ในความมืดของอุโมงค์หิน ความตายไล่ตามมาติด ๆ
เสียงคำรามโกรธจัดของคาร์เซียดังก้องสะท้อนในโถงใหญ่เหมือนฝันร้ายไม่สิ้นสุด เบนหอบหายใจแรง ความเหนื่อยอ่อนเกาะรัดร่างกายจนขาแทบอ่อน แต่เขายังฝืนก้าวไปข้างหน้า มือของลีแอนน์กำข้อมือเขาไว้แน่น ไฟจากหลอดที่เธอหยิบมันออกจากกระเป๋าคาดเอวส่องแสงสีเหลืองมัว ๆ บนพื้นหินเต็มไปด้วยคราบเลือด อากาศรอบตัวอับชื้น เหม็นกลิ่นสนิม ผสมกลิ่นเน่า จนแสบจมูก เสียงฝีเท้าของแวมไพร์ดังห่างออกไปเล็กน้อย แต่ไม่ได้แปลว่าพวกมันจะยอมแพ้ คาร์เซียต้องตามมาแน่ เธอไม่ยอมให้เลือดของเบนหลุดมือเด็ดขาด “อีกไม่ไกล…ปลายอุโมงค์มีทางขึ้นไปข้างบน” ลีแอนน์หอบเสียงสั่น “จากตรงนั้น เราอาจหาทางออกไปถึงถนนได้” เบนพยักหน้า แม้สติจะพร่าเลือนเพราะเสียเลือดไปมาก เขามองแผลที่แขนซ้าย ตรงที่แทงเข็มเงินไว้ก่อนหน้านี้ เลือดสีเข้มยังไหลซึมออกมา แต่มันมีประกายเหมือนโลหะละลาย เขาจำได้ว่าเคยถามพ่อ…ว่าทำไมเลือดเขาถึงไม่เหมือนคนอื่น พ่อไม่เคยตอบตรง ๆ แค่บอกว่า “ถ้าเมื่อไหร่ที่มันไหลออกมา…จงระวัง ทุกคนจะอยากได้มัน” วันนี้ เขาถึงได้รู้ว่าพ่อพูดเรื่องจริง “นายต้องอุดแผล” ลีแอนน์พูดเสียงเข้ม เธอชะลอฝีเท้า หยิบผ้าพันแผลออกมา กดแน่นบนแผลจนเบนกัดฟันกรอด ความเจ็บแปลบขึ้นสมอง แต่เขายอมให้เธอพันแขนจนแน่นหนา เธอเงยหน้ามองเขา ดวงตาสีเทาของเธอเข้มเหมือนกำแพงหิน “อย่าให้เลือดหยดอีก…ถ้าแวมไพร์ได้กลิ่น พวกมันจะตามมาเร็วขึ้น” เบนพยักหน้า เงียบไปครู่หนึ่ง เสียงหัวใจเขาดังชัดในความเงียบ “…พ่อฉัน…เขาทำอะไรกับเลือดฉันกันแน่” ลีแอนน์ไม่ตอบทันที เธอมองหน้าของเขา แวบหนึ่งแววเศร้าฉายขึ้นในแววตา แต่เธอก็เม้มปากแน่นเหมือนไม่อยากพูด “อีแวน แฮรอน…ไม่ใช่แค่คนธรรมดา เขาเคยเป็นนักล่าแวมไพร์” เบนชะงัก “นักล่า…?” “ใช่” ลีแอนน์พยักหน้า “เขาเป็นหนึ่งในนักล่าไม่กี่คนที่ค้นพบวิธีใช้เลือดมนุษย์ผสมสารเงิน เพื่อสร้างอาวุธชีวภาพ…บางอย่างที่สามารถฆ่าแวมไพร์ชั้นสูงได้” เสียงฝีเท้าเบื้องหลังใกล้เข้ามาอีกครั้ง เธอขยับตัวไปด้านหน้า ชูตะเกียงขึ้น แสงสว่างเผยให้เห็นทางเดินแคบ ๆ ด้านข้างเหมือนโพรงหนู “ทางนี้” พวกเขาเบี่ยงเข้าทางแคบ ผนังหินเย็นเฉียบจนสัมผัสแล้วขนลุก เบนถามเสียงเบา “แล้วทำไมพ่อฉันต้องหนี?” “เพราะเลือดเขากลายเป็นสิ่งที่ราชินีแวมไพร์อยากได้ที่สุด” “คาร์เซีย…?” “ใช่” เสียงคำรามต่ำ ๆ ดังตามหลังมาจนพื้นสั่น ลีแอนน์กัดฟันแน่น เธอหยิบขวดแก้วใบเล็กสีเทาเข้มออกมาอีกครั้ง “กลิ่นนี้จะช่วยถ่วงเวลาได้หน่อย…แต่ไม่นาน” เธอเปิดฝาแล้วเทของเหลวลงพื้นหิน กลิ่นเหม็นฉุนทะลักขึ้นจนเบนแทบอาเจียน แวมไพร์ที่กำลังวิ่งตามอยู่ชะงัก เสียงฟ่อแสบหูดังขึ้น บางตนกระโจนหลบเหมือนถูกน้ำกรดราด ลีแอนน์หันมามองเขา สายตาเด็ดเดี่ยว “เลือดของพ่อแก…ผสมกับสารเงินบางอย่าง จนฆ่าแวมไพร์ได้โดยตรง แล้วดูเหมือนเลือดแก…ยิ่งเข้มข้นกว่าของพ่ออีก” เบนกลืนน้ำลาย ฝ่ามือเย็นเยียบ “แล้วมันแปลว่าอะไร…” “แปลว่า ถ้าแกตาย…คาร์เซียจะดูดเลือดจนหยดสุดท้าย แล้วไม่มีใครหยุดเธอได้” เสียงโลหะขีดข่วนพื้นหินดังมาจากอีกด้าน มีเงาร่างสูงโปร่งกำลังเดินช้า ๆ ผ่านกลุ่มควันกระเทียม ลีแอนน์เบิกตากว้าง “เป็นไปไม่ได้…” ร่างนั้นก้าวออกมาจากควัน ผิวซีดเกือบขาวสนิทเหมือนกระดาษ ดวงตาสีแดงวาวราวกับเลือดหยดสุดท้าย คาร์เซีย เบล เธอยิ้มบาง ๆ มองสองคนที่ยืนตัวแข็ง “เจ้าคิดว่าไอ้กลิ่นโสโครกนั่น…จะหยุดข้าได้หรือ” เสียงเธอนุ่ม แต่แฝงด้วยความโหดร้ายจนขนลุก ลีแอนน์ขยับตัวบังหน้าเบน มือเธอสั่นน้อย ๆ แต่ยังยกมีดเงินขึ้นประจัญหน้า “เบน…ฟังฉันให้ดี” “ถ้าฉันสู้…แกต้องหนีไป ห้ามหันกลับมา” “ไม่!” เบนส่ายหน้าแรง “ฉันจะทิ้งเธอไว้ที่นี่ไม่ได้!” “นี่ไม่ใช่เรื่องของการตายหรือรอดอีกต่อไป!” เสียงเธอสั่นด้วยโทสะ “นี่คือสิ่งที่พ่อแกฝากไว้…เลือดแกต้องไม่ตกไปถึงมือมัน!” คาร์เซียก้าวมาช้า ๆ เสียงฝีเท้าเธอสะท้อนเยาะเย้ย “อีแวน แฮรอน…สู้จนตายเพื่อปกป้องความลับไร้สาระ” “แต่เลือดของลูกเขา…จะทำให้ข้าเป็นราชินีอมตะเหนือทุกเผ่าพันธุ์” เบนกัดฟันจนปวดขากรรไกร “แกฆ่าพ่อฉัน…” คาร์เซียยกคิ้ว “ข้า…? ไม่หรอก” “เขาฆ่าตัวเอง…เพื่อไม่ให้ข้าดื่มเลือดเขา” ดวงตาของเบนเบิกกว้าง หัวใจเขาเหมือนถูกบีบแรงจนหายใจแทบไม่ออก “โกหก…” “ความจริง…ขมยิ่งกว่าเลือดที่เจ้าจะเสีย” เธอก้าวพรวดเข้ามาเร็วจนสายตาแทบจับไม่ทัน ลีแอนน์คำราม