เสียงเพลงในเลานจ์ดังพอสมควร แม้ดนตรีจะเป็นแจ๊สแต่ก็ออกมาจากตู้เพลง หาใช่ฝีมือนักดนตรีไม่ ครั้งแรกที่เธอเข้ามาที่นี่อดทึ่งและประหลาดใจไม่ได้เมื่อเห็นทุกสิ่งทุกอย่างขับเคลื่อนอัตโนมัติ ปราศจากหุ่นยนต์หรือแรงงานมนุษย์คอยควบคุม หรืออาจจะอยู่เบื้องหลัง มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายคอยปรนเปรอ ทุกอย่างเหมือนดีกว่าที่คิดไว้ อย่างน้อยเธอยังมีเพื่อน ทว่าความเหงาไม่ได้ทุเลาลงเลย
หากอยากฟังเพลงอะไร อยากดื่มอะไร เพียงใช้ปลายนิ้วสัมผัสหน้าจอหรือออกคำสั่งด้วยเสียง ไม่กี่วินาทีของที่สั่งก็ถูกนำมาเสิร์ฟ เธอเคยเห็นเทคโนโลยีแบบนี้แค่ในหนังเท่านั้น รัฐบาลโกหกประชาชนไว้หลายอย่าง พวกเขาปิดกั้นความรู้ไม่ให้ชาวนิวโฮปเข้าถึงดั่งอดัมกับอีฟ ทุกคนอยู่ในโลกอนาคต แต่กลับใช้ชีวิตเหมือนคนในยุคก่อน และความจริงที่เธอรับรู้ในตอนนี้อาจเป็นเพียงความจริงเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของความจริงทั้งหมดก็ได้
ไม่มีใครให้คำตอบหรืออธิบายข้อสงสัยอะไรทั้งสิ้น คนที่ถูกจับทั้งหมดถูกทิ้งให้ใช้ชีวิตอยู่ในเกาะปลีกวิเวกสุดหรู อเล็กซิสเฝ้าถามตัวเองว่า ที่นี่มีไว้ทำอะไรกัน เธอไม่รู้ว่ามันอยู่ไกลกว่าบ้านหรือเปล่า หรือว่าอยู่ในเมืองหลวง ใต้ดิน บนฟ้า ไม่มีอะไรช่วยให้เธอเข้าใจจุดประสงค์ของโปรแกรมบำบัดมากขึ้นเลยแม้แต่น้อย เธออยู่ที่นี่มาสามวันแล้ว คนในนี้เรียกที่นี่ว่า ‘หอพัก’ แต่
อเล็กซิสกลับมองว่ามันเหมือนกับคุกห้าดาวเสียมากกว่า“เอ่อ สวัสดี เธอรู้จักจอห์น ลีลอยด์หรือเปล่า” เธอถามกลุ่มเด็กผู้หญิงที่เดินผ่าน
“รู้จักสิ ฉันคลั่งเขามาก เธอเป็นแฟนของเขาเหมือนกันใช่ไหม”
“อ่า ใช่แล้ว ๆ” อเล็กซิสโบกมือลา แล้วกลับมาหาพวกตัวเอง ถอนหายใจที่ไม่ได้ข่าวใหม่
เวดจ้องจอสั่งเครื่องดื่มจนหน้าแทบจมลงไป เขากำลังหาค็อกเทลดี ๆ มาลองชิม อเล็กซิสกับออสโล่คิดว่าเขาคงลองทุกแก้วแน่ ๆ
“สลิปเพอรี่ นิพเพิ้ล”[1]
“ชื่ออะไรวะเนี่ย!” ออสโล่หัวเราะเสียงดัง ส่วนอเล็กซิสเพียงคิกคัก
หนุ่มผมบลอนด์ยิ้มเช่นคนเหนือกว่า “ถ้านายไม่รู้จัก เซ็กซ์ ออน เดอะ บีช ก็คงไม่รู้จักอะไรพวกนี้หรอก ไอ้เด็กเนิร์ด”
“ฉันว่า อันนั้นมันของผู้หญิงนะ” อเล็กซิสออกความเห็น
“อะไรกัน แค่พวกผู้หญิงชอบสั่งไม่ได้หมายความว่ามันเป็นเครื่องดื่มของผู้หญิงสักหน่อย” เวดชี้แจ้ง เขาชิมเครื่องดื่มที่เพิ่งสั่งไป “อืม หวานแฮะ” แล้วส่งแก้วให้อเล็กซิสลอง
