เทสซ่าทำเสียงฮึ่มใส่ แต่พี่ชายของเธอกลับหัวเราะเห็นเป็นเรื่องน่าขัน เขามองเบนเหมือนมองเด็กเล็ก ๆ อย่าเหมาว่าฉันเป็นน้องชายของนายเลย
“มาเถอะ เทส” คนพี่เร่งน้องสาว เทสซ่ามอบนิ้วกลางให้เขาเป็นครั้งที่สามเพื่ออำลาก่อนเปลี่ยนทีม
พออเล็กซิสมาอยู่ในทีม รูปเกมเปลี่ยนทันที โนเอลอาจตัวสูงใหญ่ แต่ตัวเขาไม่ใช่ผู้เล่นที่น่ากลัว เมื่อปราศจากคนส่งบอลที่ดี โนเอลก็ไม่ต่างอะไรจากกำแพงโง่ ๆ ที่ยืนขวางทางเท่านั้น ถ้าข้ามผ่านไปได้ ก็ไม่มีอะไรต้องกลัว อเล็กซิสวิ่งเร็ว แถมยังชู้ตแม่น ทีมของเขาจากที่ตามหลัง ตอนนี้เลยขึ้นนำ ทว่าคะแนนยังไม่ห่างกันมาก เบนไม่ประมาท จนกระทั่งอเล็กซ์ขอเวลานอก
“ฉันว่า เราควรเปลี่ยนผู้เล่น อย่างนี้มันไม่แฟร์นะ ให้ฉันเปลี่ยนกับออสโล่ก็ได้” อเล็กซ์โพล่งออกมา
“อะไรของนายวะ” เบนแทบอยากจะเขวี้ยงลูกบาสในมือทิ้ง บางครั้งนิสัยขึ้น ๆ ลง ๆ ของเพื่อนสนิททำให้เขาปวดขมับ
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันว่าเราต้องจบเกมแล้วล่ะ ก่อนที่ออสโล่จะเป็นลม” อเล็กซิสว่า ทั้ง ๆ ที่ยังเล่นไปไม่ถึงชั่วโมง เด็กหนุ่มผมแดงกลับอ้าปากหายใจราวกับต้องการเครื่องออกซิเจน เขานึกถึงปลาทองเวลาขาดน้ำ แต่ตัวนี้ต้องเรียกว่าปลาเรดแฮร์ริ่ง
“ขอโทษที พอดีฉันไม่ใช่พวกเล่นกีฬาเป็นประจำ”
“ไม่เป็นไรหรอก เอาเป็นว่าทีมฉันชนะ” เบนรวบรัดสรุปทันที เขาปรบมือให้ตัวเองด้วยความภูมิใจ “พวกเราเล่นได้ดี นายก็ด้วย” เขายื่นมือให้เวดพร้อมกับรอยยิ้มท้า เด็กหนุ่มจับมือเพียงแป๊บเดียวก็ปล่อย พอเป็นพิธี
“ครั้งหน้าเราแค่นั่งคุยกันดีไหม” ออสโล่เสนอ เขานั่งแหมะอยู่กับพื้น
เบนไม่รู้จะทำอะไรต่อนอกจากมองพวกผู้หญิง อเล็กซิสยืนเช็ดเหงื่อ ดื่มน้ำแก้กระหายอยู่อีกมุม ร่างกายของเขาก็เต็มไปด้วยเหงื่อเหมือนกัน ชายหนุ่มลองจินตนาการดูว่า ถ้าคนทั้งสองทำกิจกรรมอื่นที่เหงื่อออกพร้อมกันแบบนี้ น่าจะสนุกกว่าเล่นบาส ในใจนั้นตะขิดตะขวงสับสนกับความคิดสองอย่าง เขาอยากให้ภารกิจนี้สำเร็จลุล่วง แต่ลางสังหรณ์บางอย่างส่งสัญญาณเตือนว่ามันไม่มีทางสำเร็จ เธอเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่พระเจ้าบรรจงสร้างมาอย่างประณีต แม้เพียงสวมเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงยีนธรรมดา ก็ยังให้ความรู้สึกเหมือนเดินออกจากนิตยสาร ร่างของเธอค่อนข้างสูงหาก แม้เอวบางร่างน้อยแต่ไม่ใช่คนผอมติดกระดูก ใบหน้าตุ๊กตายังประดับไปด้วยดวงตาโตเหมือนตัวการ์ตูน เขาจึงเรียก (ในใจ) ว่าแบมบี้ แหงล่ะ เบนไม่อาจละสายตาไปได้ จนเมื่อเทสซ่าเข้ามาสมทบอีกคน ทัศนียภาพมุมนี้ จึงเป็นวิวที่ดีใช้ได้เลยทีเดียว ถึงแม้เบนจะไม่ชอบเทสซ่านัก แต่เขายอมรับว่า นิสัยเสียของเธอไม่ได้ทำให้เธอสวยน้อยลง หากเทียบกับมินนี่ที่มีผิวสีเชสนัทและผมสีดำเข้มเหมือนกัน ทั้งสองดูต่างกันราวกับสินค้าที่ออกมาจากโรงงานคนละเกรด และถ้าหากเขาได้ควงนางฟ้าสองคนพร้อมกัน ที่นี่คงกลายเป็นหาดสวรรค์สำหรับเขา
“นายกับเพื่อนดูไม่ค่อยเหนื่อยเท่าไรเลยนะ” อเล็กซิสพูดขึ้น เธอคงสังเกตเห็นความแตกต่างระหว่างพวกมีพลังพิเศษกับมนุษย์ปกติ เมื่อดวงตาที่เหมือนเม็ดพลอยไพลินจับจ้อง เขาสงวนสายตาเมื่อครู่ไว้กับตัวเอง
“นายเป็นกลุ่มเสี่ยงเหมือนกับอเล็กซ์นี่” เธอว่า
“พวกมีพรสวรรค์” เขาแก้คำพูดของเธอ เทสซ่าเบ้ปากล้อเลียน ชายหนุ่มมีปฏิกิริยาโต้ตอบท่าทางนั้นทันที “ทำไมล่ะ เธอไม่คิดว่าตัวเองเป็นพวกมีพรสวรรค์เหมือนกันเหรอ”
เพียงเทสซ่าเพ่งมอง เขาเห็นดวงตาสีเทาคู่นั้นคล้ายมีแสงแฟลชส่องออกมาจากด้านใน มันสวยและน่ากลัวในเวลาเดียวกัน “พูดอะไรของนาย”
“ฉันรู้ว่าเธอมีพลังเหมือนกัน เธอใช้มันเพื่อบล็อกลูกบาสที่ฉันโยนให้ เสียงใช้ไหม ได้ยินนะ” เขาเลิกคิ้วกวน
แม่สาวน้อยอเล็กซิสมองเบนกับเทสซ่าสลับกันไปมา “เอาเถอะน่า คำว่าพรสวรรค์ก็ฟังดูดีกว่าคำว่ากลุ่มเสี่ยงนะเทส”
สาวผิวเข้มคงเกลียดเขามากจริง ๆ เบนแน่ใจว่าเขาไม่เคยทำอะไรให้เธอรู้สึกแย่ ยกเว้นแต่ว่าเธอเป็นพวกเฟมินิสต์นาซี
“แล้วพวกเธอจะทำอะไรต่อ” เขาถามเด็กสาวอีกคน
“กลับห้องอาบน้ำน่ะ เปลี่ยนเสื้อผ้าดีกว่า ถ้าเกิดนายกับอเล็กซ์อยากไปกินข้าวเย็นด้วยกันก็เจอกันที่โรงอาหารได้นะ มานั่งที่โต๊ะได้เลย คนกันเองอยู่แล้ว ฉันว่าคนเยอะ ๆ สนุกดี...เหวอ” เด็กสาวผงะเมื่อเจอสายตาเพื่อน
“อเล็กซิส!” เทสซ่าไม่ชอบที่เพื่อนชวนศัตรู
“พวกเขาเป็นเพื่อนซาร่าห์ แล้วซาร่าห์ก็อยากให้พวกเราเป็นเพื่อนกัน” อเล็กซิสอธิบาย เบนจึงมองหาแม่สาวผมบลอนด์ แต่เธอหายไปพร้อมกับเวดแล้ว
