LOGINลิขิตรัก 4
ครอบครัวใหม่
หญิงสาวสวมอาภรณ์สีดำสนิท ขับให้เส้นผมสีรัตติกาลเงางามกลืนกินไปกับความมืดมิดแต่มิอาจบดบังความงดงามได้เลย นางเดินไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย ผ่านสัตว์อสูรมากมาย ที่จ้องมองร่างบางอย่างหิวโหย ทว่าสัญชาตญาณของมันบอกว่าอย่าได้ริเข้าไปยุ่งกับหญิงผู้นี้เป็นอันขาด ร่างกายเกิดความเหนื่อยล้าเนื่องจากเดินมาไกล จึงหยุดพักใต้ร่มไม้ใหญ่และผลอยหลับไปในที่สุด
“แม่หนู แม่หนู” ชายชราที่กำลังขนสินค้าผ่านมา เห็นหญิงสาวนอนอยู่ใต้ต้นไม้จึงนึกเป็นห่วง เพราะสถานที่ตรงนี้เป็นเขตสัตว์อสูรย่อมอาจเป็นอันตราย ไม่มีใครเขามานอนเล่นกันหรอก ตนที่เป็นพ่อค้า ต้องขนสินค้าอย่างไม่สามารถเลี่ยงทางนี้ได้เพราะเป็นทางผ่านทางเดียวที่จะเข้าเมือง จึงได้หยุดเกวียนพร้อมเอ่ยเรียก
“อะ เอ่อ ท่าน…” ร่างบางตื่นขึ้นมา ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตั้งแต่ยามใด มองซ้ายทีขวาทีอย่างมึนงง
“ตรงนี้อันตรายยิ่งนัก หากเจ้าอยากพักผ่อนต้องเดินไปอีก 2 ลี้ จึงจะเข้าเขตเมือง” (1 ลี้ เท่ากับ 500 เมตร) ชายชราบอกหญิงสาวตรงหน้า นางช่างแต่งตัวแปลกประหลาดยิ่งนัก ชุดก็ไม่เหมือนคนแผ่นดินใหญ่ ตาฟ้าฟางมองสำรวจเห็นดวงหน้ากระจ่างใสของสตรีคราลูกชัดเจน
งดงามมาก นั่นเป็นสิ่งที่ชายชราคิด
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านตา แต่ข้า…” นางไม่รู้ว่านี่ที่นี่ไหน
“เจ้าเป็นคนต่างแคว้นหรือ…”
“เอ่อ เจ้าค่ะ” ร่างบางเงยหน้าตอบ นางรู้แค่ว่าคนรักของนางอยู่บนโลกมนุษย์แต่ไม่รู้ว่าอยู่แคว้นใด จึงไม่รู้จะเริ่มต้นหาจากที่ไหนดี
“งั้นมากับข้าไหมแม่หนู ข้ากำลังจะไปแคว้นเฟิง” แคว้นเฟิงที่ว่าเป็นแค้วนการค้าขายที่ใหญ่รองจากแคว้นต้า ผู้คนมั่งคั่งและคับแน่น พ่อค้าทั้งหลายจึงมักไปที่นั่นเพื่อขายสินค้าและหากให้นางเดินไปทั้งอย่างนี้ได้โดนพวกคนไม่ดีดักฉุดหรือนำไปขายหอนางโลมเป็นแน่ ชายชราคิด อีกอย่างหากบุตรสาวของเขายังอยู่ก็คงอายุรุนราวคราวเดียวกับแม่หนูนี้ พลันสายตาหม่นลง
“เจ้าค่ะ” ลันเซียตอบกลับไปอย่างดีใจ อย่างน้อยการมาโลกมนุษย์ครั้งแรกของนางก็ได้พบเจอกับมนุษย์ที่มีน้ำใจ ช่วยเหลือตน