เธอชิมไปจิบหนึ่ง พยักหน้าหงึก ๆ “จริงด้วย หวานมาก”
“ลองสักแก้วสิออสโล่ นายเห็นแล้วนี่นาว่าเทสซ่าดื่มเก่งอย่างกับผู้ชายตัวโต เลือกสักแก้วแล้วเดินไปคุยกับเธอซะ จะได้ดูมีคลาสหน่อย” เวดให้คำแนะนำพร้อมกับส่งรอยยิ้มแบบรู้กันให้
อเล็กซิส“เกี่ยวอะไรกับเทสซ่าด้วย” หนุ่มผมแดงทำเฉไฉ
“อย่าทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้หน่อยเลย พวกเรามองออกว่านายคิดอะไรตั้งแต่เจอเทสซ่าครั้งแรกแล้ว เธอสวยขนาดนั้นนี่นา นายก็เลยเอาแต่ยืนเหวอทำหน้าโง่ ๆ”
ออสโล่หรี่ตามองเพื่อนสาว
อเล็กซิสยักไหล่เบา ๆ “ช่าย ท่าทางนายชัดมาก ขอโทษที่พูดความจริง”
“ก็ใช่ เธอสวยจริง ๆ ฉันก็แค่ผู้ชายเปล่าวะ มองปกติ ไม่มีอะไรหรอก อีกอย่าง เธอชอบผู้ชายแบบนายต่างหาก ตัวโต มีกล้าม หน้าโง่”
เวดทำหน้าฉงน “เฮ้ย ฉันไม่โง่สักหน่อย อยู่ในลิสต์ผู้เข้าชิงทุนเหมือนกับนายด้วยนะ นี่นายลืมไปแล้วเหรอไง”
“นั่นแหละ ฉันถึงสงสัยอยู่ตลอดไง ว่านายเข้ามาได้อย่างไร”
“เวดได้เอหมดทุกตัวเลยนะออสโล่” อเล็กซิสบอกเพื่อน “แถมยังเป็นกัปตันทีมฟุตบอลอีกต่างหาก ฉันรู้ว่ามันอาจไม่น่าเชื่อเท่าไร แต่เขาไม่ใช่พวกไอ้โง่ที่มีดีแค่หุ่นแน่นอน”
“ทำไมคำว่าโง่เยอะจัง” หนุ่มผมบลอนด์พึมพำ
“อ้อ จริงสิ ชอบลืมอยู่เรื่อยเลยว่าพวกนายอยู่กลุ่มไหน พวกมีอิทธิพลในโรงเรียน ได้เกรดดี ๆ เป็นนักกีฬา หน้าตาดี (“รู้ว่าประชด แต่ขอบใจ” อเล็กซิสยิ้มกว้าง) นายอย่าโทษฉันเลย โทษอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ของนายดีกว่า มันทำให้นายเหมือนกับพวกสมองช้า ใช้แต่กำลัง”
กลุ่มเด็กผู้หญิงที่นั่งอยู่โต๊ะข้าง ๆ หัวเราะคิกคักเมื่อได้ยินบทสนทนาของพวกเขา อเล็กซิสเห็นว่าสาว ๆ แอบฟังอยู่นานแล้ว แถมสายตายังมองแต่เวด มิลเลอร์จนออกนอกหน้า แม้แต่ในเกาะมนุษย์กินบัว[2]แห่งนี้ เขาก็ยังคงฮอตในหมู่เด็กผู้หญิง
เด็กหนุ่มไม่วายหันไปยิ้มให้สาวโต๊ะนั้น “อย่าโทษอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ของฉันหน่อยเลยน่า อย่าลืมสิ ฉันถูกส่งตัวมาที่นี่เพราะมีโคเคนในครอบครองไม่ถึงร้อยกรัม จะว่าไงล่ะ เรียกได้ว่า ฉันเป็นคนที่โชคร้ายที่สุดในโลกดีกว่า” เขาหันกลับไปยังหน้าจอเมนู “แองเจิล คิส”
