เสียงเพลงในเลานจ์ดังพอสมควร แม้ดนตรีจะเป็นแจ๊สแต่ก็ออกมาจากตู้เพลง หาใช่ฝีมือนักดนตรีไม่ ครั้งแรกที่เธอเข้ามาที่นี่อดทึ่งและประหลาดใจไม่ได้เมื่อเห็นทุกสิ่งทุกอย่างขับเคลื่อนอัตโนมัติ ปราศจากหุ่นยนต์หรือแรงงานมนุษย์คอยควบคุม หรืออาจจะอยู่เบื้องหลัง มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายคอยปรนเปรอ ทุกอย่างเหมือนดีกว่าที่คิดไว้ อย่างน้อยเธอยังมีเพื่อน ทว่าความเหงาไม่ได้ทุเลาลงเลย
หากอยากฟังเพลงอะไร อยากดื่มอะไร เพียงใช้ปลายนิ้วสัมผัสหน้าจอหรือออกคำสั่งด้วยเสียง ไม่กี่วินาทีของที่สั่งก็ถูกนำมาเสิร์ฟ เธอเคยเห็นเทคโนโลยีแบบนี้แค่ในหนังเท่านั้น รัฐบาลโกหกประชาชนไว้หลายอย่าง พวกเขาปิดกั้นความรู้ไม่ให้ชาวนิวโฮปเข้าถึงดั่งอดัมกับอีฟ ทุกคนอยู่ในโลกอนาคต แต่กลับใช้ชีวิตเหมือนคนในยุคก่อน และความจริงที่เธอรับรู้ในตอนนี้อาจเป็นเพียงความจริงเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของความจริงทั้งหมดก็ได้
ไม่มีใครให้คำตอบหรืออธิบายข้อสงสัยอะไรทั้งสิ้น คนที่ถูกจับทั้งหมดถูกทิ้งให้ใช้ชีวิตอยู่ในเกาะปลีกวิเวกสุดหรู อเล็กซิสเฝ้าถามตัวเองว่า ที่นี่มีไว้ทำอะไรกัน เธอไม่รู้ว่ามันอยู่ไกลกว่าบ้านหรือเปล่า หรือว่าอยู่ในเมืองหลวง ใต้ดิน บนฟ้า ไม่มีอะไรช่วยให้เธอเข้าใจจุดประสงค์ของโปรแกรมบำบัดมากขึ้นเลยแม้แต่น้อย เธออยู่ที่นี่มาสามวันแล้ว คนในนี้เรียกที่นี่ว่า ‘หอพัก’ แต่
อเล็กซิสกลับมองว่ามันเหมือนกับคุกห้าดาวเสียมากกว่า“เอ่อ สวัสดี เธอรู้จักจอห์น ลีลอยด์หรือเปล่า” เธอถามกลุ่มเด็กผู้หญิงที่เดินผ่าน
“รู้จักสิ ฉันคลั่งเขามาก เธอเป็นแฟนของเขาเหมือนกันใช่ไหม”
“อ่า ใช่แล้ว ๆ” อเล็กซิสโบกมือลา แล้วกลับมาหาพวกตัวเอง ถอนหายใจที่ไม่ได้ข่าวใหม่
เวดจ้องจอสั่งเครื่องดื่มจนหน้าแทบจมลงไป เขากำลังหาค็อกเทลดี ๆ มาลองชิม อเล็กซิสกับออสโล่คิดว่าเขาคงลองทุกแก้วแน่ ๆ
“สลิปเพอรี่ นิพเพิ้ล”[1]
“ชื่ออะไรวะเนี่ย!” ออสโล่หัวเราะเสียงดัง ส่วนอเล็กซิสเพียงคิกคัก
หนุ่มผมบลอนด์ยิ้มเช่นคนเหนือกว่า “ถ้านายไม่รู้จัก เซ็กซ์ ออน เดอะ บีช ก็คงไม่รู้จักอะไรพวกนี้หรอก ไอ้เด็กเนิร์ด”
“ฉันว่า อันนั้นมันของผู้หญิงนะ” อเล็กซิสออกความเห็น