“ท่านตาเจ้าคะ แคว้นเฟิงที่ว่านี้ใหญ่มากหรือไม่เจ้าคะ” เมื่อขึ้นเกวียนมาพร้อมกับชายชราที่ชื่อ ‘ฟู่เฉิง’ ลันเซียจึงได้เล่าคร่าวๆว่านางมาจากที่ไกลแสนไกลเพื่อตามหาคนรักที่พลัดพรากจากกัน
ชายชรามองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความสงสารระคนเอ็นดู ตั้งแต่ขึ้นเกวียนมานางถามเขาไม่หยุดคล้ายว่านางไม่เคยไปไหนนอกจากบ้านตัวเองมาก่อน ส่วนลันเซียนางพยายามปรับตัวให้เข้ากับโลกมนุษย์ ปลดเปลื้องพันธนาการที่คอยเหนี่ยวรั้งจิตใจจนกลายเป็นคนเย็นชาออกจนหมด อีกทั้งชายชราตรงหน้ายังมีทีท่าใจดี นางจึงแสดงตัวตนที่แท้จริงของนางได้อย่างสนิทใจ
“ใหญ่มากเลยล่ะและก็อันตรายมากเหมือนกัน” เขาเอ่ยยามนึกถึงเมื่อครั้งอดีตที่เคยมาแคว้นเฟิง ตอนนั้นเขาเป็นพ่อค้าใหม่ๆ ขายดิบขายดี แต่เพราะถูกเอาเปรียบจากขุนนางเจ้าถิ่น จึงทำให้ได้กำไรน้อยนิด ขุนนางที่ว่าเป็นขุนนางยศใหญ่โต แสนร่ำรวยแต่ก็ยังคดโกงบ้านเมือง นี่ยังไม่รวมถึงเหตุการณ์ที่ทำความเจ็บแค้นให้กับเขาแต่ไม่สามารถทำอะไรคนเหล่านั้นได้ พ่อค้าจนๆอย่างเขาไม่อาจทวงคืนความยุติธรรมให้กับบุตรสาวและฮูหยินได้เลย เก็บความแค้นไว้ในใจหวังว่าสักวันวิบากกรรมจะตามทันคนเหล่านั้น จึงเอ่ยเตือนให้แม่หนูที่มาด้วยสวมผ้าคลุมเอาไว้
เมื่อหลายวันก่อนตนได้ข่าวว่าแคว้นเฟิงเปลี่ยนฮ่องเต้องค์ใหม่ ไม่รู้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงมากน้อยแค่ไหน จึงเสี่ยงกลับมาขายอีกครั้ง ได้แต่หวังว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นอีก
“ขอบคุณเจ้าค่ะที่เอ่ยเตือนข้า” ลันเซียกระชับผ้าคุมยิ่งขึ้น จากเหตุการณ์ที่ท่านตาเล่ามาก่อนหน้า ท่านตาเสียบุตรสาวกับคนรักเพราะถูกคนไม่ดีพวกนั้นทำร้าย ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมท่านตาถึงต้องให้นางสวมผ้าคลุมเอาไว้
“พวกเจ้ามาจากแคว้นใด” ทหารหน้าประตูทางเข้าถามขึ้น เมื่อเกวียนสินค้าของท่านตาและนางถึงหน้าประตูเมือง