เวดสั่งเครื่องดื่มอีกแก้วแล้วส่งให้ออสโล่ “ของนาย สหายรัก กล้า ๆ เข้าไว้ เดินหน้ารุกซะ พวกเราจะช่วยนายเอง จริงไหม อเล็กซ์”
“แน่นอน”
“โอ๊ย อย่าทำแบบนี้สิ อย่าเข้าข้างเขา”
“เปล่าสักหน่อย ฉันทำตัวเป็นเพื่อนที่ดีต่างหาก”
“เธอกลับไปหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องนั้นดีกว่า ปล่อยฉันอยู่อย่างนี้แหละ”
“เรื่องนั้นเรื่องไหน เธอคิดอะไรอยู่เหรอ” เวดจี้ถามทันที “ทำไมเธอปรึกษาแต่กับเขาล่ะ ทำไมไม่พูดกับฉันบ้าง”
อเล็กซิสกลอกตา ออสโล่ไม่ควรโพล่งออกมาเลย “ก็นายไม่เคยชอบไอเดียฉันเลยนี่นา ชอบค้านตลอด อย่าไปคิดแบบนั้นสิ อเล็กซ์ บลา บลา บลา”
“บอกก่อนสิ แล้วฉันจะบอกเองว่าชอบหรือไม่ชอบ” เวดรบเร้า
“ไม่บอก”
“เธอคิดว่าพวกเรากำลังอยู่ในฟาร์มวัวในอีสต์แลนด์น่ะ” ออสโล่ยักคิ้วกวนใส่ “เขาจะถามเธอจนกว่าเธอจะยอมปริปากอยู่ดี บอก ๆ ไปเหอะ หมอนี่ขี้ตื๊อจะตาย”
เวดดีดนิ้วให้เพื่อน “อย่างงี้สิถึงเรียกว่าเพื่อน แล้วไอ้ฟาร์มที่ว่านั่นคืออะไร”
อเล็กซิสเตะขอบเคาน์เตอร์ “นายอยากเริ่ม นายก็พูดเองเลย” เธอโยนให้ออสโล่แล้วขโมยเครื่องดื่มของเขามาดื่มจนหายไปครึ่งแก้ว
“โอเค...คืองี้ ฟาร์มวัวในอีสต์แลนด์เนี่ย พวกเขาจะให้อาหารที่ดีที่สุดกับพวกมัน ให้พวกโคดื่มเบียร์ดี ๆ นวดเฟ้นกล้ามเนื้อให้พวกมันผ่อนคลาย แล้วก็เปิดเพลงให้พวกมันฟัง จากนั้นพอถึงเวลา สวบ (เขาทำท่าปาดคอ)…อเล็กซ์คิดว่า พวกเราเหมือนวัวพวกนั้น”
เวดเม้มปาก อเล็กซิสมองตาเขียวใส่เพื่อนผมแดง
“โทษที ๆ” ออสโล่ว่า
แต่มันเป็นความจริงไม่ใช่หรือ สิ่งที่เธอคิดและหมกมุ่นมันมีเหตุผลในตัวของมันเอง เธอรู้ว่าทั้งเวดและออสโล่ต่างมีคำถามอยู่ในใจเหมือนกัน ทำไมรัฐบาลถึงจับกลุ่มเสี่ยงและกลุ่มต้องสงสัยมาปล่อยทิ้งไว้ในสวรรค์มายาแห่งนี้ด้วยเล่า แถมยังยัดเยียดสิ่งบันเทิงทุกอย่างมาให้พวกเขาเล่นฆ่าเวลา และที่สำคัญ พวกเขาไม่สามารถมองเห็นโลกภายนอกได้เลย แม้แต่ท้องฟ้า ไม่มีใครบอกว่าต้องรออะไร รอเพื่ออะไร และไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ ประการที่สอง จอห์น
ลีลอยด์ไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย แล้วเขาไปอยู่ที่ไหน รวมทั้งคนที่ถูกจับมาก่อนหน้าล่ะ พวกเขาอยู่ที่ไหนกัน คำถามเป็นร้อยผุดขึ้นมาในหัวเหมือนดอกเห็ด แต่คำตอบก็ยังคงเป็นปริศนาอยู่วันยังค่ำ“แล้วยังไงล่ะ” เวดค้านความคิดของเธอ “อย่างกับพวกเราสามารถทำอะไรได้อย่างงั้นแหละ ถ้าคนพวกนั้นจะปฏิบัติกับเราเหมือนพวกโค แล้วเธอจะทำอะไรได้ ใช้ชีวิตให้มันสุด ๆ ไปเลยเฮอะ ฉันบอกเลยนะ ถ้าพรุ่งนี้พวกมันจะฆ่าฉัน ฉันก็จะไม่เสียใจหรอก”
