เสียงครืดๆ ที่ลากเล็บขูดพื้นเมื่อกี้ ไม่ได้เงียบไปเฉยๆ มันกลับยิ่งดังขึ้นกว่าเดิม เหมือนพวกมันเริ่มเดินเข้ามาใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆ
ลีแอนน์นั่งฟังอยู่ตรงเตียง ใจเต้นโครมๆ จนแทบได้ยินเองในอก เบนที่นอนอยู่ก็สะดุ้งเหมือนละเมอ ใบหน้าซีดเผือดจนมองแทบไม่ออกว่าเป็นคน ออร์เรนยังยืนชิดประตู ตาจ้องรูเล็กๆ ตรงบานเหล็ก เสียงหายใจเขาหนักกว่าเดิม ครืด... ครืด... ครืด... เล็บยาวๆ ของพวกซากร้างครูดผ่านผนังอิฐ คราวนี้ไม่ใช่แค่เสียงเดียว แต่มีหลายเสียง สลับกันไปมาจนคนฟังขนลุก เสียงหายใจข้างนอกก็เริ่มดังขึ้น เหมือนพวกมันยืนกันเต็มปากทางเดิน “มันใกล้เข้ามา…” นักล่าคนหนึ่งเริ่มตะโกนโวยวาย สีหน้าเขาซีด “พวกมัน…ดมกลิ่นได้ใช่ไหม…” หญิงร่างเล็กที่ชื่ออาลีนพูดเสียงสั่น มือเธอกำด้ามปืนเเน่นจนเส้นเลือดนูนขึ้น “ใช่” ออร์เรนตอบเสียงเรียบ แต่ดวงตาข้างเดียวก็มีแววกังวล “กลิ่นเลือดมันแรง พวกมันคงคลุ้มคลั่งกัน” ครืด…ครืด…แกร่ก…กรร เสียงเล็บครูดแรงขึ้น คราวนี้เหมือนมีตัวหนึ่งข่วนประตูเหล็กเป็นแนวยาว จนเสียงโลหะดังเอี๊ยด..ชวนให้เเสบเเก้มหู ลีแอนน์กัดฟันแน่น มองไปทางเบนที่หายใจรวยริน “…เราอยู่กันครบไหม” เธอถามด้วยเสียงหอบเหนื่อย “ครบ…แต่ถ้ามันพังกำแพงเข้ามา…” ชายอีกคนส่ายหัว “กระสุนเราไม่พอหรอก” “หุบปาก” ออร์เรนตวัดเสียง “ถ้ามันจะบุก เราก็ต้องสู้” เสียงครืดๆ ไม่ได้หยุดเลย บางครั้งมีเสียงน้ำลายย้อยเปาะแปะตามพื้น และเสียงเหมือนมันลากเท้าเละๆ ไปมาด้านบน ลีแอนน์หายใจแรง ยกปืนขึ้นมาเตรียมพร้อม “ต้องไม่ให้พวกมันได้ตัวเบนไปเด็ดขาด ” เสียงพวกซากร้างข้างนอกยังดังครืดๆ อยู่ไม่หยุด เบนตัวร้อนจนเตียงแทบอุ่นตาม ลมหายใจเขาเหมือนหอบอยู่ตลอดเวลา ลีแอนน์เอาผ้าเปียกเช็ดหน้าผากให้ แต่แผลตรงอกก็ยังมีเลือดซึมออกมาทีละน้อย สีแดงคล้ำจนเธอต้องขยับผ้าพันแผลแน่นขึ้น “เบน…” เธอก้มลงกระซิบ เบาๆ ข้างหู “ได้ยินฉันไหม…” เขาลืมตาขึ้นนิดเดียว ตาขุ่นมัวเหมือนไม่ได้มองตรงๆ ปากก็ขยับพึมพำ “พ่อ…พ่ออยู่ไหน…” เสียงแหบแห้งเหมือนคนใกล้ขาดใจ “ไม่มีใคร…พ่อ…” “อย่าพูด…” ลีแอนน์ขยับมือนวดแขนเขาเบาๆ น้ำเสียงเธอทั้งอ่อนทั้งสั่น “ฉันอยู่ตรงนี้…” เบนเหมือนจะไม่ฟัง ริมฝีปากซีดขยับอีก “หนาว…แม่…ผมหนาว…” เขาสั่นทั้งตัวจนเตียงขยับ ลีแอนน์รีบคว้าผ้าห่มเก่าๆ คลุมแน่นกว่าเดิม แล้วเอามือจับแก้มเขาไว้ “ฉันจะไม่ไปไหน…” “แม่…บอกให้หนี…ผม…หนีไม่ทัน…” น้ำตาเอ่อขึ้นมาที่หางตาเขา ทั้งที่เมื่อครู่ยังดูเหมือนไม่รู้สึกตัว “…ขอโทษ…ผมขอโทษ…” ลีแอนน์กัดฟันแน่น “…ไม่ต้องพูดขอโทษ…แกยังไม่ตาย…” เธอก้มหน้าลงจนผมปิดตา รู้สึกข้างในใจเจ็บไปหมด เสียงหายใจของเบนยังดังหอบต่อเนื่อง ไอร้อนจากตัวเขาเหมือนเตาไฟ อาลีนที่ยืนดูอยู่ข้างๆ กระซิบสียงเบา “เขาเพ้อแล้ว…พิษมันขึ้น…” “ฉันรู้…” ลีแอนน์หันไปตอบเสียงต่ำ ตาแดงก่ำ “แต่เขาจะไม่ตายตรงนี้…” เสียงครืดๆ ข้างนอกยิ่งดังขึ้น จนบางครั้งเหมือนมันเอาหัวโขกกับกำแพง ลีแอนน์ยังนั่งกุมมือตัวเองแน่น ข่มใจไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน แต่คนอื่นในห้อง เริ่มมีเสียงกระซิบแรงๆ ชายร่างผอมคนหนึ่ง หน้าตาโทรมจัด หันไปมองออร์เรน “เราจะทำอะไรต่อวะ…ปล่อยให้พวกมันล้อมไว้อย่างนี้รึไงวะ?” “รอ” ออร์เรนตอบสั้นๆ น้ำเสียงเย็นเฉียบ “รอ? รอให้มันบุกเข้ามาแล้วกัดหัวพวกเราหรือไง!” เสียงเขาสั่นจนอีกสองคนที่นั่งเฝ้าเตียงหันมามอง “ใจเย็น” อาลีนพยายามเตือน “ถ้าแตกตื่น พวกมันยิ่งไวกว่านี้…” “แตกตื่น?” ชายผมยาวอีกคนสวนเสียงแข็ง “แกไม่เห็นหรือว่าไอ้เด็กนี่มันเป็นตัวล่อ! ถ้ามันไม่ได้อยู่ที่นี่ พวกเราก็ไม่ต้องเสี่ยงกันขนาดนี้!” ลีแอนน์เงยหน้าขึ้นทันที เเววตาเหมือนจะฆ่าคนที่พูดคำนั้นออกมา “พูดอีกทีสิ” “ทำไม ความจริงมันก็แค่นั้น!” ชายผมยาวชี้นิ้วมาทางเตียง “พวกซากร้างมันได้กลิ่นเลือด ถ้าโยนมันออกไปข้างนอก พวกเราจะมีเวลาหนี!” “หุบปาก!” อาลีนตวาดเสียงสูง “เขาเป็นคน ไม่ใช่ซากศพให้แกเอาไปถ่วงเวลา!” “คน? ถ้ามันทำให้พวกเราตายกันหมด ฉันไม่แคร์ว่ามันจะเป็นคนหรือสัตว์!” “แกมันขี้ขลาด” นักล่าอีกคนสบถ ดึงปืนออกมาถือแน่น ออร์เรนก้าวเข้ามาตรงกลาง แขนกลของเขายกขึ้นช้าๆ “ทุกคน…ใจเย็น” เสียงเขาต่ำแต่หนักเเน่น “ถ้าใครคิดจะหักหลังกันตอนนี้…ฉันจะยิงให้หัวแบะก่อน” แต่ชายผมยาวยังไม่ยอม ลดเสียงลงแต่ยังขู่ “ฉันแค่บอก…อย่าหาว่าไม่เตือน…ถ้ามันเข้ามา ฉันจะไม่เอาตัวเองไปตายเพราะเด็กนี่” “งั้นแกก็ก้มหน้าก้มตาตัวเองไป” ลีแอนน์พูดเสียงแข็ง “อย่าแม้แต่จะแตะต้องเขา” ในห้องเงียบกริบ เสียงหอบของเบนกับเสียงเล็บข้างนอก กลายเป็นเสียงเดียวที่ดัง ออร์เรนมองทุกคนทีละคน สายตานิ่ง “ใครไม่อยากสู้…จะหนีก็เชิญ” ไม่มีใครขยับ เขาพยักหน้าช้าๆ “ถ้าไม่หนี…ก็ช่วยกันเงียบปาก แล้วตั้งสติ” ลีแอนน์กลับมานั่งข้างเตียง มือยังจับข้อมือเบนไว้แน่น แกร่ก...โครม... เสียงเหมือนกำแพงอิฐด้านข้างโดนข่วนหรือทุบ อาลีนหันมามองลีแอนน์ สีหน้าไม่ต่างจากคนที่กำลังกลัว ออร์เรนยืนนิ่งอยู่พักหนึ่ง ก่อนถอนหายใจแรงเหมือนยอมรับความจริง “…ฉันจะเตรียมของไว้ เผื่อมันพังเข้ามา” ลีแอนน์หันไปมอง ตาเธอแดงก่ำ แต่ไม่มีคำถามอะไร ออร์เรนเดินไปมุมห้อง ก้มลงเปิดลังไม้เก่าๆ ใกล้เตาไฟ ข้างในมีห่อผ้าเก่าๆ ซุกอยู่เต็มไปหมด เขาล้วงออกมาทีละก้อน วางเรียงบนพื้น “นั่นอะไร…” ชายร่างผอมถามเสียงสั่น “ดินระเบิด” ทุกคนเงียบกริบ ออร์เรนไม่พูดต่อ เขาหยิบเชือกสั้นๆ มัดไว้ที่หัวระเบิดแต่ละก้อน มือข้างที่เป็นแขนกลบีบสายชนวนจนดังกรอบเหมือนเหล็กหัก “ถ้ามันพังเข้ามาจริง…ฉันจะจุด” เสียงเขานิ่งจนน่ากลัว “พวกแกมีเวลาหนีออกทางระบายอากาศหลังห้อง…อย่าเสียเวลาเถียงกัน” “แต่ถ้าระเบิด…พวกเราก็อาจโดนถล่มทั้งอุโมงค์…” อาลีนพูดเสียงสั่น “ฉันรู้” ออร์เรนหันกลับมามองทุกคน ตาข้างเดียวของเขาขุ่นมัวเหมือนคนที่ผ่านสงครามมานาน “แต่ถ้าพวกมันบุกเข้ามา…เราก็ไม่มีทางรอดอยู่ดี” ไม่มีใครเถียงต่อ ลีแอนน์มองดินระเบิดพวกนั้น ใจเธอหนักอึ้งจนพูดไม่ออก “…ขอโทษ…” เบนพึมพำเสียงแผ่วจากเตียง “อย่าเพ้ออีก…” เธอหันไปจับมือเขาแน่นกว่าเดิม “นี่ไม่ใช่ความผิดแก…” ออร์เรนก้มหน้าผูกเชือกชนวนแต่ละก้อนเหมือนคนหมดความหวัง เสียงข้างนอก…ยังดังต่อไป แกร่ก…โครม…ครืด… ไม่มีใครรู้ว่ามันจะพังกำแพงได้เมื่อไหร่ เสียงข้างนอกยังโครมครืดไม่หยุด จนฝุ่นตามร่องอิฐหล่นลงมาทีละหย่อม ลีแอนน์เอามือวางบนอกเบน