สุริยาเป็นคนขับรถไปส่งแสงอาทิตย์ที่บ้าน เขาไม่ยอมให้แสงตะวันเป็นคนขับมอเตอร์ไซค์ เพราะเขาเชื่ออย่างที่แสงอาทิตย์บอก เชื่อทุกคำ เพราะนี่มันคือตำหนิของอาชีพของเขา ไม่มีวันลืม สายสืบที่มีฝีมือฉกาจอย่างเขา แม้จะมีผู้บังคับบัญชาที่เหนือกว่าเป็นคนออกคำสั่ง แต่ด้วยความไม่ละเอียดของเขาเอง ผู้ต้องหาฆ่าตัวตาย และหลังจากนั้นความจริงถึงกระจ่าง ว่าเขาบริสุทธิ์ และเป็นเขาเองที่กลับไปสืบ แต่มันสายไปแล้ว มันยุติธรรมกับประสิทธิ์แล้วหรือ เขาโดนสั่งย้ายทันที หลังจากที่เขานำความจริงออกมารายงานเบื้องสูง ผู้บังคับบัญชาสายตรงได้สั่งห้ามเขาแล้ว ปล่อยให้เรื่องเงียบไปเสีย แต่เขาทำไม่ได้
“ยังไม่นอนกันอีกเหรอ” เขากลับเข้าบ้านมาค่อนข้างดึก เพราะเขาจอดรถคิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นอยู่หน้าซอยเข้าบ้าน แสงเดือนและแสงตะวันยังคงนั่งรอเขา สายตาทั้งสองที่มองมา ต้องการฟังจากปากของเขา
“มันเป็นสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจพ่อมาโดยตลอด ที่โดนคำสั่งย้ายมานี่ ก็เพราะเรื่องนี้ล่ะ” เขาถอนหายใจยาว ก่อนจะเล่าออกมา
“คดีมันปิดไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ” แสงเดือนถาม
“ใช่ แต่มันไม่ถูก คนร้ายตัวจริง แม้จะถูกจับแล้ว แต่ผู้ตายไม่น่าเสียชีวิต เพราะเขา บริสุทธิ์” แสงตะวันอ้าปากค้าง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินว่าพ่อของเขาทำงานพลาด เพราะนับตั้งแต่รู้ความ สิ่งที่พ่อของเขาเล่าหลังคดีปิดไปแล้ว ไม่ใช่แบบนี้ ทุกคดีที่เขาเล่า จะเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ เขาจะสอนแสงตะวันเสมอ ว่าให้ทำงานให้เต็มความสามารถ ถ้าหากว่าจะเป็นตำรวจ ก็ต้องรับใช้แผ่นดินให้เต็มที่ ผดุงความยุติธรรมเอาไว้ อย่าใช้ช่องโหว่ของกฎหมายรังแกผู้ที่เขาอ่อนแอกว่า
“ยังไงคะพ่อ” แสงเดือนถามออกมาเสียงเบา เธอเองก็แทบจะไม่เชื่อหู แม้แต่คนที่เขาไว้ใจมากที่สุด เขายังไม่เคยปริปากเล่ามันออกมา แสดงว่าสิ่งนี้ต้องเป็นสิ่งที่สร้างความหนักใจให้เขาเป็นอย่างมาก
“ผมไม่ได้ทำ ผมไม่ผิด” เสียงร้องและดิ้นรนต่อการจับกุมของตำรวจดังลั่น บ้านหลังใหญ่ที่สร้างด้วยไม้สักทองทั้งหลัง มีเจ้าหน้าที่หลายภาคส่วนกำลังทำงาน ประสิทธิ์ พิกุล ถูกจับในที่เกิดเหตุ หลักฐานมัดตัวแน่นหนา
“คุณสามารถติดต่อทนายได้ครับ แต่หลักฐาน มันบ่งชี้ว่าคุณได้ฆาตรกรรมคุณประสงค์” เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ควบคุมตัว บอกอย่างรำคาญ เพราะเขาเอาแต่กรีดร้อง และพยายามขัดขืนการจับกุม
“ทำไมพี่สิทธิ์ทำแบบนี้ ฆ่าพี่สงค์ทำไม” ชายคนหนึ่งร้องไห้คร่ำครวญ มีภรรยาก็แสดงอาการเช่นกัน
“คุณไปทำอะไรที่บ้านของคุณประสงค์ครับ” สุริยากำลังเปิดเทปเพื่อฟังสำนวนสอบสวน เขาจินตนาการไปในห้องสอบสวน ที่มีไฟสีส้มหรี่ให้แสงวอมแวม บรรยากาศในห้องน่าอึดอัด เขาหลับตาลง
“ผมไม่ได้ทำนะคุณตำรวจ ผมไม่ได้ฆ่าพี่สงค์นะ” เขาโวยวายขึ้นอีกครั้ง
“คุณประสิทธิ์ คุณใจเย็นก่อนนะครับ ถ้าคุณไม่ได้ทำ คุณก็ต้องมีข้อพิสูจน์ได้ว่าคุณบริสุทธิ์ ตอนนี้ผมกำลังสอบสวนคุณ ช่วยพูดไปตามความจริงด้วยนะครับ” เจ้าหน้าที่สอบเอ่ยเสียงดุ
“เรานัดกินข้าวกันทุกวันศุกร์ เป็นปกติอยู่แล้ว วันนั้นผมก็ไปตามปกติ”
“แล้วทำไมคุณถึงไปก่อนเวลาครับ ตั้งครึ่งชั่วโมง เวลานัดคือ สองทุ่ม”
“ผมไม่มีอะไรทำ ผมว่าจะชวนพี่สงค์ดื่มกันก่อน” เจ้าหน้าที่ไม่ซักให้เขาเล่าต่อ
“ไม่นานไอ้สรรกับเมียมันก็ตามมา แล้วเราก็กินข้าวกัน ผมเมาหลับไม่รู้เรื่อง พอตื่นขึ้นมา ก็โดนจับแล้ว ผมไม่ได้ทำจริงๆนะ ให้ตายเถอะ ผมจะฆ่าพี่ชายตัวเองได้ยังไง” เขาร้องไห้ออกมาด้วยความอัดอั้น
