เพดานหยดน้ำลงบนพื้นหินที่เปรอะเปื้อนเลือด
กลิ่นสนิมโลหะ คาวเลือด และเนื้อเน่าอบอวลหนาแน่นราวหมอก ภายในห้องโถงขนาดใหญ่ ร่างของแวมไพร์นับร้อยนอนเรียงรายบนแท่นหินเย็นเฉียบ บางตนยังคงหลับ บางตนตัวกระตุกเล็กน้อยเมื่อได้กลิ่นเลือด บางตน…ฟันเขี้ยวเริ่มโผล่ ทั้งที่ยังไม่ได้ลืมตา หญิงในชุดคลุมดำเดินผ่านพวกมันไปอย่างสง่างาม คาร์เซีย เบล — ยืนอยู่ตรงแท่นสูงสุด ดวงตาแดงดั่งเปลวไฟสุม “เติมเลือด…พวกเขาต้องตื่นก่อนรุ่งสางคืนพระจันทร์สีเลือด” คำสั่งของเธอเฉียบขาด และดังสะท้อนทั้งห้องราวเสียงปีศาจ เหล่าผู้รับใช้ของเธอ — แวมไพร์ชั้นต่ำแต่งชุดหนังดำ ต่างลากร่างมนุษย์เข้ามาเป็นแถว ชายหญิงจากหมู่บ้าน ถูกปิดตา มัดมือ “ได้โปรด...ข้าแค่ชาวบ้าน...อย่าฆ่าเมียข้า...!” เสียงร้องไห้ของชายคนหนึ่งดังลั่นก่อนจะถูกกระชากหัวไปพิงแท่น ฟันคมเฉือนผ่านคอ — เลือดไหลทะลักลงสู่รางหินที่เชื่อมต่อกับแท่นแวมไพร์ รางเลือด ไหลผ่านร่องหินอย่างแม่นยำ หล่อเลี้ยงไปถึงแต่ละร่างของแวมไพร์ที่ยังไม่ฟื้น พวกมันเริ่มขยับ...ฟันสั่นกระทบกันดัง กรอด...กรอด… หญิงสาวอีกคนกรีดร้องเมื่อถูกผลักลงบนแท่นโลหะ เข็มขนาดเท่านิ้วมือจิ้มเข้าต้นคอ เลือดไหลเข้าหลอดแก้ว นำไปหยดให้แวมไพร์ชั้นสูงที่ร่างยังเย็นเฉียบ คาร์เซียยืนมองภาพนั้นอย่างไร้ความรู้สึก ดวงตาแดงเงยขึ้นช้า ๆ มองเพดานหินเหนือหัว “เหลืออีกเจ็ดคืน...เจ็ดคืนก่อนทุกชีวิตที่ต่อต้าน จะกลายเป็นเลือดในถ้วยไวน์ของเรา” เสียงครูดโลหะดังขึ้น แวมไพร์ตนหนึ่งที่หลับมาเกือบร้อยปี...ลืมตาขึ้น แสงจากคบเพลิงสะท้อนในตาขาวของมัน มันขยับร่างที่แห้งผากอย่างเชื่องช้า ก่อนเอื้อมคว้าคอมนุษย์ที่ใกล้ที่สุด กร๊อบ… เสียงกระดูกหักดังราวของเล่น คาร์เซียเบนสายตากลับมามองพวกมัน แล้วหันไปพูดกับสาวกข้างตัว “คืนพระจันทร์สีเลือด เราจะบุกไม่ใช่เพื่อล่า — แต่เพื่อยึด” “และเมื่อประตูถูกเปิด...โลกมนุษย์จะกลายเป็นฟาร์มเลือดของเผ่าพันธุ์เรา” มุมมืดสุดของห้องโถง – หลังเสาหินสีเลือด ชายหนุ่มร่างผอมในเสื้อผ้าขาดวิ่น นั่งก้มหน้าอยู่กับพื้น มือสองข้างถูกล่ามด้วยโซ่เงินติดกับผนังหินเย็นจัด บนหลังมีรอยแส้และรอยกัดเก่า ๆ หลายแผล เขาไม่พูด ไม่ร้อง…มีเพียงเสียงหายใจแผ่วเบาในความมืด ชื่อของเขาคือ "เบน" ชายชาวบ้านที่ถูกจับมาตั้งแต่สัปดาห์ก่อน ไม่มีใครรู้ว่าเขายังรอด หรือถูกกินไปแล้ว แต่ความจริงคือ...