“ข้ากับบุตรสาวมาจากแคว้นเหยียน” แคว้นเหยียนเป็นแคว้นที่เล็กและยากจนที่สุด ฉะนั้นผู้คนที่นั่นจึงมักอพยพออกนอกเมือง แต่ท่านตาเล่าให้ฟังว่าถึงแม้จะเดินทางออกมาได้ ถ้าหากไม่มีพลังยุทธ์หรือตบะแกร่งพอ ก็มักจะโดนปล้นหรือโดนสัตว์อสูรฆ่า แถมยังบอกอีกว่าป่าที่นางนอนอยู่นั้นเป็นเขตของสัตว์อสูร ดีตรงที่นางนอนอยู่มีสัตว์อสูรค่อนข้างเบาบาง หากเข้าไปในป่าลึกไม่ต้องพูดถึง มีอีกกี่สิบชีวิตก็ไม่พอ ซึ่งนางไม่อยากจะเล่าให้ท่านตาตกใจเลยว่าเมื่อคืนนางเดินมาจากป่าลึกตรงนั้นแหล่ะ
“บุตรสาวท่านเหตุใดต้องสวมผ้าคลุม”
“นางไม่สบาย ข้าจึงไม่อยากให้นางโดนอากาศข้างนอกมากนัก” ท่านตาตอบทหารผ่านประตูอย่างคล่องแคล่ว นายทหารหรี่ตามองหญิงสาวภายใต้ผ้าคลุม ลันเซียเห็นดังนั้นจึงแกล้งไอ
“แค่ก ๆ”
“ไปได้”
พวกเราเข้ามาในเมือง ผู้คนส่วนใหญ่แต่งตัวเรียบง่าย ผู้หญิงจะสวมชุดถักทอที่มีลักษณะเป็นเสื้อคลุมยาว สีสันมีทั้งแบบเรียบๆไปจนถึงสวยสดงดงาม ท่านตายังบอกอีกว่าหากเป็นหญิงที่มีเงินหรือร่ำรวยหน่อยจะสวมเสื้อที่ถักมาจากผ้าแพร ซึ่งมีความสวยงามมาก ผู้ชายโดยทั่วไปจะสวมเสื้อคลุมยาวเช่นกันแตกต่างตรงของผู้ชายจะเป็นแบบเรียบๆ และหากฐานะยากจนจะสวมเสื้อแขนสั้นที่ตัดเย็บด้วยผ้าหยาบ ซึ่งชุดที่นางใส่อยู่เป็นชุดสีเรียบๆของคนรักท่านตาที่เสียไปแล้วเมื่อหลายสิบปีก่อน
“คืนนี้เราจะพักที่ใดกันหรือเจ้าคะท่านตะ เอ่อ ท่านพ่อ” เผลอเรียกอย่างลืมตัว เพราะก่อนจะเข้าเมืองท่านตาได้รับนางมาเป็นบุตรบุญธรรมเรียบร้อยแล้วและนางก็ยินดีที่จะเรียกชายอบอุ่นที่ช่วยเล่าเรื่องต่างๆให้นางฟังตั้งมากมายนี้ว่าพ่อ
“พ่อมีสหายสมัยหนุ่มๆเป็นเจ้าของโรงเตี๊ยมเล็กๆอยู่ด้านหน้านี้ คืนนี้เราไปพักที่นั่นกัน”
เพล้ง !!!
“เจ้ากล้าหรือไอ้แก่ !!!”
“ขะ ข้าน้อยมิกล้า คะ คุณชาย…” เสียงละล่ำลำลักของเถ้าแก่เจ้าของโรงเตี๊ยมเล็กๆสภาพกึ่งเก่ากึ่งใหม่เอ่ยขึ้นอย่างเกรงกลัว เนื่องจากหนุ่มฉกรรจ์ 3 คน ดูท่าทางเถื่อนๆกำลังยืนค้ำหัวอยู่ด้วยท่าทางคุกคาม สภาพชายราผู้นั้นตัวสั่น ท่ามกลางผู้ที่ยืนมองไม่มีสักคนจะเข้าไปช่วย ด้วยรู้กิตติมศักดิ์ของคุณชายตระกูล ‘เฉิน’ ผู้นี้ดี
“ฆ่ามันเลยหรือไม่นายท่าน” เสียงเหี้ยมที่คาดว่าน่าจะเป็นผู้ติดตามเอ่ยพร้อมชักดาบ
“หึ ลงมือ”
ฉับ
เคล้ง !
เพล้ง !
