LOGINเสียงเพลงในเลานจ์ดังพอสมควร แม้ดนตรีจะเป็นแจ๊สแต่ก็ออกมาจากตู้เพลง หาใช่ฝีมือนักดนตรีไม่ ครั้งแรกที่เธอเข้ามาที่นี่อดทึ่งและประหลาดใจไม่ได้เมื่อเห็นทุกสิ่งทุกอย่างขับเคลื่อนอัตโนมัติ ปราศจากหุ่นยนต์หรือแรงงานมนุษย์คอยควบคุม หรืออาจจะอยู่เบื้องหลัง มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายคอยปรนเปรอ ทุกอย่างเหมือนดีกว่าที่คิดไว้ อย่างน้อยเธอยังมีเพื่อน ทว่าความเหงาไม่ได้ทุเลาลงเลย
หากอยากฟังเพลงอะไร อยากดื่มอะไร เพียงใช้ปลายนิ้วสัมผัสหน้าจอหรือออกคำสั่งด้วยเสียง ไม่กี่วินาทีของที่สั่งก็ถูกนำมาเสิร์ฟ เธอเคยเห็นเทคโนโลยีแบบนี้แค่ในหนังเท่านั้น รัฐบาลโกหกประชาชนไว้หลายอย่าง พวกเขาปิดกั้นความรู้ไม่ให้ชาวนิวโฮปเข้าถึงดั่งอดัมกับอีฟ ทุกคนอยู่ในโลกอนาคต แต่กลับใช้ชีวิตเหมือนคนในยุคก่อน และความจริงที่เธอรับรู้ในตอนนี้อาจเป็นเพียงความจริงเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของความจริงทั้งหมดก็ได้
ไม่มีใครให้คำตอบหรืออธิบายข้อสงสัยอะไรทั้งสิ้น คนที่ถูกจับทั้งหมดถูกทิ้งให้ใช้ชีวิตอยู่ในเกาะปลีกวิเวกสุดหรู อเล็กซิสเฝ้าถามตัวเองว่า ที่นี่มีไว้ทำอะไรกัน เธอไม่รู้ว่ามันอยู่ไกลกว่าบ้านหรือเปล่า หรือว่าอยู่ในเมืองหลวง ใต้ดิน บนฟ้า ไม่มีอะไรช่วยให้เธอเข้าใจจุดประสงค์ของโปรแกรมบำบัดมากขึ้นเลยแม้แต่น้อย เธออยู่ที่นี่มาสามวันแล้ว คนในนี้เรียกที่นี่ว่า ‘หอพัก’ แต่
อเล็กซิสกลับมองว่ามันเหมือนกับคุกห้าดาวเสียมากกว่า“เอ่อ สวัสดี เธอรู้จักจอห์น ลีลอยด์หรือเปล่า” เธอถามกลุ่มเด็กผู้หญิงที่เดินผ่าน
“รู้จักสิ ฉันคลั่งเขามาก เธอเป็นแฟนของเขาเหมือนกันใช่ไหม”
“อ่า ใช่แล้ว ๆ” อเล็กซิสโบกมือลา แล้วกลับมาหาพวกตัวเอง ถอนหายใจที่ไม่ได้ข่าวใหม่
เวดจ้องจอสั่งเครื่องดื่มจนหน้าแทบจมลงไป เขากำลังหาค็อกเทลดี ๆ มาลองชิม อเล็กซิสกับออสโล่คิดว่าเขาคงลองทุกแก้วแน่ ๆ
“สลิปเพอรี่ นิพเพิ้ล”[1]
“ชื่ออะไรวะเนี่ย!” ออสโล่หัวเราะเสียงดัง ส่วนอเล็กซิสเพียงคิกคัก
หนุ่มผมบลอนด์ยิ้มเช่นคนเหนือกว่า “ถ้านายไม่รู้จัก เซ็กซ์ ออน เดอะ บีช ก็คงไม่รู้จักอะไรพวกนี้หรอก ไอ้เด็กเนิร์ด”