“เพราะเรื่องที่หรือเปล่าครับ คุณประสรรและภรรยาให้การว่า วันที่ ๒๗ เดือนที่แล้ว คุณประสิทธิ์ได้เข้ามาไถ่ถามผู้ตายเรื่องที่ดิน” สุริยารับรู้ได้ถึงแววตาของเจ้าพนักงานในตอนนี้ ที่มันคงฉายแววเหี้ยมออกมา
“เอ่อ ใช่ไง แต่ผมก็แค่ถามไหม” “คุณก็มีที่เป็นของตัวเอง จากข้อมูล คุณทั้งสามได้รับการแบ่งมรดกตั้งแต่ปี ๕๖ คนละเท่าๆกัน คือ ๕๐ ไร่ เฉพาะที่ ไม่รวมกับสินทรัพย์อื่นๆ แต่ข้อมูลปัจจุบัน ทรัพย์สินของคุณประสิทธิ์เหลือเพียง ๕ ไร่ คุณประสิทธิ์น่าจะยังไม่รู้ ถ้าหากว่าคุณยอมรับสารภาพ โทษจากที่หนักมันจะเบานะครับ” เจ้าหน้าที่น่าจะกำลังอ่านข้อมูลให้เขาฟัง และเขาคงจ้องปฏิกิริยาของชายที่เริ่มสั่นตรงหน้า
“นี่มันเรื่องส่วนตัวของผมนะ” “ใช่ครับ เรื่องส่วนตัวของคุณ แต่เพราะเรื่องส่วนตัวของคุณ มันผิดปกติกว่าพี่น้องอีกสองคน มันจึงน่าจะเป็นมูลเหตุของการวางแผนเพื่อฆาตรกรรมพี่ชายของคุณเอง”
“ไม่จริง ต่อให้ผมติดการพนันยังไง ผมก็ไม่มีทางชั่วช้าพอที่จะฆ่าพี่ชายของตัวเอง ผมโดนใส่ร้าย” เขาแหกปากออกมาเสียงดัง จนสุริยาต้องเอานิ้วขึ้นอุดหู นี่ขนาดฟังเทปยังดังขนาดนี้
“อ้อ คุณติดการพนันนี่เอง แล้วไปขอยืมเงินหรือไม่ก็ขอให้พี่ชายขายที่ดิน เพื่อที่จะเอาเงินมาใช้หนี้พนัน พอเขาไม่ให้ ก็ฆ่าเขา” “ผมฟ้องหมิ่นประมาทคุณได้นะคุณตำรวจ ที่ผมไปถามพี่สงค์วันนั้น ผมไปถามเรื่องที่ส่วนกลาง ที่พ่อกับแม่ยังไม่แบ่งให้ใคร ให้ตายเถอะ ผมติดหนี้เขาแค่สามล้าน คุณคิดว่ามันคุ้มกันเหรอ กับการทำโง่ๆแบบนี้” เขาร้องไห้ออกมาอีกครั้ง เดี๋ยวร้องเดี๋ยวหยุดเพราะเขาเครียดจัด
“แล้วรอยนิ้วมือ ทำไมมีแต่ของคุณกับของผู้ตายล่ะครับ คุณคงเมาแล้วบันดาลโทสะ เพราะมีดที่ใช้ก่อเหตุยังอยู่ในมือของคุณ รอยเลือดทั้งหมดเป็นของผู้ตายและคุณ ไม่มีรอยนิ้วมือของน้องชาย และภรรยาของเขาในที่เกิดเหตุเลย” สุริยาสะดุดใจในตอนท้ายประโยค
“ผมไม่มีทางแทงพี่สงค์แน่นอน พี่สงค์ช่วยเหลือผมมาตลอด เพราะพี่สงค์เขาสงสารผม ที่บอกว่าแบ่งกันคนละ ๕๐ ไร่ ที่จริงผมได้เพียง ๒๐ ไร่แค่นั้นเอง ผมเป็นลูกคนกลาง เรียนไม่จบ ชีวิตคู่ล้มเหลว ทำอะไรก็ล้มไม่เป็นท่า ผมไม่ได้โทษพ่อกับแม่ ที่ตัดสินใจแบ่งแบบนี้ ผมพอใจแล้ว แต่พี่สงค์เขาเห็นใจผม ผมไม่มีทางจะทำร้ายพี่สงค์ พี่ชายที่ดีกับผมมาตั้งแต่ผมเกิดหรอก” เขาร้องไห้ฟูมฟาย เสียงเก้าอี้ถูกเลื่อนออก นั่นแสดงว่าเจ้าพนักงานคงจะไม่สอบต่อแล้ว
“หัวหน้าครับ ผมว่ามันแปลกๆอยู่นะครับ” เขาเข้าไปรายงานในห้องของผู้บังคับบัญชา หลังจากที่ฟังเทปการสอบสวน
“แปลกไงวะ หลักฐานแน่นหนาขนาดนี้ ต่อให้มันติดปีกก็หนีไม่รอดหรอก เอ็งหนักใจอะไรวะ ไอ้ยา” ท่าทางของผู้บังคับบัญชาไม่ได้สนใจ สุริยารู้สึกแปลกในรูปคดี
“หมู่บอย พี่ขอดูสำนวนและหลักฐานทั้งหมดอีกรอบสิ” เขาเดินไปตบบ่าหมู่บอย ตำรวจในทีมรุ่นน้องที่กำลังนั่งสรุปสำนวนอยู่
“อ่ะพี่ คดีนี้ง่ายดี ไม่ต้องยืดเยื้อ แต่ไม่เข้าใจ หลักฐานมัดแน่นหนาขนาดนี้ มันยังให้การปฏิเสธท่าเดียว แล้วทนายก็ไม่มีใครรับด้วยนะพี่” สุริยาได้แต่ฟัง เขาหยิบแฟ้มไปที่โต๊ะแล้วค่อยๆเปิดดู สมองก็คิดภาพตาม
“ประสิทธิ์ผ่านเครื่องจับเท็จ ไม่มีพิรุธอะไรเลย เขาดูเปิดเผย แล้วทำไม” สุริยาขมวดคิ้ว หลักฐานทุกอย่างที่พบในที่เกิดเหตุ มูลเหตุจูงใจในการก่อเหตุ องค์ประกอบทั้งหมดมันชี้มาที่เขาเพียงคนเดียว แล้วเขาสงสัยอะไร สุริยาถามตัวเอง คงเป็นความรู้สึกข้างในที่บอกเขาว่า บางทีอาจจะจับแพะ
“หมู่บอย ออกไปกับพี่หน่อย” ไปไหนพี่ยา ไม่มีคดีแล้วนี่” หมู่บอยเงยหน้าจากเอกสารมาถาม