เธอปาไฟใส่หน้าอีกฝ่าย แต่คาร์เซียปัดมันกระเด็นจนไฟดับ ความมืดเข้าครอบคลุมอุโมงค์อีกครั้ง เบนควานมือหาเข็มเงิน แต่คาร์เซียคว้าคอเสื้อเขา ยกตัวขึ้นอย่างง่ายดาย เขาดิ้นจนขาเตะอากาศ แต่แรงบีบที่คอแน่นจนแทบขาดใจ “ในที่สุด…” เสียงเธอเบาจนแทบฟังไม่ออก “…เลือดที่ข้ารอคอย…” ฟันคมของเธอแวววับในเงามืด เบนหลับตาแน่น เขาคิดถึงใบหน้าพ่อ…ความทรงจำในวันที่พ่ออุ้มเขาไว้แนบอก…เสียงที่บอกว่า “ถ้าเมื่อไหร่ที่ต้องตาย…อย่ายอมให้มันง่าย ๆ” เบนลืมตา ความโกรธพลุ่งขึ้นจนมองอะไรเป็นสีแดง มือเขาชักเข็มเงินเล่มสุดท้าย ด้วยแรงเฮือกสุดท้าย เขาแทงลึกเข้ากลางอกตัวเอง เลือดสีเข้มไหลทะลักออกมา คาร์เซียกรีดร้องทันที ผิวเธอแตกระแหงเหมือนโดนน้ำกรด มือเธอปล่อยเขาลงพื้น ลีแอนน์พุ่งเข้ามาคว้าตัวเบน เธอกดแผลไว้แน่นจนมือสั่น “บ้าเอ๊ย…แกจะฆ่าตัวตายหรือไง!” เบนหอบหายใจ “ถ้าเลือดฉัน…ฆ่าเธอได้…ฉันยอม…” คาร์เซียถอยไปติดผนัง เธอร้องเสียงสูงจนเพดานร้าว ผิวหนังที่โดนเลือดเบนไหม้เป็นรอยแผลลึก “ข้า…จะฉีกเจ้าเป็นชิ้น!” เสียงเธอดังก้องกังวานจนหินหล่นลงมาเป็นเศษฝุ่น ลีแอนน์ลากเบนออกมาเต็มแรง “ไม่! แกต้องรอด!” พวกเขาพุ่งออกจากอุโมงค์ เสียงคำรามของคาร์เซียยังสะท้อนตามหลังมาไม่หยุด ในความมืด ลีแอนน์กอดร่างเขาแน่น มือที่เต็มไปด้วยเลือดสั่นระริก “เรายังไม่จบ…นี่เพิ่งเริ่มต้น…” เบนหายใจแผ่ว เขาพึมพำเสียงแผ่ว “ฉันจะล้างแค้น…ฉันสัญญา…” แสงจันทร์ตกบนรอยเลือดสีเข้มที่หยดบนพื้น เป็นประกายเหมือนอาวุธที่รอวันสังหารราชินีแวมไพร์ คาร์เซีย เบลหันไปมองความมืดที่เบนกับลีแอนน์หายไป แววตาของเธอเต็มไปด้วยความแค้นจัด “…เลือดแก…จะต้องเป็นของข้า…” เธอกัดฟันแน่นจนเขี้ยวครูดกันเสียงกรอด แล้วร่างเธอก็ถอยหายไปกับเงามืด --- คฤหาสน์ใต้ดินของคาร์เซีย ห้องโถงสูงใหญ่ประดับผ้าดำ กลิ่นเลือดอับชื้นคลุ้งไปทุกมุม แวมไพร์รับใช้หลายตนก้มหน้าไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบตามอง คาร์เซียยืนกลางห้อง ผิวแก้ม ลำคอ แขนข้างหนึ่งยังมีรอยไหม้สีดำพุพอง บางส่วนมีน้ำหนองไหลซึม ความเจ็บร้อนยังแผ่ขึ้นถึงศีรษะ เธอกำมือแน่น ดวงตาแดงจัด “เอาเลือด…มาเดี๋ยวนี้…” ทาสร่างผอมรีบก้มตัว “ท่านต้องการ…เลือดมนุษย์หรือ…” “ทั้งหมด!” เสียงเธอกระแทกจนพื้นสั่น “เลือดสด…เลือดบริสุทธิ์…ขนมาให้ข้าแช่ตัว!” “ข…เข้าใจแล้วนายหญิง!” เหล่าทาสแตกฮือ รีบวิ่งหายไป เสียงโซ่เหล็กกระทบกันดังก้อง อีกครู่ อ่างหินสีดำขนาดใหญ่ก็ถูกขนมาวางกลางห้อง ทาสสามตนหอบถุงเลือดใบโต เทของเหลวสีแดงสดลงไปทีละถุง กลิ่นเหล็กคาวจัดจนบางตนแทบอาเจียน แต่คาร์เซียกลับสูดกลิ่นลึกๆ ด้วยสายตาลุ่มหลง “มากกว่านี้…” “ท่าน…” แวมไพร์รับใช้สั่น “เลือดพวกนี้พอรักษาได้หรือไม่…” “มันแค่บรรเทา!” เสียงเธอเหี้ยมเย็น “แต่เลือดเจ้ามนุษย์นั่น…คือสิ่งเดียวที่จะลบแผลนี้ได้หมด…” เธอถอดเสื้อคลุมดำออกจนเผยผิวไหม้เต็มแผ่นหลัง เนื้อแผลปริแตกเป็นรอยยาวน่าเกลียด ควันสีขาวยังซึมออกมา คาร์เซียกัดฟันแน่น เธอก้าวขึ้นบันไดเล็กๆ แล้วหย่อนร่างลงในอ่างเลือด ของเหลวอุ่นจัดท่วมถึงคอ เธอหลับตา เอนศีรษะพิงขอบอ่าง เสียงลมหายใจรุนแรงสลับแผ่ว เลือดค่อยๆ เคลือบผิวไหม้ แผลบางส่วนหยุดควัน แต่รอยแดงลึกยังไม่หาย “…มันแสบ…” เสียงเธอแหบสั่น “แต่ข้าจะไม่ยอมแพ้…” นิ้วเรียวแช่ในเลือดค่อยๆ กำแน่น “เลือดของเจ้าเด็กนั่น…จะต้องหลั่งที่นี่…” เธอลืมตาช้าๆ ดวงตาสีแดงฉายประกายเคียดแค้นที่สุดในชีวิต แวมไพร์ข้างอ่างหมอบต่ำไม่กล้าแม้แต่หายใจเสียงดัง คาร์เซีย เบล กระซิบเสียงเย็น “ไปส่งข่าว…บอกทุกรัง…ประกาศล่าเบน แฮรอน…” “ขอรับ…” “และใครจับตัวมันมา…จะได้รางวัลเลือดอมตะ…” รอยยิ้มเหี้ยมเผยบนริมฝีปากแตก แผลบนแก้มยังไหม้แดงเป็นร่องยาว “…ไม่มีใครหยุดข้าได้…ไม่มีใคร…”ลีแอนน์ยังคุกเข่าอยู่ข้างเตียง กุมมือเบนแน่นจนข้อนิ้วซีด เธอพยายามข่มตัวเองให้ไม่กลัว ทั้งที่เสียงข้างนอกกำลังสั่นประสาทอย่างที่สุด ครืด... แกร่ก... โครม!!! ครั้งนี้ไม่ใช่แค่เสียงอีกต่อไป—เศษอิฐจากกำแพงด้านข้างร่วงลงมาเป็นผงๆ ตามด้วยเสียงคำรามต่ำแหบ เสียงที่เหมือนอะไรบางอย่างที่ไม่ควรมีชีวิตกำลังแงะผนังเข้ามา “มันเจาะเข้ามาได้แล้ว!” ชายผมยาวที่ก่อนหน้าทะเลาะกับลีแอนน์ร้องเสียงหลง รีบหันหลังคว้าปืนที่วางพิงไว้ ออร์เรนกระชากเขากลับด้วยแขนกล “อย่าเพิ่งตื่นตระหนก!” “ตะ...