สามวันต่อมา
เช้านั้นท้องฟ้าสีขาวนวล แดดอ่อน ๆ โรยตัวลงมาทาบพื้นถนนหน้าอาคารเรียน พื้นซีเมนต์สะท้อนแสงจาง ๆ มีนาเดินอยู่บนทางเท้าท่ามกลางแถวต้นหูกวางที่ใบเล็ก ๆ ค่อย ๆ ร่วงลงมาทีละใบ
กระเป๋าผ้าสีเรียบถูกสะพายไว้ข้างตัว มือข้างหนึ่งถือแผนผังตึกเรียน อีกข้างกำโทรศัพท์แน่น หน้าจอเปิดค้างอยู่ที่ข้อความล่าสุดในกลุ่มไลน์รับน้อง
บนหน้าอกเสื้อนักศึกษายังไม่มีชื่อปัก คอเสื้อแข็งเพราะยังใหม่ กระโปรงทรงเอพอดีตัว รองเท้าหนังสีดำเงาวับ ทั้งหมดดูเรียบร้อยเกินไปจนรู้สึกแปลก ๆ กับการสวมใส่
เธอเรียนวิศวกรรมศาสตร์ ที่บ้านเคยถามว่าแน่ใจแล้วเหรอ แต่เธอก็ยืนยันหนักแน่น เธอชอบอะไรที่ดูยากแต่มีเหตุผล
ชอบสมการ ชอบคิดแก้โจทย์ แม้จะยังไม่แน่ใจว่าปัญหาบางอย่างในชีวิตจะแก้ได้ด้วยสูตรหรือไม่ก็ตามวันนี้เป็นวันรวมรุ่นของเด็กปีหนึ่งในคณะ รุ่นพี่เรียกกันง่าย ๆ ว่า "วันน้องรับ" แต่ชื่อทางการคือ "ปฐมนิเทศ"
ลานหน้าอาคารเรียนกลางถูกตกแต่งด้วยผ้าสีฟ้าขาวสดใส มีป้ายไวนิลขนาดใหญ่ที่พิมพ์คำว่า "WELCOME FRESHY" ติดไว้กลางเวที เสียงเพลงป๊อปคลอเบา ๆ ดังมาจากลำโพง เสียงหัวเราะ เสียงคุยกัน และเสียงรองเท้ากระทบพื้นคละกันไปหมด
มีนาเดินไปหากลุ่มเพื่อนใหม่ที่โบกมือเรียกอยู่ก่อนแล้ว เธอส่งยิ้มกลับไปเล็กน้อย ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้พลาสติกสีฟ้าที่เรียงเป็นแถว
แสงแดดอุ่น ๆ สาดเข้ามาทางด้านข้าง ลมพัดเบา ๆ จนผมข้างแก้มปลิวไปด้านหนึ่ง เสียงพูดคุยจากรอบ ๆ เริ่มชัดขึ้น
"ได้ข่าวว่าพี่ปีสี่จะมาพูดด้วยนะ..."
"ใครอะ หล่อป่ะ?" "ได้ยินว่าพี่เขาเป็นรุ่นพี่ปีสี่ที่ดังมากเลยนะ ทั้งหล่อทั้งเท่"มีนาไม่ได้พูดอะไร เธอก้มมองเข็มคณะวิศวะที่เหน็บอยู่บนเสื้อ แล้วก็ปล่อยให้ความคิดลอยไปเรื่อยเปื่อย ท่ามกลางบรรยากาศที่ทั้งสดใสและแปลกใหม่ในคราวเดียวกัน
แต่แล้ว...
เสียงไมค์ดังขึ้น เสียงพิธีกรชายฟังดูตื่นเต้นเกินจริงนิดหน่อย
"ต่อไป ขอเชิญรุ่นพี่ปีสี่ของเราผู้มากความสามารถ ขวัญใจทั้งคณะ ขึ้นมากล่าวต้อนรับน้องใหม่... พี่ดนุครับ เชิญครับ!"
