กลางคืน อุโมงค์ระบายน้ำเก่าใต้ซากเมืองร้าง
เสียงน้ำหยดเป็นจังหวะในอุโมงค์แคบ ลีแอนน์ประคองเบนที่ตัวสั่นระริกมาตลอดทาง แผลบนอกยังคงซึมเลือดสีเข้ม เธอชำเลืองมองใบหน้าเขาที่ซีดเผือด ก่อนกระซิบเสียงเข้ม “อีกนิดเดียว…เดินต่อให้ได้” “ที่นี่…ที่ไหน…” เบนถามแผ่วจนแทบไม่ได้ยิน “เขตตะวันตก เมืองร้างของนักล่า” เธอสูดลมหายใจลึก “พวกฉันมีฐานหลบภัยอยู่ใต้โรงเก็บศพเก่า” เบนสะอึก “…ฟัง…ไม่ค่อยน่าอยู่” “อย่าพูดมาก” เธอสวนเสียงแข็ง แต่ในดวงตายังมีแววเป็นห่วงลึกๆ พวกเขาเดินผ่านกำแพงอิฐที่มีร่องรอยเลือดเก่าเป็นคราบ ลีแอนน์หยุดตรงประตูเหล็กสนิมเขรอะ ยกกำปั้นเคาะเป็นจังหวะเฉพาะสามครั้ง เงียบ จากนั้นเสียงล็อกกลไกซับซ้อนก็ดังกึกกัก ก่อนประตูจะค่อยๆ แง้มออก เผยให้เห็นช่องทางเดินมืดมิด ชายร่างสูงคนหนึ่งยืนเฝ้า เขามีแขนกลสีเงินข้างหนึ่ง และผ้าคาดปิดตาข้างซ้าย ดวงตาที่เหลือหรี่มองลีแอนน์ ก่อนเลื่อนมาที่เบน “ลีแอนน์” น้ำเสียงของเขาเข้ม แผ่วต่ำ “นั่นใคร” “ออร์เรน” เธอกลืนน้ำลาย “เขาคือเบน แฮรอน…ลูกชายอีแวน” บรรยากาศรอบตัวเงียบกริบไปทันที ชายที่ชื่อออร์เรนขยับช้าๆ ตามองเลือดสีเข้มที่ซึมจากผ้าพันแผล “…เลือดนั่น” เขาพึมพำเหมือนละเมอ “มัน…จริงหรือ” “คาร์เซียตามล่าเรา” ลีแอนน์พูดเร็วขึ้น “พวกมันรู้แล้วว่าเขายังมีชีวิต” ออร์เรนเงียบไปนาน สายตาฉายแววลังเลชั่วครู่ ก่อนเขาจะถอยข้าง เปิดทาง “เข้ามา” ลีแอนน์ประคองเบนผ่านประตู ประตูเหล็กปิดลงตามหลัง เสียงล็อกกลับเข้าที่ดังแกร๊ก ในโถงแคบ แสงตะเกียงสลัวสะท้อนใบหน้าเคร่งเครียดของนักล่าหลายคนที่ยืนเรียงราย บางคนยกปืนขึ้นเล็งตามสัญชาตญาณ “อย่าทำอะไรเขา!” ลีแอนน์ตวาดเสียงก้อง “เขาบาดเจ็บ” “แล้วทำไมเราต้องเสี่ยง?” หญิงร่างเล็กคนหนึ่งกระชากเสียง “รู้ไหมว่าพวกเราหลบอยู่ที่นี่เพราะอะไร? เพราะเลือดแบบเขามัน” “พอ” ออร์เรนเอ่ยเสียงเย็น ดวงตาคมกริบตวัดไปมองทุกคน “ถ้าคาร์เซียได้ตัวเด็กคนนี้ พวกแกคิดว่าจะมีที่ให้ซ่อนอีกหรือ” ไม่มีใครตอบ เสียงลมหายใจเบนกระทบแก้มลีแอนน์ร้อนจัด เธอก้มลงมองเขาที่แทบจะหมดสติ ออร์เรนเอื้อมมือแตะบ่าลีแอนน์ “ตามมา เราจะหาห้องพักรักษาแผลก่อน” ลีแอนน์พยักหน้าเงียบๆ พวกเขาพาเบนเดินลึกเข้าไปในเขาวงกตอิฐ ระหว่างทาง เสียงคนซุบซิบดังอึมครึม “ถ้าเลือดนั่นเป็นของจริง…” “แวมไพร์ต้องถล่มที่นี่แน่…” “…แล้วถ้าเราเอาเด็กนั่นไปแลก” “อย่าคิดแม้แต่จะพูด” ออร์เรนหันมาพูดเสียงเยือกเย็น จนเสียงซุบซิบขาดสะบั้น พวกเขาหยุดตรงห้องเล็กที่มีเตียงเหล็กผุ กับตู้ยาเก่า ลีแอนน์วางเบนลงช้าๆ “อย่าหลับ” เธอกระซิบ ดวงตาสั่นไหว “ได้ยินฉันไหม เบน…” เขาลืมตาพยายามมองเธอ “…ขอโทษ…ที่ลากเธอมาถึงนี่…” “บ้าเอ๊ย…” เธอกัดริมฝีปาก “…แกไม่ได้ลากฉันมา…ฉันเลือกเอง” ออร์เรนมองภาพตรงหน้า แววตาที่เคยกร้าวแข็ง อ่อนลงวูบหนึ่ง “…เราต้องเตรียมพร้อม” เขาพูดเสียงต่ำกับลีแอนน์ “พวกมันคงบุกมาเร็วๆ นี้” เธอพยักหน้าช้าๆ มือยังจับมือเบนแน่น “ฉันรู้” เขาหายใจแผ่ว สบตาเธอที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างเตียง “ถ้า…ฉันต้องตาย…” เบนพึมพำ “…อย่าให้มันได้เลือดฉัน…” ลีแอนน์ก้มหน้าลง จนผมสีเข้มปรกแก้ม “…แกจะไม่ตาย” เสียงเธอสั่น “…ฉันจะไม่ยอมให้ใครได้เลือดแก…แม้แต่ต้องฆ่าแกเอง” แสงตะเกียงสั่นไหวตามลมที่ลอดซอกอิฐเข้ามา หน้าทางเข้าทางระบายน้ำเก่า กลางคืนมืดสนิท มีแต่เสียงลมหวีดหวิวลอดตามรูอิฐพัง เสียงน้ำซึมแฉะ คล้ายอะไรเน่าอยู่ใต้ดิน พวกมัน—แวมไพร์ชั้นล่างที่สติไม่เต็ม บ้างเรียกพวก “ซากร้าง”ค่อยๆ เดินเพ่นพ่านตรงทางเข้า เหมือนหมาหิวที่ดมกลิ่นหาเศษเนื้อ ตัวหนึ่งสูงเก้งก้าง ผิวมันขาวซีดเหมือนคนตายหลายวัน หนังตามันย้วยลงมาครึ่งหน้า เหลือแต่ตาแดงโร่กลอกไปมา อีกตัวนอนคลานกับพื้น แขนขายาวจนเล็บลากขูดปูนเสียงแก่กๆ หัวมันเบี้ยวเหมือนโดนทุบจนยุบ แต่ปากยังอ้า หยดน้ำลายยืดไหลลงพื้น “กึ…” มันครางเสียงแหบ แค่ได้ยินก็สยอง ตัวที่เดินนำหน้า ผิวเต็มไปด้วยปื้นดำคล้ายรา กลิ่นตัวมันเหม็นเปรี้ยวปนกลิ่นเน่า มันยื่นจมูก ไปดมเศษเลือดเก่าๆ บนเศษอิฐ ลิ้นยาวเป็นฟุตแลบออกมาเลียดื้อๆ เลือดเกรอะฝุ่นยังดีกว่าการไม่ได้กินอะไรเลย