LOGINอเล็กซิสมองตาม เห็นอดีตประธานนักเรียนกำลังนั่งคุยอยู่กับเพื่อนกลุ่มใหม่อย่างสนุกสนาน เบลินดาปรับตัวกับสถานที่แห่งนี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติเหมือนกับที่เวดทำได้ คงเป็นสิ่งเดียวที่พวกเขาเหมือนกัน เธอดูมีความสุขมากขึ้น หากนับจากวันที่ถูกจับมาด้วยกัน
“นายยังคุยกับคาร์เตอร์อยู่ ฉันเห็น” อเล็กซิสพูด “นายไม่โกรธเธอเลยเหรอ”
เขาสั่นหัว “หายโกรธไปแล้ว พวกเราลงเรือลำเดียวกันแล้วนี่นา ฉันค่อนข้างเห็นใจเบลนะ พวกเธอสองคนเย็นชาใส่เขามากไปหน่อย”
อเล็กซิสจ้องตาออสโล่เขม็ง ชี้นิ้วไปที่หน้าตัวเอง “ฉันเนี่ยนะ เย็นชาเหรอ เขาตั้งใจจะให้ฉันถูกจับเลยนะ”
“ฉันรู้ ๆ อย่างน้อยเธอก็แค่ไม่สนใจเบล ก็ยังดี ฉันก็ไม่ได้จะว่าเธอสักหน่อย”
อเล็กซิสถอนหายใจอย่างแรง “ออสโล่ ฉันรู้ว่านายใจอ่อนง่าย โอเค ฉันอาจไม่บ่น ไม่กล่าวโทษคาร์เตอร์ แต่ฉันอดไม่ได้ที่จะเตือนนายให้ระวังคนแบบนี้ ฉันไม่รู้ว่าคาร์เตอร์คิดอะไรอยู่ แถมเธอยังไม่เคยขอโทษพวกเราเลยด้วยซ้ำ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านายยังคุยกับคนแบบนั้นได้ นับถือจริง ๆ”
“เธอก็มองฉันดีไป ก็แค่สงสารเขา”
“นายดูสิ คาร์เตอร์มีเพื่อนใหม่แล้ว มีความสุขดีโดยที่ไม่ต้องมีพวกเรา เธอไม่ต้องการความสงสารหรอกออสโล่ ฉันรู้ว่านายไม่ได้คิดอะไร แต่ฉันกลัวว่าเธอจะทำร้ายนาย หรือหลอกใช้นาย อยู่ห่างคนแบบนี้ไว้ดีกว่า ฉันอยากเตือนนายเท่านี้แหละ”
ออสโล่พยักหน้า แต่เธอรู้ดีว่าเขาเป็นคนดีเกินกว่าจะยอมฟังคำเตือนของเธอ
จู่ ๆ มีเสียงเคร้งดังขึ้น เหมือนมีวัตถุบางอย่างหล่นลงข้างตัว อเล็กซิสมองตามที่มาของเสียง เห็นวัตถุลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าชิ้นเล็กทำจากโลหะ ไม่สิ ไม่ใช่โลหะ อเล็กซิสไม่แน่ใจ สีของมันเป็นสีขาวประกายทอง มีเพชรรูปไข่เม็ดเล็ก ๆ ประดับอยู่บนเรือนร่างสวยงามของมัน เธอหยิบดู พบว่าของที่ว่าเป็นไฟแช็ก
“ว้าว” ออสโล่ทึ่ง เมื่ออเล็กซิสยื่นให้ดู
“ของใครเนี่ย น่าจะแพงน่าดู”
“ไฟแช็กเหรอ”
“ใช่” อเล็กซิสเปิดฝาออก
“ขอโทษนะ นั่นของฉันเอง” เสียงนุ่มทุ้มดังขึ้นเหนือหัว อเล็กซิสและออสโล่เงยหน้าขึ้น เห็นชายหนุ่มตาหล่อจัดมองลงมา
“มันสวยมากเลย” เธอบอกเขาแล้วส่งคืนให้ ยังคงอึ้งเล็กน้อย เขารับไว้แล้วใช้นิ้วสัมผัสมือเธออย่างจงใจ เหมือนมีกระแสไฟส่งผ่านมาทันที อเล็กซิสรู้สึกร้อนวูบที่ใบหน้า
