Masuk“เออ ไม่มีน่ะสิ”
พวกเขาหยุดอยู่หน้าประตูโลหะสีดำ มันเป็นสีดำ เพราะอย่างนี้นี่เอง ห้องนี้จึงโดดเด่นขึ้นมาจากห้องอื่น เพราะสีที่ต่างกับที่อื่นทำให้เบนรู้สึกถูกใจขึ้นมาทันที แม้ยังไม่เห็นว่าข้างในเป็นอย่างไรก็ตาม สีดำเป็นสีคลาสสิกและสะท้อนรสนิยม เพราะสีดำมีสไตล์ในตัวมันเอง
อเล็กซ์เปิดประตูนำเข้าไป ดวงตาสีดำเปิดประกายเจิดจ้าขึ้นทันทีที่ก้าวเข้ามาอยู่ในห้องเหมือนเด็กที่เห็นของเล่นถูกใจ ที่แท้ ห้องนี้คือห้องท้องฟ้าจำลองขนาดใหญ่ ทรงกลม มีโปรเจ็คเตอร์ตั้งอยู่ตรงกลางห้อง พร้อมกับที่นั่งรอบกำแพงจำนวนสิบที่ ท้องฟ้าจำลองยามค่ำคืนอวดดวงดาวนับพันที่กำลังส่องแสงระยิบระยิบ ตรงข้ามกับอเล็กซ์ เบนกลับผิดหวังที่มันเป็นท้องฟ้าจำลอง เพราะเขาไม่ใช่คนที่สนใจดูดาวพวกนี้เลย ทั้งความเงียบและท้องฟ้ามืด ๆ ดาวอะไรก็ไม่รู้ เบนไม่รู้สึกว่ามันน่าตื่นเต้น เขายอมอยู่ในห้องฉายภาพยนตร์ที่มีแต่หนังโรแมนติกเก่า ๆ เล่าเรื่องราวความรักน้ำเน่ายังดีกว่า อเล็กซ์เดินวนไปวนมา จ้องมองท้องฟ้าข้างบนด้วยท่าทางครึกครื้น
“นี่นะเหรอ...ที่ที่นายบอกว่าเจ๋ง”
“เดี๋ยวสิวะ อย่าเพิ่งตัดสิน”
เบนมองอเล็กซ์ที่หยิบบุหรี่ขึ้นมาจุด เขามีไฟแช็กแฮนด์เมดเป็นของตัวเองเหมือนกัน เป็นรุ่นที่ทำจากทองคำและทนต่อแรงลมได้ ควันบุหรี่ลอยขึ้นบนอากาศอย่างอิสระ ที่นี่ไม่มีเครื่องดักควันเหมือนที่อื่น
“เข้าใจละ” เบนยิ้มกว้างแล้วรีบหยิบบุหรี่ของตัวเองขึ้นมาสูบ พวกเขาหัวเราะพร้อมกันและฉลองการค้นพบของอเล็กซ์ด้วยการพ่นควันกลิ่นกัญชาไปทั่วห้อง “ชนแก้ว!” ทั้งสองชนมือที่ถือบุหรี่
พอบรรยากาศคึกเข้าหน่อย อเล็กซ์เริ่มเล่น เขาย่อขาแล้วกระโดดขึ้นไปในอากาศ ท่าทางนั้นเหมือนกับกำลังบินขึ้นไปราวกับจรวด จากนั้นอเล็กซ์ลอยค้างอยู่ในอวกาศจำลองหลายวินาที ไม่นาน ร่างของเขาค่อย ๆ ตกลงมา เท้าแตะพื้นอย่างนิ่มนวล เขาดูมีชีวิตชีวามากขึ้นเมื่อได้อัดกัญชาเข้าปอด
เบนปลดปล่อยพลังจิตของตัวเองเช่นกัน เขาควบคุมเก้าอี้ในห้องให้ลอยขึ้นแล้วทำเป็นรูปบันไดซ้อนกัน บันไดแห่งสรวงสวรรค์ เขาคิดเอาเองแล้วปีนขึ้นไป แม้เบนไม่อาจพุ่งตัวลอยขึ้นไปในอากาศเหมือนอเล็กซ์ แต่เขาสามารถยืนอยู่บนนั้นได้นานกว่า
“เบน ฉันคิดว่านายควรคุยกับซาร่าห์จริง ๆ จัง ๆ สักทีนะ ฉันหมายความว่าอย่างนั้นจริง ฉันไม่ได้โกรธเธอเลย แต่เรากลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้ มันเป็นเพราะว่านายเป็นคนทำให้เธอตกหลุมรักนาย ตัวนายก็รู้ดี”