เขากำลังรอเวลา เบนแอบมองพวกแวมไพร์ที่กำลังกินเลือดอย่างหิวกระหาย สายตาของเขานิ่ง ราวกับกำลังจดจำทุกใบหน้า ทุกพฤติกรรม เขาไม่ได้กลัว...มีเพียงความแค้นที่ฝังลึกอยู่ในดวงตา แล้วเสียงฝีเท้าเบา ๆ ก็ดังใกล้เข้ามา แวมไพร์สาวตนหนึ่งลากร่างหญิงชาวบ้านมาต่อหน้าเขา เธอมองเบนแล้วยิ้มมุมปาก "ดูสิ...เพื่อนเจ้าเป็นคนต่อไปนะ" หญิงชาวบ้านร้องไห้ตัวสั่น เบนเงยหน้าขึ้น ดวงตาเริ่มแดงด้วยความเคียดแค้น "ปล่อยเธอไป" เสียงของเขาแหบ แต่หนักแน่น แวมไพร์หัวเราะ "หือ? เจ้ามีสิทธิ์สั่งอะไรหรือ?" เธายื่นหน้ามาใกล้เขา จนได้กลิ่นลมหายใจ เบนพูดเบา ๆ แต่ชัดทุกคำ "ถ้าเจ้ารู้ว่าเลือดของข้ามีอะไรอยู่...เจ้าจะไม่กล้าแตะข้าด้วยซ้ำ" แวมไพร์ชะงัก แล้วหัวเราะออกมาราวกับได้ยินเรื่องตลก "เจ้าคิดว่าเลือดเจ้าพิเศษงั้นหรือ? ฮ่าๆๆ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร?" "เบน แฮรอน..." เขาพูดชื่อเต็มเสียงแน่น “...ลูกของคนที่เคยหนีรอดจากปราสาทนี้เมื่อยี่สิบปีก่อน คนที่แวมไพร์กลัวจนต้องล่าทั้งตระกูลถึงสามรุ่น" ทันใดนั้น...ตาของเบนเปลี่ยนสี จากน้ำตาลธรรมดา กลายเป็นสีเทาเงินแวววาว เงาอะไรบางอย่างเริ่มไหลเวียนใต้ผิวหนังของเขา — ราวกับเลือดของเขาไม่ธรรมดา แวมไพร์คนนั้นถอยหลังอัตโนมัติ "เจ้า...เจ้าเป็นอะไรกันแน่..." เบนเหยียดยิ้ม "เลือดข้าอาจจะหวาน...แต่มีบางอย่างที่แวมไพร์กลืนลงไปแล้วจะไม่มีวันรอด" "พิษสำหรับพวกเจ้า" ก่อนที่แวมไพร์จะกรีดร้อง เรี่ยวแรงของมันหายวับ ร่างกระตุก มือบีบคอตัวเอง แล้วล้มลงดิ้นข้างเท้าเบน เลือดจากตาเริ่มไหล...สีดำสนิท เบนหอบหายใจ ชายเสื้อตัวเก่าซ่อนเข็มแหลมเงินเล็ก ๆ เขาแทงมันใส่ผิวตัวเองก่อนหน้าไม่กี่วินาที “เลือดผสมเงิน...ของขวัญจากพ่อข้า” เสียงอื้ออึงเริ่มดังขึ้นจากอีกฟากห้อง เหล่าแวมไพร์เริ่มรู้ตัวว่ามีบางอย่างผิดปกติ คาร์เซีย เบล ที่ยังยืนบนแท่น บีบพนักบัลลังก์แน่น ดวงตาแดงฉานหันตรงมาทางเบน "จงจับมันไว้—อย่าให้เลือดนั่นได้หลุดออกจากที่นี่!"