“นาย” เทสซ่าชี้นิ้วใส่หน้าเขา “ถ้าฉันไม่ถือว่าซาร่าห์เป็นเพื่อนนะ ฉันจะไม่ยอมเด็ดขาด (หันกลับไปหาเพื่อนตัวเอง) เธอจะเป็นเพื่อนกับเขาก็ได้ แต่ฉันเตือนแล้วนะว่าอย่าหลงกลหมอนี่ เขาชอบหลอกฟันผู้หญิงไปทั่ว”
เขาส่ายหัว นัยน์ตาชำเลืองมองเจ้าหัวเงิน นี่ก็อีกคน หายวับไปแล้ว เขาไม่รู้หมอนี่ออกไปตั้งแต่เมื่อไร เพราะลืมไปเสียสนิท
“พวกเธอสองคนเหมือนไม่ถูกกันอะไรขนาดนี้” อเล็กซิสสงสัย สายตานั้นค่อนข้างไปทางเพื่อนมากกว่า “เขาทำอะไรให้เธอไม่พอใจเหรอ” เธอหันมาถามเขาด้วย เบนส่ายหน้า ไม่รู้ แม้ลึก ๆ ก็อย่างที่เดา
สาวผมดำเพียงแค่มองผ่านหางตาแล้วเดินหนี ไม่ยอมตอบคำถาม ปล่อยให้อเล็กซิสยืนงง “เทส เดี๋ยวก่อน”
“จริง ๆ นะ ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าเคยไปทำอะไรเพื่อนเธอไว้” เขาพูด ดวงตากวาดไปทางเพื่อนรักที่กำลังจ้อคุยอยู่กับโนเอลและออสโล่เกี่ยวกับการแข่งขันเมื่อครู่ พูดเก่งนะวันนี้ เขาแน่ใจว่าอเล็กซ์พยายามหลีกเลี่ยงคำถาม คงเปล่าประโยชน์ที่จะบังคับให้อเล็กซ์พูดออกมา เขาหันมาสนใจตัว
อเล็กซิสเลยดีกว่า เบนรอโอกาสนี้มานานแล้วไม่ใช่เหรอ โอกาสที่จะได้สานความสัมพันธ์กับเด็กคนนี้ต่อ“เรื่องรวมกลุ่มน่ะ พวกเราสนใจอยากเข้ากลุ่มพวกเธออยู่แล้ว”
“ดีเลย แล้วเจอกันตอนเย็น” เธอว่า ทำท่าเหมือนจะไป
“เดี๋ยว ฉันไปด้วย”
“ฉันกลับห้องนะ” เธอว่า พลางพันผ้าขนหนูผืนเล็กไว้ที่คอ “ไม่รอเพื่อนนายก่อนเหรอ” เธอพยักพเยิดไปทางอเล็กซ์ที่พูดเก่งกว่าวันไหน ๆ
“ปล่อยไว้เถอะ ฉันไปทางเดียวกับเธอ” เขาโกหกหน้าตาย เบนหยิบเสื้อตัวเองมาพาดบ่า
พวกเขาเดินไปตามทางเดินยาว เขาเริ่มบทสนทนาด้วยหัวข้อพื้น ๆ เช่น เธอเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อก่อนเธอทำอะไร จนกระทั่งเมื่อพวกเขาพูดถึงหอพัก “ฉันเกลียดที่นี่จะตาย” เธอโพล่งตอบทันที
“อาฮะ ตอบตรงดี” เขาว่า เหลือบมองเด็กสาวข้าง ๆ ขนตาของเธอยาวเป็นแพหนา “ฉันก็เกลียดที่นี่”
“นายคิดว่า ไอ้ตรวจสุขภาพเมื่อเช้าเนี่ย เพื่ออะไร” เธอถาม
“ไม่รู้เหมือนกัน แค่ตรวจมั้ง เธอรู้จักอเล็กซ์ยังไง”
ถามอะไรไปวะ
