เสียงคำรามเบา ๆ ดังไปทั่วห้องโถง
คาร์เซีย เบล เดินลงจากแท่นช้า ๆ สายตาจ้องเบนไม่วางตา แวมไพร์หลายตนเริ่มขยับเข้ามาใกล้ บางตนปีนขึ้นไปเกาะเสา บางตนย่องเข้ามาเงียบ ๆ เหมือนเสือกำลังล่าเหยื่อ เบนหายใจแรง มือเขาควานใต้เสื้อคว้าเข็มเงินอีกเล่ม คาร์เซียยกมือขึ้น สั่งเสียงเข้ม “จับมัน! อย่าให้มันรอดออกไปเด็ดขาด!” ทันใดนั้น แวมไพร์หลายตนพุ่งเข้าใส่เบนพร้อมกัน เบนแทงเข็มเงินลงที่แขนตัวเอง เลือดของเขาไหลออกมา มีสีเข้มและเป็นประกาย ทันทีที่แวมไพร์แตะโดนตัวเขา—ผิวของมันไหม้ทันที เสียงกรีดร้องดังลั่น พวกมันถอยหนีด้วยความตกใจ เบนใช้จังหวะนั้นกระชากโซ่เต็มแรง เสียงเหล็กขาดดังขึ้น ก่อนที่เขาจะรีบพุ่งตัวหนีไปอีกทาง เขาวิ่งผ่านทางแคบ ๆ ที่เต็มไปด้วยเงาและควันตะเกียง เสียงฝีเท้าและคำรามของแวมไพร์ตามมาติด ๆ ...แล้วเขาก็สะดุดล้มในซอกมืด “เบา ๆ” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นใกล้หู มือของใครบางคนดึงเขาเข้าไปในมุมมืดด้านหลังเสาหินใหญ่ เธอคือ ลีแอนน์ หญิงสาวในเสื้อหนังสีดำ ผมยาวถักเปีย มองเขาด้วยสายตานิ่งสงบ “ตามฉันมา ถ้าไม่อยากตาย” เธอกระซิบ เบนพยักหน้า เธอพาเขาลัดไปตามทางแคบ ๆ พวกเขาหลบอยู่ในซอกมืดหลังแท่นหิน เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดังใกล้เข้ามา แวมไพร์หลายตนเดินผ่านตรงนั้น บางตนหยุดสูดกลิ่นแรง ๆ เหมือนพยายามหาอะไรบางอย่าง ลีแอนน์ขมวดคิ้ว รีบหยิบขวดเล็ก ๆ จากกระเป๋าคาดเอว เธอเปิดฝาแล้วเทของเหลวลงพื้นหิน กลิ่นฉุนแสบจมูกลอยฟุ้งทันที กลิ่นคล้ายกระเทียมแรงมากจนเบนเกือบไอออกมา แวมไพร์ที่เดินเข้ามาใกล้ ชะงักทันที พวกมันทำเสียงฟ่อ แล้วรีบถอยหนี เหมือนถูกไล่ด้วยของร้อน ลีแอนน์หันไปมองเบน “กลิ่นกระเทียมสูตรพิเศษ แวมไพร์เกลียดมันมาก” เบนพยักหน้า หายใจหอบ “ขอบใจ…ถ้าเธอไม่ช่วย ฉันคงโดนลากไปแล้ว” เธอมองเขาแวบหนึ่ง แล้วถามเสียงเบา “นายชื่ออะไร?” “เบน…เบน แฮรอน” ทันทีที่ได้ยินชื่อนั้น ลีแอนน์ชะงักไปเล็กน้อย แววตาของเธอเปลี่ยนไป…เหมือนกำลังนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ลีแอนน์ชะงัก สายตาจ้องหน้าเขาแน่นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง “…แฮรอน?” เบนขมวดคิ้ว “เธอ…รู้จักนามสกุลนี้?” หญิงสาวสูดลมหายใจลึก “เมื่อยี่สิบปีก่อน…มีคนหนึ่งชื่อ อีแวน แฮรอน” “เขาเคยช่วยชีวิตคนของฉันไว้…” เบนหลุบตาลง สีหน้าแข็งกร้าว “เขาคือพ่อฉัน” ลีแอนน์พึมพำเบา ๆ “งั้นแก…เป็นลูกของเขาจริง