“จะ เจ้า…” ขณะนั้นเองจู่ๆดาบของชายตรงหน้ากลับขาดเป็นสองท่อน ทำให้เจ้าของดาบถึงกลับตะลึงพูดไม่ออก
ลันเซียภายใต้ผ้าคลุมปรี่เข้าไปรับดาบที่กำลังฟันลงมา ท่ามกลางสีหน้าตกใจของคนรอบข้างเพราะไม่มีผู้ใดเห็นนางเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย เห็นอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงดาบกระทบกัน
“เจ้าเป็นใคร !!” แต่คำถามที่คนรอบข้างสงสัยกลับถามขึ้นมาด้วยชายหนุ่มที่ใส่ชุดหรูหราซึ่งไม่ใช่ใครหากเป็นผู้สั่งการให้ข้ารับใช้ลงมือนั่นเอง
“เป็นหลานสาวของคนที่พวกท่านกำลังทำร้ายอยู่ไงเล่า” นางและพ่อบุญธรรมได้เข้ามาถึงโรงเตี๊ยมของสหายท่าน พอดีกับชายคนหนึ่งกำลังชักดาบเตรียมจะฟัน ท่านพ่อของนางทำท่าจะเข้าช่วยเหลือ นางจึงไม่รอช้ารีบเรียกดาบศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาทันที ดาบนี้เป็นดาบพิเศษ ผู้ที่ถือครองมันสามารถใช้มันและเคลื่อนไหวได้อย่างใจสั่ง ซึ่งขณะนั้นนางมีเวลาไม่มากนักเพราะดาบกำลังจะถึงตัว จึงเผลอเคลื่อนไหวเพียงพริบตาเดียว
“หึ นับว่าไม่เลว !” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างถูกใจ เป็นแค่หลานสาวเถ้าแก่ธรรมดาแต่สามารถรับดาบของข้ารับใช้ที่มีพลังตบะได้
“เป็นอย่างใดบ้างเจ้าคะ” เมื่อเห็นพวกเขาหยุดการคุกคาม นางจึงคุกเข่าเอ่ยถามชายชราอย่างเป็นห่วง
“แม่นาง…” เถ้าแก่โรงเตี๊ยมมองหญิงสาวตรงหน้า แม้จะอยู่ภายใต้ผ้าคลุมแต่น้ำเสียงและสายตาเป็นห่วงของนางอดขอบคุณอย่างซึ้งใจไม่ได้ แม้รู้ว่าประโยคที่นางตอบไปจะไม่ใช่เรื่องจริง อาจโกหกเพื่อช่วยเขาแต่ก็ยินดีรับนางเป็นหลานสาวยิ่งนัก
“เหตุใดพวกท่านต้องทำร้ายท่านตาของข้า!!” นางยิ้มตอบชายชรา ก่อนจะหันไปถามชายหนุ่ม
“ข้าแค่สั่งสอน ผู้ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงก็เท่านั้น”
“ที่ต่ำที่สูง ?” หญิงสาวเลิกคิ้วพลางยืนขึ้น
“…”
“สูงยังไงในเมื่อข้ายืน เจ้ายืน เราก็เสมอกัน !!!!”
“บังอาจ !!!” เมื่อสิ้นประโยค คนรับใช้ด้านหลังตะโกนขึ้นทันทีที่หญิงชาวบ้านธรรมดาบังอาจมาลบหลู่นายน้อยของตน
“เอาเถอะ ข้าไม่ถือสา หึๆ” คนเป็นนายน้อยพูดกับข้ารับใช้ด้วยท่าทีเจ้าเล่ห์ คำพูดเชิงไม่เอาเรื่องตรงข้ามกับแววตาระยิบระยับ บ่งบอกว่าสนใจหญิงตรงหน้าอย่างชัดเจน หากได้เห็นใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมนั่นล่ะก็…