“ใช่...คนนั้นหรือเปล่า”
“พวกเธอจำฉันได้เหรอ” เขาถาม
ทั้งคู่พยักหน้า
ชายหนุ่มคนนี้น่าจะอายุมากกว่าพวกเขาไม่กี่ปี อาจจะเป็นนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัย แต่ที่แน่ ๆ เขาอ่อนกว่าโนเอล ผู้ชายคนนี้เป็นคนเดียวกับหนุ่มหล่อที่ยิ้มให้อเล็กซิสในโรงอาหารเมื่อสามวันก่อน และตอนนั้นเองที่เวดเริ่มแสดงท่าทีหึงหวง ทำนิสัยเสียอย่างที่เธอเจออยู่ตอนนี้
“ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้ล่ะ”
“เอ่อ...พวกเรานั่งคุยกัน” ออสโล่ตอบ แต่ทำสีหน้าราวกับว่าถามโง่ ๆ
“ตรงนี้เลยเหรอ”
น่าแปลกนัก เพียงแค่เขาเลิกคิ้วถามกลับยิ่งน่ามอง
“มันเงียบกว่าที่อื่น” เด็กสองคนยืนขึ้น เพราะเมื่อยคอที่ต้องแหงนหน้าคุย พอยืนแล้วจึงเห็นว่าเขาสูงกว่าอเล็กซิสไม่มาก และน่าจะมาจากครอบครัวร่ำรวย เธอตัดสินเอาจากเสื้อผ้ามีราคาที่เขาใส่ บุคลิกท่าทาง การยืน สายตา ล้วนมีมาดเหมือนนักธุรกิจ แต่ก็ยังดูเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่ปั้นแต่ง ทั้งหน้าตา องค์ประกอบต่าง ๆ ให้ความรู้สึกราวกับว่าเขาเดินออกมาจากนิตยสารแฟชั่นผู้ชาย ชายหนุ่มตัดผมสั้นจัดทรงเนี้ยบ ดูมีสไตล์ ใบหน้าเนียนไร้ซึ่งหนวดเครา
“บี.อาร์. คือยี่ห้อไฟแช็กเหรอ”
“เปล่า ชื่อย่อของฉันเอง”
ดวงตาสีอำพันของชายหนุ่มมองสลับระหว่างอเล็กซิสและออสโล่ “แล้วคนผมบลอนด์ล่ะ”
“กำลังเต้นอยู่”
“อ้อ...” เขามองไปยังเวดที่กำลังเต้นกับสาวคนอื่น เพราะเทสซ่านั่งอยู่กับโนเอล เอามือยันคางทำหน้ามุ่ยไม่พูดไม่จา
“แล้วพวกเธอไม่เต้นกันเหรอ”
อเล็กซิสสั่นหัว “อ้อ ไม่หรอก”
“ไม่ชอบเหรอ”
“ก็ชอบ แต่ไม่ใช่ตอนนี้”
“เอ้อ เอางี้นะ ฉันปล่อยให้พวกเธอสองคนคุยกันแล้วกัน บาย” ออสโล่โน้มตัวลงเหมือนบอกลา แล้วหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ให้กับเธอ
“เฮ้ย อย่าทำงี้สิ” เธอเรียก แต่เขาไม่ยอมกลับมา “นายนี่มัน...แสบกว่าที่คิด” เธอพึมพำแล้วหันกลับมาหาชายหนุ่มข้าง ๆ เขากำลังจ้องเธออยู่ แม้ไม่มีรอยยิ้ม แต่สายตาสื่อความหมายได้ดีว่าขบขัน เขาเข้าใจในสิ่งที่ออสโล่ทำ
“นายอยู่ที่นี่มานานแล้วหรือยัง” เธอตัดสินใจถาม
“เกือบสามอาทิตย์แล้ว”
พอ ๆ กับพวกเทสซ่าเลย “แล้วนายเคยเห็นจอห์น ลีลอยด์ไหม”
“ใครเหรอ”
“นายไม่รู้จักเขาเหรอ” เด็กสาวทำตาโต