เวลาที่อเล็กซ์เอ่ยชื่อซาร่าห์และขอให้เขาทำแบบนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับเขา
“ฉันกลับไปคบกับเธอไม่ได้ และนายก็ไม่ควรทำเหมือนเธอเป็นของเล่นด้วย คบกันแบบเพื่อน เธอเป็นคนดีคนหนึ่งเลย” อเล็กซ์พูดขึ้นมาจากด้านล่าง
“แต่ถ้าคบกันแบบแฟน เธอก็จะเป็นฝ่ายนอกใจเหมือนที่ทำกับนาย ทำไมนายถึงคิดว่าฉันปฏิบัติกับซาร่าห์เหมือนเป็นของเล่นล่ะ” เบนลดระดับเก้าอี้ให้ต่ำลง แล้วตัดสินใจนั่งคุยกับเพื่อนข้างล่าง
อเล็กซ์กอดอก ทำท่าขึงขัง “ก็คืนที่ฉันอยู่กับจูลี่ ฉันแอบเห็นว่านายกับซาร่าห์อยู่ด้วยกัน แล้วยังคืนอื่น ๆ อีก”
“มันแค่ความอยากของคนสองคน ไม่มีเรื่องความรู้สึกอะไรแบบนั้นหรอกน่า” เบนตอบ ถ้าไม่ใช่เพราะยายทริส...อะไรนั่นทำให้เขาค้างหรอกนะ
“แล้วยังคืนอื่น ๆ อีก” อเล็กซ์ย้ำ
เบนมองสำรวจเพื่อหยั่งเชิง แต่ไม่พบว่าอเล็กซ์มีทีท่าตำหนิหรือหึงหวงใด ๆ เขาเลยพยักหน้ายอมรับ “ใช่ คืนอื่น ๆ ก็เพราะอยาก”
เมื่ออเล็กซ์ออกปากว่าให้อภัย เขาหมายความอย่างที่พูด น่าสงสารซาร่าห์ ตรงที่เธอไม่มีอภิสิทธิ์เหมือนเบน เบนรู้อยู่เต็มอกว่าอเล็กซ์จะให้อภัยเขาทุกเรื่องแม้เขาทำผิด ไม่ว่าจะเรื่องอะไร แม้อเล็กซ์ให้อภัยซาร่าห์ แต่เขาไม่สามารถคงสถานะคู่รักได้เหมือนเดิม ไม่เหมือนกับที่อเล็กซ์คงความเป็นเพื่อนและพี่น้องกับเบน สายสัมพันธ์ของพวกเขาแข็งแกร่งเกินกว่าสิ่งใดมาทำลายได้ แม้เบนจะนอนกับแฟนของอเล็กซ์มาแล้วหลายคน อเล็กซ์ก็ยังคงอภัยเบนเสมอ
ราวกับอ่านใจเบนออก อเล็กซ์รีบบอก “อย่าคิดเข้าข้างตัวเองว่าฉันให้สิทธิพิเศษแก่นายมากกว่าเธอ ฉันกลับไปหาซาร่าห์ไม่ได้ เพราะพวกเราไม่ได้รักกันแล้วต่างหาก”
“เรื่องของฉันกับซาร่าห์ก็ไม่เกี่ยวกับความรักเหมือนกัน” เบนถอนหายใจ “อย่าห่วงเรื่องของฉันกับแฟนเก่านายเลย ยัยนี่ก็แค่เลิฟแมชชีน นายก็รู้ เธอเกลียดฉันมากขนาดไหนพอรู้ความจริง แต่เพราะซาร่าห์มีความต้องการเยอะ เธอแพ้ให้กับทุกคนที่ตอบสนองเธอ เราแค่ตอบสนองกันและกัน มันไม่ใช่ความรักหรอกอเล็กซ์ ฉันอาจหลอกเธอก็จริง แต่ถ้าเธอซื่อสัตย์กับนายจะตกหลุมพรางได้ไงเล่า แล้วไอ้คืนที่ฉันนอนกับทริสช่า (“ทริสต้า” อเล็กซ์แก้ให้) ฉันก็แค่อยากรู้ว่าซาร่าห์จะช่วยขจัดไอ้ประสบการณ์แย่ ๆ ที่ฉันเจอยัยซากหินมาได้หรือเปล่า และเธอก็ตกลง นี่แหละ เหตุผลที่ว่าทำไมยัยนี่ไม่สมควรคบกับนาย ฉันทำให้นายเห็นว่าแฟนเก่านายเป็นคนยังไง ก็เหมือนกับผู้หญิงคนอื่น พวกนี้ชอบผู้ชายรวย ๆ พอฉันคุยฟุ้งเรื่องหุ้นที่มี เธอก็ถอดเสื้อทันที เห็นไหม”