“ฉันว่า อันนั้นมันของผู้หญิงนะ” อเล็กซิสออกความเห็น
“อะไรกัน แค่พวกผู้หญิงชอบสั่งไม่ได้หมายความว่ามันเป็นเครื่องดื่มของผู้หญิงสักหน่อย” เวดชี้แจ้ง เขาชิมเครื่องดื่มที่เพิ่งสั่งไป “อืม หวานแฮะ” แล้วส่งแก้วให้อเล็กซิสลอง
เธอชิมไปจิบหนึ่ง พยักหน้าหงึก ๆ “จริงด้วย หวานมาก”
“ลองสักแก้วสิออสโล่ นายเห็นแล้วนี่นาว่าเทสซ่าดื่มเก่งอย่างกับผู้ชายตัวโต เลือกสักแก้วแล้วเดินไปคุยกับเธอซะ จะได้ดูมีคลาสหน่อย” เวดให้คำแนะนำพร้อมกับส่งรอยยิ้มแบบรู้กันให้
อเล็กซิส“เกี่ยวอะไรกับเทสซ่าด้วย” หนุ่มผมแดงทำเฉไฉ
“อย่าทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้หน่อยเลย พวกเรามองออกว่านายคิดอะไรตั้งแต่เจอเทสซ่าครั้งแรกแล้ว เธอสวยขนาดนั้นนี่นา นายก็เลยเอาแต่ยืนเหวอทำหน้าโง่ ๆ”
ออสโล่หรี่ตามองเพื่อนสาว
อเล็กซิสยักไหล่เบา ๆ “ช่าย ท่าทางนายชัดมาก ขอโทษที่พูดความจริง”
“ก็ใช่ เธอสวยจริง ๆ ฉันก็แค่ผู้ชายเปล่าวะ มองปกติ ไม่มีอะไรหรอก อีกอย่าง เธอชอบผู้ชายแบบนายต่างหาก ตัวโต มีกล้าม หน้าโง่”
เวดทำหน้าฉงน “เฮ้ย ฉันไม่โง่สักหน่อย อยู่ในลิสต์ผู้เข้าชิงทุนเหมือนกับนายด้วยนะ นี่นายลืมไปแล้วเหรอไง”
“นั่นแหละ ฉันถึงสงสัยอยู่ตลอดไง ว่านายเข้ามาได้อย่างไร”
“เวดได้เอหมดทุกตัวเลยนะออสโล่” อเล็กซิสบอกเพื่อน “แถมยังเป็นกัปตันทีมฟุตบอลอีกต่างหาก ฉันรู้ว่ามันอาจไม่น่าเชื่อเท่าไร แต่เขาไม่ใช่พวกไอ้โง่ที่มีดีแค่หุ่นแน่นอน”
“ทำไมคำว่าโง่เยอะจัง” หนุ่มผมบลอนด์พึมพำ
“อ้อ จริงสิ ชอบลืมอยู่เรื่อยเลยว่าพวกนายอยู่กลุ่มไหน พวกมีอิทธิพลในโรงเรียน ได้เกรดดี ๆ เป็นนักกีฬา หน้าตาดี (“รู้ว่าประชด แต่ขอบใจ” อเล็กซิสยิ้มกว้าง) นายอย่าโทษฉันเลย โทษอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ของนายดีกว่า มันทำให้นายเหมือนกับพวกสมองช้า ใช้แต่กำลัง”
กลุ่มเด็กผู้หญิงที่นั่งอยู่โต๊ะข้าง ๆ หัวเราะคิกคักเมื่อได้ยินบทสนทนาของพวกเขา อเล็กซิสเห็นว่าสาว ๆ แอบฟังอยู่นานแล้ว แถมสายตายังมองแต่เวด มิลเลอร์จนออกนอกหน้า แม้แต่ในเกาะมนุษย์กินบัว[2]แห่งนี้ เขาก็ยังคงฮอตในหมู่เด็กผู้หญิง