ออสโล่นั่งจ้องแก้วค็อกเทลอยู่เงียบ ๆ ส่วนเวดเริ่มมองเหม่อ
มีแต่ฉันสินะที่จินตนาการภาพรัฐบาลเลวร้ายกว่าใครเพื่อน
“เห็นไหม ไม่ควรพูดเลย ครั้งหน้า ฉันก็จะไม่พูดกับนายเหมือนกัน เพราะนายปากสว่าง”
หนุ่มผมแดงผลักแก้วเครื่องดื่มออกไปไกลตัว “โทษ ก็เพราะพวกเธอเริ่มก่อนนี่นา เรื่องเทสซ่าไง แต่เอาจริง ๆ นะ ฉันเห็นด้วยกับเวด ฉันรู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไร อเล็กซ์ แต่พวกเราทำอะไรไม่ได้จริง ๆ นั่นแหละ ใช้ชีวิตให้สนุกเท่าที่เราจะทำได้ อย่างน้อย ที่นี่ก็ไม่ใช่คุกหรือโรงพยาบาลอย่างที่พวกเราเข้าใจ ไม่ใกล้เคียงเลยสักนิด บางที มันอาจจะไม่ได้แย่อย่างที่เธอคิดก็ได้” เขาหันไปทางเวด “แล้วฉันก็ชอบเบียร์มากกว่า”
“น่าเบื่อ ชอบอะไรซ้ำซากจำเจ ถ้านายอยากมีแฟน นายต้องเปลี่ยนตัวเองก่อน ส่วนเธอ อเล็กซ์ ลืมเรื่องนั้นไปซะ เลิกคิดอะไรไร้สาระแล้วมาช่วยให้หมอนี่เสียซิงสักทีดีกว่า”
“หุบปากน่า ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน”
[1] Slippery Nipple ชื่อเครื่องดื่ม เช่นเดียวกับ Sex on the beach
[2] เกาะมนุษย์กินบัว Lotus-eaters Island มาจาก Odyssey เมื่อโอดิสซีอุสมาถึงเกาะนี้ คนของเขากินผลไม้ชนิดหนึ่งเข้าไป เกิดอาการหลงลืมว่าจะกลับบ้าน อยากอยู่ในเกาะเพื่อกินผลไม้ชนิดนี้อย่างเดียว
เธอพยักหน้า ไม่แย้มยิ้มซึ่งเป็นสีหน้าปกติ ลู ยัง คู่รักของเซน เอเดน พวกเขาถูกแยกจากกันเมื่อเซนต้องไปประจำหน่วยรุกกลุ่มเอ ส่วนตัวเธออยู่หน่วยสนับสนุนกลุ่มบี “พวกแกฉลาดนะ ตามยัยนี่มาช่วยฉัน”“ไปเถอะ” หญิงสาวตัดบทแล้วเดินนำทางออกไป ทั้งสามเดินตาม โอลิแวนกระซิบว่า “พวกเราคิดว่าแกตายแล้ว ตะโกนใส่หูฟังเท่าไรแกก็ไม่ตอบ”“มันพัง”“อย่างที่เด็กคนนั้นเดาจริงด้วย”“ใคร”เพียซยิ้มแห้ง “อเล็กซิส เพราะเด็กคนนี้ พวกเราจึงขอร้องลู” เขาพยักพเยิดไปทางผู้หญิงข้างหน้า สายตาบลูมองเอวบางของหล่อนแล้วอมยิ้มนิด ๆ“เด็กนั่นเกี่ยวไร” เขาเริ่มรู้สึกว่าพักหลัง ชีวิตเข้าไปเกี่ยวพันกับเด็กคนนี้มากขึ้นทุกทีเพียซถอนหายใจ “พอตึกถล่ม แต่ละคนพยายามติดต่อคนที่ตกลงไป ไม่มีใครตอบเลยรวมทั้งแก พวกฉันไม่เป็นอันทำอะไรเลยรู้ไหม ภาวนาให้แกส่งเสียงตอบ แต่แกไม่ตอบ”“ก็มันพัง” เขาย้ำ “มันพังโว้ย ฉันติดต่อพวกแกไม่ได้เหมือนกัน ลองใช้ระบบแจ้งข่าวก็ไม่ได