“ไม่นะ” เขายืนยัน ดูจากสีหน้าแล้ว อเล็กซิสแน่ใจว่าเขาไม่ได้โกหก “เขาเป็นใครเหรอ”
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” อเล็กซิสผิดหวังเล็ก ๆ เทสซ่าพูดถูก ไม่มีใครเคยเจอจอห์นที่นี่จริง ๆ
“ในเมื่อเธอไม่เต้น ถ้าอย่างนั้น มาดื่มเป็นเพื่อนฉันไหม”
เวลาเขายิ้ม เหมือนมีประกายแสงสาดเข้าตา เขามีเสน่ห์อย่างร้ายกาจทีเดียว โดยเฉพาะดวงตาและสีหน้าที่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกำลังคุยกับเทพบุตรในคราบมนุษย์ เพียงแต่ว่า ปีกของเขาเป็นสีดำ ทุกครั้งที่เธอสบตา ดวงตาสีน้ำตาลอมเหลืองคู่นี้เหมือนมีมนต์ทำให้เธอลืมตัว ยิ่งเวลาเขากัดริมฝีปากแล้วเหยียดยิ้ม อเล็กซิสรู้สึกเหมือนมีคนเร่งอุณหภูมิในบริเวณนั้น ที่สำคัญ เขาไม่ได้ปกปิดกับดักที่ซ่อนอยู่หลังดวงตาคู่นั้นไว้เลย ไฟในดวงตาตรงหน้าส่องสว่าง ปราศจากเสียงล่อลวง เพียงแค่รอให้เธอลองเข้าไปสัมผัสว่ามันร้อนแค่ไหน
“เฮ้อ เสียงเพลงดังจริง ๆ” เขาบ่น มือที่ถือแก้วจ่อเข้าไปในน้ำพุไวน์ “ไม่ตอบถือว่าเออออ ฉันชื่อเบนจามิน แต่เรียกว่าเบนก็พอแล้ว เธอชื่ออะไรล่ะ” เขาแนะนำตัวเอง พร้อมยื่นมือมาอย่างเป็นทางการ อากัปกิริยาทำให้เธอรู้สึกเหมือนเป็นเจ้าหญิง และเขาเป็นทั้งเจ้าชายและปีศาจ
“อเล็กซิส” เธอเขย่ามือนั้น อีกครั้งที่เหมือนกับมีกระแสไฟฟ้าส่งผ่าน ราวกับเขายื่นการ์ดพร้อมริบบิ้น อเล็กซิสพยายามไม่จ้องตาเขา
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ อเล็กซิส”
ทำไมนะ แค่รอยยิ้มธรรมดาถึงทำให้เขินได้ขนาดนี้ เด็กสาวคิด ชายคนนี้กับหนุ่มผมสีเงินทำให้เธอเกิดความรู้สึกดีที่ได้อยู่ในสวรรค์ลวงตาแห่งนี้ ถ้าหากเดวี่ไม่ได้นั่งอยู่ในใจ อเล็กซิสอาจจะลองเสี่ยงเล่นกับไฟ แต่ทำไมเดวี่ถึงยังอยู่ เขาควรออกไปจากใจได้แล้ว ถึงคนคนนี้จะดูอันตราย แต่เขาก็ไม่ได้เสแสร้ง ทำไมต้องสนใจคนที่นอกใจแล้วเลิกกันไปแล้วด้วย แค่คุยกันเล่น ๆ คงไม่เป็นไรมั้ง โอ๊ย นี้คิดอะไรมากมาย ช่วยไม่ได้ ฉันเป็นผู้หญิงนี่นา และพวกผู้หญิงมักมีคิดเยอะแยะ ตีกันไปหมด
สุดท้าย อเล็กซิสพยายามตั้งสติตัวเอง หนุ่มหล่อร้อนแรงส่งไออันตรายขนาดนี้ล้วนน่ากลัว เธอควรจำว่าเดวี่สอนบทเรียนอะไรไว้กับเธอบ้าง “เอ่อ ขอตัวก่อนนะ ฉันต้องกลับไปที่กลุ่มแล้ว” สุดท้ายเธอหักห้ามใจไม่หลงไปในกับดักเสน่ห์ของเขา
“เหรอ แต่เพื่อน ๆ เธอดูกำลังสนุกกับ...”