เด็กหนุ่มไม่วายหันไปยิ้มให้สาวโต๊ะนั้น “อย่าโทษอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ของฉันหน่อยเลยน่า อย่าลืมสิ ฉันถูกส่งตัวมาที่นี่เพราะมีโคเคนในครอบครองไม่ถึงร้อยกรัม จะว่าไงล่ะ เรียกได้ว่า ฉันเป็นคนที่โชคร้ายที่สุดในโลกดีกว่า” เขาหันกลับไปยังหน้าจอเมนู “แองเจิล คิส”
เวดสั่งเครื่องดื่มอีกแก้วแล้วส่งให้ออสโล่ “ของนาย สหายรัก กล้า ๆ เข้าไว้ เดินหน้ารุกซะ พวกเราจะช่วยนายเอง จริงไหม อเล็กซ์”
“แน่นอน”
“โอ๊ย อย่าทำแบบนี้สิ อย่าเข้าข้างเขา”
“เปล่าสักหน่อย ฉันทำตัวเป็นเพื่อนที่ดีต่างหาก”
“เธอกลับไปหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องนั้นดีกว่า ปล่อยฉันอยู่อย่างนี้แหละ”
“เรื่องนั้นเรื่องไหน เธอคิดอะไรอยู่เหรอ” เวดจี้ถามทันที “ทำไมเธอปรึกษาแต่กับเขาล่ะ ทำไมไม่พูดกับฉันบ้าง”
อเล็กซิสกลอกตา ออสโล่ไม่ควรโพล่งออกมาเลย “ก็นายไม่เคยชอบไอเดียฉันเลยนี่นา ชอบค้านตลอด อย่าไปคิดแบบนั้นสิ อเล็กซ์ บลา บลา บลา”
“บอกก่อนสิ แล้วฉันจะบอกเองว่าชอบหรือไม่ชอบ” เวดรบเร้า
“ไม่บอก”
“เธอคิดว่าพวกเรากำลังอยู่ในฟาร์มวัวในอีสต์แลนด์น่ะ” ออสโล่ยักคิ้วกวนใส่ “เขาจะถามเธอจนกว่าเธอจะยอมปริปากอยู่ดี บอก ๆ ไปเหอะ หมอนี่ขี้ตื๊อจะตาย”
เวดดีดนิ้วให้เพื่อน “อย่างงี้สิถึงเรียกว่าเพื่อน แล้วไอ้ฟาร์มที่ว่านั่นคืออะไร”
อเล็กซิสเตะขอบเคาน์เตอร์ “นายอยากเริ่ม นายก็พูดเองเลย” เธอโยนให้ออสโล่แล้วขโมยเครื่องดื่มของเขามาดื่มจนหายไปครึ่งแก้ว
“โอเค...คืองี้ ฟาร์มวัวในอีสต์แลนด์เนี่ย พวกเขาจะให้อาหารที่ดีที่สุดกับพวกมัน ให้พวกโคดื่มเบียร์ดี ๆ นวดเฟ้นกล้ามเนื้อให้พวกมันผ่อนคลาย แล้วก็เปิดเพลงให้พวกมันฟัง จากนั้นพอถึงเวลา สวบ (เขาทำท่าปาดคอ)…อเล็กซ์คิดว่า พวกเราเหมือนวัวพวกนั้น”
เวดเม้มปาก อเล็กซิสมองตาเขียวใส่เพื่อนผมแดง
“โทษที ๆ” ออสโล่ว่า
แต่มันเป็นความจริงไม่ใช่หรือ สิ่งที่เธอคิดและหมกมุ่นมันมีเหตุผลในตัวของมันเอง เธอรู้ว่าทั้งเวดและออสโล่ต่างมีคำถามอยู่ในใจเหมือนกัน ทำไมรัฐบาลถึงจับกลุ่มเสี่ยงและกลุ่มต้องสงสัยมาปล่อยทิ้งไว้ในสวรรค์มายาแห่งนี้ด้วยเล่า แถมยังยัดเยียดสิ่งบันเทิงทุกอย่างมาให้พวกเขาเล่นฆ่าเวลา และที่สำคัญ พวกเขาไม่สามารถมองเห็นโลกภายนอกได้เลย แม้แต่ท้องฟ้า ไม่มีใครบอกว่าต้องรออะไร รอเพื่ออะไร และไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ ประการที่สอง จอห์น
