอาสาเข้ามาช่วยเขาอยู่บ่อยๆ อ้อ จำได้แล้ว เธอเริ่มกลับมาคุยกับเขาตอนช่วงที่ต้องพลัดเวรกันไปช่วยพวกรุ่นพี่ดูแลผู้ป่วยที่ป่วยจากโร
ประตูมิติที่ไคล์สร้างเปิดขึ้นภายในห้องพักห้องเดิมที่คาเรนเคยนอนอยู่ก่อนหน้านี้ก่อนที่เธอจะถูกพาไปยังโลกปีศาจ ไคล์อุ้มคาเรนที่หลับไม่ได้สติเดินออกมาจากประตู พอเดินพ้นออกมาประตูมิติก็ปิดตัวลงและหายไป ไคล์วางร่างของคาเรนลงบนเตียง ใช้มือปัดปอยผมที่ตกลงมาบดบังใบหน้าขาวนวลออกแล้วจ้องมองใบหน้ายามหลับของเธอ “เรากลับมาที่โลกมนุษย์แล้วนะคาเรน คำสาปก็ถูกถอนออกไปแล้ว ข้าทำตามที่สัญญาแล้ว ทีนี้เจ้าก็ฟื้นได้แล้วนะคนดี” ไคล์ก้มลงพูดกับคาเรนเบาๆ ราวกับรอให้ไคล์ปลุกให้ตื่นขึ้นจากห้วงฝัน ฉับพลันแพขนตาหนาก็ขยับน้อยๆตอบรับคำพูดของไคล์ ก่อนที่หญิงสาวจะค่อยๆลืมตาขึ้นจ้องมองมายังชายหนุ่มด้วยความงุนงง “ไคล์? ทำไมข้าถึงมานอนอยู่ที่นี่?” คาเรนถามเสียงเบาอย่างยังคงค่อยไม่มีแรง ภาพสุดท้ายที่เธอจำได้คือเธอกำลังขึ้นเวรดูแลผู้ป่วยอยู่ แต่พอลืมตาขึ้นมาอีกทีก็มานอนอยู่บนเตียงนี่แล้ว “เจ้าหลับไป...นานมาก” ไคล์บอก ยกมือเธอขึ้นมากุมไว้อย่างดีใจที่เธอฟื้น “แต่ตอนนี้เจ้าก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว” “ข้าหลับไปนานแค่ไหน” คาเรนถาม“12 ชั่วโมงได้” ไคล์ตอบ“น