ๆ…” เสียงฝีเท้าแวมไพร์ดังใกล้เข้ามาอีกครั้ง เธอรีบจับแขนเบนแน่น “ฟังนะ เราต้องออกไปจากที่นี่ก่อน คาร์เซียต้องการเลือดนาย มันไม่หยุดล่าแน่” เบนเงยหน้าขึ้น สายตานิ่ง “ถ้าออกไปได้…ฉันจะฆ่าพวกมันให้หมด” ลีแอนน์สบนัยน์ตาเขา “นายคิดว่าแค่คนคนเดียวจะล้างรังแวมไพร์ได้?” “ไม่ใช่คนคนเดียว…” เบนกัดฟัน “เลือดฉัน…มันฆ่าพวกมันได้” ลีแอนน์มองเขา เงียบไปครู่ “…งั้นนายต้องรอด เราต้องหาทางออก” เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามามากขึ้น เสียงสูดดมแรง ๆ ลอยตามมา แวมไพร์ตนหนึ่งชะโงกหน้ามองเข้าในซอกหิน ลีแอนน์ขยับตัวเบนไปอีกมุม มืออีกข้างเทขวดน้ำยาสีเข้มลงบนผ้าเช็ดหน้า เธอกระซิบชิดหูเขา “กลั้นหายใจ” เธอเหวี่ยงผ้าออกไปตรงหน้าทางเดิน กลิ่นกระเทียมรุนแรงกระจายฟุ้ง พวกแวมไพร์ร้องลั่น รีบถอยห่างกันไปหมด ลีแอนน์ฉวยโอกาสดึงมือเบน “เร็ว ไปทางนี้!” พวกเขาวิ่งลึกเข้าไปในเงามืด เสียงฝีเท้ารีบตามมาเป็นระยะ ในความมืดสนิท มีเพียงเสียงหัวใจของทั้งคู่เต้นแรง เบนหอบหายใจ “…ทำไมถึงช่วยฉัน?” “เพราะพ่อเเกเคยช่วยฉัน” ลีแอนน์ตอบเสียงสั่นน้อย ๆ “และเพราะถ้าเลือดเเกเป็นจริงอย่างที่พูด…นี่อาจเป็นโอกาสเดียวของพวกเรา” เสียงคำรามโกรธเกรี้ยวดังขึ้นทั่วห้องโถงใหญ่ คาร์เซีย เบล รู้แล้วว่าพวกเขาหายไป เสียงฝีเท้าหนัก ๆ วิ่งตามมาในทางเดินแคบ ๆ แวมไพร์ตัวหนึ่งเร็วกว่าพวกอื่น มันหอบหายใจแรง ตาสีแดงจ้องแผ่นหลังลีแอนน์กับเบน “หยุด…!” มันแผดเสียง “เลือดนั่น…ต้องเป็นของนายหญิง!” ลีแอนน์หยุดกะทันหัน เธอหันขวับกลับไปเผชิญหน้ามัน แวมไพร์ตนนั้นแสยะยิ้มโชว์เขี้ยวยาว ๆ “แค่มนุษย์ผู้หญิงคนเดียว…คิดจะหยุดข้าเรอะ?” ลีแอนน์ก้าวช้า ๆ เธอหยิบมีดเงินปลายโค้งออกมาจากซองข้างเอว เสียงโลหะเสียดกันแหลมสูง เบนจับบ่าเธอ “อย่า—เราต้องรีบหนี…” แต่เธอส่ายหน้า “มันจะตามเราไม่เลิก” แวมไพร์คนนั้นพุ่งเข้ามาเต็มแรง เล็บยาวเหมือนใบมีดกางออกจะตะปบคอเธอ ลีแอนน์ย่อเข่า หลบเฉียดนิดเดียว มีดเงินในมือเธอสวนขึ้น—กรีดลึกเข้าลำคอแวมไพร์ เสียงข่วนเนื้อดัง ฉึก เลือดสีดำทะลักออกมา แวมไพร์ตนนั้นชะงัก ตาเบิกโพลง มันพยายามกรีดร้อง แต่เสียงขาดหาย ลมหายใจกลายเป็นฟองเลือด ลีแอนน์ไม่หยุด เธอหมุนตัวแทงมีดอีกครั้ง—ปักตรงหัวใจ “จบซะ…” เธอพูดเสียงเย็น ร่างแวมไพร์สั่น กระตุกครั้งสุดท้าย แล้วทั้งตัวค่อย ๆ ไหม้เป็นเถ้าดำ เหลือแต่ฝุ่นละเอียดเกาะพื้นทางเดิน เบนมองภาพนั้น อึ้งไปครู่หนึ่ง ลมหายใจเขาเย็นเฉียบ ลีแอนน์ปาดเลือดออกจากปลายมีด เธอหันมาทางเขา ดวงตายังนิ่ง “ไปต่อ ก่อนพวกมันมาเพิ่ม” เบนกลืนน้ำลาย พยักหน้า แล้วทั้งสองก็หันหลัง รีบวิ่งหายเข้าไปในความมืดอีกครั้งเสียงคำรามเบา ๆ ดังไปทั่วห้องโถงคาร์เซีย เบล เดินลงจากแท่นช้า ๆสายตาจ้องเบนไม่วางตา แวมไพร์หลายตนเริ่มขยับเข้ามาใกล้บางตนปีนขึ้นไปเกาะเสา บางตนย่องเข้ามาเงียบ ๆ เหมือนเสือกำลังล่าเหยื่อเบนหายใจแรง มือเขาควานใต้เสื้อคว้าเข็มเงินอีกเล่มคาร์เซียยกมือขึ้น สั่งเสียงเข้ม“จับมัน! อย่าให้มันรอดออกไปเด็ดขาด!”ทันใดนั้น แวมไพร์หลายตนพุ่งเข้าใส่เบนพร้อมกันเบนแทงเข็มเงินลงที่แขนตัวเอง เลือดของเขาไหลออกมา มีสีเข้มและเป็นประกายทันทีที่แวมไพร์แตะโดนตัวเขา—ผิวของมันไหม้ทันทีเสียงกรีดร้องดังลั่น พวกมันถอยหนีด้วยความตกใจเบนใช้จังหวะนั้นกระชากโซ่เต็มแรงเสียงเหล็กขาดดังขึ้น ก่อนที่เขาจะรีบพุ่งตัวหนีไปอีกทางเขาวิ่งผ่านทางแคบ ๆ ที่เต็มไปด้วยเงาและควันตะเกียงเสียงฝีเท้าและคำรามของแวมไพร์ตามมาติด ๆ...แล้วเขาก็สะดุดล้มในซอกมืด“เบา ๆ”เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นใกล้หูมือของใครบางคนดึงเขาเข้าไปในมุมมืดด้านหลังเสาหินใหญ่เธอคือ ลีแอนน์ หญิงสาวในเสื้อหนังสีดำ ผมยาวถักเปีย มองเขาด้วยสายตานิ่งสงบ“ตามฉันมา ถ้าไม่อยากตาย” เธอกระซิบเบนพยักหน้า เธอพาเขาลัดไปตามทางแคบ ๆพวกเขาหลบอยู่ในซอกมืดหลังแท่นหิน
เพดานหยดน้ำลงบนพื้นหินที่เปรอะเปื้อนเลือดกลิ่นสนิมโลหะ คาวเลือด และเนื้อเน่าอบอวลหนาแน่นราวหมอกภายในห้องโถงขนาดใหญ่ร่างของแวมไพร์นับร้อยนอนเรียงรายบนแท่นหินเย็นเฉียบบางตนยังคงหลับ บางตนตัวกระตุกเล็กน้อยเมื่อได้กลิ่นเลือดบางตน…ฟันเขี้ยวเริ่มโผล่ ทั้งที่ยังไม่ได้ลืมตาหญิงในชุดคลุมดำเดินผ่านพวกมันไปอย่างสง่างามคาร์เซีย เบล — ยืนอยู่ตรงแท่นสูงสุด ดวงตาแดงดั่งเปลวไฟสุม“เติมเลือด…พวกเขาต้องตื่นก่อนรุ่งสางคืนพระจันทร์สีเลือด”คำสั่งของเธอเฉียบขาด และดังสะท้อนทั้งห้องราวเสียงปีศาจเหล่าผู้รับใช้ของเธอ — แวมไพร์ชั้นต่ำแต่งชุดหนังดำต่างลากร่างมนุษย์เข้ามาเป็นแถวชายหญิงจากหมู่บ้าน ถูกปิดตา มัดมือ“ได้โปรด...ข้าแค่ชาวบ้าน...อย่าฆ่าเมียข้า...!”เสียงร้องไห้ของชายคนหนึ่งดังลั่นก่อนจะถูกกระชากหัวไปพิงแท่นฟันคมเฉือนผ่านคอ — เลือดไหลทะลักลงสู่รางหินที่เชื่อมต่อกับแท่นแวมไพร์รางเลือด ไหลผ่านร่องหินอย่างแม่นยำหล่อเลี้ยงไปถึงแต่ละร่างของแวมไพร์ที่ยังไม่ฟื้นพวกมันเริ่มขยับ...ฟันสั่นกระทบกันดัง กรอด...กรอด…หญิงสาวอีกคนกรีดร้องเมื่อถูกผลักลงบนแท่นโลหะเข็มขนาดเท่านิ้วมือจิ้มเข้าต้นคอ เลือดไหล