ลีลอยด์ไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย แล้วเขาไปอยู่ที่ไหน รวมทั้งคนที่ถูกจับมาก่อนหน้าล่ะ พวกเขาอยู่ที่ไหนกัน คำถามเป็นร้อยผุดขึ้นมาในหัวเหมือนดอกเห็ด แต่คำตอบก็ยังคงเป็นปริศนาอยู่วันยังค่ำ“แล้วยังไงล่ะ” เวดค้านความคิดของเธอ “อย่างกับพวกเราสามารถทำอะไรได้อย่างงั้นแหละ ถ้าคนพวกนั้นจะปฏิบัติกับเราเหมือนพวกโค แล้วเธอจะทำอะไรได้ ใช้ชีวิตให้มันสุด ๆ ไปเลยเฮอะ ฉันบอกเลยนะ ถ้าพรุ่งนี้พวกมันจะฆ่าฉัน ฉันก็จะไม่เสียใจหรอก”
ออสโล่นั่งจ้องแก้วค็อกเทลอยู่เงียบ ๆ ส่วนเวดเริ่มมองเหม่อ
มีแต่ฉันสินะที่จินตนาการภาพรัฐบาลเลวร้ายกว่าใครเพื่อน
“เห็นไหม ไม่ควรพูดเลย ครั้งหน้า ฉันก็จะไม่พูดกับนายเหมือนกัน เพราะนายปากสว่าง”
หนุ่มผมแดงผลักแก้วเครื่องดื่มออกไปไกลตัว “โทษ ก็เพราะพวกเธอเริ่มก่อนนี่นา เรื่องเทสซ่าไง แต่เอาจริง ๆ นะ ฉันเห็นด้วยกับเวด ฉันรู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไร อเล็กซ์ แต่พวกเราทำอะไรไม่ได้จริง ๆ นั่นแหละ ใช้ชีวิตให้สนุกเท่าที่เราจะทำได้ อย่างน้อย ที่นี่ก็ไม่ใช่คุกหรือโรงพยาบาลอย่างที่พวกเราเข้าใจ ไม่ใกล้เคียงเลยสักนิด บางที มันอาจจะไม่ได้แย่อย่างที่เธอคิดก็ได้” เขาหันไปทางเวด “แล้วฉันก็ชอบเบียร์มากกว่า”
“น่าเบื่อ ชอบอะไรซ้ำซากจำเจ ถ้านายอยากมีแฟน นายต้องเปลี่ยนตัวเองก่อน ส่วนเธอ อเล็กซ์ ลืมเรื่องนั้นไปซะ เลิกคิดอะไรไร้สาระแล้วมาช่วยให้หมอนี่เสียซิงสักทีดีกว่า”
“หุบปากน่า ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน”
[1] Slippery Nipple ชื่อเครื่องดื่ม เช่นเดียวกับ Sex on the beach
[2] เกาะมนุษย์กินบัว Lotus-eaters Island มาจาก Odyssey เมื่อโอดิสซีอุสมาถึงเกาะนี้ คนของเขากินผลไม้ชนิดหนึ่งเข้าไป เกิดอาการหลงลืมว่าจะกลับบ้าน อยากอยู่ในเกาะเพื่อกินผลไม้ชนิดนี้อย่างเดียว