“อะไรกัน แค่พวกผู้หญิงชอบสั่งไม่ได้หมายความว่ามันเป็นเครื่องดื่มของผู้หญิงสักหน่อย” เวดชี้แจ้ง เขาชิมเครื่องดื่มที่เพิ่งสั่งไป “อืม หวานแฮะ” แล้วส่งแก้วให้อเล็กซิสลอง
เธอชิมไปจิบหนึ่ง พยักหน้าหงึก ๆ “จริงด้วย หวานมาก”
“ลองสักแก้วสิออสโล่ นายเห็นแล้วนี่นาว่าเทสซ่าดื่มเก่งอย่างกับผู้ชายตัวโต เลือกสักแก้วแล้วเดินไปคุยกับเธอซะ จะได้ดูมีคลาสหน่อย” เวดให้คำแนะนำพร้อมกับส่งรอยยิ้มแบบรู้กันให้
อเล็กซิส“เกี่ยวอะไรกับเทสซ่าด้วย” หนุ่มผมแดงทำเฉไฉ
“อย่าทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้หน่อยเลย พวกเรามองออกว่านายคิดอะไรตั้งแต่เจอเทสซ่าครั้งแรกแล้ว เธอสวยขนาดนั้นนี่นา นายก็เลยเอาแต่ยืนเหวอทำหน้าโง่ ๆ”
ออสโล่หรี่ตามองเพื่อนสาว
อเล็กซิสยักไหล่เบา ๆ “ช่าย ท่าทางนายชัดมาก ขอโทษที่พูดความจริง”
“ก็ใช่ เธอสวยจริง ๆ ฉันก็แค่ผู้ชายเปล่าวะ มองปกติ ไม่มีอะไรหรอก อีกอย่าง เธอชอบผู้ชายแบบนายต่างหาก ตัวโต มีกล้าม หน้าโง่”
เวดทำหน้าฉงน “เฮ้ย ฉันไม่โง่สักหน่อย อยู่ในลิสต์ผู้เข้าชิงทุนเหมือนกับนายด้วยนะ นี่นายลืมไปแล้วเหรอไง”
“นั่นแหละ ฉันถึงสงสัยอยู่ตลอดไง ว่านายเข้ามาได้อย่างไร”
“เวดได้เอหมดทุกตัวเลยนะออสโล่” อเล็กซิสบอกเพื่อน “แถมยังเป็นกัปตันทีมฟุตบอลอีกต่างหาก ฉันรู้ว่ามันอาจไม่น่าเชื่อเท่าไร แต่เขาไม่ใช่พวกไอ้โง่ที่มีดีแค่หุ่นแน่นอน”
“ทำไมคำว่าโง่เยอะจัง” หนุ่มผมบลอนด์พึมพำ
“อ้อ จริงสิ ชอบลืมอยู่เรื่อยเลยว่าพวกนายอยู่กลุ่มไหน พวกมีอิทธิพลในโรงเรียน ได้เกรดดี ๆ เป็นนักกีฬา หน้าตาดี (“รู้ว่าประชด แต่ขอบใจ” อเล็กซิสยิ้มกว้าง) นายอย่าโทษฉันเลย โทษอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ของนายดีกว่า มันทำให้นายเหมือนกับพวกสมองช้า ใช้แต่กำลัง”
กลุ่มเด็กผู้หญิงที่นั่งอยู่โต๊ะข้าง ๆ หัวเราะคิกคักเมื่อได้ยินบทสนทนาของพวกเขา อเล็กซิสเห็นว่าสาว ๆ แอบฟังอยู่นานแล้ว แถมสายตายังมองแต่เวด มิลเลอร์จนออกนอกหน้า แม้แต่ในเกาะมนุษย์กินบัว[2]แห่งนี้ เขาก็ยังคงฮอตในหมู่เด็กผู้หญิง
เด็กหนุ่มไม่วายหันไปยิ้มให้สาวโต๊ะนั้น “อย่าโทษอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ของฉันหน่อยเลยน่า อย่าลืมสิ ฉันถูกส่งตัวมาที่นี่เพราะมีโคเคนในครอบครองไม่ถึงร้อยกรัม จะว่าไงล่ะ เรียกได้ว่า ฉันเป็นคนที่โชคร้ายที่สุดในโลกดีกว่า” เขาหันกลับไปยังหน้าจอเมนู “แองเจิล คิส”
เวดสั่งเครื่องดื่มอีกแก้วแล้วส่งให้ออสโล่ “ของนาย สหายรัก กล้า ๆ เข้าไว้ เดินหน้ารุกซะ พวกเราจะช่วยนายเอง จริงไหม อเล็กซ์”
“แน่นอน”
“โอ๊ย อย่าทำแบบนี้สิ อย่าเข้าข้างเขา”
“เปล่าสักหน่อย ฉันทำตัวเป็นเพื่อนที่ดีต่างหาก”
“เธอกลับไปหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องนั้นดีกว่า ปล่อยฉันอยู่อย่างนี้แหละ”
“เรื่องนั้นเรื่องไหน เธอคิดอะไรอยู่เหรอ” เวดจี้ถามทันที “ทำไมเธอปรึกษาแต่กับเขาล่ะ ทำไมไม่พูดกับฉันบ้าง”
อเล็กซิสกลอกตา ออสโล่ไม่ควรโพล่งออกมาเลย “ก็นายไม่เคยชอบไอเดียฉันเลยนี่นา ชอบค้านตลอด อย่าไปคิดแบบนั้นสิ อเล็กซ์ บลา บลา บลา”
“บอกก่อนสิ แล้วฉันจะบอกเองว่าชอบหรือไม่ชอบ” เวดรบเร้า
“ไม่บอก”
“เธอคิดว่าพวกเรากำลังอยู่ในฟาร์มวัวในอีสต์แลนด์น่ะ” ออสโล่ยักคิ้วกวนใส่ “เขาจะถามเธอจนกว่าเธอจะยอมปริปากอยู่ดี บอก ๆ ไปเหอะ หมอนี่ขี้ตื๊อจะตาย”
เวดดีดนิ้วให้เพื่อน “อย่างงี้สิถึงเรียกว่าเพื่อน แล้วไอ้ฟาร์มที่ว่านั่นคืออะไร”
อเล็กซิสเตะขอบเคาน์เตอร์ “นายอยากเริ่ม นายก็พูดเองเลย” เธอโยนให้ออสโล่แล้วขโมยเครื่องดื่มของเขามาดื่มจนหายไปครึ่งแก้ว
“โอเค...คืองี้ ฟาร์มวัวในอีสต์แลนด์เนี่ย พวกเขาจะให้อาหารที่ดีที่สุดกับพวกมัน ให้พวกโคดื่มเบียร์ดี ๆ นวดเฟ้นกล้ามเนื้อให้พวกมันผ่อนคลาย แล้วก็เปิดเพลงให้พวกมันฟัง จากนั้นพอถึงเวลา สวบ (เขาทำท่าปาดคอ)…อเล็กซ์คิดว่า พวกเราเหมือนวัวพวกนั้น”
เวดเม้มปาก อเล็กซิสมองตาเขียวใส่เพื่อนผมแดง
“โทษที ๆ” ออสโล่ว่า
แต่มันเป็นความจริงไม่ใช่หรือ สิ่งที่เธอคิดและหมกมุ่นมันมีเหตุผลในตัวของมันเอง เธอรู้ว่าทั้งเวดและออสโล่ต่างมีคำถามอยู่ในใจเหมือนกัน ทำไมรัฐบาลถึงจับกลุ่มเสี่ยงและกลุ่มต้องสงสัยมาปล่อยทิ้งไว้ในสวรรค์มายาแห่งนี้ด้วยเล่า แถมยังยัดเยียดสิ่งบันเทิงทุกอย่างมาให้พวกเขาเล่นฆ่าเวลา และที่สำคัญ พวกเขาไม่สามารถมองเห็นโลกภายนอกได้เลย แม้แต่ท้องฟ้า ไม่มีใครบอกว่าต้องรออะไร รอเพื่ออะไร และไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ ประการที่สอง จอห์น