ค่ำคืนถัดมา – ริมเขตแดนหมู่บ้านมนุษย์สายลมอ่อนพัดเอากลิ่นคาวเลือดและกลิ่นเนื้อย่างลอยคลุ้งไปทั่วแสงไฟจากคบเพลิงกระพริบไหวกลางทุ่งหญ้าโล่งหน้าเขตป่าลีแอนน์คลุมผ้าคลุมสีดำ มองจากเงาไม้ไกล ๆ ด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะมือขวากำด้ามมีดเงินแน่น ขณะที่สายตาเฝ้าสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้ากลางลานโล่ง มีแวมไพร์แต่งกายดูดีราวพวกขุนนาง ยืนอยู่ในกลุ่มมนุษย์ราวสิบกว่าคนพวกมนุษย์หัวเราะ พูดคุย ดื่มไวน์…โดยไม่รู้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้น “มัน...กำลังล่า”ลีแอนน์พึมพำเบา ๆ กับตัวเองชายแวมไพร์คนหนึ่งยื่นถ้วยไวน์ให้หญิงสาวชาวบ้านเธอยิ้มรับ ดื่มไปคำใหญ่ ก่อนร่างจะเริ่มโงนเงนแวมไพร์ผู้นั้นโน้มตัวลง กระซิบข้างหูเธอ “เจ้าเหนื่อยไหม ให้ข้าช่วยพักผ่อนตลอดกาลดีไหม?”ทันใดนั้น...ฟันเขี้ยวโผล่พ้นจากริมฝีปากเขาฝังเขี้ยวลงบนคอเธออย่างไม่ลังเลหญิงสาวสะดุ้ง ดิ้นเล็กน้อย…ก่อนเสียงจะเงียบไปเลือดไหลเป็นทางลงสู่พื้นหญ้าแวมไพร์เลียริมฝีปาก ก่อนหันไปพูดกับเพื่อนร่วมเผ่า“เลือดสด ๆ ยังหอมเหมือนเดิม”ลีแอนน์กัดฟันแน่น หัวใจเต้นเร็ว มือสั่นเล็กน้อยแต่เธอยังไม่ขยับออกจากเงามืดอีกด้านของลาน มีเด็กชายคนหนึ่งถู
ค่ำคืนถัดมา – ป่าทางเหนือลมเย็นพัดแรง ใบไม้สั่นไหวเป็นจังหวะกลิ่นดินชื้นและเลือดเก่า ๆ ลอยฟุ้งมาตามสายลมลีแอนน์ก้มตัวแฝงกายในพุ่มไม้ มือแนบกับด้ามมีดเงินข้างเธอคือเดรย์วาน ที่นิ่งราวเงามืด ไม่มีเสียงหายใจแม้แต่น้อย“เงียบแบบนี้นานไป ข้าระแวงนะ”เธอพูดเบา ๆ โดยไม่หันไปมองเขา“ข้าชินกับการเงียบ” เดรย์วานตอบเสียงต่ำ“แต่เจ้าสิ...ทำไมใจสั่น?”ลีแอนน์หันขวับ“ข้าไม่ได้สั่น ข้าแค่...หงุดหงิดที่ต้องฟังเจ้าพูด”เขายิ้มมุมปาก“หงุดหงิดยังดีกว่าตาย”เงาของบางสิ่งเคลื่อนผ่านยอดไม้ด้านบน ลีแอนน์เงียบกริบเดรย์วานกระซิบ“มีอย่างสองตัว เคลื่อนไหวเร็ว แต่ไม่ใช่พวกนักฆ่า…สายล่อหรือยาม”เธอพยักหน้า“งั้นข้าจะลอบเข้าใกล้ ส่วนเจ้าล่อมันออกไป”เดรย์วานหัวเราะเบา ๆ“ไว้ใจข้าแล้วหรือ?”“ไม่...แต่ถ้ามีใครต้องตายก่อน ข้าก็ไม่อยากให้เป็นข้า”เธอตอบหน้าตาย แล้วพุ่งตัวแทรกเงาไม้หายไปในความมืดเดรย์วานถอนใจสั้น ๆ ทางอีกด้านของป่า“เคลื่อนไหวเร็วเกินมนุษย์…”เสียงหนึ่งกระซิบจากกิ่งไม้สูงสิ่งมีชีวิตร่างสูงเพรียว ผิวซีด มีกรงเล็บโผล่ออกมาจากนิ้วมือสายตาของมันจับจ้องการเคลื่อนไหวของเดรย์วานอีกตัวหนึ่ง