เพดานหยดน้ำลงบนพื้นหินที่เปรอะเปื้อนเลือดกลิ่นสนิมโลหะ คาวเลือด และเนื้อเน่าอบอวลหนาแน่นราวหมอกภายในห้องโถงขนาดใหญ่ร่างของแวมไพร์นับร้อยนอนเรียงรายบนแท่นหินเย็นเฉียบบางตนยังคงหลับ บางตนตัวกระตุกเล็กน้อยเมื่อได้กลิ่นเลือดบางตน…ฟันเขี้ยวเริ่มโผล่ ทั้งที่ยังไม่ได้ลืมตาหญิงในชุดคลุมดำเดินผ่านพวกมันไปอย่างสง่างามคาร์เซีย เบล — ยืนอยู่ตรงแท่นสูงสุด ดวงตาแดงดั่งเปลวไฟสุม“เติมเลือด…พวกเขาต้องตื่นก่อนรุ่งสางคืนพระจันทร์สีเลือด”คำสั่งของเธอเฉียบขาด และดังสะท้อนทั้งห้องราวเสียงปีศาจเหล่าผู้รับใช้ของเธอ — แวมไพร์ชั้นต่ำแต่งชุดหนังดำต่างลากร่างมนุษย์เข้ามาเป็นแถวชายหญิงจากหมู่บ้าน ถูกปิดตา มัดมือ“ได้โปรด...ข้าแค่ชาวบ้าน...อย่าฆ่าเมียข้า...!”เสียงร้องไห้ของชายคนหนึ่งดังลั่นก่อนจะถูกกระชากหัวไปพิงแท่นฟันคมเฉือนผ่านคอ — เลือดไหลทะลักลงสู่รางหินที่เชื่อมต่อกับแท่นแวมไพร์รางเลือด ไหลผ่านร่องหินอย่างแม่นยำหล่อเลี้ยงไปถึงแต่ละร่างของแวมไพร์ที่ยังไม่ฟื้นพวกมันเริ่มขยับ...ฟันสั่นกระทบกันดัง กรอด...กรอด…หญิงสาวอีกคนกรีดร้องเมื่อถูกผลักลงบนแท่นโลหะเข็มขนาดเท่านิ้วมือจิ้มเข้าต้นคอ เลือดไหล
ค่ำคืนถัดมา – ริมเขตแดนหมู่บ้านมนุษย์สายลมอ่อนพัดเอากลิ่นคาวเลือดและกลิ่นเนื้อย่างลอยคลุ้งไปทั่วแสงไฟจากคบเพลิงกระพริบไหวกลางทุ่งหญ้าโล่งหน้าเขตป่าลีแอนน์คลุมผ้าคลุมสีดำ มองจากเงาไม้ไกล ๆ ด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะมือขวากำด้ามมีดเงินแน่น ขณะที่สายตาเฝ้าสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้ากลางลานโล่ง มีแวมไพร์แต่งกายดูดีราวพวกขุนนาง ยืนอยู่ในกลุ่มมนุษย์ราวสิบกว่าคนพวกมนุษย์หัวเราะ พูดคุย ดื่มไวน์…โดยไม่รู้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้น “มัน...กำลังล่า”ลีแอนน์พึมพำเบา ๆ กับตัวเองชายแวมไพร์คนหนึ่งยื่นถ้วยไวน์ให้หญิงสาวชาวบ้านเธอยิ้มรับ ดื่มไปคำใหญ่ ก่อนร่างจะเริ่มโงนเงนแวมไพร์ผู้นั้นโน้มตัวลง กระซิบข้างหูเธอ “เจ้าเหนื่อยไหม ให้ข้าช่วยพักผ่อนตลอดกาลดีไหม?”ทันใดนั้น...ฟันเขี้ยวโผล่พ้นจากริมฝีปากเขาฝังเขี้ยวลงบนคอเธออย่างไม่ลังเลหญิงสาวสะดุ้ง ดิ้นเล็กน้อย…ก่อนเสียงจะเงียบไปเลือดไหลเป็นทางลงสู่พื้นหญ้าแวมไพร์เลียริมฝีปาก ก่อนหันไปพูดกับเพื่อนร่วมเผ่า“เลือดสด ๆ ยังหอมเหมือนเดิม”ลีแอนน์กัดฟันแน่น หัวใจเต้นเร็ว มือสั่นเล็กน้อยแต่เธอยังไม่ขยับออกจากเงามืดอีกด้านของลาน มีเด็กชายคนหนึ่งถู