“เบน แต่ซาร่าห์ไม่ใช่ผู้หญิงพวกนั้น เธอรวยอยู่แล้ว”
“แต่เธอมองผู้ชายที่คุณสมบัติ เธอทิ้งนายเพราะนายเป็นหนึ่งในทายาทธุรกิจ และเลือกฉันที่เป็นทายาทเพียงคนเดียว” เบนหลับตา พอพูดเรื่องนี้แล้วกลับเจ็บแปลบในอก “พูดให้ถูกก็คือ เคยเป็น”
พอเห็นว่าอเล็กซ์จนมุม ไม่เถียงต่อ เบนสูดควันเข้าปอดไปเต็มที่ แล้วสรุปความให้ “นายก็รู้จักผู้หญิงประเภทนี้ดี ตอนนี้ฉันรวมยัยนมโตเข้าไปในรายชื่อกลุ่มนี้ด้วยล่ะนะ”
“แต่นายล่อลวงเธอก่อน” อเล็กซ์สูดควันบ้าง ไม่ยอมแพ้ “เลิกตรวจสอบคุณสมบัติผู้หญิงให้ฉันได้แล้ว หาของนายเองสิวะ”
“แต่นายไม่ได้โกรธนี่ นายขอบคุณฉัน รู้หรอกน่า”
“หุบปาก ฉันเกลียดที่นายชอบจีบแฟนของฉันทุกคน!”
“ไม่ทุกคนซะหน่อย ฉันไม่ได้นอนกับ...วิโอน่า โลล่า และแคลร์ พวกเธอน่ารักนะ แต่นายไม่รู้จักรักษาไว้เอง”
อเล็กซ์คำรามเบา ๆ เบนจำชื่อพวกเธอเหล่านี้ได้อย่างแม่นยำ เพราะสามคนนี้เป็นพวกที่สอบผ่าน แต่ผิดที่อเล็กซ์ ที่เขาไม่สามารถรักษาความสัมพันธ์กับผู้หญิงพวกนี้ไว้ได้
เบนตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง “เอาเถอะ ฟังเรื่องของฉันดีกว่า เมื่อเช้า ฉันเจอเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง...สวยมาก ๆ” เพียงแค่นึกถึงใบหน้านางฟ้าคนนั้นแล้ว หัวใจของเขาเต้นแรง ดอกไม้ดอกนี้สมควรอยู่ในมือของเขา และถ้าเกิดเบนไม่ได้อยู่ในโลกอนาคตจำลองแห่งนี้แล้วล่ะก็ ฐานะและเงินทองที่เขามีคงช่วยให้เขาเอาชนะใจเธอได้ไม่ยาก เหมือนกับสาวคนอื่นที่เขาเคยผ่านมา
“หวังว่าคงไม่ลงเอยเป็นทริสต้าสองนะ” อเล็กซ์เยาะ
เบนสูดควันสุดท้ายเข้าปอด ใครมองกัญชาเป็นสิ่งเสพติดหรือปีศาจร้ายก็ช่าง สำหรับพวกเขา มันยิ่งกว่ายาอายุวัฒนะ “แค่มองหน้าเด็กคนนั้น ฉันรู้ว่าเธอจะช่วยขจัดความทรงจำร้าย ๆ ที่เกี่ยวกับยัยทีน่าไปจนหมด”
“ทริสต้าโว้ย”
เบนแย่งบุหรี่ของอเล็กซ์มาสูบแทนของตัวเองที่มอดไปแล้ว
อเล็กซ์สั่นหัว “รู้อะไรไหม นายไม่ได้ลืมชื่อเธอหรอก แต่แกล้งลืมต่างหาก นายมันสันดานไม่ดี เธอทำให้นายรู้สึกแย่ใช่ไหมล่ะที่ไปไม่ถึงจุดสุดยอด หรือนายห่วยเอง”
เบนส่ายหน้า แต่น้ำเสียงที่ตอกกลับอเล็กซ์กลับดังกว่าเดิม “แน่นอนว่าไม่ใช่โว้ย ทันทีที่ผู้หญิงแบบนี้อ้าขาให้ฉัน...”