เด็กสาวมองไปทางเวดที่กำลังเต้นอย่างเมามัน ใบหน้าแดง ไม่สนว่าเตะหรือเหวี่ยงใส่ใครไปบ้าง เทสซ่ากับโนเอลก็ดื่มหนักราวกับกำลังแข่งกันอยู่ มินนี่...มินนี่ก็คือมินนี่ ส่วนออสโล่โบกมือให้เธอกับเบน
“เห็นไหม” เขายิ้ม เป็นรอยยิ้มเหมือนผู้ชนะ
ไอ้ออสโล่ ไว้ทีฉันนะ
“โอเค...” เธอไม่รู้จะเริ่มอย่างไร ความคิดสองอย่างเถียงกันอยู่ในหัว ในเมื่อชายหนุ่มคนนี้สนใจเธอ และเขาก็ดูดีเอามาก ๆ ทำไมเธอจะไม่ให้โอกาสตัวเองเล่า แค่คุยคงไม่เป็นอะไรมั้ง ชีวิตจะได้สดชื่นขึ้นมาบ้าง อีกอย่างเธอก็ยังโสด ถึงเวลาเตะเดวี่ออกไปจากใจได้แล้ว
“ฉันไม่เต้นนะ แต่ถ้าคุยกันเฉย ๆ ก็ได้ เอ่อ นายมาจากไหนเหรอ” เด็กสาวจ้องไปที่เท้าตัวเอง
“เมืองหลวง”
มิน่า แค่รองเท้าก็แพงกว่าเสื้อผ้าของฉันทั้งตัวแล้ว
“แล้วเธอมาจากที่ไหนเหรอ อเล็กซิส”
“เรียกอเล็กซ์เถอะ ถ้าอยากจะพูดให้สั้นลง ฉันมาจากซานโบซ่า อยู่ในรัฐอิดริน่าน่ะ”
แต่เบนกลับหัวเราะ
“ขำอะไรเหรอ”
อีกแล้ว ถ้าเธอขอให้เขาหยุดยิ้มแบบนั้นได้จะแปลกหรือเปล่า เพียงแค่สายตาก็ทำให้เธอกระวนกระวายอยู่ไม่สุข พอจ้องกลับก็เหมือนถูกดวงตาคู่นั้นสแกนไปทั่วร่าง
“เพื่อนสนิทของฉันชื่ออเล็กซ์เหมือนกัน”
“อ้อ อย่างงี้นี่เอง เขาเป็นผู้ชายใช่ไหม” พูดจบ อเล็กซิสเม้มปากตัวเองทันที ยัยโง่ พูดอะไรไป ทำไมจู่ ๆ ถึงทำตัวโง่ขึ้นมา
“แน่นอน เขาเป็นผู้ชาย ฉันไม่ค่อยเห็นผู้หญิงชื่ออเล็กซ์เท่าไร” โทนเสียงบ่งบอกว่าขบขัน พอสายตาของเขาเลื่อนมาที่คางและคอ อเล็กซิสเบี่ยงตัวหลบสายตาทันที อาการเขินอายนั้นหายวับไป เพราะบาดแผลพวกนี้ทำให้เธอนึกถึงวันนั้น
“โทษนะ ไม่ได้ตั้งใจจะมอง แต่ฉันเห็นแผลที่...”
“แค่รอยช้ำกับแผลเป็นนิดหน่อย...นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงล่ะ”
“ถ้าไม่ว่าอะไร ฉันอยากจะบอกว่า ฉันรู้วิธีลบรอยพวกนี้นะ” เขาไม่ตอบคำถามเธอ แต่โฟกัสที่รอยช้ำ “ในห้องพยาบาล มียาที่จะช่วยลบรอยพวกนี้ได้หมด ถ้าเธอสงสัยว่าฉันโกหกหรือเปล่า เธอลองดูสิ่งของรอบตัวก็แล้วกัน แล้วจะเข้าใจเอง ความรู้ที่พวกรัฐบาลปิดกั้นไว้ไม่ได้มีแค่เทคโนโลยีหรอกนะ”
เด็กสาวกวาดตาไปรอบ ๆ สนใจทันที “จริงเหรอ ลบได้หมดเลยเหรอ”
เขาพยักหน้า “อื้อ หมดเลย ลองไปดูไหมล่ะ ฉันจะพาไป” เขายื่นมือมา พร้อมกับรอยยิ้มที่ยากจะปฏิเสธได้ น่าขำที่มันทำให้เธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกหมาป่าในคราบเจ้าชายล่อลวง แต่เธอกลับพร้อมเต็มใจรับข้อเสนอแสนยั่วยวน มองเห็นกับดักเป็นพรมแดง
“อเล็กซิส!”