เช้าตรู่...ไอเย็นยังจับอยู่บนกระจกหน้าต่าง แสงอาทิตย์แรกของวันลอดผ่านม่านบาง ๆ เข้ามาในบ้านไม้กลิ่นสมุนไพรจาง ๆ ยังลอยอยู่ในอากาศจากการทำแผลเมื่อคืนลีแอนน์ตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างเธอนั่งจิบชาสมุนไพรเงียบ ๆ อยู่ตรงเก้าอี้ไม้ใกล้หน้าต่าง สายตาเหลือบมองเดรย์วานที่ยังนอนนิ่งอยู่บนเบาะรอยแผลที่หัวไหล่พันผ้าไว้อย่างเรียบร้อยเขาหลับสนิท ไม่มีท่าทางเจ็บปวดอีกเสียงนกร้อง...เงียบสงบกว่าที่เธอคาดในเช้าแบบนี้แต่แล้ว“ก็อก ๆ ๆ”เสียงเคาะประตูดังขึ้นสามที หนักแน่นแต่ไม่เร่งรีบลีแอนน์ชะงัก มือที่ถือแก้วชาหยุดกลางอากาศเดรย์วานลืมตาช้า ๆ หันมามองเธอโดยไม่พูด“ข้าไม่ได้รอใคร” เธอพูดเบา ๆเสียงเคาะดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้แทรกเสียงผู้ชาย“ข้าไม่ได้มาตามหาปัญหา ขอคุยแป๊บเดียว ลีแอนน์!”เธอขมวดคิ้วทันที“เสียงนั่น...ซาเวล”เดรย์วานยันตัวลุกขึ้นช้า ๆ“เขาเป็นใคร?”“คนรู้จักเก่า...พ่อค้าเร่ที่ไม่ได้มาแบบธรรมดา เขาเป็นพวกที่ ‘เห็น บางอย่าง”ลีแอนน์ตอบ ขณะเดินไปเปิดประตูทันทีที่บานประตูเปิดออกชายวัยประมาณสามสิบ สวมเสื้อคลุมยาวเก่า ๆ มีขนนกผูกติดไหล่ตาสีน้ำผึ้งของเขากวาดมองเข้ามาในบ้านอย่างไม่ไว้ใ
เสียงลมหายใจยังหนักหน่วงลีแอนน์และเดรย์วานยืนหยัดท่ามกลางซากศพแวมไพร์ที่พวกเขาสังหารแต่ความเงียบหลังการสู้รบกลับเต็มไปด้วยความตึงเครียด“เจ้าคิดว่าข้าควรไว้ใจเจ้าได้หรือ?”ลีแอนน์ถามเสียงแข็ง ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัยเดรย์วานหันมายิ้มบาง ๆ“ข้าเองก็ไม่ไว้ใจเจ้า…แต่นี่ไม่ใช่เวลามาทะเลาะกัน”“ข้าไม่ใช่คนไว้ใจง่าย”เธอก้าวไปเก็บมีดที่ตกลงพื้นอย่างระมัดระวัง“เช่นเดียวกัน ข้าโดนทรยศมาหลายครั้ง”เขาตอบ ก่อนชำเลืองมองไปทางเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดังขึ้นจากซอยข้าง ๆ“เจ้าคิดว่าพวกมันยังไม่หมด?”ลีแอนน์ถามเดรย์วานกดปืนเข้าที่เอว“ใช่…พวกมันไม่ใช่แวมไพร์ธรรมดา พวกมันคือพวกที่มีฝีมือและโหดเหี้ยมกว่าที่ข้าเคยเจอ”“งั้นเราจะสู้กับพวกมัน?”เธอถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“ถ้าอยากมีชีวิตรอดคืนนี้…ข้าคิดว่าเราคงต้องร่วมมือกัน”เดรย์วานตอบ พร้อมชำเลืองมองหน้าเธอความร่วมมือที่ไม่เต็มใจเกิดขึ้นในชั่วพริบตาลีแอนน์รู้ดีว่า ถึงจะไม่ไว้ใจ แต่ก็ต้องพึ่งพาเดรย์วาน“ข้าไม่เคยชอบใครมาคุมข้า”เธอพูด ลีแอนน์ผลักประตูบ้านไม้เก่า เปิดเข้ามาช้า ๆกลิ่นไม้แห้งและสมุนไพรอ่อน ๆ ต้อนรับเธอกลับสู่ความคุ้นเคยที่นี่คือบ้านของเ