“แม่นางชื่อว่าอันใดหรือ”
“ข้าไม่จำเป็นต้องตอบท่าน !!” นางไม่สนใจ หันมาพยุงเถ้าแก่ให้ลุกขึ้น
“ดี น่าสนใจยิ่ง” เขาไม่เคยโดนหญิงใดปฏิเสธมาก่อนจึงสนใจสตรีตรงหน้ายิ่งนัก ก่อนที่ข้ารับใช้อีกคนจะเดินเข้ามากระซิบที่หู เพื่อบอกกล่าวเรื่องบางอย่าง
เห็นทีวันนี้คงจะได้สนทนาเพียงเท่านี้ แต่ไม่ใช่ว่าครั้งหน้าจะไม่มีโอกาส
“…”
“ไว้พบกันใหม่นะเมยเม่ย” (เมยเม่ย แปลว่า น้องสาว) แม้จะหันหลังจากมาแต่ก็ได้ยินเสียงนางผู้นั้นอย่างชัดเจน
“ข้าไม่มีพี่ชายเยี่ยงท่าน !!” นางตะโกนไล่หลัง
“ฮ่า ๆ ถูกใจยิ่งนัก” เดินออกไปอย่างสำราญใจ
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้างเหรินกู่” เมื่อทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ ชายชราจึงเข้าไปทักสหายอย่างเป็นห่วง เหลือบมองบุตรบุญธรรมด้วยความชื่นชม นอกจากจะมีหน้าตางดงามล่มเมืองแล้วยังมีพลังตบะอีกหรือนี่ นับว่าไม่ธรรมดาเสียแล้ว
“อ้าว เจ้าฟู่เฉิงมิใช่หรือ มาๆ มานั่งก่อนไม่ได้พบกันเสียนาน ขอบใจเจ้ามากนะแม่หนู” เถ้าแก่เหรินที่ตั้งสติจากเหตุการณ์ตรงหน้าได้กล่าวทักทายสหายเก่าด้วยความคิดถึง ก่อนจะหันไปขอบคุณหญิงสาวที่เข้ามาช่วยเขาไว้ แม้จะไม่รู้จักแต่นับว่าแม่นางผู้นี้มีคุณธรรมยิ่งนัก
“นั่นลูกสาวบุญธรรมข้าเอง” ไม่รอช้าชายชรารีบเอ่ยแนะนำหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวให้รู้จัก
“ห๊ะ จริงหรือนี่ !!!” เถ้าแก่เหรินตกใจ เพราะนั่นก็หมายความว่าแม่หนูนี่ก็เปรียบเสมือนหลานสาวเขาเช่นกัน ช่างดียิ่ง
“ขออภัยที่แนะนำตัวช้าเจ้าค่ะ ข้ามีนามว่าจิวฮวา” จิวฮวาเอ่ยนามที่พึ่งคิดสดๆให้กับชายชราตรงหน้า ชื่อนี้มีความหมายว่า ดอกไม้แห่งโชคชะตา ช่างเหมาะกับนางยิ่งนัก หากบอกชื่อจริงๆไปเกรงว่าจะไม่กลมกลืนกับคนที่นี่ ส่วนพ่อบุญธรรมก็หันมายิ้มให้อย่างเข้าใจ เพราะก่อนหน้านางเผลอแนะนำเขาด้วยชื่อจริงๆของนาง
“ดี ๆ ดีเหลือเกิน ข้ามีหลานสาวแล้วหรือนี่…” เถ้าแก่เหรินกล่าวด้วยความยินดี เขาดูแลกิจการและอยู่ตัวคนเดียวมาตั้งแต่สมัยยังหนุ่ม บิดามารดาเสียไปเพราะสัตว์อสูรบุกเมื่อหลายสิบปีก่อน ฉะนั้นเมื่ออดีตจึงสนิทกับฟู่เฉิงที่เพิ่งเสียภรรยากับบุตรไปด้วยเข้าใจคำว่าสูญเสียเช่นกัน