ลีลอยด์ไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย แล้วเขาไปอยู่ที่ไหน รวมทั้งคนที่ถูกจับมาก่อนหน้าล่ะ พวกเขาอยู่ที่ไหนกัน คำถามเป็นร้อยผุดขึ้นมาในหัวเหมือนดอกเห็ด แต่คำตอบก็ยังคงเป็นปริศนาอยู่วันยังค่ำ“แล้วยังไงล่ะ” เวดค้านความคิดของเธอ “อย่างกับพวกเราสามารถทำอะไรได้อย่างงั้นแหละ ถ้าคนพวกนั้นจะปฏิบัติกับเราเหมือนพวกโค แล้วเธอจะทำอะไรได้ ใช้ชีวิตให้มันสุด ๆ ไปเลยเฮอะ ฉันบอกเลยนะ ถ้าพรุ่งนี้พวกมันจะฆ่าฉัน ฉันก็จะไม่เสียใจหรอก”
ออสโล่นั่งจ้องแก้วค็อกเทลอยู่เงียบ ๆ ส่วนเวดเริ่มมองเหม่อ
มีแต่ฉันสินะที่จินตนาการภาพรัฐบาลเลวร้ายกว่าใครเพื่อน
“เห็นไหม ไม่ควรพูดเลย ครั้งหน้า ฉันก็จะไม่พูดกับนายเหมือนกัน เพราะนายปากสว่าง”
หนุ่มผมแดงผลักแก้วเครื่องดื่มออกไปไกลตัว “โทษ ก็เพราะพวกเธอเริ่มก่อนนี่นา เรื่องเทสซ่าไง แต่เอาจริง ๆ นะ ฉันเห็นด้วยกับเวด ฉันรู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไร อเล็กซ์ แต่พวกเราทำอะไรไม่ได้จริง ๆ นั่นแหละ ใช้ชีวิตให้สนุกเท่าที่เราจะทำได้ อย่างน้อย ที่นี่ก็ไม่ใช่คุกหรือโรงพยาบาลอย่างที่พวกเราเข้าใจ ไม่ใกล้เคียงเลยสักนิด บางที มันอาจจะไม่ได้แย่อย่างที่เธอคิดก็ได้” เขาหันไปทางเวด “แล้วฉันก็ชอบเบียร์มากกว่า”
“น่าเบื่อ ชอบอะไรซ้ำซากจำเจ ถ้านายอยากมีแฟน นายต้องเปลี่ยนตัวเองก่อน ส่วนเธอ อเล็กซ์ ลืมเรื่องนั้นไปซะ เลิกคิดอะไรไร้สาระแล้วมาช่วยให้หมอนี่เสียซิงสักทีดีกว่า”
“หุบปากน่า ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน”
[1] Slippery Nipple ชื่อเครื่องดื่ม เช่นเดียวกับ Sex on the beach
[2] เกาะมนุษย์กินบัว Lotus-eaters Island มาจาก Odyssey เมื่อโอดิสซีอุสมาถึงเกาะนี้ คนของเขากินผลไม้ชนิดหนึ่งเข้าไป เกิดอาการหลงลืมว่าจะกลับบ้าน อยากอยู่ในเกาะเพื่อกินผลไม้ชนิดนี้อย่างเดียว