อีกตัวตาถลนจนแทบถลนออกจากเบ้า ยืนสั่นหัวไปมา มือเล็กๆ ยกขึ้นลูบคอเหมือนคัน ผิวตรงคอแตกเป็นรอยปากแผล แดงคล้ำ “ฮือ…” มันครางอีกครั้ง น้ำลายย้อยเต็มอก บางตัวไม่เหมือนคนแล้วสักนิด หลังโก่งจนหัวแทบติดพื้น แขนยาวโงนเงนเหมือนแมลงสาบยักษ์ พวกมันค่อยๆ เดินวนอยู่ตรงทางเข้าทางระบายน้ำ แววตาหิวกระหาย เหมือนรู้ว่าข้างในมีของดีรออยู่ เสียงเล็บยาวๆ ขูดพื้นเป็นระยะ บางที มันก็ดมกลิ่นกันเอง บ้าง ก็กัดกันเองเป็นเรื่องปกติ ตัวที่ผมหย็อยเหมือนสาหร่ายเน่ากระชากหัวอีกตัวไปกัดคอ เลือดดำข้นๆ พุ่งเปรอะผนัง มันไม่สนใจเสียงร้องโหยหวน แค่เคี้ยวคอกรอบๆ เหมือนกินกระดูกไก่ กลิ่นคาวกับกลิ่นเน่าหนักขึ้นในอากาศ พวกมันไม่มีใครพูด ไม่มีใครมีความคิดเป็นเรื่องเป็นราว มีแต่สัญชาตญาณหิว กับความอยากกินเลือดที่ทำให้ยังเดินเพ่นพ่านอยู่ได้ แวมไพร์พวกนี้อาจไม่มีสมองจะวางแผน แต่ถ้ากลิ่นเลือดสดโชยมาถึงตรงนี้… มันจะกรูกันเข้ามาเหมือนฝูงหมาบ้า ฐานลับใต้โรงเก็บศพเก่า อากาศอับชื้นอบอวลไปด้วยกลิ่นสนิมและยาฆ่าเชื้อ ลีแอนน์นั่งเฝ้าเบนที่ยังหมดแรงอยู่บนเตียงแคบ มือเธอจับข้อมือเขาแน่น คอยเช็กชีพจร ทุกอย่างเงียบงันอยู่นาน จนกระทั่ง... แกร่ก...แกร่ก... เสียงอะไรบางอย่างลากผ่านพื้นคอนกรีตข้างนอก ดังแผ่วแต่ต่อเนื่อง เหมือนเล็บยาวๆ ครูดผนังอิฐทีละน้อย ลีแอนน์เงยหน้าแทบจะทันที ออร์เรนที่นั่งทำแผลข้างเตาไฟก็ชะงัก เงยตาข้างเดียวขึ้นมองประตู เสียงนั้นไม่ได้มีแค่จุดเดียว อีกมุม...เสียงน้ำลายยืดๆ หยดลงพื้น...เสียงหายใจครืดคราดแห้งๆ เหมือนคอแตก... นักล่าสองคนที่เฝ้าอยู่ใกล้ทางเดินหน้าประตูแลกสายตากัน ก่อนหนึ่งในนั้นกระซิบ “...มันมาแล้ว...” ลีแอนน์กำมือแน่น “พวกซากร้าง” ชายหนุ่มอีกคนพึมพำเสียงแหบ “พระเจ้า...