ตอนนั้นสหายคนเดียวบอกกับเขาว่าอยากลองไปค้าขายต่างเมืองดู เขายอมรับว่าตกใจมาก พยายามเอ่ยห้ามแต่ก็ไม่สำเร็จ จึงได้แต่อวยพรให้สหายเดินทางปลอดภัยและยังคงคิดถึงเสมอ จนกระทั่งบัดนี้
“ใช่แล้วสหาย ต่อไปนี้ข้าจะมาพักที่นี่ชั่วคราว”
“พักยาวๆก็ได้ฟู่เฉิง ข้าเหงายิ่งนัก” เถ้าแก่เหรินเอ่ยบอกน้ำเสียงยินดีตามประสาตาแก่ขี้เหงา
“ฮ่าๆ เจ้ายังมิเปลี่ยนไปเลยนะ” ก่อนที่ชายชราทั้งคู่จะพากันแลกประสบการณ์เล่าเรื่องที่ผ่านตลอดช่วงหลายปีที่ไม่เจอกัน
ตอนพิเศษ 2บุตรชายตัวแสบ แม้หน้าตาของบุตรทั้งสองจะเหมือนกัน แต่นิสัยกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง อู่หลงคนโตจะเป็นเด็กเงียบขรึม ชอบสังเกตคล้ายกำลังคิด วิเคราะห์อยู่ตลอดเวลาว่าสิ่งนี้ดีหรือไม่ดีแล้วค่อยทำ อีกทั้งยังมากแผนการ เล่นเอาเขาหัวหมุนสุดก็คนพี่นี่แหล่ะ เพราะเดาใจไม่ออก รับมือได้ยาก ส่วนอู่ชิงคนน้องจะเป็นคนตรงๆ หิวก็ร้อง อยากให้พ่ออุ้มก็ร้องถึงขนาดเคยร้องดีดดิ้นเพราะแย่งนมแม่กับพี่ชายก็เคยมาแล้ว จนจิวฮวาต้องให้บุตรชายทั้งสองกินคนละเต้า เขาสงสารจิวฮวายิ่งนักต้องรับมือกับตัวแสบทั้งสอง นึกสัญญากับตัวเองในใจว่าจะช่วยนางเลี้ยงลูกๆให้ดี และเพราะทั้งคู่แตกต่างกันเช่นนี้ ยิ่งทำให้คนเป็นพ่อแม่ต้องปรับตัวให้ดี แต่โชคยังดีพวกเขาเป็นเด็กเลี้ยงง่ายง่ายกับผีนะซิ ตีกันอีกแล้ว“ปะ!” อู่หลงคนพี่ร้องเรียกคนเป็นพ่อคล้ายจะฟ้องว่าน้องทำตัวเกเร“แอะ!” ส่วนคนน้องก็ดีดดิ้น จนเท้าอวบไปโดนคนพี่เพราะอึ
ตอนพิเศษ 1สิ่งสำคัญ“ฮึก แงงง ปะ ปะ”“พ่อมาแล้วอู่ชิง เป็นอะไร หืม” เสียงร้องลั่นของบุตรชายวัยเกือบหนึ่งขวบดังขึ้น คนเป็นพ่อรีบรุดมาดูบุตรชายแทบจะทันที ส่วนภรรยาของเขาดูโรงเตี๊ยมอยู่ นี่ก็ผ่านมาเกือบปีแล้วตั้งแต่วันที่บุตรชายทั้งสองคลอดออกมา ท่านพ่อท่านแม่ของเขาแวะมาดูหน้าหลานชายตั้งแต่เด็กๆพึ่งคลอดได้ไม่กี่วัน พร้อมของรับขวัญหลานอีกมากมาย จนไม่มีที่เก็บ หลักๆก็เป็นพวกหีบทองคำ เพชรนิลจินดา และโฉนดที่ดิน มากมายเสียจนท่านพ่อตากับจิวฮวาทำหน้าลำบากใจ ปู่กับย่าของเด็กๆมาที่แคว้นเฟิงแห่งนี้ร่วมเดือน แต่ด้วยงานที่ต้องสะสางจึงไม่อาจทิ้งจวนมานานกว่านี้ได้กว่าจะทำใจจากหลานชายที่นับวันยิ่งตัวอวบอ้วน เล่นเอาเขากับจิวฮวาถึงกับต้องเอ่ยรับปากว่าจะพาบุตรชายไปเยี่ยมพวกท่านบ่อยๆ นี่ก็ไปพึ่งกลับมา ส่วนใหญ่จะไปเดือนละครั้งหรือสองเดือนครั้ง เดิมทีท่านพ่อกับท่านแม่ของเขาพูดคุยถึงเรื่องแต่งงานกับท่านพ่อตาไปบ้างแล้ว ทว่าท่านพ่อตากลับบอกว่าขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของจิวฮวา ซึ่งนางก็บอกว่ายังไม่พร้อมเพราะเด็กๆย