“พ่อ” น้ำเสียงชายหนุ่มต่ำลง “ผมไม่เชื่อ มันอาจจะมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา แต่ผมไม่เชื่อว่านั่นเป็นภาพจริง มันเป็นไปได้ เรายังไม่รู้ว่าสถานที่อยู่ไหน ขนาดประกาศข่าวไฟไหม้โครม ๆ ก็ยังไม่รู้ที่อยู่ ผมไม่เชื่อเด็ดขาด มันต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ ๆ พวกเขาจึงตัดสินใจพับโครงการ แต่ไม่ใช่เพราะไฟไหม้และมีคนตาย”“แล้วก็ประกาศให้กลุ่มเสี่ยงเป็นภัยที่ต้องเฝ้าระวังสูงสุด ถ้าพบเจอจะถูกกำจัดทิ้งทันที” คาเลบพูดต่อเขาจำได้ ข่าวรายงานว่ากลุ่มเสี่ยงเป็นผู้ก่อไฟ“พ่อ เป็นไปได้ไหมว่าน้องหนีออกไปได้ น้องอาจอยู่ในกลุ่มที่คิดหนีก็เลยดึงรูปพวกเราออกไป แถมเครื่องเล่นซีดีก็หายไป” เขาเปิดกล่องซีดี “นี่ไง บางอัลบั้มแผ่นหายไป แน่สิ ยัยตัวเล็กต้องเอาคาร์เมนไป นั่น (เปิดดู) ไม่ได้หายไปแผ่นเดียว ของวงนี้ก็ด้วย” เขารู้สึกว่าหัวใจเต้นแรง แต่เมื่อเงยหน้าขึ้น ดวงตาสีเข้มของคาเลบกลับมองอย่างเศร้าสร้อย“ก่อไฟแล้วเผาทุกคนวอด นั่นใช่น้องหรือ”แน่นอนว่าไม่ใช่“มันอาจมีอะไรผิดพลาด...พวกเขาจะหนี แต่ดันกลายเป็นอุบ
เจสซี่กลอกตา พวกเขาทะเลาะกันไปครั้งหนึ่ง ไบรซ์เห็นข่าวเขาคบกับจูน อดีตเพื่อนสนิทของอเล็กซิส เธอโกรธมากทีเดียว ไบรซ์ไม่ใช่คนโกรธใครง่าย ๆ แต่เวลาโกรธทีน่ากลัวที่สุด เธอหาว่าเขาทรยศอเล็กซิสแล้วความเป็นตัวเอง น่าขำ ขนาดน้องสาวทั้งสองยังคิดว่าเขาชอบผู้ชายร้อยเปอร์เซ็นต์คนเราต้องจำกัดรสนิยมแค่เพศเดียวหรือไง แต่ประเด็นคือ เขาไม่ได้ชอบจูน“เราคุยกันแล้วนะ”ไบรซ์เงียบไป จากนั้นสายตัดงอนอีกแล้ว เขาส่ายหัวแล้ววางโทรศัพท์ ข้อเสียของไบรซ์คือ เวลาเธอโมโหจะใช้ความเงียบหรือตัดบทไม่พูดไม่จา ต้องรอให้เจ้าตัวเย็นก่อนถึงจะเข้าไปคุยได้ ความโกรธของไบรซ์ไม่ต่างจากน้ำแข็งเย็นยะเยือก ในขณะที่เจสซี่เป็นไฟเผาผลาญ พอหมดเชื้อก็หมดฤทธิ์ แต่กว่าไบรซ์จะละลายโทสะได้ก็ใช้เวลานานทีเธอมีแฟนยังงุบงิบจนฉันรู้เอง แล้วจะมาบังคับไม่ให้ฉันคบคนนู้นคนนี้ไม่ได้นะ นี่มันงานโว้ย เขาทำปากขมุบขมิบใส่เครื่องโทรศัพท์ประหนึ่งว่าเห็นน้องสาวอยู่ตรงนั้น ขณะนั้นชาร์ลีเดินผ่าน เด็กน้อยหยุดมองภาพครอบครัวแล้วโบกมือกับรูป จากนั้นวิ่งไปนั่งที่โต๊ะอาหาร