“พี่คาใจว่ะ คดีนี้ล่ะ ไปที่เกิดเหตุกับพี่อีกรอบ พี่อยากจะดูบางอย่าง ให้แน่ใจ” หมู่บอยขมวดคิ้ว แต่ไม่ถามอะไรมาก เขาดีใจที่ได้มาอยู่ร่วมทีมกับพี่จ่าสุริยา สายสืบที่มีฝีมือฉกาจที่สุดในสถานีก็ว่าได้ เขาลุกขึ้นแล้วรีบตามออกไปทันที
บ้านไม้สักถูกกั้นไว้ จนกว่าคดีจะคลี่คลาย แม้ว่าจะค่อนข้างมั่นใจว่าประสิทธิ์คือคนร้าย แต่ในเมื่อศาลยังไม่ตัดสิน พื้นที่ก็ยังคงถูกกั้นเอาไว้ ประสงค์ผู้ตายอาศัยอยู่กับภรรยาและลูก แต่ตอนเกิดเหตุภรรยาได้พาลูก ไปเยี่ยมยายที่ต่างจังหวัด ประสิทธิ์จะตามไปในวันรุ่งขึ้น บ้านสองชั้นที่ใหญ่โต ไม้สักทองที่ขัดจนเป็นเงาปลาบมองเห็นเด่นแต่ไกล เขาทำสวนส้มเต็มพื้นที่ ๕๐ ไร่ บรรยากาศตอนนี้เงียบสงัด สุริยาก้าวลงจากรถแล้วตรงดิ่งไปยังประตูหน้า หมู่บอยรู้สึกหวาดๆจึงรีบก้าวตามลงไป
“ศพออกจากนิติเวชแล้วเหรอวะ” สุริยาเอ่ยถามโดยที่ไม่ได้หันมามอง
“ครับ น่าจะเผาแล้วด้วยครับ” “ห๊ะ อะไรกัน นี่เพิ่งตายได้ไม่ถึงอาทิตย์ คนมีฐานะ เขารีบเผากันขนาดนี้เลยเหรอวะ” สุริยายิ่งเพิ่มความสงสัย
“รู้สึกว่าน้องชาย กับภรรยาของผู้ตายเป็นผู้จัดการ แต่ผลชันสูตรก็ออกมาแล้วนะครับพี่ยา” เขาได้แต่พยักหน้าช้าๆ แล้วก้าวเข้าไปในบริเวณบ้าน พื้นที่เกิดเหตุยังไม่ได้ทำความสะอาด โต๊ะตัวใหญ่ทำด้วยไม้สักยังเปื้อนคราบเลือดกรังอยู่ ทุกอย่างยังคงสภาพเดิม ภรรยาของผู้ตายไม่ได้กลับมาที่บ้านหลังนี้นับจากเกิดเรื่อง แปลก สุริยาขมวดคิ้วจนเป็นปม
“บ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ ไม่ติดกล้องวงจรปิดเหรอวะ” เขาพึมพำออกมา มองไปรอบๆ
“นั่นสิพี่ แต่เหมือนมีร่องรอยของการติดตั้ง กล้องวงจรปิดอยู่นะ” หมู่บอยชี้ไปยังเพดานตรงมุมห้อง สุริยาเงยหน้าขึ้นมองแล้วขมวดคิ้ว
“ตกลงภรรยาของผู้ตาย ยอมให้ปากคำหรือยัง” “ยังเลยพี่ เธอบอกรับไม่ได้ที่สามีมาตายแบบนี้”
“แต่เผาแล้วนี่นะ น่าจะโอเคแล้วล่ะ เราไปบ้านเธอกัน” สุริยาเดินดูรอบที่เกิดเหตุอีกครั้ง เขาพิจารณาทุกสิ่งที่ผ่านสายตา ร่องรอยของคดียังอยู่ แต่หลักฐานถูกเก็บไปหมดแล้ว ทั้งสองออกจากบ้านหลังใหญ่ แล้วตรงไปยังจังหวัดที่ภรรยาของผู้ตายไปพักอาศัย ขับรถประมาณสามชั่วโมงก็มาถึง บ้านของแม่ยายผู้ตาย อยู่ในตำบลที่เจริญพอสมควร เสียงรถของสุริยาที่ไปจอดหน้าบ้าน ทำให้ผู้ที่อยู่ในตัวบ้านหันออกมามอง
“คุณปานระวี ผม จ.ส.อ.สุริยา มาจากสภ. จะขอรบกวนสอบถาม” สุริยาแนะนำตัว เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นตัวจริงของภรรยาของผู้ตาย เธอมีสีหน้าที่หมองเศร้า แววตานั้นดูหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา
“ฉันไม่สะดวกคุยค่ะ” “ผมไม่ได้ถามอะไรมากหรอกครับ แค่มีบางจุดที่ยังไม่ชัดเจน ผมจึงอยากจะสอบถาม”
“ฉันบอกแล้วไงคะ ว่าฉันไม่สะดวก กลับไปเถอะค่ะ” ท่าทางที่เกรี้ยวกราดของเธอ ทำให้สุริยาประหลาดใจ เกิดอะไรขึ้นกันแน่
“ยิ่งนาน คดียิ่งปิดไม่ได้นะครับ” สุริยาเอ่ยเสียงเข้ม
“ก็จับตัวผู้ร้ายได้แล้วไม่ใช่เหรอคะ พวกคุณก็ทำตามหน้าที่ไปสิ จะมาถามอะไรฉันอีก” เธอยังคงแหวเสียงขึ้นดัง และทำท่าไล่ทั้งสองออกจากบริเวณบ้าน แม่ของเธอเดินออกมาและทำท่าไม่ต่างกัน
“อย่ามายุ่งกับพวกเราเลยค่ะ คุณตำรวจ ปานมันไม่รู้เรื่องอะไรด้วยหรอก มันมาที่นี่ก่อนคืนเกิดเหตุอีกนะ”
“ผมทราบครับ แต่คุณปานระวีมั่นใจใช่ไหมครับ ว่าคุณประสิทธิ์เป็นคนลงมือจริงๆ” สุริยายิงคำถามตรง เพราะมัวแต่อ้อมค้อม สองแม่ลูกก็คงตะเพิดไล่เขากับหมู่บอยออกมาพอดี ได้ผล เพราะท่าทางของเธอดูนิ่งลง ความเครียดและความหวาดกลัวฉายขึ้นทั่วหน้า