ลิขิตรัก 49บทส่งท้ายจิวฮวา...นางยืนอยู่ตรงนั้นจริงๆ ดวงตาของนางยังคงงดงาม ทว่าภายในกลับมีความเหนื่อยล้าแฝงอยู่ ร่างบางที่เคยคุ้นบัดนี้ดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย ท้องของนางใหญ่ขึ้นมากจนน่าใจหาย ภายในนั้นมีบุตรสาวหรือชายของเขาหลับใหลอยู่จิวฮวาเองก็ชะงักค้างไปเช่นกัน นางไม่คิดเลยว่าจะได้พบกับเขาอีกครั้งเร็วขนาดนี้ ความรู้สึกหลายอย่างตีตื้นขึ้นมาในอก ทั้งดีใจ ตกใจ สับสน และ...เจ็บปวด มือบางกำแน่นโดยไม่รู้ตัว ความเงียบเข้าครอบงำทั้งสองครู่หนึ่ง“เจ้า...” เฟยหลงเอ่ยเสียงแหบพร่า “ข้า...ข้าในที่สุดก็พบเจ้าแล้ว”“นะ นายหญิง...” หลินจูมองทั้งสองด้วยแววตาสับสน จิวฮวากะพริบตาช้าๆ หัวใจเต้นแรง แม้พยายามห้ามมันแล้วก็ตาม“ท่านมาทำอะไรที่นี่” น้ำเสียงของนางราบเรียบ ไม่ได้อธิบายหรือตอบสิ่งใดกับสาวใช้ตัวน้อย พยายามไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา เฟยหลงก้าวเข้ามาใกล้ นัยน์ตาของเขามีทั้งความอ่อนโยนและความเจ็บปวด“ข้าตามหาเจ้า ตามหามาตลอดหลายเดือน” จิวฮวายังคงนิ่ง ทว่ามือที่ก
ลิขิตรัก 48ปลายทางหัวใจ “เอาล่ะ ข้าจะขอแนะนำใครบางคน” เฟิงหวงประกาศเสียงดัง วันนี้เป็นวันแรกที่จิวฮวาได้เข้ามาสอนเหล่าผู้คุ้มกัน เบื้องหน้าเป็นชายที่มีอายุในช่วง 18-50 ปี ทุกคนต่างมองหญิงสาวหนึ่งเดียวในสนามฝึกด้วยสายตาแตกต่างกันไป“ทักทายทุกคน ข้าจิวฮวา ต่อไปนี้จะเป็นผู้ฝึกให้พวกท่าน หวังว่าจะไม่มีใครดูถูกข้าที่เป็นเพียงสตรีแถมยังตั้งครรภ์เช่นนี้”“เอ่อ ข้าขอภัยที่ถาม จะไม่เป็นอันตรายหรือขอรับ” หน่วยกล้าตายคนหนึ่ง เขาเป็นชายวัยกลางคนที่กล้ายกมือถาม สายตาเขามีความลังเล ไม่มั่นใจ จิวฮวายิ้มมุมปากภายใต้ผ้าคลุม น้ำเสียงตอบกลับไม่ได้เต็มไปด้วยความไม่ชอบใจแต่อย่างใดที่โดนถามเช่นนี้“ขอบคุณที่เป็นห่วง พอดีบุตรชายข้าแข็งแรงยิ่งนัก แค่การขยับร่างกายนิดหน่อยไม่ทำให้เป็นอันตรายหรอก” จิวฮวากล่าวน้ำเสียงจริงจังเลียนแบบคำพูดบุตรชายที่กล่าวว่าพวกเขาแข็งแรง ซึ่งนางเชื่อว่าเขาแข็งแรงดั่งที่พูดจริงๆ บุตรชายที่มีสายเลือดปีศาจราชวงศ์ จะอ่อนแอได้อย่างไร พอนางพูดจบภายในครรภ์รู้สึกถึงการเต้นตึก