เสียงปรบมือดังลั่นทันทีที่ชื่อถูกประกาศออกมา
มีนาเงยหน้าขึ้นโดยไม่ทันคิด ดวงตาเบิกกว้าง หัวใจเธอเต้นแรงโดยไม่รู้สาเหตุ
บนเวที รุ่นพี่ผู้ชายคนหนึ่งในชุดนักศึกษากำลังก้าวขึ้นมาช้า ๆ
คนที่เธอไม่คิดว่าจะได้เจออีก คนที่เธอจำได้แม่นยำจากคืนนั้น พี่ดนุ
เขายืนอยู่ตรงนั้นจริง ๆ ในเครื่องแบบนักศึกษาปีสี่ของคณะเดียวกัน ภายใต้แสงสปอร์ตไลต์ที่สาดลงบนเวที
เธอได้แต่มองเขาอย่างนิ่งงัน หัวใจเหมือนจะเต้นผิดจังหวะไปหมด เรื่องในวันนั้นไม่ใช่ฝัน และตอนนี้... ก็ไม่มีทางหนีจากความจริง
เสียงปรบมือค่อย ๆ เบาลงเมื่อเขายืนประจำตำแหน่งหน้ามิคโครโฟน
เขาไม่ได้แต่งอะไรพิเศษ แค่เสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาด กางเกงนักศึกษา รองเท้าหนังขัดเงานิด ๆ แต่ทุกอย่างดูกลมกลืนกับท่าทางนิ่ง ๆ ของเขาได้อย่างพอดีเป๊ะ
เขารับไมค์จากพิธีกร ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะกวาดตามองน้องใหม่ทั้งลาน แล้วสายตาของเขาก็หยุดอยู่ตรงแถวกลาง... ตรงที่มีนานั่งอยู่
"สวัสดีน้อง ๆ วิศวะทุกคนครับ"
น้ำเสียงเขานุ่มทุ้ม ฟังดูสบาย ๆ แต่มีน้ำหนักพอจะทำให้คนทั้งลานหยุดฟัง
"ก่อนอื่น... ยินดีต้อนรับเข้าสู่คณะวิศวกรรมศาสตร์นะครับ พี่รู้ว่าช่วงเวลานี้ทั้งน่าตื่นเต้น แล้วก็น่ากลัวในเวลาเดียวกัน"
เขายิ้มเล็กน้อย เหมือนรู้ดีว่าทุกคนที่นั่งฟังอยู่รู้สึกยังไง
"บางคนอาจจะยังไม่แน่ใจว่าเรามาถูกที่ไหม บางคนอาจยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราอยากเป็นอะไรจริง ๆ... ไม่เป็นไรครับ ทุกอย่างมันจะค่อย ๆ ชัดขึ้นเอง เมื่อเราก้าวไปทีละก้าว"
มีนาเงียบ มือที่วางอยู่บนตักเริ่มกำแน่นขึ้นนิด ๆ ทุกคำพูดฟังดูเหมือนพูดกับทุกคน แต่เธอกลับรู้สึกว่าเขากำลังพูดกับเธอเพียงคนเดียว
เขาเหลือบมองเธออีกครั้ง คราวนี้แววตาชัดขึ้น เหมือนจะยิ้ม แต่ก็ไม่ยิ้ม เหมือนถาม แต่ก็ไม่ถาม เหมือนจะบอกว่า "จำกันได้ไหม?"