นี่มันพวกแวมไพร์ข้างล่างที่หลุดจากป่าชั้นนอก...” ออร์เรนลุกขึ้น แขนกลส่งเสียงกระตุกเบาๆ เขาเดินไปหยุดตรงประตูเหล็กหนา เอียงหูฟัง เสียงแหลมต่ำ ดังประหลาดเหมือนคนครางผสมเสียงสัตว์ บางช่วงก็เหมือนเสียงหัวเราะสั้นๆ ขาดๆ ที่ฟังแล้วหนาวสันหลัง ลีแอนน์หันไปหาหญิงร่างเล็กที่ชื่ออาลีน “หลอดส่องอยู่ไหน?” มีราพยักหน้า รีบไปเปิดตู้เหล็กเก่าๆ ข้างผนัง เธอล้วงกล่องไม้ใบเล็กออกมา แล้ววางบนโต๊ะ ออร์เรนหยิบขึ้นมา แกะฝา เผยให้เห็น เลนส์กระจกโค้ง กับ ท่อทองเหลืองต่อยาว เขาเอามือปาดฝุ่น “หลอดสอดส่อง...ยังใช้ได้” ลีแอนน์พยักหน้า “เอาไปเสียบรูระบายอากาศ” ชายอีกคนช่วยกันยกเก้าอี้เหล็กมาวาง ออร์เรนขึ้นไปยืนประคองตัว เสียบปลายท่อเข้ารูเล็กๆ ด้านบนประตูที่เจาะไว้ใช้ดูข้างนอก สักพัก เขาก็เอาตาลงแนบเลนส์ ไม่มีใครพูดแม้แต่คำเดียว เงียบ... จนเขาขยับถอยออกมาช้าๆ ดวงตาข้างเดียวของออร์เรนมีแววหม่น “…พวกมันเดินวนอยู่เต็มทางระบายน้ำ…อย่างน้อยเจ็ดแปดตัว” เสียงเขาแหบแผ่วเหมือนคนระอา อาลีนกลืนน้ำลาย “…มันได้กลิ่น…” ลีแอนน์พึมพำ “เลือดของเขา” ออร์เรนเอียงคอ ฟังเสียงฝีเท้าอีกครั้ง “…ถ้ามันหาทางเจาะกำแพงเข้ามาได้…เราไม่มีทางหนีเเน่” เสียงครืดๆ ดังขึ้นอีกครู่ แล้วมีเสียงเล็บยาวๆ แกร่กกกกก... ขีดผ่านประตูเหล็ก เหมือนพวกมันรู้ว่ามีคนอยู่ข้างในกลางคืน อุโมงค์ระบายน้ำเก่าใต้ซากเมืองร้างเสียงน้ำหยดเป็นจังหวะในอุโมงค์แคบ ลีแอนน์ประคองเบนที่ตัวสั่นระริกมาตลอดทาง แผลบนอกยังคงซึมเลือดสีเข้มเธอชำเลืองมองใบหน้าเขาที่ซีดเผือด ก่อนกระซิบเสียงเข้ม“อีกนิดเดียว…เดินต่อให้ได้”“ที่นี่…ที่ไหน…” เบนถามแผ่วจนแทบไม่ได้ยิน“เขตตะวันตก เมืองร้างของนักล่า” เธอสูดลมหายใจลึก “พวกฉันมีฐานหลบภัยอยู่ใต้โรงเก็บศพเก่า”เบนสะอึก “…ฟัง…ไม่ค่อยน่าอยู่”“อย่าพูดมาก” เธอสวนเสียงแข็ง แต่ในดวงตายังมีแววเป็นห่วงลึกๆพวกเขาเดินผ่านกำแพงอิฐที่มีร่องรอยเลือดเก่าเป็นคราบ ลีแอนน์หยุดตรงประตูเหล็กสนิมเขรอะ ยกกำปั้นเคาะเป็นจังหวะเฉพาะสามครั้งเงียบจากนั้นเสียงล็อกกลไกซับซ้อนก็ดังกึกกัก ก่อนประตูจะค่อยๆ แง้มออก เผยให้เห็นช่องทางเดินมืดมิดชายร่างสูงคนหนึ่งยืนเฝ้า เขามีแขนกลสีเงินข้างหนึ่ง และผ้าคาดปิดตาข้างซ้ายดวงตาที่เหลือหรี่มองลีแอนน์ ก่อนเลื่อนมาที่เบน“ลีแอนน์” น้ำเสียงของเขาเข้ม แผ่วต่ำ “นั่นใคร”“ออร์เรน” เธอกลืนน้ำลาย “เขาคือเบน แฮรอน…ลูกชายอีแวน”บรรยากาศรอบตัวเงียบกริบไปทันทีชายที่ชื่อออร์เรนขยับช้าๆ ตามองเลือดสีเข้มที่ซึมจากผ้าพันแผล“…เลือดนั่น” เขา