เทสซ่าตะโกนเรียกเสียงดัง เวดกลับไปนั่งที่โต๊ะแล้ว หรี่ตามองเบนเหมือนครั้งแรกที่เขาทำ อเล็กซิสอยากให้เขาเลิกทำท่าแบบนั้นสักที
เบนไม่ได้หันไปมอง แต่เหลือบมองพวกเขาผ่านหางตาเท่านั้น จากนั้นเขาเพียงหันมายิ้มน้อย ๆ “เพื่อนเธอเรียกแล้ว อย่าลืมไปเอายาที่นั่นล่ะ พวกผู้หญิงไม่ชอบมีรอยแผลเป็นหรอก จริงไหม”
“ขอบคุณเบน ขอบคุณจริง ๆ แต่นายจะไปแล้วเหรอ”
เขาเหยียดมุมปากข้างหนึ่งคล้ายกำลังแค่นยิ้ม “ครั้งหน้า หวังว่าเราคงจะมีเวลาคุยกันนานกว่านี้ แล้วเจอกัน”
เพียงแค่กะพริบตา เขาก็หายไปแล้ว เธอไม่เข้าใจว่าทำไมพอเทสซ่าเรียกเธอ เขาถึงรีบไป
“เธอคุยอะไรกับเขาน่ะ” เทสซ่าเดินตรงมาคล้องแขนเหมือนหวงเพื่อน อเล็กซิสเห็นภาพเอโลดี้ซ้อนขึ้นมา “หมอนั่นหล่อ รวย ทำตัวราวกับเป็นสุภาพบุรุษหลุดออกมาจากนิยาย แต่ตัวจริงน่ะ หมาป่าชัด ๆ บอกให้รู้ไว้เลยนะสาวน้อย เพราะฉันรู้จักหมอนี่มาก่อนเธออีก ร้ายจะตาย”
“ไม่ต้องห่วงหรอก เขาไม่ได้เสแสร้งสักนิด แต่เปิดเผยชัดเจนเลยล่ะ...แต่ว่านะ เทสซ่า หมาป่าตัวนี้คงเป็นหมาป่าที่มีเสน่ห์ล้นเหลือเลย เธอว่าไหม” อเล็กซิสหยอดเพื่อน
เทสซ่าสั่นหัว กอดอกแน่น “ไม่เอาน่า ใช่ว่าหนูน้อยหมวกแดงทุกคนจะมีนายพรานมาช่วยนะจ๊ะ หนูน้อยพวกนั้นถูกหมาป่ากลืนกินไปทั้งตัว เธอไม่เคยได้ยินพวกผู้ใหญ่สอนเหรอ ว่าอย่าเล่นกับไฟ”
ความรู้สึกที่เหมือนกลับไปอยู่โรงเรียนนี่คืออะไร อเล็กซิสพอเข้าใจแล้วว่าทำไมพวกเขาถึงเรียกที่นี่ว่า ‘หอพัก’ กัน
“แต่คุณบอกว่ามันจะใช้คุณเป็นตัวประกัน” ไมเคิลเถียง“ใช่ ตัวฉัน เพียงแค่ร่างกายที่ยังมีลมหายใจ”อเล็กซิสเข่าอ่อนจนทรุดตัวลง ก้มหน้าซ่อนสะอื้นลงกับตักหญิงสาว นาฮีมานาอาจไม่ใช่แม่ของกลุ่มเสี่ยง แต่เปรียบเหมือนกับผู้ใหญ่หรือไม่ก็พี่สาวที่พวกเขารู้สึกสบายใจเวลาเห็นเธอ เปรียบดั่งต้นไม้ที่ให้ร่มเงาทางจิตใจ“แต่ว่า...ก่อนจะออกไป ฉันมีเรื่องจะขอร้อง”เมื่อนั้นเธอจึงเงยหน้าขึ้น นาฮีมานาจับมืออเล็กซิสกับไมเคิล“เผาทุกอย่างในนี้”ทั้งสองพยักหน้า“ถ้าเห็นอะไร ทำใจไว้นะ แต่ฉันคิดว่าอย่าปล่อยไปเลย พวกเขายังไม่รับรู้อะไรหรอก”ทว่าประโยคหลังนั้น ทั้งสองไม่เข้าใจ นาฮีมานาคะยั้นคะยอให้พวกเขาออกไปจากที่นี่อีกครั้ง มืออีกข้างหยิบปืนที่พวกนั้นทิ้งไว้ เธอพยักหน้าให้ทั้งสองเห็นว่าไม่เป็นไร“พวกเธอไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว ไปเถิด”“เหลืออีกห้านาที”นาฮีมานาไม่ต้องการให้พวกเขามอง หรือรับรู้ ทั้งสองจึงเดินออกไปหน้าลิฟต์ ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นจึงได้ยิน