เขาหยุดพูดชั่วครู่ แล้วก็เอ่ยประโยคสุดท้าย
"ขอให้น้อง ๆ ทุกคนมีความสุขในรั้ววิศวะ... แล้วหวังว่า เราจะได้เจอกันอีก...ในที่ที่คาดไม่ถึง"
รอยยิ้มของเขาไม่ได้เหมือนตอนพูดกับทุกคนบนเวที แต่มันเหมือนกับรอยยิ้มในคืนนั้น คืนนั้นที่เธอไม่เคยลืม
เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้ง แต่มีนาไม่ได้ยินเสียงนั้นเลย เธอได้ยินแค่เสียงหัวใจตัวเอง กับความรู้สึกบางอย่างในอก... ที่เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ
เช้าวันนี้ ห้องประชุมใหญ่ของผู้ถือหุ้นบริษัทพัชรลักษณ์ถูกปกคลุมด้วยมวลบรรยากาศอันหนักอึ้งและเงียบงันจนผิดสังเกตโต๊ะประชุมตัวยาวสีเข้มขลับสะท้อนแสงไฟจากเพดานสูง มันถูกจัดวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบสมบูรณ์แบบ บนโต๊ะนั้นมีกองเอกสารหนาเตอะวางอยู่ตรงหน้าของผู้เข้าร่วมประชุมทุกคน ทว่ากลับมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยอมก้มสายตาลงอ่านเนื้อหาในนั้นอย่างแท้จริงเสียงกระซิบกระซาบสั้นๆ แทรกตัวขึ้นมาเป็นระยะ ประหนึ่งเสียงรอยร้าวของรากฐานที่กำลังปริแตกอยู่ในความเงียบอันเยียบเย็น เสริมด้วยกลิ่นกาแฟเข้มข้นที่เจือจางในสายลมจากเครื่องปรับอากาศ ซึ่งถูกปรับอุณหภูมิต่ำกว่าปกติจนรู้สึกได้ถึงความเย็นชืดที่เสียดแทงผิวบนเวทีเบื้องหน้า คณะกรรมการบริหารนั่งเรียงแถวกันด้วยท่วงท่าที่เป็นทางการ ทว่าสีหน้าของแต่ละคนกลับปรากฏร่องรอยความตึงเครียดฉายชัดผ่านดวงตาที่แข็งกระด้างและมุมปากที่เม้มแน่น สายตาบางคู่จงใจเบนหลบเลี่ยงกันไปมา ดุจไม่พร้อมจะยอมรับความจริงที่กำลังจะถูกเปล่งออกมาในที่สุด ประธานในที่ประชุมก็เอ่ยขึ้น เสียงของเขาชัดถ้อยชัดคำแต่กลับแฝงด้วยน้ำหนักที่แผ่วลงอย่างเห็นได้ชัด“ตามวาระการประชุมที่หนึ่ง… บริษัทจ
รถแท็กซี่สีเขียวเหลืองค่อยๆ ลัดเลาะขึ้นสู่เนินเขาในจังหวัดเชียงใหม่ ถนนสายเล็กคดเคี้ยวราวกับกำลังพาเธอเดินทางย้อนกลับเข้าไปในความทรงจำของใครบางคน ทิวทัศน์สองข้างทางแปรเปลี่ยนจากตึกสูงและคาเฟ่ทันสมัย เป็นบ้านไม้เก่า ไร่กาแฟ และทิวไม้สูงที่ยืนตระหง่านเงียบงัน ราวกับผู้พิทักษ์ที่เฝ้ามองผู้มาเยือนมีนานั่งชิดริมหน้าต่าง สองมือกอดกระเป๋าสะพายไว้แน่น ไม่ใช่เพราะกลัวของมีค่าสูญหาย แต่เพราะหัวใจที่เต้นระรัวจนต้องหาที่ยึดเหนี่ยวไออุ่นจากแสงแดดที่ส่องลอดกระจกเข้ามาไม่อาจบรรเทาความเย็นเยียบในอกของเธอได้ ตั้งแต่ได้รับเบาะแสจากธนากรเกี่ยวกับชลธิชา เธอก็รู้ดีว่าการมาที่นี่จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างที่เธอเคยรู้... และอาจจะเปลี่ยนชีวิตของดนุไปตลอดกาลรถเลี้ยวเข้าสู่ถนนส่วนบุคคลที่ปูด้วยหินกรวด ป้ายไม้เก่าที่สลักชื่อ “บ้านร่มลีลา” ปรากฏแก่สายตา ด้านหลังรั้วไม้เตี้ยๆ คืออาณาบริเวณที่สงบร่มรื่น สนามหญ้าสีเขียวสดดูสบายตา ต้นลีลาวดีต้นใหญ่กำลังผลิดอกสีขาวสะพรั่ง กลีบดอกบางส่วนร่วงหล่นโปรยปรายบนพื้นราวกับพรมธรรมชาติอาคารบ้านพักคนชราสีขาวชั้นเดียวดูเรียบง่าย แต่แฝงไว้ด้วยความสงบนิ่งและอบอุ่นมีนาจ่ายค่าโดยสาร