สังเกตลมหายใจเขาที่ร้อนจี๋เหมือนคนจะไหม้จากข้างใน อยู่ดีๆ ตัวเขาก็เกร็งขึ้นมาแรงจนเตียงเหล็กสั่น “เบน!” ลีแอนน์เรียกเสียงดัง มือเธอจับแขนเขาไว้แน่น แต่ร่างเขายังสั่นสะท้าน น้ำลายสีขาวปริ่มออกมุมปาก “บ้าเอ๊ย…อย่า…” เขาชักจนหัวโยกกับหมอน หน้าเบนซีดปนแดง ตั้วสั่น อาลีนวิ่งเข้ามาช่วยกดอีกข้าง มือเธอสั่นจนแทบจับไม่อยู่ “พิษมันขึ้นหัวแล้ว!” “จับเขาไว้!” เสียงลีแอนน์แตกพร่า เธอเอาผ้าเช็ดมุมปากเบน ลมหายใจเขาสั้นถี่จนเหมือนจะขาดใจ “…แม่…” เบนพึมพำทั้งที่ตัวสั่น “พ่อ…ช่วย…หนี…” “ไม่! แกไม่ต้องหนีไปไหน!” น้ำตาเธอไหลออกมาเองโดยไม่รู้ตัว เบนยังชักแรง ตาทั้งสองข้างลืมโพลงแต่มองไม่เห็นใคร “หนาว…มืด…ผม…กลัว…” เสียงเขาเหมือนเด็กเล็กๆ ลีแอนน์กัดฟันจนเเน่น เธอเอาหน้าผากกดกับมือเขาที่สั่นไม่หยุด “ฉันอยู่นี่…ได้ยินไหม…” “ขอโทษ…ผม…ทำให้ทุกคนตาย…” “ไม่! หยุดพูด…” ร่างเขาเกร็งอีกพักใหญ่จนเธอกลัวหัวใจจะหยุดเต้น แล้วจู่ๆ เขาก็หยุดชัก เหลือแต่เสียงหายใจหอบๆ กับเหงื่อที่ซึมออกมาทั่วตัว ลีแอนน์ยกมือปาดน้ำตา รีบเช็กชีพจรที่ข้อมือ อาลีนเงยหน้าขึ้นมอง ตาเธอแดงก่ำ “เขายังอยู่…” ลีแอนน์พยักหน้าทั้งที่มือยังสั่น เสียงโครมใหญ่ข้างนอกดังขึ้นอีกครั้งเสียงครืดๆ ที่ลากเล็บขูดพื้นเมื่อกี้ ไม่ได้เงียบไปเฉยๆ มันกลับยิ่งดังขึ้นกว่าเดิม เหมือนพวกมันเริ่มเดินเข้ามาใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆลีแอนน์นั่งฟังอยู่ตรงเตียง ใจเต้นโครมๆ จนแทบได้ยินเองในอก เบนที่นอนอยู่ก็สะดุ้งเหมือนละเมอ ใบหน้าซีดเผือดจนมองแทบไม่ออกว่าเป็นคนออร์เรนยังยืนชิดประตู ตาจ้องรูเล็กๆ ตรงบานเหล็ก เสียงหายใจเขาหนักกว่าเดิมครืด... ครืด... ครืด...เล็บยาวๆ ของพวกซากร้างครูดผ่านผนังอิฐ คราวนี้ไม่ใช่แค่เสียงเดียว แต่มีหลายเสียง สลับกันไปมาจนคนฟังขนลุกเสียงหายใจข้างนอกก็เริ่มดังขึ้น เหมือนพวกมันยืนกันเต็มปากทางเดิน“มันใกล้เข้ามา…” นักล่าคนหนึ่งเริ่มตะโกนโวยวาย สีหน้าเขาซีด“พวกมัน…ดมกลิ่นได้ใช่ไหม…” หญิงร่างเล็กที่ชื่ออาลีนพูดเสียงสั่น มือเธอกำด้ามปืนเเน่นจนเส้นเลือดนูนขึ้น“ใช่” ออร์เรนตอบเสียงเรียบ แต่ดวงตาข้างเดียวก็มีแววกังวล “กลิ่นเลือดมันแรง พวกมันคงคลุ้มคลั่งกัน”ครืด…ครืด…แกร่ก…กรร เสียงเล็บครูดแรงขึ้น คราวนี้เหมือนมีตัวหนึ่งข่วนประตูเหล็กเป็นแนวยาว จนเสียงโลหะดังเอี๊ยด..