“ผมว่าคุณต้องคุยกับผมแล้วล่ะ” สุริยาพูดแล้วเดินเข้าไปนั่งที่ม้าหินอ่อนหน้าบ้านทันที สองแม่ลูกหันมองหน้ากัน เหมือนผู้เป็นแม่ชั่งใจอยู่นานจึงค่อยๆพยักหน้า
“ฉันไม่มีอะไรจะบอกเพิ่มเติมหรอกนะคะ ทุกอย่างบอกไปหมดแล้ว” เธอยังคงแสดงท่าทีไม่พอใจอยู่
“ครับ ตอบเท่าที่คุณปานระวีจะตอบได้ครับ ผมจะไม่ถามอะไรมากหรอก” สุริยาหันไปหาหมู่บอยเพื่อเอาเอกสารที่ถือมาด้วยออกมากาง
“ช่วยเล่าเหตุการณ์ วันที่คุณพาลูกมาที่บ้านหลังนี้หน่อยได้ไหมครับ” เขาถาม สายตาจ้องอยู่ที่อาการของเธอ ปานระวีเม้มปากแน่น กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
“ฉันกับพี่สงค์ คุยกันว่าเราจะมาเยี่ยมแม่ เพราะอยากมาทำบุญให้พ่อที่เสียไปแล้ว แต่วันนั้นพี่สงค์ติดลูกค้าที่มารับส้ม ฉันกับลูกจึงออกมาก่อน” “คุณปานระวีพอจะจำได้ไหมครับ ว่าออกมากันกี่โมง” “น่าจะบ่ายสามโมงครึ่งค่ะ” เธอตอบทันที แต่ยังคงหลบสายตาของสุริยาอยู่
“แล้ววันนั้นคุณประสงค์ ได้พูดเรื่องจะกินข้าวเย็น กับน้องๆของเขาไหมครับ” “ไม่ได้พูดค่ะ แต่ปกติ น้องๆจะมากินข้าวที่บ้านทุกวันศุกร์ เป็นประจำค่ะ” สุริยาไม่เห็นความผิดปกติหรือข้อสงสัยในการให้ปากคำของเธอ
“คุณปานระวีทราบข่าว ตอนไหนครับ” “ตอนเช้าของวันรุ่งขึ้นค่ะ” เสียงของเธอสลดลง ปากเม้มแน่น
“คุณสงสัย หรือติดใจอะไรไหมครับ” สุริยาจับจ้องทุกกิริยาอาการ เธอเหมือนกำลังกลั้นสะอื้น
“มะ ไม่ค่ะ แต่ไม่คิดเลยว่า สิทธิ์จะเป็นคนทำ” “ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะครับ” สุริยาถามด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น
“เพราะสิทธิ์กับพี่สงค์สนิทกันมาก สิทธิ์รักพี่สงค์ แม้จะ เอ่อ” เธอเหมือนคิดขึ้นมาได้ว่าไม่ควรพูด
“เรื่องที่เขาติดพนันน่ะเหรอครับ” เธอเงยหน้าขึ้น ตาเบิกกว้าง
“เขาบอกหมดแล้วครับ แต่คุณประสงค์ ก็ยังเต็มใจช่วยเหลือเขาทุกครั้ง แล้วตอนที่คุณประสงค์ ยื่นมือให้การช่วยเหลือคุณประสิทธิ์ คุณปานระวีเห็นด้วยใช่ไหมครับ” “ฉันไม่ได้ขัดหรอกค่ะ เพราะทรัพย์สินทั้งหมดเป็นของพี่สงค์ อีกอย่าง สิทธิ์เองเหมือนได้รับมรดกไม่เท่าคนอื่น” เธอเอ่ยออกมาเสียงเบาท้ายประโยคแล้วหลุบสายตาลงอีกครั้ง
“ทรัพย์สินส่วนมาก เป็นชื่อของคุณประสงค์ใช่ไหมครับ” “ใช่ค่ะ” “ถ้าหากว่าเขาเสียชีวิต ก็คงตกเป็นของคุณปานระวีกับลูก” สุริยาเอ่ยน้ำเสียงเหมือนเย้ยหน่อยๆ
“คุณสงสัยฉันเหรอคะ” เธอเงยหน้าขึ้น แล้วจ้องมองด้วยสายตาที่คมกล้า
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ ตอนนี้คดียังไม่ปิด ทุกคนมีสิทธิ์เป็นผู้ต้องหาทั้งหมด ผมต้องขออภัยด้วย ถ้าหากผมจะบอกไปตามความจริง” สุริยาเองไม่ยี่หระกับสายตานั้น เขายักไหล่น้อยๆ เชิงท้าทาย
“มันคงเป็นฉันไปไม่ได้หรอกค่ะ เพราะพี่สิทธิ์โอนกรรมสิทธิ์ในมรดกเป็นชื่อฉันและลูก เมื่อสองอาทิตย์ก่อน” สุริยาขมวดคิ้วทันที เขาไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน ข้อมูลที่ได้มาจากประสรรน้องชายของคุณประสงค์ เป็นข้อมูลที่ไม่อัพเดทหรอกเหรอ แววตาของเขานิ่งดำดิ่งทันที
“น่าสนใจมากครับ แล้วมีใครรู้เรื่องนี้บ้างครับ” ในหัวของเขามีคำถามและข้อสงสัยผุดขึ้นเป็นพะเนิน
“ฉันแล้วก็น้องสิทธิ์ค่ะ” “แล้วคุณประสรร?” เขาเริ่มมึน
“ยังไม่รู้ค่ะ” สุริยาสอบเธออีกสักพักก็ขอตัว
“มันดูตีกันไปหมดแล้วนะพี่ จริงอย่างที่พี่ว่า มันแปลก” หมู่บอยเอ่ยขึ้นตอนที่ขับรถออกมาจากบ้านของแม่ปานระวี เขาที่นั่งฟังและคอยจดบันทึกอยู่รู้สึกสงสัยเช่นกัน
“นั่นสิ ในเมื่อคุณสิทธิ์รู้ว่าพี่ชายยกมรดกทุกอย่างให้เมียและลูก เขาจะลงมือทำไม” สุริยาขมวดคิ้วจนแก้ปมไม่ออก ในหัวเขาคิดไปหลายตลบในความน่าจะเป็น