มุมโต๊ะรับประทานอาหารก็มีแต่ขนมที่เขาซื้อมา เขาเดินออกไปที่สวนด้านหลังเพื่อข่มความโกรธ คาเลบไม่เคยทิ้งชาร์ลีไว้ในบ้านคนเดียวจนกระทั่งเบียนน่าตาย เขาก็มักไปเยี่ยมหลุมศพเธอเสมอ พูดกับเธอราวกับยังมีชีวิต เจสซี่เงยหน้ามองสภาพสวนที่เคยอุดมไปด้วยพืชพรรณ กลับต้องเจอกับสภาพผักสวนครัวเต็มไปด้วยวัชพืช ชายหนุ่มหันหน้าซบกำแพงทันที มือข้างขวาทุบอยู่สองสามทีเพื่อระบายความอัดอั้นก่อนจะตั้งสติลูบหน้าลูบตา เจสซี่มองหาคราดแล้วถางหญ้าที่บังกระถางออก จากนั้นก็หยิบอุปกรณ์เช่นพวกกรรไกร เสียมแล้วจัดการกำจัดส่วนเกิน เขาพยายามตกแต่งให้มันสวยงามเท่าที่จะทำได้ ทั้งที่สมัยก่อนเกลียดงานทำสวนที่สุด โดยเฉพาะเวลาแม่เรียกให้ไปช่วยตั้งแต่อเล็กซิสถูกจับไป เบียนน่ามีอาการเซื่องซึมอยู่ตลอด บางครั้งเธอก็จะแสร้งทำตัวปกติแต่ทุกคนสัมผัสได้ว่าในใจของแม่ปวดร้าว ทุกคนต่างเป็นห่วงสุขภาพจิตแต่ลืมไปว่ามันส่งผลต่อสุขภาพกายของเธอด้วย ที่สำคัญ แม่พยายามปิดบังอาการเจ็บป่วยในตัวมาตลอด อาจจะเป็นมานานแล้วก่อนเกิดเรื่องอเล็กซิสด้วยซ้ำ และเพราะพวกเขาตาบอดมัวแต่คิดว่าเธอไม่แข็งแรงเพราะความเครียดอย่างเดียว อีกอย่างเบียนน่ามีความอดท
มันยังคงเป็นเมืองเล็กอันเงียบสงบ แต่บรรยากาศที่สัมผัสได้ตั้งแต่ขับรถเข้ามาแตกต่างจากวันที่รถตู้ตำรวจพาเด็กพวกนั้นไป และหนึ่งในนั้นเป็นน้องสาวของเขา สำหรับเจสซี่ ซานโบซ่าไม่มีวันกลับไปเหมือนวันวาน ทั้งที่ชาวเมืองยังใช้ชีวิตกันปกติ ผู้คนลืมเลือนเหตุการณ์ในวันนั้น ชีวิตต้องดำเนินต่อไป เขาตระหนักความจริงข้อนี้ดีแต่ไม่อาจเริ่มต้นแล้วก้าวต่อไปได้สักที นับวันเส้นทางข้างหน้าคล้ายตรงดิ่งสู่เหว ความเหงาเปรียบดั่งเชื้อไวรัสที่แพร่กระจายเงียบเชียบและติดต่อกันในสมาชิกครอบครัวไม่ต่างจนเจ็บไข้ได้ป่วยคนรุ่นราวคราวเดียวกันต่างออกไปตามหาความฝัน กลุ่มเพื่อนแยกย้ายกันไปทำงานเมืองอื่น เจสซี่แทบไม่เจอคนคุ้นหน้าคุ้นตาเพราะแต่ละคนต่างอยู่ในช่วงเริ่มงาน รุ่นเด็กลงไปเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย พอมาเจอเด็กวัยรุ่นในเมือง เขาก็ไม่คุ้นหน้าแล้ว บางคนพอจำได้ก็ส่งยิ้มให้เกือบปีเท่านั้นเอง...แต่กลับเหมือนสิบปีเขาจอดเจ้าโวลคอฟรุ่นเอ็มสามสิบเก้าไว้หน้าบ้าน มันเป็นรุ่นกลาง ได้มาตอนรับตำแหน่งผู้ช่วยฝ่ายกฎหมายของวลาดิเมียร์ โวลคอฟ เนื่องจากโวลคอฟไม่ใช่รุ่นยอดนิยมในซานโบซ่านัก เพราะคนส่วนใหญ่เดินทางใช้รถเก่า ๆ และจักรยาน เมื่