ค่ำคืนถัดมา – ป่าทางเหนือลมเย็นพัดแรง ใบไม้สั่นไหวเป็นจังหวะกลิ่นดินชื้นและเลือดเก่า ๆ ลอยฟุ้งมาตามสายลมลีแอนน์ก้มตัวแฝงกายในพุ่มไม้ มือแนบกับด้ามมีดเงินข้างเธอคือเดรย์วาน ที่นิ่งราวเงามืด ไม่มีเสียงหายใจแม้แต่น้อย“เงียบแบบนี้นานไป ข้าระแวงนะ”เธอพูดเบา ๆ โดยไม่หันไปมองเขา“ข้าชินกับการเงียบ” เดรย์วานตอบเสียงต่ำ“แต่เจ้าสิ...ทำไมใจสั่น?”ลีแอนน์หันขวับ“ข้าไม่ได้สั่น ข้าแค่...หงุดหงิดที่ต้องฟังเจ้าพูด”เขายิ้มมุมปาก“หงุดหงิดยังดีกว่าตาย”เงาของบางสิ่งเคลื่อนผ่านยอดไม้ด้านบน ลีแอนน์เงียบกริบเดรย์วานกระซิบ“มีอย่างสองตัว เคลื่อนไหวเร็ว แต่ไม่ใช่พวกนักฆ่า…สายล่อหรือยาม”เธอพยักหน้า“งั้นข้าจะลอบเข้าใกล้ ส่วนเจ้าล่อมันออกไป”เดรย์วานหัวเราะเบา ๆ“ไว้ใจข้าแล้วหรือ?”“ไม่...แต่ถ้ามีใครต้องตายก่อน ข้าก็ไม่อยากให้เป็นข้า”เธอตอบหน้าตาย แล้วพุ่งตัวแทรกเงาไม้หายไปในความมืดเดรย์วานถอนใจสั้น ๆ ทางอีกด้านของป่า“เคลื่อนไหวเร็วเกินมนุษย์…”เสียงหนึ่งกระซิบจากกิ่งไม้สูงสิ่งมีชีวิตร่างสูงเพรียว ผิวซีด มีกรงเล็บโผล่ออกมาจากนิ้วมือสายตาของมันจับจ้องการเคลื่อนไหวของเดรย์วานอีกตัวหนึ่ง
เช้าตรู่...ไอเย็นยังจับอยู่บนกระจกหน้าต่าง แสงอาทิตย์แรกของวันลอดผ่านม่านบาง ๆ เข้ามาในบ้านไม้กลิ่นสมุนไพรจาง ๆ ยังลอยอยู่ในอากาศจากการทำแผลเมื่อคืนลีแอนน์ตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างเธอนั่งจิบชาสมุนไพรเงียบ ๆ อยู่ตรงเก้าอี้ไม้ใกล้หน้าต่าง สายตาเหลือบมองเดรย์วานที่ยังนอนนิ่งอยู่บนเบาะรอยแผลที่หัวไหล่พันผ้าไว้อย่างเรียบร้อยเขาหลับสนิท ไม่มีท่าทางเจ็บปวดอีกเสียงนกร้อง...เงียบสงบกว่าที่เธอคาดในเช้าแบบนี้แต่แล้ว“ก็อก ๆ ๆ”เสียงเคาะประตูดังขึ้นสามที หนักแน่นแต่ไม่เร่งรีบลีแอนน์ชะงัก มือที่ถือแก้วชาหยุดกลางอากาศเดรย์วานลืมตาช้า ๆ หันมามองเธอโดยไม่พูด“ข้าไม่ได้รอใคร” เธอพูดเบา ๆเสียงเคาะดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้แทรกเสียงผู้ชาย“ข้าไม่ได้มาตามหาปัญหา ขอคุยแป๊บเดียว ลีแอนน์!”เธอขมวดคิ้วทันที“เสียงนั่น...ซาเวล”เดรย์วานยันตัวลุกขึ้นช้า ๆ“เขาเป็นใคร?”“คนรู้จักเก่า...พ่อค้าเร่ที่ไม่ได้มาแบบธรรมดา เขาเป็นพวกที่ ‘เห็น บางอย่าง”ลีแอนน์ตอบ ขณะเดินไปเปิดประตูทันทีที่บานประตูเปิดออกชายวัยประมาณสามสิบ สวมเสื้อคลุมยาวเก่า ๆ มีขนนกผูกติดไหล่ตาสีน้ำผึ้งของเขากวาดมองเข้ามาในบ้านอย่างไม่ไว้ใ