สับสนงั้นเหรอ จู่ ๆ เขาลืมไปว่าตัวเองจะทำอะไรในตอนแรก แต่กลับไปสนใจอีกประเด็นหนึ่ง มันเหมือนกับว่า ความสงสัยเรื่องอเล็กซ์ขัดขวางกระบวนความคิดที่จะทำเรื่องอื่น เขานึกสงสัยว่าตัวเองแค่ไม่มีอารมณ์สร้างบรรยากาศแบบครั้งก่อน หรือเป็นเพราะว่าเขาสนใจใคร่รู้ความสัมพันธ์ของเด็กคนนั้นกับเพื่อนตัวเองเหนือกว่าภารกิจที่ตัวเองอยากทำกันแน่
“อ้อ เจอเมื่อสามวันก่อน ในท้องฟ้าจำลอง”
กลุ่มกบฏบางกลุ่มต้องการทำลายนิวโฮป จึงไม่ใช่ทุกกลุ่มที่ยินดีอ้าแขนต้อนรับพวกเขา และข้อสำคัญคือ พวกเขาจะติดต่อคนเหล่านี้ได้อย่างไร จะรู้ได้อย่างไรว่ากลุ่มไหนตอบโจทย์ที่พวกเขาต้องการไม่มีใครตอบได้ แม้แต่บลูก็จนแต้ม เขาเพียงแค่อยากอยู่ที่นี่ ใกล้กับหลุมศพน้องชาย“ไมเคิล ฉันว่าไม่ปกตินะ” จอห์นปลุกสติของเขาอีกครั้งสายฟ้าของอเล็กซ์ฟาดซัดต้นไม้แถบนั้นเป็นจุณทีเดียวนับสิบต้น ขณะเดียวกันกระแสไฟฟ้าแล่นเป็นวงรอบตัวเขา อาคุสะเริ่มตื่นตัว ออร่าสีเขียวและเหลืองแผ่ออกไป“อเล็กซิส ถอยออกไป!” เป็นอเล็กซ์ที่ตะโกนเตือนแฟนสาว “ฉันคุมมันไม่ได้!”“แย่ละ” ไมเคิลกับจอห์นวิ่งเข้าไปอเล็กซิสควบคุมมวลน้ำเพื่อดับไฟ แต่กระแสไฟฟ้าของคนรักยังแล่นออกมาเรื่อย ๆ จนเธอเริ่มหาที่หลบไม่ได้ เขาหาทางจะเข้าไปช่วยฝาแฝด ตอนนี้แทบมองไม่เห็นอเล็กซ์เพราะมีแต่กระแสไฟฟ้าพัวพันรอบตัวเทสซ่าหวีดร้องขึ้นมา เธอกับอาคุสะจับมือกันแน่น พื้นดินบริเวณนั้นสั่นสะเทือน เขาสบตากับจอห์น ใช่ แผ่นดินไหว แต่...ฝีมือธรรมชาติหรือสัญชาตญ
ทุกคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ที่แท้นาฮีมานาไม่ได้คิดจะให้พวกเขากลับนิวโฮปแต่แรก ไมเคิลหันไปมองพวกเพื่อน ๆ เทสซ่านั้นคิ้วขมวดจนเป็นปม เธอนั่งกอดอกหลังตรงแล้วเม้มปากแน่น หากแต่ไหล่สั่น ขณะที่คนอื่นถกเถียงกัน อเล็กซิสก็นั่งเท้าคางใช้ความคิด ไมเคิลสัมผัสความรู้สึกร่วมของคนในนี้ได้อย่างหนึ่ง นั่นคือความเศร้าเมื่อรู้ว่าจะไม่ได้กลับบ้าน หรืออาจจะไม่มีวันได้กลับ“ถ้าหาก...ถ้าหากเราทำให้เมเคอร์เข้าใจได้ว่าพวกเราไม่เป็นภัย พวกเราเป็นชาวนิวโฮป อยากปกป้องบ้านเหมือนกัน ถ้าเราทำให้เขาเห็นจุดยืนของพวกเราว่าไม่ได้เป็นภัยต่อไลบราเรีย ต่อโลก...” ไมเคิลเลิกคิ้ว เพราะเทสซ่าพูดเหมือนอเล็กซิสเปี๊ยบ“ฉันคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยเทสซ่า เมเคอร์ไม่มีวันให้กองกำลังกับพวกเธอแน่”“ฉันไม่ได้หมายถึงกองกำลัง ฉันหมายถึงตัวพวกเราเอง ถ้าเขามองว่าพวกเราเป็นภัย ทำไมไม่มองว่าพวกเราเป็นอาวุธให้พวกเขาได้”“เทสซ่าพูดถูก” เซนว่า “ทหารสามคนนั้นก็เป็นกลุ่มเสี่ยง”“ลูเซียนบอกว่าเพราะพวกเขาเป็นชาวไลบราเรียนอยู่ก่อนแล้ว ทั้งยังถ