ในความมืดของอุโมงค์หิน ความตายไล่ตามมาติด ๆ เสียงคำรามโกรธจัดของคาร์เซียดังก้องสะท้อนในโถงใหญ่เหมือนฝันร้ายไม่สิ้นสุด เบนหอบหายใจแรง ความเหนื่อยอ่อนเกาะรัดร่างกายจนขาแทบอ่อน แต่เขายังฝืนก้าวไปข้างหน้า มือของลีแอนน์กำข้อมือเขาไว้แน่น ไฟจากหลอดที่เธอหยิบมันออกจากกระเป๋าคาดเอวส่องแสงสีเหลืองมัว ๆ บนพื้นหินเต็มไปด้วยคราบเลือด อากาศรอบตัวอับชื้น เหม็นกลิ่นสนิม ผสมกลิ่นเน่า จนแสบจมูก เสียงฝีเท้าของแวมไพร์ดังห่างออกไปเล็กน้อย แต่ไม่ได้แปลว่าพวกมันจะยอมแพ้ คาร์เซียต้องตามมาแน่ เธอไม่ยอมให้เลือดของเบนหลุดมือเด็ดขาด “อีกไม่ไกล…ปลายอุโมงค์มีทางขึ้นไปข้างบน” ลีแอนน์หอบเสียงสั่น “จากตรงนั้น เราอาจหาทางออกไปถึงถนนได้” เบนพยักหน้า แม้สติจะพร่าเลือนเพราะเสียเลือดไปมาก เขามองแผลที่แขนซ้าย ตรงที่แทงเข็มเงินไว้ก่อนหน้านี้ เลือดสีเข้มยังไหลซึมออกมา แต่มันมีประกายเหมือนโลหะละลาย เขาจำได้ว่าเคยถามพ่อ…ว่าทำไมเลือดเขาถึงไม่เหมือนคนอื่น พ่อไม่เคยตอบตรง ๆ แค่บอกว่า “ถ้าเมื่อไหร่ที่มันไหลออกมา…จงระวัง ทุกคนจะอยากได้มัน” วันนี้ เขาถึงได้รู้ว่าพ่อพูดเรื่องจริง “นายต้องอุดแผล” ลีแอ
เสียงคำราม ดังไปทั่วห้องโถง คาร์เซีย เบล เดินลงจากแท่นช้า ๆ สายตาจ้องเบนไม่วางตา แวมไพร์หลายตนเริ่มขยับเข้ามาใกล้ บางตนปีนขึ้นไปเกาะเสา บางตนย่องเข้ามาเงียบ ๆ เหมือนเสือกำลังล่าเหยื่อ เบนหายใจแรง มือเขาควานใต้เสื้อคว้าเข็มเงินอีกเล่ม คาร์เซียยกมือขึ้น สั่งเสียงเข้ม “จับมัน! อย่าให้มันรอดออกไปเด็ดขาด!” ทันใดนั้น แวมไพร์หลายตนพุ่งเข้าใส่เบนพร้อมกัน เบนแทงเข็มเงินลงที่แขนตัวเอง เลือดของเขาไหลออกมา มีสีเข้มและเป็นประกาย ทันทีที่แวมไพร์แตะโดนตัวเขา—ผิวของมันไหม้ทันที เสียงกรีดร้องดังลั่น พวกมันถอยหนีด้วยความตกใจ เบนใช้จังหวะนั้นกระชากโซ่เต็มแรง เสียงเหล็กขาดดังขึ้น ก่อนที่เขาจะรีบพุ่งตัวหนีไปอีกทาง เขาวิ่งผ่านทางแคบ ๆ ที่เต็มไปด้วยเงาและควันตะเกียง เสียงฝีเท้าและคำรามของแวมไพร์ตามมาติด ๆ ...