“นั่นสิพี่ ผมว่ามันแปลก เขาลงมือไปก็ไม่ได้อะไรกลับมาอยู่ดี หรือว่าเขาเข้าไปขอยืมเงิน พอพี่ชายไม่ให้ เลยบันดาลโทสะ พลั้งมือไป” “เป็นไปได้ เพราะพวกเขากินเหล้ากัน อาจจะเมาแล้วทะเลาะกัน แต่คนที่น่าสงสัยที่สุด น่าจะเป็นคุณปานระวี เพราะได้มรดกมาในชื่อตัวเองหมดแล้วนี่ ไม่แน่” หมู่บอยพยักหน้าแล้วคิดตาม
“แต่ตามหลักฐาน ทำไมพบลายนิ้วมือแค่ของผู้ตาย กับคุณประสิทธิ์แค่สองคน อีกสองคนไปไหน” สุริยาเอ่ยขึ้นในสิ่งที่เขาสงสัย หมู่บอยหันขวับทันที
“เออ นั่นสิพี่ ผมลืมคิดเรื่องนี้ไปเลย ทั้งสองคนนั่นก็ไปกินข้าวที่บ้านของผู้ตายเหมือนกันนี่ หรือว่าถ้วยชามที่พวกเขากิน เก็บเอาไปล้างเหรอ” สุริยาส่ายหน้า เป็นไปไม่ได้
“หรือว่า” เขารำพึงออกมา พอดีกับมีสายเข้า
“ครับ จ.ส.อ. สุริยาพูดสายครับ” เขายกมือถือขึ้นมาดูหน้าจอ เป็นเบอร์ของสถานี
“พี่จ่า รีบกลับมาที่สถานีตอนนี้เลย ผู้ต้องหาฆ่าตัวตายในห้องขัง” สุริยาหูผึ่ง จากที่เครียดๆอยู่เมื่อครู่ มันเหมือนขาดผึงออก เขาตั้งตัวตรงจากที่นั่งแทบเหมือนจะนอนมาบนเบาะข้างคนขับ
“ใคร” “นายประสิทธิ์” สุริยาอ้าปากค้าง มือถือค่อยๆร่วงลงจากหู
“พี่ยา เกิดอะไรขึ้น” พอสุริยาบอกออกไป หมู่บอยก็บึ่งรถกลับทันที
ใช้เวลาเกือบสามชั่วโมง ในการกลับมาถึงสภ. สุริยากระโจนลงจากรถทันทีเมื่อรถชะลอตัว แต่ยังไม่ทันได้จอดสนิท เขาวิ่งขึ้นไปบนสภ.ด้วยความร้อนใจ
“ทันไหม” เขาตะโกนออกไป
“สารวัตรเรียกตัว พี่ยา” ร้อยเวรรีบมาดักหน้าไว้ สุริยามองข้ามหัวของร้อยเวรเข้าไปยังห้องขัง มีมูลนิธิเข้ามากำลังเก็บศพ เขาทำเสียงไม่พอใจในลำคอ แต่เขาก็ต้องเปลี่ยนเส้นทาง เข้าไปยังห้องสารวัตรผู้บังคับบัญชา ในห้องนั้นมีพนักงานสอบสวนนั่งอยู่ก่อนแล้ว
“จ่าคุยอะไรกับผู้ต้องหา ทำไมเขาถึงคิดสั้น” คำถามที่ตะคอกใส่หน้าเจ้าพนกังานสอบสวนทันที ที่เขาก้าวเข้าไปในห้อง
“ตามบันทึกการสอบสวนเลยครับ” “ไม่จริง จ่าต้องเขียนรายงานมา คนร้ายให้การปฏิเสธมาโดยตลอด พอจ่าเข้าไป เขาก็ฆ่าตัวตายเลย” เสียงของสารวัตรดังเพราะตะคอกทุกคำ สุริยานิ่งฟังอยู่ แต่ทุกคำพูดของการสอบก็อยู่ในเทป มันไม่มีอะไรไปมากกว่านั้น อีกอย่างใช่ว่าอยากจะสอบก็สอบเพียงลำพัง เพราะด้านนอกห้องยังมีตำรวจ คอยสังเกตการณ์อยู่สองสามนาย เขาไม่ได้ให้ความสนใจในเรื่องนี้เท่ากับคนที่ตาย พอออกมาจากห้องของสารวัตร สุริยาก็ตบบ่าของจ่าที่สอบสวนเบาๆให้กำลังใจ ถ้าหากว่าผิดพลาด ทีมของเขาเองก็ไม่น่าจะรอด เพราะสืบสวนมาผิด ทำให้พนักงานสอบสวนที่สอบอ้างตามหลักฐานที่ทีมของเขาหามาได้ มันโยงใยกัน เขาเองก็อย่าคิดว่าจะรอด สุริยาตรงเข้าไปยังห้องขังที่กั้นเอาไว้
“นี่อะไร” เขาสะดุ้ง เพราะที่ผนังมันคือตัวหนังสือที่เขียนขึ้นด้วยเลือด
“ใครที่กล่าวหากู ขอให้พวกมันย่อยยับ กูจะตามไปเอาคืนพวกมันทุกคน” สุริยายืนตะลึงอยู่ เชือกที่ผูกคอคือเสื้อของผู้ตาย ที่ฉีกเอามาทำเป็นเชือก เพราะทางเจ้าหน้าที่ได้ยึดเข็มขัดเขาเอาไว้แล้ว เพื่อป้องกัน ไม่คิดเลย สุริยาเครียดจัดกว่าเดิม เสียงดังโล้งเล้งอยู่หน้าสภ. ก่อนที่เสียงนั้นจะขึ้นมาชั้นบน
“ทำไม เกิดอะไรขึ้น ทำไมพี่ชายผมถึงคิดสั้นแบบนั้น โธ่พี่สิทธิ์ ทำไมพี่ไม่ยอมรับผิด ติดคุกไม่กี่ปีก็ได้ออกมาแล้ว พี่คิดสั้นทำไม” เสียงของประสรรคร่ำครวญ สุริยาลุกขึ้นจากโต๊ะที่เขากำลังจะเขียนรายงาน
“ผมไม่เหลือพี่น้องคนไหนแล้ว พี่ทั้งสองคน ทำไมมาด่วนตัดช่องน้อยแต่พอดี หนีผมไปแบบนี้” ภรรยาของเขาเองก็คร่ำครวญอยู่
“คุณครับ ที่นี่สภ.นะครับ อย่ามาเอะอะ เกรงใจคนอื่นเขาบ้าง สงบสติอารมณ์หน่อยเถอะครับ” ร้อยเวรเข้าไปเตือน ทั้งสองจึงเงียบเสียงลง หน้าตาดูเหมือนไม่ได้ผ่านการร้องไห้