มีเพียงสิ่งลมเขย่ากิ่งไม้ไปมา แสงสีแดงริบหรี่จนแทบเลือนหายไป ความมืดย่างกรายแทนที่ แต่ดวงตาสีน้ำเงินของอเล็กซิสกลับสว่างไสว ช่างเหมือนกับดวงตาคู่นั้นที่คอยจ้องเขายามค่ำคืน ไมเคิลในวัยเด็กมีอาการตื่นตระหนกบ่อยครั้ง และลูก้าเป็นคนปลอบเขา ถึงแม้เขาไม่เคยล่วงรู้เรื่องแฝดอีกคน แต่เพราะดวงตาของเธอเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาอยากอยู่ใกล้เธอ ในยามนี้เขาอ่านความคิดเธอออก ผ่านแววตาและสีหน้า ทั้งคู่ไม่คิดว่าลูเซียนโกหก อย่างไรก็ตามยังคิดว่าอีกฝ่ายบอกไม่หมด ความปรารถนาดีมีบางอย่างเคลือบแฝง ผลงานของลูเซียนคือเครื่องมือที่ฆ่าโนเอลและเบน เขาไม่มีวันให้อภัย เพียงแต่ว่า พวกเขาจะต้องชั่งใจให้ได้ว่าการเชื่อฟังลูเซียนจะเป็นประโยชน์มากกว่าเพิกเฉยหรือไม่เขารู้ว่าอเล็กซิสเสียใจ เธอบอกน้องชายคนนี้เสมอว่านิวโฮปจะเป็นบ้านใหม่ของพวกเขา“อเล็กซิส ไมเคิล” หญิงสาวผมสีดำเรียกสติฝาแฝดทั้งสอง “กลับกันเถอะ มืดแล้ว”“เดี๋ยว...” เขาชะลอเธอรอฟัง แต่เป็นพี่สาวของเขาที่พูด“ถ้าคุณอยากให้พวกเราคล้อยตามลูเซียน คุณต้องบอกมาให้หมดว่าคุณกับเขารู้จักกัน
ดวงตาสีแดงกลอกไปมาราวกับดูแคลนคำพูดของพวกเขา “ผมหวังดี ที่พวกเขากลับไปไม่ใช่เพราะถอย แต่จะกลับมาอีกครั้งพร้อมกับกองทหารและอาวุธมากมาย เมเคอร์ไม่ปล่อยพวกคุณแน่นอน เขาไม่อยากยืดเยื้อ และคราวนี้ได้คงใช้วิธีดึงอาร์คาเดียมาช่วย ทั้งนิวโฮปก็เจอปัญหา ดังนั้นถ้ากำจัดพวกคุณได้เร็วเท่าไร ฝ่ายทหารจะโฟกัสกลับนิวโฮปได้ดีขึ้น”“เกิดอะไรกับนิวโฮป” อเล็กซิสซักทันที “เมเคอร์...เจ้าชายเมเคอร์ใช่ไหม ที่คุณว่า”ลูเซียนพยักหน้า “ใช่ ตำแหน่งเขาสูงกว่าผม ถ้าคุณสังเกตคำนำหน้า ผมเป็นลอร์ด เขาถือตำแหน่งเจ้าชาย เมเคอร์ต้องการทำลายกลุ่มเสี่ยง เขาเห็นว่าพวกคุณเป็นภัย” ชายอัลบิโนขยับตัว มีภาพยานสงครามฝูงหนึ่งปรากฏขึ้น เขาชี้ไปที่รูปพวกนี้ “นี่คือสิ่งที่พวกคุณจะเจอ ในดิสก์แผ่นนี้ ผมมอบโลเคชันให้พวกคุณหนีไปหลบภัย รับรองว่าไม่มีใครเข้าไปยุ่งกับที่นี่ได้ เมื่อสถานการณ์ในนิวโฮปดีขึ้น ผมจะหาทางทำให้เมเคอร์เปลี่ยนใจ”“คุณมีพลังจิตไม่ใช่หรือ คุณควบคุมจิตใจเขาได้...” อเล็กซิสว่า“ถ้าผมทำได้ผมทำไปนานแล้ว” แต่สาย