แต่! พวกมันเข้ามา—!” “ยังไม่พังเข้ามาได้หมด เรามีเวลาไม่กี่นาที!” เสียงเล็บข่วนแผ่นเหล็กดังสะเทือนหู แสบแก้วหูจนลีแอนน์ต้องหลับตาปี๋ เธอก้มลงกระซิบเบนอีกครั้ง “ฟังนะ ถ้าแกยังได้ยินฉัน…ต้องอยู่ต่อให้ได้ ได้ยินไหม? อย่าไปไหนเด็ดขาด” เบนไม่ตอบ แต่เปลือกตาขยับนิดหน่อย เหมือนพยายามดิ้นจากฝันร้ายที่พันธนาการเขาอยู่ “ลีแอนน์!” อาลีนเรียกเสียงด่วน “ช่วยกันเปิดช่องทางลมหลังห้องก่อน เผื่อเราต้องหนี!” ลีแอนน์กัดฟัน ก่อนหันไปกระชากผ้าเก่าๆ ที่คลุมลังไม้ข้างผนังโยนให้ชายร่างผอม “ปิดรูนั้นไว้ เอาให้แน่น อย่าให้
เสียงครืดๆ ที่ลากเล็บขูดพื้นเมื่อกี้ ไม่ได้เงียบไปเฉยๆ มันกลับยิ่งดังขึ้นกว่าเดิม เหมือนพวกมันเริ่มเดินเข้ามาใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆลีแอนน์นั่งฟังอยู่ตรงเตียง ใจเต้นโครมๆ จนแทบได้ยินเองในอก เบนที่นอนอยู่ก็สะดุ้งเหมือนละเมอ ใบหน้าซีดเผือดจนมองแทบไม่ออกว่าเป็นคนออร์เรนยังยืนชิดประตู ตาจ้องรูเล็กๆ ตรงบานเหล็ก เสียงหายใจเขาหนักกว่าเดิมครืด... ครืด... ครืด...เล็บยาวๆ ของพวกซากร้างครูดผ่านผนังอิฐ คราวนี้ไม่ใช่แค่เสียงเดียว แต่มีหลายเสียง สลับกันไปมาจนคนฟังขนลุกเสียงหายใจข้างนอกก็เริ่มดังขึ้น เหมือนพวกมันยืนกันเต็มปากทางเดิน“มันใกล้เข้ามา…” นักล่าคนหนึ่งเริ่มตะโกนโวยวาย สีหน้าเขาซีด“พวกมัน…ดมกลิ่นได้ใช่ไหม…” หญิงร่างเล็กที่ชื่ออาลีนพูดเสียงสั่น มือเธอกำด้ามปืนเเน่นจนเส้นเลือดนูนขึ้น“ใช่” ออร์เรนตอบเสียงเรียบ แต่ดวงตาข้างเดียวก็มีแววกังวล “กลิ่นเลือดมันแรง พวกมันคงคลุ้มคลั่งกัน”ครืด…ครืด…แกร่ก…กรร เสียงเล็บครูดแรงขึ้น คราวนี้เหมือนมีตัวหนึ่งข่วนประตูเหล็กเป็นแนวยาว จนเสียงโลหะดังเอี๊ยด..ชวนให้เเสบเเก้มหู ลีแอนน์กัดฟันแน่น มองไปทางเบนที่หายใจรวยริน“…เราอยู่กันครบไหม” เธอถามด้วยเสียงห
กลางคืน อุโมงค์ระบายน้ำเก่าใต้ซากเมืองร้างเสียงน้ำหยดเป็นจังหวะในอุโมงค์แคบ ลีแอนน์ประคองเบนที่ตัวสั่นระริกมาตลอดทาง แผลบนอกยังคงซึมเลือดสีเข้มเธอชำเลืองมองใบหน้าเขาที่ซีดเผือด ก่อนกระซิบเสียงเข้ม“อีกนิดเดียว…เดินต่อให้ได้”“ที่นี่…ที่ไหน…” เบนถามแผ่วจนแทบไม่ได้ยิน“เขตตะวันตก เมืองร้างของนักล่า” เธอสูดลมหายใจลึก “พวกฉันมีฐานหลบภัยอยู่ใต้โรงเก็บศพเก่า”เบนสะอึก “…ฟัง…ไม่ค่อยน่าอยู่”“อย่าพูดมาก” เธอสวนเสียงแข็ง แต่ในดวงตายังมีแววเป็นห่วงลึกๆพวกเขาเดินผ่านกำแพงอิฐที่มีร่องรอยเลือดเก่าเป็นคราบ ลีแอนน์หยุดตรงประตูเหล็กสนิมเขรอะ ยกกำปั้นเคาะเป็นจังหวะเฉพาะสามครั้งเงียบจากนั้นเสียงล็อกกลไกซับซ้อนก็ดังกึกกัก ก่อนประตูจะค่อยๆ แง้มออก เผยให้เห็นช่องทางเดินมืดมิดชายร่างสูงคนหนึ่งยืนเฝ้า เขามีแขนกลสีเงินข้างหนึ่ง และผ้าคาดปิดตาข้างซ้ายดวงตาที่เหลือหรี่มองลีแอนน์ ก่อนเลื่อนมาที่เบน“ลีแอนน์” น้ำเสียงของเขาเข้ม แผ่วต่ำ “นั่นใคร”“ออร์เรน” เธอกลืนน้ำลาย “เขาคือเบน แฮรอน…ลูกชายอีแวน”บรรยากาศรอบตัวเงียบกริบไปทันทีชายที่ชื่อออร์เรนขยับช้าๆ ตามองเลือดสีเข้มที่ซึมจากผ้าพันแผล“…เลือดนั่น” เขา
ในความมืดของอุโมงค์หิน ความตายไล่ตามมาติด ๆ เสียงคำรามโกรธจัดของคาร์เซียดังก้องสะท้อนในโถงใหญ่เหมือนฝันร้ายไม่สิ้นสุด เบนหอบหายใจแรง ความเหนื่อยอ่อนเกาะรัดร่างกายจนขาแทบอ่อน แต่เขายังฝืนก้าวไปข้างหน้า มือของลีแอนน์กำข้อมือเขาไว้แน่น ไฟจากหลอดที่เธอหยิบมันออกจากกระเป๋าคาดเอวส่องแสงสีเหลืองมัว ๆ บนพื้นหินเต็มไปด้วยคราบเลือด อากาศรอบตัวอับชื้น เหม็นกลิ่นสนิม ผสมกลิ่นเน่า จนแสบจมูก เสียงฝีเท้าของแวมไพร์ดังห่างออกไปเล็กน้อย แต่ไม่ได้แปลว่าพวกมันจะยอมแพ้ คาร์เซียต้องตามมาแน่ เธอไม่ยอมให้เลือดของเบนหลุดมือเด็ดขาด “อีกไม่ไกล…ปลายอุโมงค์มีทางขึ้นไปข้างบน” ลีแอนน์หอบเสียงสั่น “จากตรงนั้น เราอาจหาทางออกไปถึงถนนได้” เบนพยักหน้า แม้สติจะพร่าเลือนเพราะเสียเลือดไปมาก เขามองแผลที่แขนซ้าย ตรงที่แทงเข็มเงินไว้ก่อนหน้านี้ เลือดสีเข้มยังไหลซึมออกมา แต่มันมีประกายเหมือนโลหะละลาย เขาจำได้ว่าเคยถามพ่อ…ว่าทำไมเลือดเขาถึงไม่เหมือนคนอื่น พ่อไม่เคยตอบตรง ๆ แค่บอกว่า “ถ้าเมื่อไหร่ที่มันไหลออกมา…จงระวัง ทุกคนจะอยากได้มัน” วันนี้ เขาถึงได้รู้ว่าพ่อพูดเรื่องจริง “นายต้องอุดแผล” ลีแอ