“คุณจะส่งศพเพื่อชันสูตรไหม” เจ้าพนักงานถาม
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมไม่ติดใจอะไร พี่สิทธิ์คงจะสำนึกผิด ถึงได้ทำแบบนั้นลงไป ให้เรื่องมันจบแค่นี้เถอะครับ ผมจะรับศพไปทำพิธี” สุริยาที่ยืนฟังอยู่ขมวดคิ้วแน่น
“บอย” “เห็นเหมือนกันครับพี่” หมู่บอยรีบตอบ เขาจึงพยักหน้า
“พี่ขอดูสำนวน การให้ปากคำของสองคนนี้หน่อยสิ” สุริยาเอ่ย หมู่บอยก็เดินไปค้นแฟ้มแล้วนำมายื่นให้ ระหว่างที่ทั้งสองกำลังง่วนอยู่กับสำนวนนั้น สารวัตรก็ส่งสำนวนไปยังศาลเรียบร้อยเพื่อปิดคดี สุริยาหัวเสียมากแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะพยานหลักฐาน มัดตัวของประสิทธิ์ผู้ที่เพิ่งจะวายชนม์แน่นหนา อีกทั้งญาติที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวก็ไม่ติดใจเอาความหรือให้สืบค้นอะไรเพิ่มเติม แต่สุริยายังคงแคลงใจอยู่ มันไม่ใช่แบบนี้ เขาคิด
“มีอะไรให้ต้องคุยอีก คดีปิดไปแล้วไม่ใช่เหรอ ผมไม่ได้ว่างขนาดนั้นนะ งานศพก็เพิ่งจะเสร็จ ไม่ให้ผมได้พักหายใจหายคอบ้างหรือไง” ประสรรตวาดออกมา เมื่อสุริยาและหมู่บอยไปขอพบ ทั้งสองยังไม่ทันง้างปากเอ่ยอะไรก็โดนสวนกลับมาหลายชุด
“ใช่ครับ คดีถูกส่งไปที่ศาล แต่ศาลยังไม่มีคำสั่งออกมานะครับ ผมในฐานะของสายสืบของคดีนี้ ผมยังมีสิทธิ์ในการสอบปากคำอยู่ครับ” สุริยาใบหน้านิ่งถมึงทึง ประสรรกลืนน้ำลายลงคอ
“แล้วยังไง ผมบอกไปหมดแล้ว ไม่มีอะไรจะพูดอีก” เขาขึงขังกลับมา
“ผมไม่ได้จะมาสอบถามอะไรมาก หรอกครับ แค่อยากจะบอกบางอย่าง เพราะผมคิดว่าคุณน่าจะยังไม่รู้”
“เรื่องอะไร” “มรดกของผู้ตาย” สุริยาสวนทันที เขาทำหน้านิ่ง แต่สายตาหลุกหลิก
“ผมก็หนักใจนะ คุณตำรวจ ใครๆก็คงมองว่าผม อยู่ดีๆก็ได้ครอบครองมรดกของพี่ชายทั้งสอง แต่ใครมันอยากจะไปครอบครองแบบนี้กัน ผมไม่อยากเป็นผู้จัดการมรดกหรอกนะ” เขาทำสีหน้าเศร้า
“ของใครเหรอครับ ที่คุณจะเป็นผู้จัดการมรดก”
“ของพี่ชายผมไง ตามกฎหมาย ผมในฐานะน้องชายตามสายเลือด มีสิทธิ์เป็นผู้จัดการมรดกนี่ หรือว่าคุณไม่รู้” เขาตะเบ็งเสียงขึ้น สีหน้าบ่งบอกถึงความหงุดหงิดรำคาญ
“รู้สิครับ นั่นในกรณีที่พี่ชายคุณ ยังไม่ได้ถ่ายโอนกรรมสิทธิ์ในการครอบครอง แต่กรณีนี้ไม่น่าจะใช่” สุริยาทำเสียงเหนื่อยหน่าย
“มะ หมายความว่ายังไง คุณเอาอะไรมาพูด ผมฟ้องคุณได้นะ” สุริยาถอนหายใจแรง
“หมายความว่า คุณประสงค์ได้โอนกรรมสิทธิ์มรดก และทรัพย์สินทั้งหมดในการครอบครอง ให้ภรรยาและลูกที่ถูกต้องตามกฎหมาย ก่อนหน้าที่เขาจะถูกฆาตรกรรมสองอาทิตย์ ทรัพย์สินทั้งหมดของคุณประสงค์ จึงถูกเปลี่ยนมือไปหมดแล้วครับ ผมเลยไม่แน่ใจ ว่าคุณจะใช้สิทธิ์อะไรในการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย” ตาที่เบิกค้างนั่นทำให้สุริยาแสยะยิ้ม แต่เท่านี้มันไม่เพียงพอในการเอามาเป็นหลักฐาน ในการออกหมายจับเขา
“มะ ไม่จริง ทำไมผมไม่เคยรู้” “นั่นสิครับ ผมก็ไม่เคยรู้ อ้อ ส่วนทรัพย์สินของคุณประสิทธิ์ แกได้เขียนพินัยกรรมไว้ก่อนตาย ว่ายกให้ลูกที่เกิดกับภรรยา ที่หย่าร้างกันไปทั้งหมดครับ อันนี้ใช้ในทางกฎหมายได้” สุริยาบอกความจริงกับเขาไป แล้วก็พูดอีกไม่กี่คำ
“หนักใจอะไรเหรอคะพ่อ” แสงเดือนเอ่ยถามเมื่อเขากลับถึงบ้าน แสงตะวันเองก็นั่งอยู่ด้วย เขาถอนหายใจออกมา
“เรื่องงานนิดหน่อยน่ะแม่ เป็นไงตะวัน วันนี้โอเคไหม” เขามักจะถามลูกชายด้วยคำถามนี้เสมอ
“สบายมากครับ พ่อไม่มีคดีเล่าให้ฟังเหรอครับ” เขาถามในสิ่งที่ผู้เป็นบิดาทำเป็นกิจวัตร