แดดสนธยาส่องผ่านร่มไม้จนเกิดลำแสงสีทองเป็นริ้ว คนสามคนเดินย่ำเท้าไปตามใบไม้แห้ง ลมเย็นโชยสลับผสานกับลมร้อนในตอนกลางวัน เวลากำลังผลัดเปลี่ยนเข้าสู่ช่วงกลางคืน“คุณแน่ใจใช่ไหมว่าไม่ใช่กับดัก” อเล็กซิสถามยายแม่มด (และพักนี้ไมเคิลมักใช้คำนี้บ่อย เพราะไอ้นิสัยชอบรู้เรื่องมากมายแต่ไม่ยอมเล่าให้หมดของนาฮีมานาทำให้เขารำคาญ) “เราจับโดรนสอดแนมมาได้สามวัน แล้ววันนี้เขาก็เรียกแค่พวกเราแค่สามคน ทำไมต้องเป็นคุณ ทำไมต้องเป็นพวกเรา”“เขาไม่ชอบคนเยอะ อาจเป็นเพราะพวกเธอเห็นหน้าเขาแล้วมั้ง แต่ฉันเชื่อว่ามันเป็นจุดประสงค์ดี”เธอมั่นใจอะไรในตัวคนคนนี้กัน คนที่สามารถแฝงตัวอยู่ในกลุ่มเมื่อไรก็ได้เพียงแค่ควบคุมสมองไม่ให้มองเห็น สามารถปรับเปลี่ยนความคิดใครก็ได้ แล้วจะเชื่อใจนาฮีมานาได้อย่างไร ไมเคิลสงสัยนัก“ผมไม่คิดอย่างนั้นนะ” เขาโพล่ง “ลูเซียนเป็นหัวหน้าทีมวิจัย คุณรู้หรือเปล่าว่าพวกเราผ่านอะไรมาบ้างกับงานของทีมวิจัย เราต้องเสียอะไรบ้างกับงานของเขา”“ฉันรู้ดี” นาฮีมานาตอบโดยไม่หันมามอง เ
เช้าวันต่อมา บอร์ญ่ายังคงเป็นคนมาเสิร์ฟอาหาร และบราวน์ไม่เข้ามาอีกเลย เขานั่งนับวันตั้งแต่โดนจับจึงนึกได้ว่านี่คือวันศุกร์ เจ้าของบ้านคงออกไปทำงาน ดังนั้นทั้งวัน เขาเอาแต่ทบทวนสิ่งที่ชายคนนั้นบอก“ตัวตนที่ยังหลงเหลือ” เจสซี่ไม่มีความรู้เรื่องสมองของมนุษย์ คงจะดีกว่านี้ถ้าเขาโทรหาไบรซ์หรือคาเลบได้ ความทรงจำของมนุษย์ถูกลบได้หรือเปล่า สมองของมนุษย์ทำงานอย่างไร“ไลบราเรียน...เอไลโต” เขาท่อง “ฟุตบอล ออสโล่”เมื่อถึงมื้ออาหารเย็น แคดมันเดินเข้ามา อาหารเย็นวันนี้มีเพียงแซนด์วิชกับน้ำเปล่า และช็อกโกแลตบาร์สองแท่ง เมื่ออีกฝ่ายวางถาด เขาเอื้อมไปจับข้อมือ“เวด”แคดมันสะบัดออกจนน้ำหกกระจาย ดวงตาที่มีสีฮาเซลอ่อนกว่าจ้องกลับมา แววตาคู่นี้ขึงขังดุดันและพร้อมจะเอาเรื่องได้ตลอดเวลา“นายจำอเล็กซิสได้ไหม”“หุบปาก”“ออสโล่ เด็กหนุ่มผมสีแดงใบหน้าตกกระ เกิดอะไรขึ้นกับเขา”“หุบปาก!”“ซานโบซ่า!”มือข้างขว