ใครจะไปรู้วะ ก็ยัยทหารคนนั้นบอกเองว่าใช้งานได้ แถมไม่อธิบายฟังก์ชันอีก หากใครลงมาเห็นคงนึกว่าคนบ้าสวมหมวกอวกาศชกกำแพงอยู่คนเดียว “สัตว์เอ๊ย ไอ้เอไอ มึงช่วยหาทางออกได้ไหม”แถบกระจกปรากฏลายเส้นขึ้นกลายเป็นแผนที่ บลูเห็นจุดที่ตัวเองยืนอยู่เป็นแสงสีขาวกลม ๆ กะพริบถี่ ๆ “หาทางออกให้ด้วยสิเว้ยเฮ้ย ดูไม่รู้เรื่อง”“ผมต้องสแกนก่อนนะครับ”“เร็ว ๆ”เสียงจากระบบเงียบไป เขาโมโหหันตัวเตะกำแพงอีกรอบ “โง่ฉิบ...” ทว่าเมื่อจ้องดี ๆ ยามแสงสว่างบนหน้าผากจ่อเข้ากับตัวกำแพงจึงเห็นว่ามีตัวอักษรขีดเขียนไว้มากมาย ดวงตาตาชายหนุ่มเบิกกว้าง “นี่มันอะไรกัน” ทั้งคำและข้อความ...อิสรภาพ เขาเลื่อนตาไปอีก ตามกระแสน้ำไป บางประโยคเหมือนปลุกระดม เราจะออกไปให้ได้ เขาเอามือทาบบนกำแพง บางคำถูกสลัก บางคำถูกเขียนขึ้นแม้มันเป็นเพียงตัวอักษร แต่กลับส่งพลังบางอย่างที่ทำให้ตัวเขาตกตะลึงอยู่อย่างนั้น มันเหมือนกับว่าบางสิ่งที่หลับใหลมานานแสนนานถูกสะกิด คนพวกนี้...อาจเป็นคำปลุกระ
หลังของเขากระแทกปืนที่ห้อยอยู่ข้างหลัง ไม่รู้ว่าเพราะบอดี้สูทหรือเป็นเพราะตกลงมาไม่สูงมากนัก เพียงแค่ลงไปชั้นล่าง ทว่าแผ่นคอนกรีตขนาดเท่าตัวคนกำลังจะทับ โชคดีหรือร้าย เขาไม่รู้เพราะพื้นที่รองรับทรุดลงทำให้เขาตกลงมาอีกครั้ง คราวนี้เหมือนบลูตกลงมาพร้อมโครงสร้างคอนกรีตทั้งยวง แขนของเขาคว้าขอบชั้นไรสักอย่าง ของแข็งตกวืดผ่านไหล่ มือของเขาหลุดจากขอบ ร่างดิ่งลงชายหนุ่มร้องเจ็บปวดเมื่อร่างแตะพื้น ไม่ทันได้พัก เขากลิ้งอีกหลายรอบเพื่อหลบแท่งเหล็กแหลมเฟี้ยวที่ตกตามกันมา มันเสียบปักข้างกายห่างกันเพียงสองเซนติเมตร พรึบ หน้ากากกระจกเต็มไปด้วยเลือด มือปัดป่ายไปตามร่างกาย ไม่ใช่เรา เขาไม่ได้บาดเจ็บอะไร ทว่าเลือดสีแดงข้นมาจากศพทหารที่ตกลงมาด้วยกันและเสียบเข้ากับเหล็กเมื่อครู่ มีเสียงดังตุบอีกสองสามทีพร้อมกับโครมใหญ่ เขาปัดเลือดออกแต่เห็นเพียงฝุ่นควันโขมง แต่ก่อนที่จะยืนตั้งหลักได้ พื้นที่ยืนอยู่ทรุดอีกทีแม่งเอ๊ย ชายหนุ่มพลิกตัวนอนหงาย เห็นรูโหว่ด้านบนพร้อมกับเสียงโครมดังสนั่นจนพื้นสะเทือน รูนั้นถูกปิดทับเรียบร้อยและเขาตกอยู่ในความมืดมิด“สัตว์เอ๊ย กูดิ่