“แต่คุณบอกว่ามันจะใช้คุณเป็นตัวประกัน” ไมเคิลเถียง“ใช่ ตัวฉัน เพียงแค่ร่างกายที่ยังมีลมหายใจ”อเล็กซิสเข่าอ่อนจนทรุดตัวลง ก้มหน้าซ่อนสะอื้นลงกับตักหญิงสาว นาฮีมานาอาจไม่ใช่แม่ของกลุ่มเสี่ยง แต่เปรียบเหมือนกับผู้ใหญ่หรือไม่ก็พี่สาวที่พวกเขารู้สึกสบายใจเวลาเห็นเธอ เปรียบดั่งต้นไม้ที่ให้ร่มเงาทางจิตใจ“แต่ว่า...ก่อนจะออกไป ฉันมีเรื่องจะขอร้อง”เมื่อนั้นเธอจึงเงยหน้าขึ้น นาฮีมานาจับมืออเล็กซิสกับไมเคิล“เผาทุกอย่างในนี้”ทั้งสองพยักหน้า“ถ้าเห็นอะไร ทำใจไว้นะ แต่ฉันคิดว่าอย่าปล่อยไปเลย พวกเขายังไม่รับรู้อะไรหรอก”ทว่าประโยคหลังนั้น ทั้งสองไม่เข้าใจ นาฮีมานาคะยั้นคะยอให้พวกเขาออกไปจากที่นี่อีกครั้ง มืออีกข้างหยิบปืนที่พวกนั้นทิ้งไว้ เธอพยักหน้าให้ทั้งสองเห็นว่าไม่เป็นไร“พวกเธอไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว ไปเถิด”“เหลืออีกห้านาที”นาฮีมานาไม่ต้องการให้พวกเขามอง หรือรับรู้ ทั้งสองจึงเดินออกไปหน้าลิฟต์ ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นจึงได้ยิน
“พาตัวเธอมา” เธอหันไปสั่งเพื่อนร่วมงานหรือลูกน้อง อเล็กซิสไม่มีวันรู้ไม่ถึงหนึ่งนาทีได้ คนของอาร์คาเดียจึงประคองนาฮีมานาออกมา เธออยู่ในสภาพอิดโรย ผมสีดำยุ่งเหยิง แก้มที่ตอบอยู่แล้วลึกลงไปราวกับผิวหนังปกคลุมเพียงโครงกระดูก เธอออกจากกลุ่มไปก่อน อเล็กซิสไม่รู้เลยว่าหญิงสาวโดนจับไปเมื่อไร“ได้โปรด เราพาเธอมาแล้ว”“เหลืออีกสิบนาที” พวกเขามองหน้ากันอย่างตื่นตระหนกเพราะกลัวหนีไม่ทัน“ทำไม ที่นี่จะระเบิดหรือ”พวกเขาส่ายหน้า ทั้งสองไม่เชื่อ แต่เมื่อเห็นนาฮีมานาพยักหน้าให้มั่นใจว่าเป็นเรื่องจริง อเล็กซิสจึงหันไปพยักหน้ากับไมเคิล เขาจึงบอกให้คนที่เหลือออกไป ทั้งหมดทิ้งอาวุธแล้วรีบวิ่งหนี บางคนแย่งกันออกไปจนมีเสียงโวยวายล้มลุกคลุกคลาน ส่วนพวกเขารีบไปประคองนาฮีมานาที่ถูกทิ้งลงกับพื้น“มานา...”หญิงสาวสบตากับทั้งสองแล้วยกมือจับแก้มคนทั้งคู่ เพียงสัมผัสอเล็กซิสกลับรู้สึกสบายตัว อากาศปวดตามตัวและที่หน่วงอยู่ในท้องก็อันตรธานหายไปทันใด เมื่อเธอมองไมเคิลจึงเห็นว่าบาดแผลบนใบหน้