อาคุสะถอนหายใจอยู่ข้าง ๆ“อะไรอีก” อเล็กซ์ถาม“อเล็กซิสเป็นกลุ่มเสี่ยง” เขาตอบ “นายก็รู้ว่าพลังชีวิตของกลุ่มเสี่ยงมากกว่าคนปกติทั่วไป ยิ่งพวกเขาเป็นแฝด แถมยังเป็นแฝดที่เกิดจากแฝดพิเศษ สิ่งที่พวกเราเห็นอาจเป็นตัวพิสูจน์ อย่างน้อยตาเฒ่าทรอยก็ทำสำเร็จอยู่บ้าง ฉันคิดว่าพวกเขาพิเศษกว่ากลุ่มเสี่ยงอย่างพวกเราอีกนะ”ตอนนี้หัวของเขามึนตึบตามอาคุสะไม่ทัน ดูเหมือนอีกฝ่ายจะอ่านสีหน้าออกจึงอธิบายต่อ “ร่างต้นแบบของลูก้าและเจมม่าเป็นกลุ่มเสี่ยงกลุ่มแรก ฝาแฝดที่มีพลังพิเศษ ร่างโคลนก็มีพลังพิเศษ ลูก ๆ ของพวกเขา...ไมเคิลก็มีพลังพิเศษ ตอนนี้เราก็เห็นแล้วว่าอเล็กซิสมี เป็นไปได้ไหมว่าถ้าพ่อแม่เป็นกลุ่มเสี่ยง ลูกก็จะเป็นกลุ่มเสี่ยงเหมือนกัน แล้วความที่พวกเขาเป็นแฝด จึงมีพลังเชื่อมเข้าหากัน เกื้อหนุนกัน”อาคุสะวางมือบนไหล่อเล็กซ์แล้วตบเบา ๆ “มันเป็นสัญญาณที่ดี เธอไม่ตายง่าย ๆ หรอก”อเล็กซ์ยืนนิ่งแต่ดวงตากวาดมองรอบ ๆ อเล็กซิสไม่ใช่คนเดียวที่บาดเจ็บ ยังมีคนเจ็บ บ้างมีแผลเล็กน้อย บ้างบาดแผลฉกรรจ์ เมื่อนั้นจึงตบหน้า
ความเงียบเปรียบดั่งมีดคมเสียบแทงเข้าไปในหัวใจ หากเพียงคนที่บาดเจ็บเป็นเขาแทน เขายอมแลกทุกอย่าง อเล็กซ์ไม่ต้องการมีชีวิตอยู่เพื่อมองทุกคนตายไปต่อหน้าต่อตา คนเหล่านี้ช่วยชีวิตเขาได้สำเร็จทุกครั้ง ไม่ว่าจะแม่ เบน และอเล็กซิส แต่เหตุใดเขาไม่เคยช่วยชีวิตใครได้เลย ไม่มีแม้แต่โอกาสได้ช่วย“อเล็กซ์!” ไมเคิลกระชากแขน เขาหันไปเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่ม“ไม่!” เขาตวาดใส่หน้า หากไมเคิลจะแย่งไปก็ทำได้ แรงของอีกฝ่ายมีมากกว่าและอเล็กซ์ก็ไม่เหลือพลังโต้กลับ แต่เพราะมีอเล็กซิส ไมเคิลจึงทำได้เพียงอ้อนวอน“ปล่อย ฉันจะช่วยเธอ!”“ไม่!” เขาตะโกนใส่หน้าเด็กหนุ่ม “ทุกครั้งที่ฉันปล่อยมือ เธอก็ห่างฉันไปทุกที...” ก้อนสะอื้นจุกในคอ เขาไม่อาจโต้ตอบได้อีกกล้ามเนื้อบนหน้าไมเคิลกระตุก เขาโกรธ โกรธมาก แต่ก็ยังพยายามควบคุมอารมณ์ “นี่พี่สาวฉัน ฝาแฝดของฉัน ปล่อยตัวเธอ ฉันอาจช่วยเธอได้ เมื่อกี้...”“ก็ทำสิ!” เขาดึงแขนเด็กสาวกลับ จ้องดวงตาสีฟ้าที่คล้ายกับของอเล็กซิสหากแต่สีนั้นอ่อนกว่า “ช่วยชีว