เสียงโห่ร้องและถ้อยคำก่นด่าในห้องประชุมยังคงก้องสะท้อน แต่พัชรลักษณ์กลับยืนนิ่งสงบอยู่บนโพเดียมอย่างไม่น่าเชื่อ ใบหน้าที่เคยเย็นชาดุจน้ำแข็ง บัดนี้เริ่มปรากฏรอยสั่นไหวที่ไม่อาจซ่อนเร้นดวงตาคมกล้าที่เคยกดข่มทุกคนจนสิ้นฤทธิ์ บัดนี้กลับสั่นพร่าราวกับม่านน้ำตาบางๆ กำลังก่อตัวขึ้น ต้านทานแรงกดดันมหาศาลที่ถาโถมเข้ามาไม่ไหวอีกต่อไป เขาจ้องลึกลงไปที่ดนุ คู่ปรับคนสำคัญที่ยืนนิ่งอยู่กลางเวที... มุมปากของอีกฝ่ายกระตุกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะกลับสู่ความเรียบเฉยที่น่าขนลุกแววตาของพัชรลักษณ์ที่เคยทอประกายแห่งอำนาจ บัดนี้เหลือเพียงร่องรอยความร้าวรานที่ซ่อนอยู่ลึกสุดใจ ริมฝีปากพยายามขยับราวกับอยากจะเอื้อนเอ่ยถ้อยคำใด แต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา มีเพียงความเงียบที่น่าอึดอัดแล้วจู่ๆ...ร่างสูงใหญ่ที่เคยสง่างามของพัชรลักษณ์ก็ซวนเซ มือหนากำขอบโพเดียมไม้เนื้อแข็งแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน เสียงหอบหายใจหนักหน่วงดังขึ้น ก่อนที่ร่างนั้นจะทรุดฮวบลง... หมดสิ้นสภาพของราชันผู้ยิ่งใหญ่“พ่อ!”ณภัทรตะโกนสุดเสียง ทะยานฝ่าความวุ่นวายและกลุ่มนักข่าวที่เริ่มเคลื่อนตัวเข้ามา แต่ยังไม่ทันที่มือของเขาจะได้สัมผัสร่างของบิดา
รุ่งอรุณของวันถัดมา ดนุยืนนิ่งอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ ภาพที่สะท้อนกลับมาคือชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตสีดำเรียบ แต่แววตากลับไม่ใช่คนเดิม มันคือดวงตาของคนที่ความเจ็บปวดได้หล่อหลอมให้กลายเป็นเหล็กกล้า... แข็งแกร่งและแน่วแน่เขาล้วงมือลงในกระเป๋า สัมผัสม้วนเทปของแม่เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเก็บมันกลับใส่กล่องไม้อย่างทะนุถนอม มันคือคำมั่นสัญญากับตัวเองวันนี้… โลกทั้งใบจะได้ยินเสียงของชลธิชาในเวลาเดียวกัน คฤหาสน์พัชรลักษณ์ตกอยู่ในความเงียบที่น่าอึดอัด อากาศหนักอึ้งราวกับมีพายุก่อตัวอยู่ภายใน พัชรลักษณ์ในชุดสูทสั่งตัดอย่างประณีตราวกับชุดเกราะ ก้าวออกจากห้องทำงานด้วยท่าทีสงบนิ่ง แววตาคมกริบฉายชัดถึงความเย่อหยิ่งที่ฝังลึก เขารู้ว่าทุกสายตากำลังจับจ้อง แต่สำหรับเขา… นี่เป็นเพียงอีกเกมหนึ่งที่เดิมพันด้วยทุกสิ่ง และเขาไม่เคยคิดที่จะแพ้ณภัทรเดินตามหลังบิดาเงียบๆ ใบหน้าซีดเผือด ริมฝีปากเม้มสนิทจนเป็นเส้นตรง “ตั้งสติไว้” พัชรลักษณ์เอ่ยเสียงต่ำ ราบเรียบแต่ก้องกังวาน “ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้” ณภัทรทำได้เพียงพยักหน้ารับ โดยไม่กล้าแม้แต่จะสบตาช่วงบ่าย การประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทพัชรลักษณ์เริ่มต้นขึ้น พร้อมการ