“...นายจะจำชื่อพวกเธอไม่ได้ทันที เพราะระบบความจำในสมองของนายมันบกพร่อง เออ ได้ยินมาล้านรอบแล้ว” อเล็กซ์จบประโยคให้ก่อนที่เบนจะพูดจบ
“นี่ใช้คำว่าสมองบกพร่องเลยเหรอวะ ฉันว่าฉันไม่ได้ใช้คำนี้นะ”
“ทำไม ฉันใช้เองแหละ ก็มันบกพร่องจนกู่ไม่กลับนี่หว่า”
เบนถอนหายใจ เพื่อนสนิทจะด่าอะไรก็ด่าเถอะ เขายอมรับว่าพอได้อัดบุหรี่เข้าปอดแล้วค่อยรู้สึกดีขึ้นจริง ๆ แม้มันไม่ได้ส่งผลอะไรมากเหมือนกับคนปกติ แต่ความรู้สึกปริ่ม ๆ นี่แหละที่เขาชอบ
“แต่ฉันอยากเด็กดอกไม้ดอกนั้นจริง ๆ นะ” เบนว่า ก่อนจุดบุหรี่มวนที่สอง
“แต่คุณบอกว่ามันจะใช้คุณเป็นตัวประกัน” ไมเคิลเถียง“ใช่ ตัวฉัน เพียงแค่ร่างกายที่ยังมีลมหายใจ”อเล็กซิสเข่าอ่อนจนทรุดตัวลง ก้มหน้าซ่อนสะอื้นลงกับตักหญิงสาว นาฮีมานาอาจไม่ใช่แม่ของกลุ่มเสี่ยง แต่เปรียบเหมือนกับผู้ใหญ่หรือไม่ก็พี่สาวที่พวกเขารู้สึกสบายใจเวลาเห็นเธอ เปรียบดั่งต้นไม้ที่ให้ร่มเงาทางจิตใจ“แต่ว่า...ก่อนจะออกไป ฉันมีเรื่องจะขอร้อง”เมื่อนั้นเธอจึงเงยหน้าขึ้น นาฮีมานาจับมืออเล็กซิสกับไมเคิล“เผาทุกอย่างในนี้”ทั้งสองพยักหน้า“ถ้าเห็นอะไร ทำใจไว้นะ แต่ฉันคิดว่าอย่าปล่อยไปเลย พวกเขายังไม่รับรู้อะไรหรอก”ทว่าประโยคหลังนั้น ทั้งสองไม่เข้าใจ นาฮีมานาคะยั้นคะยอให้พวกเขาออกไปจากที่นี่อีกครั้ง มืออีกข้างหยิบปืนที่พวกนั้นทิ้งไว้ เธอพยักหน้าให้ทั้งสองเห็นว่าไม่เป็นไร“พวกเธอไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว ไปเถิด”“เหลืออีกห้านาที”นาฮีมานาไม่ต้องการให้พวกเขามอง หรือรับรู้ ทั้งสองจึงเดินออกไปหน้าลิฟต์ ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นจึงได้ยิน
“พาตัวเธอมา” เธอหันไปสั่งเพื่อนร่วมงานหรือลูกน้อง อเล็กซิสไม่มีวันรู้ไม่ถึงหนึ่งนาทีได้ คนของอาร์คาเดียจึงประคองนาฮีมานาออกมา เธออยู่ในสภาพอิดโรย ผมสีดำยุ่งเหยิง แก้มที่ตอบอยู่แล้วลึกลงไปราวกับผิวหนังปกคลุมเพียงโครงกระดูก เธอออกจากกลุ่มไปก่อน อเล็กซิสไม่รู้เลยว่าหญิงสาวโดนจับไปเมื่อไร“ได้โปรด เราพาเธอมาแล้ว”“เหลืออีกสิบนาที” พวกเขามองหน้ากันอย่างตื่นตระหนกเพราะกลัวหนีไม่ทัน“ทำไม ที่นี่จะระเบิดหรือ”พวกเขาส่ายหน้า ทั้งสองไม่เชื่อ แต่เมื่อเห็นนาฮีมานาพยักหน้าให้มั่นใจว่าเป็นเรื่องจริง อเล็กซิสจึงหันไปพยักหน้ากับไมเคิล เขาจึงบอกให้คนที่เหลือออกไป ทั้งหมดทิ้งอาวุธแล้วรีบวิ่งหนี บางคนแย่งกันออกไปจนมีเสียงโวยวายล้มลุกคลุกคลาน ส่วนพวกเขารีบไปประคองนาฮีมานาที่ถูกทิ้งลงกับพื้น“มานา...”หญิงสาวสบตากับทั้งสองแล้วยกมือจับแก้มคนทั้งคู่ เพียงสัมผัสอเล็กซิสกลับรู้สึกสบายตัว อากาศปวดตามตัวและที่หน่วงอยู่ในท้องก็อันตรธานหายไปทันใด เมื่อเธอมองไมเคิลจึงเห็นว่าบาดแผลบนใบหน้