“เหลืออีกยี่สิบนาที”สิ่งที่อเล็กซิสเกลียดที่สุดคือการไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน และเกิดอะไรขึ้น แม้เข้าใจจุดประสงค์ของผู้ลักพาตัว แต่ไม่สามารถรู้ได้ว่าตัวการเป็นใคร ทั้งสองยืนมองนักวิทยาศาสตร์วิ่งหนีออกจากตึกจากบานหน้ากระจกขนาดใหญ่บนชั้นลอยเปิดสู่โถงด้านล่าง ประตูทางออกนั้นไม่ได้เปิดออกไปแล้วเห็นด้านนอก แต่ไปยังลิฟต์ที่เคลื่อนตัวขึ้นไปด้านบน โถงด้านล่างกินพื้นที่ถึงห้าชั้น มันกว้างใหญ่ พวกเขาวิ่งหนีขึ้นลิฟต์ บ้างแย่งกัน แต่เพราะจำนวนมีจำกัดจึงไม่อาจขนส่งคนออกไปได้ทันทีแต่ก็ทำให้เธอรู้ว่าทั้งหมดอยู่ใต้ดินขณะนั้นไมเคิลปรายตามองทีมรักษาความปลอดภัยที่อยู่ด้านล่าง พวกเขาไม่ได้สวมชุดทหารสีเทาแต่เป็นสีน้ำตาล ในมือถือปืนเลเซอร์ขนาดใหญ่เล็งมาแต่ยังไม่ได้ยิง หรือพูดไม่ถูกคือไม่กล้ายิงเพราะกลัวผลโต้ตอบที่รุนแรงกว่า อีกกลุ่มคอยอพยพและจัดระเบียบ พวกเขามองขึ้นมาอย่างหวาดผวา ส่วนเธอกับไมเคิลมองลงไปด้วยสายตาว่างเปล่า“ปล่อยไปเถอะ เราต้องการเพียงมานา”อเล็กซิสไม่ได้ใจดี เธอแค่ไม่อยากเสียเวลาไมเคิลพยักหน้าแต่สายตายังจับจ้อง
แม้สายตาจะคอยชำเลืองมองแฝดที่ยืนจังก้าอยู่ด้านหน้าประตูรอให้พวกมันเข้ามา อเล็กซิสใช้เวลานี้เรียกข้อมูลขึ้นมาเรื่อย ๆ นอกจากจะเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอของพวกเขาแล้ว พวกมันต้องการเซลล์ไข่ของเธอและสเปิร์มของแฝดเพื่อผสมเทียม สมมติฐานของคนพวกนี้นั่นคือ เธอและไมเคิลเป็นกลุ่มเสี่ยงคู่เดียวที่สามารถให้กำเนิดทายาทที่มีลักษณะพิเศษได้ เหมือนอย่างที่ลูก้าและเจมม่าเคยให้กำเนิดคนทั้งสอง เนื่องจากกลุ่มเสี่ยงคนอื่นล้วนมีภาวะมีบุตรยากหรืออาจจะถึงขนาดไร้ประสิทธิภาพที่จะมีทายาทเลยก็ว่าได้เพื่ออะไร ผลิต...ผลิตกองทัพผู้มีพลังพิเศษด้วยตัวเองหรือปัญหาคือ เธออยากรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง เอไลโตทั้งหมด หรือบางคน? ที่แน่ ๆ พวกมันใช้คาเรลที่สมควรถูกประหารชีวิตไปแล้วปลอมตัวเป็นไมเคิลมากหลอกเธอเสียงฝีเท้ามากมายมาเป็นโขยงโดยที่แฝดชายยืนรออยู่ อเล็กซิสถอยห่างจากโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน“อยู่เฉย ๆ” คนข้างนอกตะโกนเข้ามา “อย่าขยับไม่อย่างนั้นพวกเราจำเป็นต้องยิง!”ชายหนุ่มผมเงินหัวเราะดูแคลนคนข้างนอก พริบตาเดียวเปลวเพลิงลุกโถมเข้าใส่ประตูด้านหน้า ทีมรักษาความป