ชวนให้เเสบเเก้มหู ลีแอนน์กัดฟันแน่น มองไปทางเบนที่หายใจรวยริน“…เราอยู่กันครบไหม” เธอถามด้วยเสียงห
กลางคืน อุโมงค์ระบายน้ำเก่าใต้ซากเมืองร้างเสียงน้ำหยดเป็นจังหวะในอุโมงค์แคบ ลีแอนน์ประคองเบนที่ตัวสั่นระริกมาตลอดทาง แผลบนอกยังคงซึมเลือดสีเข้มเธอชำเลืองมองใบหน้าเขาที่ซีดเผือด ก่อนกระซิบเสียงเข้ม“อีกนิดเดียว…เดินต่อให้ได้”“ที่นี่…ที่ไหน…” เบนถามแผ่วจนแทบไม่ได้ยิน“เขตตะวันตก เมืองร้างของนักล่า” เธอสูดลมหายใจลึก “พวกฉันมีฐานหลบภัยอยู่ใต้โรงเก็บศพเก่า”เบนสะอึก “…ฟัง…ไม่ค่อยน่าอยู่”“อย่าพูดมาก” เธอสวนเสียงแข็ง แต่ในดวงตายังมีแววเป็นห่วงลึกๆพวกเขาเดินผ่านกำแพงอิฐที่มีร่องรอยเลือดเก่าเป็นคราบ ลีแอนน์หยุดตรงประตูเหล็กสนิมเขรอะ ยกกำปั้นเคาะเป็นจังหวะเฉพาะสามครั้งเงียบจากนั้นเสียงล็อกกลไกซับซ้อนก็ดังกึกกัก ก่อนประตูจะค่อยๆ แง้มออก เผยให้เห็นช่องทางเดินมืดมิดชายร่างสูงคนหนึ่งยืนเฝ้า เขามีแขนกลสีเงินข้างหนึ่ง และผ้าคาดปิดตาข้างซ้ายดวงตาที่เหลือหรี่มองลีแอนน์ ก่อนเลื่อนมาที่เบน“ลีแอนน์” น้ำเสียงของเขาเข้ม แผ่วต่ำ “นั่นใคร”“ออร์เรน” เธอกลืนน้ำลาย “เขาคือเบน แฮรอน…ลูกชายอีแวน”บรรยากาศรอบตัวเงียบกริบไปทันทีชายที่ชื่อออร์เรนขยับช้าๆ ตามองเลือดสีเข้มที่ซึมจากผ้าพันแผล“…เลือดนั่น” เขา
ในความมืดของอุโมงค์หิน ความตายไล่ตามมาติด ๆ เสียงคำรามโกรธจัดของคาร์เซียดังก้องสะท้อนในโถงใหญ่เหมือนฝันร้ายไม่สิ้นสุด เบนหอบหายใจแรง ความเหนื่อยอ่อนเกาะรัดร่างกายจนขาแทบอ่อน แต่เขายังฝืนก้าวไปข้างหน้า มือของลีแอนน์กำข้อมือเขาไว้แน่น ไฟจากหลอดที่เธอหยิบมันออกจากกระเป๋าคาดเอวส่องแสงสีเหลืองมัว ๆ บนพื้นหินเต็มไปด้วยคราบเลือด อากาศรอบตัวอับชื้น เหม็นกลิ่นสนิม ผสมกลิ่นเน่า จนแสบจมูก เสียงฝีเท้าของแวมไพร์ดังห่างออกไปเล็กน้อย แต่ไม่ได้แปลว่าพวกมันจะยอมแพ้ คาร์เซียต้องตามมาแน่ เธอไม่ยอมให้เลือดของเบนหลุดมือเด็ดขาด “อีกไม่ไกล…ปลายอุโมงค์มีทางขึ้นไปข้างบน” ลีแอนน์หอบเสียงสั่น “จากตรงนั้น เราอาจหาทางออกไปถึงถนนได้” เบนพยักหน้า แม้สติจะพร่าเลือนเพราะเสียเลือดไปมาก เขามองแผลที่แขนซ้าย ตรงที่แทงเข็มเงินไว้ก่อนหน้านี้ เลือดสีเข้มยังไหลซึมออกมา แต่มันมีประกายเหมือนโลหะละลาย เขาจำได้ว่าเคยถามพ่อ…ว่าทำไมเลือดเขาถึงไม่เหมือนคนอื่น พ่อไม่เคยตอบตรง ๆ แค่บอกว่า “ถ้าเมื่อไหร่ที่มันไหลออกมา…จงระวัง ทุกคนจะอยากได้มัน” วันนี้ เขาถึงได้รู้ว่าพ่อพูดเรื่องจริง “นายต้องอุดแผล” ลีแอ
เสียงคำราม ดังไปทั่วห้องโถง คาร์เซีย เบล เดินลงจากแท่นช้า ๆ สายตาจ้องเบนไม่วางตา แวมไพร์หลายตนเริ่มขยับเข้ามาใกล้ บางตนปีนขึ้นไปเกาะเสา บางตนย่องเข้ามาเงียบ ๆ เหมือนเสือกำลังล่าเหยื่อ เบนหายใจแรง มือเขาควานใต้เสื้อคว้าเข็มเงินอีกเล่ม คาร์เซียยกมือขึ้น สั่งเสียงเข้ม “จับมัน! อย่าให้มันรอดออกไปเด็ดขาด!” ทันใดนั้น แวมไพร์หลายตนพุ่งเข้าใส่เบนพร้อมกัน เบนแทงเข็มเงินลงที่แขนตัวเอง เลือดของเขาไหลออกมา มีสีเข้มและเป็นประกาย ทันทีที่แวมไพร์แตะโดนตัวเขา—ผิวของมันไหม้ทันที เสียงกรีดร้องดังลั่น พวกมันถอยหนีด้วยความตกใจ เบนใช้จังหวะนั้นกระชากโซ่เต็มแรง เสียงเหล็กขาดดังขึ้น ก่อนที่เขาจะรีบพุ่งตัวหนีไปอีกทาง เขาวิ่งผ่านทางแคบ ๆ ที่เต็มไปด้วยเงาและควันตะเกียง เสียงฝีเท้าและคำรามของแวมไพร์ตามมาติด ๆ ...แล้วเขาก็สะดุดล้มในซอกมืด “เบา ๆ” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นใกล้หู มือของใครบางคนดึงเขาเข้าไปในมุมมืดด้านหลังเสาหินใหญ่ เธอคือ ลีแอนน์ หญิงสาวในเสื้อหนังสีดำ ผมยาวถักเปีย มองเขาด้วยสายตานิ่งสงบ “ตามฉันมา ถ้าไม่อยากตาย” เธอกระซิบ เบนพยักหน้า เธอพาเขาลัดไปตามทาง
เพดานหยดน้ำลงบนพื้นหินที่เปรอะเปื้อนเลือดกลิ่นสนิมโลหะ คาวเลือด และเนื้อเน่าอบอวลหนาแน่นราวหมอกภายในห้องโถงขนาดใหญ่ร่างของแวมไพร์นับร้อยนอนเรียงรายบนแท่นหินเย็นเฉียบบางตนยังคงหลับ บางตนตัวกระตุกเล็กน้อยเมื่อได้กลิ่นเลือดบางตน…ฟันเขี้ยวเริ่มโผล่ ทั้งที่ยังไม่ได้ลืมตาหญิงในชุดคลุมดำเดินผ่านพวกมันไปอย่างสง่างามคาร์เซีย