“ช่วงนี้ยังไม่มีลูก คดียังปิดไม่ได้” ท่าทางของเขาทำให้ภรรยาและลูกหันมองหน้ากัน แต่ก็ไม่มีใครเอ่ยซักถามอะไรไปมากกว่านั้น เพราะรู้ดีว่าต่อให้ถามยังไงเขาก็ไม่เล่า แต่เมื่อเขาจะเล่า เขาจะบอกมันออกมาเอง
“ข้อมูลที่เรารวบรวมมาได้เกี่ยวกับโรงเรียน ตัดผู้ต้องสงสัยออกไปได้เยอะเลยครับ เพราะคนที่อยู่ในทีมฟุตบอลตอนนั้น ส่วนมากอยู่ต่างจังหวัด และต่างประเทศ เวลาที่เกิดเหตุ เกือบทั้งหมดมีพยานยืนยันที่อยู่ชัดเจน แม้กระทั่งน้องชายของนายธรรผู้ตาย เฟสบุ๊คของเขายังคงใช้งานอยู่ เมื่อวานก็เพิ่งจะโพสต์รูปภาพ ว่าอยู่ที่บอสตันครับ” จ่าอินรายงาน ทุกคนหน้าเครียด คิดไม่ตกว่าจะไปทางไหนดี มันเหมือนจะเจอทางสว่าง แต่แสงนั้นดับพรึ่บลง โดยที่ยังไม่ทันได้บ่ายหน้าไปหาแสงเสียด้วยซ้ำ “โอ้ย ให้มันได้อย่างนี้สิวะ” แสงตะวันแหกปากออกมา เขาคิดไม่ออก หาทางไม่เจอ เขาทึ้งหัวตัวเอง อาการที่เขาไม่เคยแสดงออกมา ลูกทีมไม่มีใครเคยได้เห็น ว่าสารวัตรผู้หยั่งรู้จะจนแต้มขนาดนี้ แต่ทุกคนก็เข้าใจดีว่ามันยากมาก “มันต้องมีเหตุจูงใจครับ หรือว่านี่ มันคือพฤติกรรม สร้างสถานการณ์เลียนแบบ” ผู้กองคมกริชขมวดคิ้ว หน้าเครียดไม่ต่างกัน “เลียนแบบ แล้วมันไปรู้เรื่องนี้ได้ยังไง เห็นนายวันชัยบอกว่าเรื่องนี้ถูกปิดเงียบ เพราะพ่อของนายสมโชติ เป็นคนจัดการ มีแต่คนที่อยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งถูกกำชับไม่ให้เปิดปาก” “แล้วเด็ก
“จ่าไปซื้อเหล้ามาหน่อยสิครับ” พอถึงห้อง แสงตะวันก็ควักเงินออกมายื่นให้จ่าอิน เขาทำหน้าตาตื่น นานทีปีหนถึงจะเห็นแสงตะวันดื่มเหล้า และนี่มันเพิ่งจะบ่ายกว่าๆเอง “เอ่อ เอาแต่หัววันเลยเหรอครับ สารวัตร” จ่าอินยื่นมือไปรับเงินมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “ไม่ใช่ผมหรอกที่จะกิน เราทุกคนนั่นล่ะ แม่งเครียด” เขาสบถออกมาอย่างหัวเสีย จ่าอินจึงรีบออกไปจากห้อง “ทิตย์ ยังไม่กลับห้องเหรอ อยู่ไหน” เขาโทรไปหาแสงอาทิตย์เพราะเข้าห้องมาก็ไม่เห็นวี่แวว “พอดีเราแวะซื้อของที่ซุปเปอร์น่ะ ท่าทางตะวัน จะใช้ห้องเราเป็นฐานอีกนานไม่ใช่เหรอ ของในตู้เย็นเริ่มหมดแล้ว เสร็จแล้วล่ะ เดี๋ยวก็กลับแล้ว แล้วตะวันอยู่ไหน” “เพิ่งถึงห้อง” เขาตอบน้ำเสียงรู้สึกผิด จริงสิ ทีมมาใช้ห้อง ไม่ใช่แต่ห้องนี่นะ ทุกสิ่งทุกอย่างในห้อง ก็ต้องให้ลูกทีมใช้ด้วย รวมถึงข้าวปลาอาหาร “ทิตย์ซื้ออะไรบ้างแล้วอ่ะ เดี๋ยวเราให้พี่จ่ากับผู้กองไปช่วย” “ไม่ต้องหรอกตะวัน เราซื้อไม่เยอะเท่าไหร่หรอก ถือกลับได้ ตะวันหิวยัง รอแป๊บนะ เราซื้อข้าวปั้นไปฝาก” น้ำเสียงนั้น ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ มันยั
“เมื่อไหร่จะจับตัวคนร้ายได้สักทีวะ แม่งไอ้พวกวิปริตพวกนี้ เวลามันรัก มันรักฝังใจ เวลามันแค้น ดูเอาเถอะ ฆ่าไม่บันยะบันยัง รกโลก” ผู้กองคมกริชสบถออกมาระหว่างทาง จ่าหนุ่มที่เป็นพลขับหันกลับทันที “เอ่อ ผู้กอง ทำไมถึงมีอคติกับคนพวกนี้จังล่ะครับ มีอะไรไหม” จ่าหนุ่มถามออกมา เหมือนจะแซวเพราะน้ำเสียงไม่จริงจังนัก “บ้าเหรอจ่า ผมนี่นะจะไปมีอะไร ชีวิตนี้ไม่อยากย่างกรายคนพวกนี้หรอก ไม่ชอบส่วนตัวน่ะ” เขารีบตอบออกมาด้วยเสียงที่ดัง จ่าหนุ่มได้แต่ขมวดคิ้ว ผู้กองคมกริชหันหน้าออกไปนอกหน้าต่างรถ หวนคิดไปถึงวันวาน ที่เขาเกลียดคนจำพวกนี้เข้าไส้แบบนี้ “แบมว่าไปติวก็ดีนะ กริช เขาการันตีไม่ใช่เหรอ ว่าที่นี่คนที่ติวส่วนมากสอบได้” เด็กสาวในวัยมัธยม กำลังเกาะแขนเด็กหนุ่ม ที่อยู่ในวัยไล่เลี่ยกัน ทั้งสองกำลังยืนอยู่หน้าสถาบันติว “ก็ได้ ลองดู พี่ทิวก็ติวจากที่นี่ ตอนนี้ก็กำลังเรียนอยู่” ความใฝ่ฝันของเด็กหนุ่ม คือการสอบเข้าโรงเรียนนายร้อย เขาสอบเมื่อปีที่แล้วแต่ภาคปฏิบัติเขาไม่ผ่าน เขากลับมามุมานะออกกำลัง เล่นกีฬาอย่างหนัก จนรูปร่างของเด็กหนุ่มกำยำขึ้น “ถ้า