ลิขิตรัก 47ตามหา3 เดือนผ่านไปแคว้นเฟิงภายในโรงเตี๊ยมที่กลายเป็นที่โด่งดัง หญิงสาวร่างบาง แม้อายุครรภ์จะน้อยแต่ท้องกลับป่องอย่างเห็นได้ชัดนั่งอยู่หลังโต๊ะด้านใน จิวฮวากำลังอ่านสรุปของที่หมดไปและต้องซื้อเข้ามาของโรงเตี๊ยม ซึ่งได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ นางพยายามทำตนให้ยุ่งเข้าไว้เพื่อไม่ให้จิตใจหวนนึกถึงใครบางคน“นายหญิง คุณชายเฉินมาขอพบขอรับ” ฮุ่ยเฉินที่เปลี่ยนคำเรียกมาเป็นนายหญิงเอ่ยบอกร่างที่ง่วนอยู่กับเอกสารในมือ โรงเตี๊ยมมีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาอย่างมหาศาล ทั้งมาเข้าพัก ดื่มด่ำกับอาหารและเลือกซื้อของฝาก ทุกคนทำงานกันแทบไม่พัก แต่ไม่มีใครบ่นเลยสักคน กลับกันต่างรู้สึกดีใจ เนื่องจากนายหญิงได้ให้สิ่งที่เรียกว่าโบนัสตามผลประกอบการ ยิ่งมีลูกค้ามากเท่าไหร่ นั่นทำให้ทุกคนดีใจขึ้นมากเท่านั้น เพราะนั่นหมายถึงรายได้ก็จะมากขึ้นตามไปด้วยช่วงนี้อิงหลิวต้องดูบัญชีของร้านอย่างเต็มตัว นายหญิงได้เลื่อนขั้นให้อิงหลิวเป็นผู้จัดการบัญชี เขาเป็นผู้จัดการร้าน โดยมีเหล่าเด็กๆทั้งสามคอยช่วยเห
ลิขิตรัก 46ไม่ยอมแพ้ค่ำคืนที่จันทร์ส่องแสงสุกสว่างเหนือเมืองหลวง เงาทมิฬแฝงตัวอยู่ภายใต้ราตรี หมอกหนาทึบลอยต่ำบดบังทัศนียภาพของพระราชวังหลวง บรรยากาศเคร่งขรึมปกคลุมไปทั่วบริเวณ หลงฮ่องเต้ จางเฟยหลง ผู้นำตระกูลจาง และเหล่าทหารจำนวนหนึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าจวนเสนาบดีเยว่ มีองค์รักษ์แฝงอยู่รอบจวนหลายสิบนาย รวมถึงพลทหารที่ซุ่มอยู่ตามแผน“คืนนี้เป็นคืนสำคัญ เจิ้นจะรออยู่ตรงนี้” หลงฮ่องเต้เอ่ยเสียงหนักแน่น ดวงเนตรคมกล้ากวาดมองทุกคนที่ยืนอยู่ พระองค์มีส่วนผิดที่ไม่เอะใจสักนิดว่ามีปีศาจแฝงตัวอยู่ในแคว้น แถมยังเข้าออกในราชสำนักโดยไม่ระแคะระคาย“หากไม่ใช่แค่เยว่เหมยฟางที่เป็นปีศาจ ฝ่าบาทอาจเกิดอันตรายได้พะย่ะค่ะ” จางเฟยหลงเอ่ยขึ้น สายตาเป็นกังวล จวนตระกูลเงียบสงัดเกินไปจนกว่าจะไม่รู้ว่าพวกเขามาเยือนคืนนี้ ไม่แน่พวกมันอาจคาดการณ์แล้วเตรียมรับมือไว้ก่อนแล้ว“เจ้าไม่ต้องกังวล พ่อจะอยู่ปกป้องฝ่าบาทเอง” ผู้นำตระกูลจางกล่าวกับบุตรชาย พวกเขาวางแผนกันมานาน รวบรวมหลักฐานแน่นหนา เริ่มจากสร้อยข้อมือของบุตรชาย