เสียงคำราม ดังไปทั่วห้องโถง คาร์เซีย เบล เดินลงจากแท่นช้า ๆ สายตาจ้องเบนไม่วางตา แวมไพร์หลายตนเริ่มขยับเข้ามาใกล้ บางตนปีนขึ้นไปเกาะเสา บางตนย่องเข้ามาเงียบ ๆ เหมือนเสือกำลังล่าเหยื่อ เบนหายใจแรง มือเขาควานใต้เสื้อคว้าเข็มเงินอีกเล่ม คาร์เซียยกมือขึ้น สั่งเสียงเข้ม “จับมัน! อย่าให้มันรอดออกไปเด็ดขาด!” ทันใดนั้น แวมไพร์หลายตนพุ่งเข้าใส่เบนพร้อมกัน เบนแทงเข็มเงินลงที่แขนตัวเอง เลือดของเขาไหลออกมา มีสีเข้มและเป็นประกาย ทันทีที่แวมไพร์แตะโดนตัวเขา—ผิวของมันไหม้ทันที เสียงกรีดร้องดังลั่น พวกมันถอยหนีด้วยความตกใจ เบนใช้จังหวะนั้นกระชากโซ่เต็มแรง เสียงเหล็กขาดดังขึ้น ก่อนที่เขาจะรีบพุ่งตัวหนีไปอีกทาง เขาวิ่งผ่านทางแคบ ๆ ที่เต็มไปด้วยเงาและควันตะเกียง เสียงฝีเท้าและคำรามของแวมไพร์ตามมาติด ๆ ...แล้วเขาก็สะดุดล้มในซอกมืด “เบา ๆ” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นใกล้หู มือของใครบางคนดึงเขาเข้าไปในมุมมืดด้านหลังเสาหินใหญ่ เธอคือ ลีแอนน์ หญิงสาวในเสื้อหนังสีดำ ผมยาวถักเปีย มองเขาด้วยสายตานิ่งสงบ “ตามฉันมา ถ้าไม่อยากตาย” เธอกระซิบ เบนพยักหน้า เธอพาเขาลัดไปตามทาง
เพดานหยดน้ำลงบนพื้นหินที่เปรอะเปื้อนเลือดกลิ่นสนิมโลหะ คาวเลือด และเนื้อเน่าอบอวลหนาแน่นราวหมอกภายในห้องโถงขนาดใหญ่ร่างของแวมไพร์นับร้อยนอนเรียงรายบนแท่นหินเย็นเฉียบบางตนยังคงหลับ บางตนตัวกระตุกเล็กน้อยเมื่อได้กลิ่นเลือดบางตน…ฟันเขี้ยวเริ่มโผล่ ทั้งที่ยังไม่ได้ลืมตาหญิงในชุดคลุมดำเดินผ่านพวกมันไปอย่างสง่างามคาร์เซีย เบล — ยืนอยู่ตรงแท่นสูงสุด ดวงตาแดงดั่งเปลวไฟสุม“เติมเลือด…พวกเขาต้องตื่นก่อนรุ่งสางคืนพระจันทร์สีเลือด”คำสั่งของเธอเฉียบขาด และดังสะท้อนทั้งห้องราวเสียงปีศาจเหล่าผู้รับใช้ของเธอ — แวมไพร์ชั้นต่ำแต่งชุดหนังดำต่างลากร่างมนุษย์เข้ามาเป็นแถวชายหญิงจากหมู่บ้าน ถูกปิดตา มัดมือ“ได้โปรด...ข้าแค่ชาวบ้าน...อย่าฆ่าเมียข้า...!”เสียงร้องไห้ของชายคนหนึ่งดังลั่นก่อนจะถูกกระชากหัวไปพิงแท่นฟันคมเฉือนผ่านคอ — เลือดไหลทะลักลงสู่รางหินที่เชื่อมต่อกับแท่นแวมไพร์รางเลือด ไหลผ่านร่องหินอย่างแม่นยำหล่อเลี้ยงไปถึงแต่ละร่างของแวมไพร์ที่ยังไม่ฟื้นพวกมันเริ่มขยับ...ฟันสั่นกระทบกันดัง กรอด...กรอด…หญิงสาวอีกคนกรีดร้องเมื่อถูกผลักลงบนแท่นโลหะเข็มขนาดเท่านิ้วมือจิ้มเข้าต้นคอ เลือดไหล