ความเงียบกลับมาปกคลุมอีกครั้งพร้อมกับสภาพเครื่องมือล้มระเนระนาด รวมทั้งจานที่บรรจุเซลล์ไข่แตกละเอียด เพียงเธอมอง ของเหลวในนั้นแห้งเหือดตรงมุมขวาของห้องมีกล้องวงจรปิดอยู่ อเล็กซิสยกมือขึ้นทำท่าบิด มันแตกแล้วตกลงมา เพียงเท่านั้นเธอรีบลุกออกจากเตียงเพื่อไปหาไมเคิล แต่เพียงขยับก็เจ็บหน่วงที่ท้อง สุดท้ายกลั้นใจหยิบผ้าคลุมมาพันตัวแล้วเดินไปหาน้องชาย มันไม่ได้เจ็บมากนัก แต่แปลบ ๆ หน่วง ๆ เหมือนเวลาที่เธอเคยมีประจำเดือน“ไมเคิล” เธอจับแก้มที่มีแผลไหม้แล้วสงสารจับใจ ใบหน้าของเขาคือของขวัญล้ำค่าที่ไม่ว่าใครก็อยากจะถนอมดูแล แล้วดูตอนนี้สิ อเล็กซิสดึงเครื่องรัดออกแล้วสวมกอดคนที่นอนอยู่แน่นเพื่อให้เขาฟื้นตัว “ไมเคิล ตื่นสิ ไมเคิล”ชายหนุ่มส่งเสียงครางอือ ๆ เบา ๆ เธอถอนตัวขึ้นมาเพื่อรอให้เขาฟื้น เขาเริ่มขยับริมฝีปาก “รอ...”“ไม่ต้องรอ” เธอบอกพลางกุมมือเขาแน่น น้ำตาเอ่อขึ้นมาเมื่อมองแฝดชายราวกับเห็นร่างของซีโน่ที่กำลังจะตาย “ตื่นขึ้นมา ฉันจะปกป้องนายเอง”เขากะพริบตาก่อนจะลืมตามอง ดวงตาสีฟ้าเข้มสบกับของเ
มีกี่เรื่องที่ทำให้คนเราฝันร้าย แต่เมื่อตื่นเหมือนกับโผล่ขึ้นผิวน้ำปีศาจในความทรงจำล้วนมีมากหน้าหลายตา และกลุ่มแรกมีชื่อว่าคาเมรอนกับบรูซ ยังดีที่โชคยังเข้าข้าง ต่างกับตอนนี้ที่ตกอยู่ในเงื้อมมือปีศาจใต้หน้ากาก หมดสิ้นอิสรภาพโดยสิ้นเชิงสติไปไหน เหตุใดจึงรู้สึกล่องลอย บางครั้งตื่นตัว บางครั้งไม่รู้สึกมันมากันเป็นกลุ่ม จับร่างของอเล็กซิสขึงเพื่อเอาบางสิ่งจากกาย หากขัดขืนดิ้นรนก็จะได้รับความเจ็บปวดสาหัสจนไม่อาจขยับได้ไปหลายนาที คงเป็นเพราะกายหยาบนี้ทนทานต่อยาสลบจึงตื่นเร็วเกินไป แต่ต่อให้ทนได้เพียงใดก็ไม่ได้แปลว่าไม่เจ็บปวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมรุกล้ำเข้ามาเสียงกรีดร้องอ้อนวอนขอให้พวกมันหยุดไม่เป็นผล แม้เมื่อมันได้สิ่งที่ต้องการก็ยังไม่ปล่อยอเล็กซิสกับไมเคิลไป พวกมันเอาขาหยั่งออกแล้วปล่อยให้ขาเธอนอนเหยียดยาวโดยมีเครื่องล็อกตรึงไว้ไม่ให้ขยับ“พวกแกต้องชดใช้” เสียงที่ตะโกนออกไปกลั่นออกมาจากความแค้นที่อยู่ลึกสุด แต่กลับฟังดูอ่อนแอเกินกว่าจะขู่ให้ผู้ใดกลัว ตรงกันข้ามกลับเรียกเสียงหัวเราะขำขันแทนเธอหันไปมอง