เขาไม่รู้ว่าควรเรียกว่าศพเดินได้หรือผู้ป่วยติดเชื้อกันแน่ ทีแรก บลูคิดว่าพวกมันเป็นคนตายที่ถูกทำให้กลายเป็นปีศาจแบบที่เขาเคยเจอในด่านทดลอง แต่หากใช้คำว่าผู้ป่วยติดเชื้อ ก็ยากที่จะทำใจให้เห็นว่าเป็นคนปกติตอนยืนมองหัวที่หลุดออกจากร่างหนึ่ง เหมือนถูกมนต์สะกดให้มองแต่มัน ทั้งพิศวง ทั้งหวาดกลัวจนทำอะไรไม่ถูก ดวงตาของมันกะพริบ ไม่ใช่เพราะกล้ามเนื้อกระตุก แต่เพราะมันยังมีชีวิตอยู่ เจ้าสิ่งนั้นขยับกล้ามเนื้อบนใบหน้า ขบฟันลงกับพื้นเพียงเพื่อช่วยให้มันเคลื่อนตัวได้ และเป้าหมายของมันก็คือบลูที่ยืนอยู่ ศีรษะเขยิบเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ขบฟันลงบนพื้นทีละนิด ทีละนิดหัวของมันพลันแตกโพละ มันสมองกระจัดกระจายราวกับลูกแตงโมเพียงเขาเหนี่ยวไกหัวใจข้างในดิ้นเหมือนคนตีกลองในอก เม็ดเหงื่อผุดขึ้นภายในเสื้อบอดี้สูท เขากลืนน้ำลายลงคออันแห้งผาก ห้าปีแล้วที่ไม่ได้เห็นพวกมัน ลืมไปว่าเคยพบกับฝันร้ายที่สุด เหตุการณ์เหล่านั้นเหมือนควันจางหายไป แต่หัวที่ขยับเมื่อกี้ตอกย้ำว่าประสบการณ์ที่ผ่านมาไม่ใช่แค่ฝันร้าย นรกไม่ได้อยู่แค่ในตึกทดลอง แต่มันกำลังแผ่อารยธรรมสู่โลกภายนอกและครั้งนี้มันน่ากลัวกว่าซอมบี้พวกนั้นเสียอีกซ่าช
เขาเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะเหลือบตาขึ้น “อื้อ”“ฉันหมายถึง...” หางตาเด็กหนุ่มเห็นเงาคนแอบฟังอยู่ และคนคนนั้นเป็นผู้หญิง จึงเดินออกมาให้ห่างเพื่อไม่ให้อยู่ในรัศมีที่ได้ยิน “ไม่ใช่เพราะว่าเธอคือคนคนเดียวที่นายเหลืออยู่อะไรแบบนั้นนะ” นี่คือสิ่งที่เขากังวล...เขากลัวว่าอเล็กซ์จะยึดอเล็กซิสแบบที่เขายึด“ไม่ใช่แบบนั้น” ครั้งนี้แววตาของเขาแน่วแน่ ไม่มีลังเล ไมเคิลพยักพเยิดไปทางขวา อเล็กซ์ขยับปากเป็นคำว่า คิตแคต แล้วยักไหล่ไม่ให้สนใจ ไมเคิลจึงขยับเท้าให้เกิดเสียง เงานั้นหายไปเหมือนรีบหลบเขาถอนหายใจ ลังเลที่จะวางมือบนไหล่ชายหนุ่ม แต่สุดท้ายก็วาง “ที่นายสงสัยฉันกับเธอ ไม่มีอะไรนะ ก่อนหน้านั้นฉันไม่ได้คิดกับอเล็กซิสมากกว่าเพื่อน แต่เพราะพวกเราสนิทกันเรื่อย ๆ มันเหมือนมีบางสิ่งที่ดึงดูดฉันให้เข้าไปหาเธอ เธอเป็นคนอบอุ่นมาก”แก้มของชายหนุ่มกระตุกนิดหนึ่ง “อาคุสะบอกว่านายกับเธอมีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้น มันมากกว่าเพื่อน” ชายหนุ่มว่า“ฉันไม่รู้หรอกว่าอาคุสะจะเห็นอะไร” เขาส่ายหัว