“เหลืออีกยี่สิบนาที”สิ่งที่อเล็กซิสเกลียดที่สุดคือการไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน และเกิดอะไรขึ้น แม้เข้าใจจุดประสงค์ของผู้ลักพาตัว แต่ไม่สามารถรู้ได้ว่าตัวการเป็นใคร ทั้งสองยืนมองนักวิทยาศาสตร์วิ่งหนีออกจากตึกจากบานหน้ากระจกขนาดใหญ่บนชั้นลอยเปิดสู่โถงด้านล่าง ประตูทางออกนั้นไม่ได้เปิดออกไปแล้วเห็นด้านนอก แต่ไปยังลิฟต์ที่เคลื่อนตัวขึ้นไปด้านบน โถงด้านล่างกินพื้นที่ถึงห้าชั้น มันกว้างใหญ่ พวกเขาวิ่งหนีขึ้นลิฟต์ บ้างแย่งกัน แต่เพราะจำนวนมีจำกัดจึงไม่อาจขนส่งคนออกไปได้ทันทีแต่ก็ทำให้เธอรู้ว่าทั้งหมดอยู่ใต้ดินขณะนั้นไมเคิลปรายตามองทีมรักษาความปลอดภัยที่อยู่ด้านล่าง พวกเขาไม่ได้สวมชุดทหารสีเทาแต่เป็นสีน้ำตาล ในมือถือปืนเลเซอร์ขนาดใหญ่เล็งมาแต่ยังไม่ได้ยิง หรือพูดไม่ถูกคือไม่กล้ายิงเพราะกลัวผลโต้ตอบที่รุนแรงกว่า อีกกลุ่มคอยอพยพและจัดระเบียบ พวกเขามองขึ้นมาอย่างหวาดผวา ส่วนเธอกับไมเคิลมองลงไปด้วยสายตาว่างเปล่า“ปล่อยไปเถอะ เราต้องการเพียงมานา”อเล็กซิสไม่ได้ใจดี เธอแค่ไม่อยากเสียเวลาไมเคิลพยักหน้าแต่สายตายังจับจ้อง
แม้สายตาจะคอยชำเลืองมองแฝดที่ยืนจังก้าอยู่ด้านหน้าประตูรอให้พวกมันเข้ามา อเล็กซิสใช้เวลานี้เรียกข้อมูลขึ้นมาเรื่อย ๆ นอกจากจะเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอของพวกเขาแล้ว พวกมันต้องการเซลล์ไข่ของเธอและสเปิร์มของแฝดเพื่อผสมเทียม สมมติฐานของคนพวกนี้นั่นคือ เธอและไมเคิลเป็นกลุ่มเสี่ยงคู่เดียวที่สามารถให้กำเนิดทายาทที่มีลักษณะพิเศษได้ เหมือนอย่างที่ลูก้าและเจมม่าเคยให้กำเนิดคนทั้งสอง เนื่องจากกลุ่มเสี่ยงคนอื่นล้วนมีภาวะมีบุตรยากหรืออาจจะถึงขนาดไร้ประสิทธิภาพที่จะมีทายาทเลยก็ว่าได้เพื่ออะไร ผลิต...ผลิตกองทัพผู้มีพลังพิเศษด้วยตัวเองหรือปัญหาคือ เธออยากรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง เอไลโตทั้งหมด หรือบางคน? ที่แน่ ๆ พวกมันใช้คาเรลที่สมควรถูกประหารชีวิตไปแล้วปลอมตัวเป็นไมเคิลมากหลอกเธอเสียงฝีเท้ามากมายมาเป็นโขยงโดยที่แฝดชายยืนรออยู่ อเล็กซิสถอยห่างจากโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน“อยู่เฉย ๆ” คนข้างนอกตะโกนเข้ามา “อย่าขยับไม่อย่างนั้นพวกเราจำเป็นต้องยิง!”ชายหนุ่มผมเงินหัวเราะดูแคลนคนข้างนอก พริบตาเดียวเปลวเพลิงลุกโถมเข้าใส่ประตูด้านหน้า ทีมรักษาความป