ตอนที่ 61: ปริศนาน้ำเสียงในเทปเก่าคำปฏิเสธของพัชรลักษณ์ยังคงตามหลอนอยู่ในความคิดของดนุ มันไม่ใช่แค่เสียงที่ก้องกังวาน แต่เป็นเหมือนเศษแก้วที่ทิ่มแทงซ้ำๆ ลงบนบาดแผลเดิม เขาเดินทางกลับมายังบ้านเก่าของแม่ สถานที่ซึ่งความทรงจำและความเงียบงันจับตัวกันแน่นในอากาศ จนแทบจะหายใจไม่เข้าห้องเก็บของที่กาลเวลาได้ผนึกไว้เปิดอ้าออก ฝุ่นละอองลอยวนในลำแสงอาทิตย์ซึ่งลอดผ่านรอยร้าวบนบานหน้าต่าง ดนุนั่งคุกเข่าลงบนพื้นไม้เก่า มือใหญ่ไล่สำรวจกล่องกระดาษทีละใบ จนกระทั่งสายตาของเขาหยุดนิ่งอยู่ที่ตุ๊กตาตัวหนึ่ง ...ตุ๊กตาที่ประดับด้วยรอยปะชุนจากฝีมือของแม่เขามองมันนิ่ง สายตาจมลึกลงในความว่างเปล่า... พาความคิดย้อนกลับไปเห็นภาพแม่กำลังนั่งซ่อมมันอย่างใจเย็น ก่อนที่ปลายนิ้วหนาจะค่อยๆ เลาะตะเข็บด้ายบริเวณต้นคอของตุ๊กตา และในโพรงเล็กๆ นั้น… ม้วนเทปคาสเซ็ตต์ขนาดเล็กซ่อนตัวอยู่อย่างเงียบงันดนุหยิบมันขึ้นมาอย่างทะนุถนอม ลมหายใจหนักหน่วงราวกับมีหินถ่วง เขาเสียบเทปลงในเครื่องเล่นเก่า เสียง “คลิก” ดังแผ่วเบา และทันทีที่มันเริ่มหมุน…เสียงผู้หญิงคนหนึ่งก็เล็ดลอดออกมา เสียงที่ขาดห้วงและสั่นพร่า ทุกพยางค์เปียกชุ่มด้วยคว
ตอนที่ 60: พิสูจน์สายเลือด ห้องแถลงข่าวแน่นขนัดจนแทบไม่มีที่ยืน แสงแฟลชสว่างวาบไม่หยุดหย่อนราวกับพายุสายฟ้า เสียงจอแจดังระงมจนอื้ออึง อุณหภูมิในห้องราวกับจะสูงขึ้นทุกวินาทีภายใต้แรงกดดันมหาศาลพัชรลักษณ์ก้าวขึ้นสู่โพเดียมด้วยท่วงท่าสงบนิ่ง แต่แววตาคมกริบดุจมีดที่พร้อมจะเชือดเฉือนทุกคำถาม เขากวาดสายตามองทั่วห้อง ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ ชัดถ้อยชัดคำ“ในฐานะหัวหน้าตระกูลผมขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน... ชายที่ชื่อดนุ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องทางสายเลือดใดๆ กับตระกูลของเราแม้แต่น้อย”เสียงฮือฮาดังกระหึ่มราวกับระเบิดลง แต่พัชรลักษณ์ยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง“เขาไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากมิจฉาชีพ ที่ใช้เอกสารปลอมเพื่อเรียกร้องในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยมีสิทธิ์!”คำประกาศิตนั้นถูกส่งต่ออย่างรวดเร็ว โลกออนไลน์ลุกเป็นไฟ#ดนุเป็นมิจฉาชีพพุ่งทะยานขึ้นอันดับหนึ่งในเวลาไม่ถึงชั่วโมงในอีกฟากหนึ่งของเมือง ดนุนั่งนิ่งอยู่เพียงลำพังในห้องสี่เหลี่ยมเงียบสงัด สายตาจับจ้องอยู่ที่กล่องไม้เก่าบนโต๊ะ... กล่องที่กาลเวลาได้ทิ้งร่องรอยไว้เนิ่นนานมือใหญ่ของเขาค่อยๆ เผยอฝากล่องออกอย่างแผ่วเบาภายในมีเพียงฟันน้ำนมซี่เล็กที่ถู