ความโกลาหลชั่วครู่หยุดลง “กลุ่มบีทุกคนปลอดภัย ที่พวกผมดึงมือดีมาไว้ที่กลุ่มเอก็เพราะการปะทะกับหุ่นยนต์นั้นหนักหนากว่ามาก และเมื่อถึงเรดโซน เมื่อนั้นก็จะไม่มีกลุ่มเอและบี แต่จะเป็นกลุ่มเดียวกัน ผมขอให้พวกคุณเข้าใจเหตุผลด้วย ขอให้นึกถึงเพื่อนที่หายตัวไปเข้าไว้ พวกเรามาที่นี่เพื่อหาเหตุผลว่าทำไม พวกเขาถูกจับตัวไป”เมื่อกี้กลุ่มบียังรายงานอยู่เลยว่าเปลี่ยนเป้าหมายเป็นเรดโซน แผนการไม่ได้ดำเนินไปตามที่วางไว้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่พวกเขาไม่ชี้แจง ทว่าคำพูดของกลีเมื่อครู่ทำให้ทุกคนหยุดอยู่กับที่ บางส่วนปล่อยให้หน่วยพยาบาลทำหน้าที่ต่อไป บวกกับทหารที่ล้อมเข้ามา กลีสั่งให้พวกเราพักก่อนจะเดินทางไปต่อยังเรดโซน และครั้งนี้พวกเขาประกาศชัดเจนว่ามีโซนติดเชื้อแน่นอน เพราะมันคือศูนย์อนามัยที่อเล็กซิสกับไมเคิลเคยเข้าไปเช่นกัน แต่สำรวจไปไม่เท่าไรก็ออกมา ทั้งห้าคนปรึกษากันโดยปราศจากแม่สาวคิตตี้...หรือคิตแคตแล้ว คนที่เงียบที่สุดกลับเป็นโคดี้ที่ไม่พูดอะไร หากแต่แววตาครุ่นคิดตลอดเวลา มินนี่นั้น...ก็ยังเป็นมินนี่ เธอห่วงเทสซ่า แต่ยังไม่เข้าใจอะไรมากนัก“บางทีเราอ
“เรากำลังจะอธิบาย ไปพักก่อน” หัวหน้าหน่วยรุก ไทรอนกล่าว หมวกนิรภัยของเขายังเปิดอยู่ แต่ไม่ปิดทั้งหน้าเหมือนตอนสู้ “ไทรอน กลุ่มเอ ภารกิจที่ศูนย์บัญชาการกลางเสร็จสิ้น”พวกเขากลับไปสมทบกับสองสาวที่เหลือ ทั้งหมดสบตากันแต่ไม่พูดอะไร เบลินดากับมินนี่ส่งน้ำให้พวกเขาดื่ม หน่วยพยาบาลเริ่มเดินตระเวนเช็กอาการบาดเจ็บทีละคน ขณะนั้น หางตาไมเคิลเห็นกลี หัวหน้าหน่วยพยาบาลปีนขึ้นบนรถถังก่อนจะนั่งลงเต๊ะท่า ทุกคนต่างมองเขาเป็นจุดเดียว เพราะไม่ใช่แค่อากัปกิริยาหากแต่เป็นภาพลักษณ์“ไอ้หมอนั่น กลี” โคดี้บอก ไม่รู้ว่าไมเคิลรู้จักแล้ว “หมอนั่นยืนกรานจะเข้าไปกับพวกหมอในฐานะหมอ ทั้งที่คนอื่นห้าม เขาเป็นหัวหน้าหน่วยพยาบาลก็จริง แต่ดูเหมือนจะใหญ่กว่าทหารเสียอีก น่าจะเป็นพวกบ้า”“แปลกดีนะ” อเล็กซ์ว่าจู่ ๆ ก็มีสาวผมสั้นสีดำเดินตรงเข้ามาในกลุ่มพวกเขา แต่เธอจ้องแค่อเล็กซ์ “นายเป็นไงบ้าง ฉันเป็นห่วงแทบแย่” มือข้างขวาลูบแขนชายหนุ่ม ทั้งสี่คนมองตาม เมื่อนั้นโคดี้หลิ่วตาให้ไมเคิล เขาจำเธอได้ ผู้หญิงคนนี้เคยวิ่งตา