ความเงียบกลับมาปกคลุมอีกครั้งพร้อมกับสภาพเครื่องมือล้มระเนระนาด รวมทั้งจานที่บรรจุเซลล์ไข่แตกละเอียด เพียงเธอมอง ของเหลวในนั้นแห้งเหือดตรงมุมขวาของห้องมีกล้องวงจรปิดอยู่ อเล็กซิสยกมือขึ้นทำท่าบิด มันแตกแล้วตกลงมา เพียงเท่านั้นเธอรีบลุกออกจากเตียงเพื่อไปหาไมเคิล แต่เพียงขยับก็เจ็บหน่วงที่ท้อง สุดท้ายกลั้นใจหยิบผ้าคลุมมาพันตัวแล้วเดินไปหาน้องชาย มันไม่ได้เจ็บมากนัก แต่แปลบ ๆ หน่วง ๆ เหมือนเวลาที่เธอเคยมีประจำเดือน“ไมเคิล” เธอจับแก้มที่มีแผลไหม้แล้วสงสารจับใจ ใบหน้าของเขาคือของขวัญล้ำค่าที่ไม่ว่าใครก็อยากจะถนอมดูแล แล้วดูตอนนี้สิ อเล็กซิสดึงเครื่องรัดออกแล้วสวมกอดคนที่นอนอยู่แน่นเพื่อให้เขาฟื้นตัว “ไมเคิล ตื่นสิ ไมเคิล”ชายหนุ่มส่งเสียงครางอือ ๆ เบา ๆ เธอถอนตัวขึ้นมาเพื่อรอให้เขาฟื้น เขาเริ่มขยับริมฝีปาก “รอ...”“ไม่ต้องรอ” เธอบอกพลางกุมมือเขาแน่น น้ำตาเอ่อขึ้นมาเมื่อมองแฝดชายราวกับเห็นร่างของซีโน่ที่กำลังจะตาย “ตื่นขึ้นมา ฉันจะปกป้องนายเอง”เขากะพริบตาก่อนจะลืมตามอง ดวงตาสีฟ้าเข้มสบกับของเ
มีกี่เรื่องที่ทำให้คนเราฝันร้าย แต่เมื่อตื่นเหมือนกับโผล่ขึ้นผิวน้ำปีศาจในความทรงจำล้วนมีมากหน้าหลายตา และกลุ่มแรกมีชื่อว่าคาเมรอนกับบรูซ ยังดีที่โชคยังเข้าข้าง ต่างกับตอนนี้ที่ตกอยู่ในเงื้อมมือปีศาจใต้หน้ากาก หมดสิ้นอิสรภาพโดยสิ้นเชิงสติไปไหน เหตุใดจึงรู้สึกล่องลอย บางครั้งตื่นตัว บางครั้งไม่รู้สึกมันมากันเป็นกลุ่ม จับร่างของอเล็กซิสขึงเพื่อเอาบางสิ่งจากกาย หากขัดขืนดิ้นรนก็จะได้รับความเจ็บปวดสาหัสจนไม่อาจขยับได้ไปหลายนาที คงเป็นเพราะกายหยาบนี้ทนทานต่อยาสลบจึงตื่นเร็วเกินไป แต่ต่อให้ทนได้เพียงใดก็ไม่ได้แปลว่าไม่เจ็บปวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมรุกล้ำเข้ามาเสียงกรีดร้องอ้อนวอนขอให้พวกมันหยุดไม่เป็นผล แม้เมื่อมันได้สิ่งที่ต้องการก็ยังไม่ปล่อยอเล็กซิสกับไมเคิลไป พวกมันเอาขาหยั่งออกแล้วปล่อยให้ขาเธอนอนเหยียดยาวโดยมีเครื่องล็อกตรึงไว้ไม่ให้ขยับ“พวกแกต้องชดใช้” เสียงที่ตะโกนออกไปกลั่นออกมาจากความแค้นที่อยู่ลึกสุด แต่กลับฟังดูอ่อนแอเกินกว่าจะขู่ให้ผู้ใดกลัว ตรงกันข้ามกลับเรียกเสียงหัวเราะขำขันแทนเธอหันไปมอง