เสียงลมหายใจยังหนักหน่วงลีแอนน์และเดรย์วานยืนหยัดท่ามกลางซากศพแวมไพร์ที่พวกเขาสังหารแต่ความเงียบหลังการสู้รบกลับเต็มไปด้วยความตึงเครียด“เจ้าคิดว่าข้าควรไว้ใจเจ้าได้หรือ?”ลีแอนน์ถามเสียงแข็ง ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัยเดรย์วานหันมายิ้มบาง ๆ“ข้าเองก็ไม่ไว้ใจเจ้า…แต่นี่ไม่ใช่เวลามาทะเลาะกัน”“ข้าไม่ใช่คนไว้ใจง่าย”เธอก้าวไปเก็บมีดที่ตกลงพื้นอย่างระมัดระวัง“เช่นเดียวกัน ข้าโดนทรยศมาหลายครั้ง”เขาตอบ ก่อนชำเลืองมองไปทางเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดังขึ้นจากซอยข้าง ๆ“เจ้าคิดว่าพวกมันยังไม่หมด?”ลีแอนน์ถามเดรย์วานกดปืนเข้าที่เอว“ใช่…พวกมันไม่ใช่แวมไพร์ธรรมดา พวกมันคือพวกที่มีฝีมือและโหดเหี้ยมกว่าที่ข้าเคยเจอ”“งั้นเราจะสู้กับพวกมัน?”เธอถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“ถ้าอยากมีชีวิตรอดคืนนี้…ข้าคิดว่าเราคงต้องร่วมมือกัน”เดรย์วานตอบ พร้อมชำเลืองมองหน้าเธอความร่วมมือที่ไม่เต็มใจเกิดขึ้นในชั่วพริบตาลีแอนน์รู้ดีว่า ถึงจะไม่ไว้ใจ แต่ก็ต้องพึ่งพาเดรย์วาน“ข้าไม่เคยชอบใครมาคุมข้า”เธอพูด ลีแอนน์ผลักประตูบ้านไม้เก่า เปิดเข้ามาช้า ๆกลิ่นไม้แห้งและสมุนไพรอ่อน ๆ ต้อนรับเธอกลับสู่ความคุ้นเคยที่นี่คือบ้านของเ
เสียงฝีเท้าดังสะท้อนในตรอกแคบ พื้นอิฐเปียกชื้นไปด้วยฝนที่เริ่มโปรยกลิ่นคาวเลือดแตะปลายจมูกตั้งแต่เธอก้าวเข้ามาร่างของหญิงสาวสวมเสื้อคลุมสีดำมืดแนบตัว มีดเงินเหน็บอยู่ข้างเอวบาดแผลที่ไหล่ยังสดใหม่ แต่สีหน้าเธอกลับนิ่งสนิทเงาบางอย่างพุ่งลงมาจากหลังคาโดยไม่มีเสียงเตือนกรงเล็บสีดำฉีกอากาศหวิดโดนใบหน้าเธอฉัวะ!คมมีดของเธอสวนขึ้นทันควันเลือดสีดำทะลักออกจากต้นแขนของแวมไพร์มันถอยกรูดไปหนึ่งก้าว ดวงตาแดงฉานจ้องมาอย่างเคียดแค้น“เจ้ากล้าฟันข้า…” มันคำราม เสียงแหบต่ำ“มนุษย์ต่ำชั้นอย่างเจ้า…”หญิงสาวก้าวเข้าหาไม่ลังเล“หากข้าไม่ฟัน เจ้าคงได้กินหัวข้าไปแล้ว” เธอพูดเสียงเย็นมือข้างหนึ่งหมุนมีดเล่นคล้ายรำคาญ“บอกมาสิ เจ้าเป็นพวกของคาร์เซียหรือไม่”“ข้าไม่ฆ่าพวกที่หนีจากฝูง...แต่ข้าก็ไม่ไว้ใจนัก”แวมไพร์หัวเราะในลำคอ เสียงเหมือนของคนกำลังจะขาดใจ“ข้า…ไม่มีฝูงอีกแล้ว เจ้าก็เช่นกันไม่ใช่หรือ ”เธอกระตุกยิ้มแล้วก็ไม่พูดพร่ำ เธอกระโจนเข้าใส่อีกครั้งมีดเงินเฉือนลงที่ลำคอของมัน รวดเดียวจบร่างของแวมไพร์ล้มกระแทกพื้น เสียงเนื้อกระทบหินดังก้องหญิงสาวก้าวเข้าไป ย่อตัวลง ใช้มีดเล่มเดิมควักเขี้ยวออ