เบล — ยืนอยู่ตรงแท่นสูงสุด ดวงตาแดงดั่งเปลวไฟสุม“เติมเลือด…พวกเขาต้องตื่นก่อนรุ่งสางคืนพระจันทร์สีเลือด”คำสั่งของเธอเฉียบขาด และดังสะท้อนทั้งห้องราวเสียงปีศาจเหล่าผู้รับใช้ของเธอ — แวมไพร์ชั้นต่ำแต่งชุดหนังดำต่างลากร่างมนุษย์เข้ามาเป็นแถวชายหญิงจากหมู่บ้าน ถูกปิดตา มัดมือ“ได้โปรด...ข้าแค่ชาวบ้าน...อย่าฆ่าเมียข้า...!”เสียงร้องไห้ของชายคนหนึ่งดังลั่นก่อนจะถูกกระชากหัวไปพิงแท่นฟันคมเฉือนผ่านคอ — เลือดไหลทะลักลงสู่รางหินที่เชื่อมต่อกับแท่นแวมไพร์รางเลือด ไหลผ่านร่องหินอย่างแม่นยำหล่อเลี้ยงไปถึงแต่ละร่างของแวมไพร์ที่ยังไม่ฟื้นพวกมันเริ่มขยับ...ฟันสั่นกระทบกันดัง กรอด...กรอด…หญิงสาวอีกคนกรีดร้องเมื่อถูกผลักลงบนแท่นโลหะเข็มขนาดเท่านิ้วมือจิ้มเข้าต้นคอ เลือดไหล
ค่ำคืนถัดมา – ริมเขตแดนหมู่บ้านมนุษย์สายลมอ่อนพัดเอากลิ่นคาวเลือดและกลิ่นเนื้อย่างลอยคลุ้งไปทั่วแสงไฟจากคบเพลิงกระพริบไหวกลางทุ่งหญ้าโล่งหน้าเขตป่าลีแอนน์คลุมผ้าคลุมสีดำ มองจากเงาไม้ไกล ๆ ด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะมือขวากำด้ามมีดเงินแน่น ขณะที่สายตาเฝ้าสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้ากลางลานโล่ง มีแวมไพร์แต่งกายดูดีราวพวกขุนนาง ยืนอยู่ในกลุ่มมนุษย์ราวสิบกว่าคนพวกมนุษย์หัวเราะ พูดคุย ดื่มไวน์…โดยไม่รู้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้น “มัน...กำลังล่า”ลีแอนน์พึมพำเบา ๆ กับตัวเองชายแวมไพร์คนหนึ่งยื่นถ้วยไวน์ให้หญิงสาวชาวบ้านเธอยิ้มรับ ดื่มไปคำใหญ่ ก่อนร่างจะเริ่มโงนเงนแวมไพร์ผู้นั้นโน้มตัวลง กระซิบข้างหูเธอ “เจ้าเหนื่อยไหม ให้ข้าช่วยพักผ่อนตลอดกาลดีไหม?”ทันใดนั้น...ฟันเขี้ยวโผล่พ้นจากริมฝีปากเขาฝังเขี้ยวลงบนคอเธออย่างไม่ลังเลหญิงสาวสะดุ้ง ดิ้นเล็กน้อย…ก่อนเสียงจะเงียบไปเลือดไหลเป็นทางลงสู่พื้นหญ้าแวมไพร์เลียริมฝีปาก ก่อนหันไปพูดกับเพื่อนร่วมเผ่า“เลือดสด ๆ ยังหอมเหมือนเดิม”ลีแอนน์กัดฟันแน่น หัวใจเต้นเร็ว มือสั่นเล็กน้อยแต่เธอยังไม่ขยับออกจากเงามืดอีกด้านของลาน มีเด็กชายคนหนึ่งถู