ตลอดทั้งคืนไม่มีใครกลับบ้าน ต่างพากันประชุมกันอยู่ที่ห้องรับแขก แสงตะวันเข้าไปนอนในห้องกับแสงอาทิตย์ เขาสละห้องนอนส่วนตัว ให้ผู้กองกับจ่าอิน ส่วนจ่าหนุ่มนอนอยู่ที่โซฟา “เวลาไม่ได้ทำคดีแล้ว บางทีมันก็สบายอย่างนี้สินะ” แสงตะวันเอ่ยขึ้นหลังจากตื่นนอน แสงอาทิตย์ลุกไปนานเป็นชั่วโมงแล้ว “อ้าว ตื่นไวจังจ่า เป็นไง นอนหลับไหม” เขาทักจ่าหนุ่มที่นั่งดื่มกาแฟอยู่ที่โซฟา “ตื่นสักพักล่ะครับ คุณอาทิตย์สิครับ ตื่นก่อนใคร มาต้มกาแฟให้แต่เช้า ตอนนี้ยังไปทำอาหารเช้าให้ด้วยครับ” จ่าหนุ่มเอ่ยอย่างอารมณ์ดี แสงตะวันเดินไปเทกาแฟใส่แก้ว แล้วเดินเข้าไปในครัวขนาดเล็ก แสงอาทิตย์กำลังง่วนอยู่ กับการปิ้งขนมปังและทอดไข่ดาว “ทำไรทิตย์” เขาพิงเคาท์เตอร์แล้วเอ่ยถาม “ปิ้งขนมปัง พี่จ่าเขากินกาแฟหมดยัง ตะวันเอาออกไปให้เขาหน่อยสิ เดี๋ยวเรากำลังทอดไข่ดาว” แสงอาทิตย์ไม่ได้หันมามอง เขากำลังจดจ้องอยู่ที่การทอดไข่ดาวแบบไร้น้ำมันอยู่ “ขอโทษนะทิตย์ ที่ต้องทำให้ทิตย์ต้องตื่นมาวุ่นวายแบบนี้ เราคิดไม่ออกจริงๆ ว่าควรจะไปหาที่ประชุมลับที่ไหนดี นอกจากห้องของเรา” เขาเอ่ยเสียงท
แสงอาทิตย์กำลังปิดรายงาน เพื่อส่งให้นทีรีวิว ก่อนที่จะส่งมอบให้ลูกค้า เหลือรายงานสรุปที่ต้องส่งทีหลัง เขารู้สึกโล่งมาก เพราะตรวจบัญชีหนักหน่วงมาทั้งอาทิตย์ เวลาพักผ่อนแทบจะไม่มี ซ้ำช่วงนี้ยังมีเรื่อง มีวิญญาณที่ขอความช่วยเหลือ ยิ่งถอนตะปูตรึงวิญญาณได้แล้ว เหมือนว่าวิญญาณทั้งสามจะปรากฏร่างให้แสงอาทิตย์เห็นบ่อยขึ้น “วันนี้เลิกเร็ว รีบกลับไปพักเถอะทุกคน เราค่อยนัดเลี้ยงกันพรุ่งนี้ วันนี้ทุกคนน่าจะไม่ไหว ขอบใจมากนะเด็กๆ พรุ่งนี้มีกินเลี้ยงกันนะ เดี๋ยวพี่แจ้งชื่อร้านและเวลาไปอีกที มาให้ได้กันทุกคนนะ” นทีบอกพนักงานที่จ้างมาชั่วคราว พอแยกย้ายกันกลับ เหลือแต่พนักงานประจำที่กำลังเก็บของ “กลับไปถึงบ้าน พี่จะกระโดดขึ้นเตียง แล้วนอนไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ปวดเมื่อยมาก” มนฤดีบ่นอุบ “ไปนวดไหมพี่มน นี่ก็ไม่ไหว นั่งจ้องเอกสารทั้งวัน ปวดตามาก” มณีเอ่ยชวน “เออ ดีเหมือนกัน อ่อนนุชเหมือนเดิมเหรอ” “มีร้านเปิดใหม่ ก็ใกล้ร้านเดิมที่เราเคยไปล่ะเจ๊ ไปด้วยกันไหม นที อาทิตย์” มณีหันมาชวนหนุ่มโสดทั้งสองคน “วันนี้ผมขอตัวครับ ผมรู้สึกมึนๆยังไม่หาย อยากกลับไปนอน” แสงอาท
“วันนี้รองลางาน แปลก ปกติไม่เคยลา แกบอกไม่สบาย” พอมาถึงที่สำนักงาน จ่าอินก็รีบรายงานทันที แสงตะวันขมวดคิ้ว “แกเป็นอะไร” “เหมือนจะหวัดครับ เพราะแกไม่เคยลงพื้นที่ เมื่อคืนก็ไปเฝ้าตั้งแต่หัววัน คงโดนน้ำค้าง” น้ำค้าง? แสงตะวันนึกขัน ตำรวจอะไรจะไม่ถูกกับน้ำค้าง นี่แสดงว่าเรียนมาเพื่อเซ็นเอกสารอย่างเดียวเลยสินะ เขานึกปรามาสอยู่ในใจ เพราะเขาเองกว่าจะมาอยู่จุดนี้ได้ บุกป่าฝ่าดงก็ไปมาหมดแล้ว อดข้าวสามวัน อดนอนเป็นอาทิตย์ การฝึกก็โหด แค่น้ำค้างเนี่ยนะ ต่อให้เป็นฝนตกเขาก็ไม่เป็นอะไร “โล่งไปนะครับ สารวัตร” จ่าหนุ่มยิ้มแห้งๆ “ไม่โล่งหรอกพี่จ่า แสดงว่าเรายังพอมีเวลา มีอะไรคืบหน้าไหม ที่โรงเรียน” เขาถาม และมองหาผู้กองคมกริช “ผู้กองไปเบิกผลตรวจของที่เจอเมื่อวานครับ” จ่าอินเหมือนจะรู้ใจ เขาพยักหน้า “มีกลุ่มของนักกีฬาโรงเรียนครับ และสารวัตรครับ ผมว่าเราน่าจะเจออะไรบางอย่างแล้วครับ” จ่าหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยสายตาที่วาวระยับ “หือว่ามาจ่า” เขาเองก็ตื่นเต้น รีบนั่งลงที่โต๊ะหันหน้าเข้าหา “นักกีฬาฟุตบอลโรงเรียน และทั้งสามคนที่ตายคือสมาชิก ใน