“คุณยังไม่ได้เปิดไมค์”“ช่างเถอะน่า” ไมเคิลวิ่งถลันไปทางโถงบันได ทันใดนั้นกลุ่มหุ่นยนต์ที่ดักอยู่ข้างหลังปลิวกระเด็นไป ชายคนหนึ่งแตะไหล่เขา ไมเคิลรู้ว่าเป็นฝีมืออเล็กซ์ทันทีเมื่อเห็นดวงตาสีดำผ่านแถบกระจก ชายหนุ่มโยกหัวไปทางบันได เขาผงกศีรษะ ทั้งสองวิ่งลงไปก่อนทหารอีกสี่ห้านายจะตามลงมาประกาศยังคงดังเรื่อย ๆ “ทรอย ส่งกำลังคุ้มครองกลีด่วน ย้ำ ส่งกำลังคุ้มครองกลีด่วน”กลี? เขานึกออกแล้ว คุณหมอที่มีรอยสัก นั่นมันระดับหัวหน้านี่นา คนแบบนั้นลงสนามด้วยตัวเองเลยเหรอ ไมเคิลนึกชื่นชมในใจ เขากับอเล็กซ์แทบจะกระโดดลงบันไดในก้าวเดียว“ใครพาเขาเข้ามาในตึกวะ”เสียงแสตนเนอร์ดังก้องในหัว ดูท่าว่าทหารผู้นี้จะลืมปิดไมค์อเล็กซ์ซัดพลังอีกครั้ง พวกเขาถึงชั้นสามอย่างรวดเร็ว เห็นหน่วยพยาบาลสองคนนอนตายจมกองเลือดคาบันไดลงชั้นสองในขณะที่เปลหามร่างผู้ป่วยตกลงข้างกาย ส่วนคนเจ็บกลายเป็นศพขาดครึ่ง เขาเบือนหน้าหนี หน่วยสนับสนุนกำลังปกป้องหมอพยาบาลและคนเจ็บอยู่ เขาไม่รู้ว่าใครคือกลีแม้แยกหน่วยออก เพราะพวกหมอสวมเครื่อง
ด้ามแหลมโลหะฟันฉับตัดข้อต่อ ปืนกลอัตโนมัติหล่นพร้อมกับท่อนแขนเหล็ก ไมเคิลหมุนข้อมือขวาฟันดาบฉับตัดคอก่อนที่ระบบเลเซอร์ทำงาน เขาอุตส่าห์หักข้อมืออีกที กดด้ามดาบแล้วลากยาวจนลำตัวมันขาดครึ่งเพียงแค่อยากได้ยินเสียงคมดาบเสียดสีกับโลหะก็เท่านั้น“เบเลียน กลุ่มบี เป้าหมายถูกประกาศให้เป็นเรดโซนตั้งแต่นี้เป็นต้นไป”อะไรนะ เสียงประกาศดังขึ้นในหัว เขารับมือกับหุ่นยนต์อีกตัวที่โถมเข้ามา เป้าหมายของกลุ่มบีเหรอ คราวนี้มันไม่มีปืนกล และไมเคิลเคยประมือกับเพื่อนฝูงมันมาแล้ว อาวุธที่เขาเลือกเป็นดาบคู่ ไม่แน่ใจว่ามันเหมือนกับดาบของนายทหารที่ตายคนนั้นหรือไม่แต่ด้ามที่เขาถืออยู่คมกริบและใช้งานง่ายไม่ต่างจากครั้งก่อน ปืนสองกระบอกเหน็บข้างเอวและปืนไรเฟิลที่สะพายแปะอยู่กับหลังนั้นกลายเป็นม่าย เด็กหนุ่มสนุกกับการใช้ดาบมากกว่า ทว่า...เรดโซน? ข้อนี้ยังคาใจนัก“เบเลียน กลุ่มบี หน่วยกำกับการป้องกันโรคระบาดถูกเรียกประจำการ”โรคระบาด? เขาทำลายศัตรูอีกตัว เกิดอะไรขึ้นกับที่นั่นกันแน่ นี่เป็นสิ่งที่เขาเกลียดที่สุด เวลาถูกแยกออกจากอเล็กซิสทำให้สมาธิของเขาครึ่งหนึ่งหายไปกับเธอ เขาอยู่ในหน่วยรุกกลุ่มเอเหมือนกับอเล็กซ์ แ