แล้วเขาก็สะดุดล้มในซอกมืด “เบา ๆ” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นใกล้หู มือของใครบางคนดึงเขาเข้าไปในมุมมืดด้านหลังเสาหินใหญ่ เธอคือ ลีแอนน์ หญิงสาวในเสื้อหนังสีดำ ผมยาวถักเปีย มองเขาด้วยสายตานิ่งสงบ “ตามฉันมา ถ้าไม่อยากตาย” เธอกระซิบ เบนพยักหน้า เธอพาเขาลัดไปตามทาง
เพดานหยดน้ำลงบนพื้นหินที่เปรอะเปื้อนเลือดกลิ่นสนิมโลหะ คาวเลือด และเนื้อเน่าอบอวลหนาแน่นราวหมอกภายในห้องโถงขนาดใหญ่ร่างของแวมไพร์นับร้อยนอนเรียงรายบนแท่นหินเย็นเฉียบบางตนยังคงหลับ บางตนตัวกระตุกเล็กน้อยเมื่อได้กลิ่นเลือดบางตน…ฟันเขี้ยวเริ่มโผล่ ทั้งที่ยังไม่ได้ลืมตาหญิงในชุดคลุมดำเดินผ่านพวกมันไปอย่างสง่างามคาร์เซีย เบล — ยืนอยู่ตรงแท่นสูงสุด ดวงตาแดงดั่งเปลวไฟสุม“เติมเลือด…พวกเขาต้องตื่นก่อนรุ่งสางคืนพระจันทร์สีเลือด”คำสั่งของเธอเฉียบขาด และดังสะท้อนทั้งห้องราวเสียงปีศาจเหล่าผู้รับใช้ของเธอ — แวมไพร์ชั้นต่ำแต่งชุดหนังดำต่างลากร่างมนุษย์เข้ามาเป็นแถวชายหญิงจากหมู่บ้าน ถูกปิดตา มัดมือ“ได้โปรด...ข้าแค่ชาวบ้าน...อย่าฆ่าเมียข้า...!”เสียงร้องไห้ของชายคนหนึ่งดังลั่นก่อนจะถูกกระชากหัวไปพิงแท่นฟันคมเฉือนผ่านคอ — เลือดไหลทะลักลงสู่รางหินที่เชื่อมต่อกับแท่นแวมไพร์รางเลือด ไหลผ่านร่องหินอย่างแม่นยำหล่อเลี้ยงไปถึงแต่ละร่างของแวมไพร์ที่ยังไม่ฟื้นพวกมันเริ่มขยับ...ฟันสั่นกระทบกันดัง กรอด...กรอด…หญิงสาวอีกคนกรีดร้องเมื่อถูกผลักลงบนแท่นโลหะเข็มขนาดเท่านิ้วมือจิ้มเข้าต้นคอ เลือดไหล
ค่ำคืนถัดมา – ริมเขตแดนหมู่บ้านมนุษย์สายลมอ่อนพัดเอากลิ่นคาวเลือดและกลิ่นเนื้อย่างลอยคลุ้งไปทั่วแสงไฟจากคบเพลิงกระพริบไหวกลางทุ่งหญ้าโล่งหน้าเขตป่าลีแอนน์คลุมผ้าคลุมสีดำ มองจากเงาไม้ไกล ๆ ด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะมือขวากำด้ามมีดเงินแน่น ขณะที่สายตาเฝ้าสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้ากลางลานโล่ง มีแวมไพร์แต่งกายดูดีราวพวกขุนนาง ยืนอยู่ในกลุ่มมนุษย์ราวสิบกว่าคนพวกมนุษย์หัวเราะ พูดคุย ดื่มไวน์…โดยไม่รู้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้น “มัน...กำลังล่า”ลีแอนน์พึมพำเบา ๆ กับตัวเองชายแวมไพร์คนหนึ่งยื่นถ้วยไวน์ให้หญิงสาวชาวบ้านเธอยิ้มรับ ดื่มไปคำใหญ่ ก่อนร่างจะเริ่มโงนเงนแวมไพร์ผู้นั้นโน้มตัวลง กระซิบข้างหูเธอ “เจ้าเหนื่อยไหม ให้ข้าช่วยพักผ่อนตลอดกาลดีไหม?”ทันใดนั้น...ฟันเขี้ยวโผล่พ้นจากริมฝีปากเขาฝังเขี้ยวลงบนคอเธออย่างไม่ลังเลหญิงสาวสะดุ้ง ดิ้นเล็กน้อย…ก่อนเสียงจะเงียบไปเลือดไหลเป็นทางลงสู่พื้นหญ้าแวมไพร์เลียริมฝีปาก ก่อนหันไปพูดกับเพื่อนร่วมเผ่า“เลือดสด ๆ ยังหอมเหมือนเดิม”ลีแอนน์กัดฟันแน่น หัวใจเต้นเร็ว มือสั่นเล็กน้อยแต่เธอยังไม่ขยับออกจากเงามืดอีกด้านของลาน มีเด็กชายคนหนึ่งถู
ค่ำคืนถัดมา – ป่าทางเหนือ ลมเย็นพัดแรง ใบไม้สั่นไหวเป็นจังหวะ กลิ่นดินชื้นและเลือดเก่า ๆ ลอยฟุ้งมาตามสายลม ลีแอนน์ก้มตัวแฝงกายในพุ่มไม้ มือแนบกับด้ามมีดเงิน ข้างเธอคือเดรย์วาน ที่นิ่งราวเงามืด ไม่มีเสียงหายใจแม้แต่น้อย “เงียบแบบนี้นานไป ข้าระแวงนะ” เธอพูดเบา ๆ โดยไม่หันไปมองเขา “ข้าชินกับการเงียบ” เดรย์วานตอบเสียงต่ำ “แต่เจ้าสิ...ทำไมใจสั่น?” ลีแอนน์หันขวับ “ข้าไม่ได้สั่น ข้าแค่...หงุดหงิดที่ต้องฟังเจ้าพูด” เขายิ้มมุมปาก “หงุดหงิดยังดีกว่าตาย” เงาของบางสิ่งเคลื่อนผ่านยอดไม้ด้านบน ลีแอนน์เงียบกริบ เดรย์วานกระซิบ “มีอย่างสองตัว เคลื่อนไหวเร็ว แต่ไม่ใช่พวกนักฆ่า…สายล่อหรือยาม” เธอพยักหน้า “งั้นข้าจะลอบเข้าใกล้ ส่วนเจ้าล่อมันออกไป” เดรย์วานหัวเราะเบา ๆ “ไว้ใจข้าแล้วหรือ?” “ไม่...แต่ถ้ามีใครต้องตายก่อน ข้าก็ไม่อยากให้เป็นข้า” เธอตอบหน้าตาย แล้วพุ่งตัวแทรกเงาไม้หายไปในความมืด เดรย์วานถอนใจสั้น ๆ ทางอีกด้านของป่า “เคลื่อนไหวเร็วเกินมนุษย์…” เสียงหนึ่งกระซิบจากกิ่งไม้สูง สิ่งมีชีวิตร่างสูงเพรียว ผิวซีด มีกรงเล็บโผล่ออกมาจากนิ้วมือ สายตาของ