“พาตัวเธอมา” เธอหันไปสั่งเพื่อนร่วมงานหรือลูกน้อง อเล็กซิสไม่มีวันรู้ไม่ถึงหนึ่งนาทีได้ คนของอาร์คาเดียจึงประคองนาฮีมานาออกมา เธออยู่ในสภาพอิดโรย ผมสีดำยุ่งเหยิง แก้มที่ตอบอยู่แล้วลึกลงไปราวกับผิวหนังปกคลุมเพียงโครงกระดูก เธอออกจากกลุ่มไปก่อน อเล็กซิสไม่รู้เลยว่าหญิงสาวโดนจับไปเมื่อไร“ได้โปรด เราพาเธอมาแล้ว”“เหลืออีกสิบนาที” พวกเขามองหน้ากันอย่างตื่นตระหนกเพราะกลัวหนีไม่ทัน“ทำไม ที่นี่จะระเบิดหรือ”พวกเขาส่ายหน้า ทั้งสองไม่เชื่อ แต่เมื่อเห็นนาฮีมานาพยักหน้าให้มั่นใจว่าเป็นเรื่องจริง อเล็กซิสจึงหันไปพยักหน้ากับไมเคิล เขาจึงบอกให้คนที่เหลือออกไป ทั้งหมดทิ้งอาวุธแล้วรีบวิ่งหนี บางคนแย่งกันออกไปจนมีเสียงโวยวายล้มลุกคลุกคลาน ส่วนพวกเขารีบไปประคองนาฮีมานาที่ถูกทิ้งลงกับพื้น“มานา...”หญิงสาวสบตากับทั้งสองแล้วยกมือจับแก้มคนทั้งคู่ เพียงสัมผัสอเล็กซิสกลับรู้สึกสบายตัว อากาศปวดตามตัวและที่หน่วงอยู่ในท้องก็อันตรธานหายไปทันใด เมื่อเธอมองไมเคิลจึงเห็นว่าบาดแผลบนใบหน้
“เหลืออีกยี่สิบนาที”สิ่งที่อเล็กซิสเกลียดที่สุดคือการไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน และเกิดอะไรขึ้น แม้เข้าใจจุดประสงค์ของผู้ลักพาตัว แต่ไม่สามารถรู้ได้ว่าตัวการเป็นใคร ทั้งสองยืนมองนักวิทยาศาสตร์วิ่งหนีออกจากตึกจากบานหน้ากระจกขนาดใหญ่บนชั้นลอยเปิดสู่โถงด้านล่าง ประตูทางออกนั้นไม่ได้เปิดออกไปแล้วเห็นด้านนอก แต่ไปยังลิฟต์ที่เคลื่อนตัวขึ้นไปด้านบน โถงด้านล่างกินพื้นที่ถึงห้าชั้น มันกว้างใหญ่ พวกเขาวิ่งหนีขึ้นลิฟต์ บ้างแย่งกัน แต่เพราะจำนวนมีจำกัดจึงไม่อาจขนส่งคนออกไปได้ทันทีแต่ก็ทำให้เธอรู้ว่าทั้งหมดอยู่ใต้ดินขณะนั้นไมเคิลปรายตามองทีมรักษาความปลอดภัยที่อยู่ด้านล่าง พวกเขาไม่ได้สวมชุดทหารสีเทาแต่เป็นสีน้ำตาล ในมือถือปืนเลเซอร์ขนาดใหญ่เล็งมาแต่ยังไม่ได้ยิง หรือพูดไม่ถูกคือไม่กล้ายิงเพราะกลัวผลโต้ตอบที่รุนแรงกว่า อีกกลุ่มคอยอพยพและจัดระเบียบ พวกเขามองขึ้นมาอย่างหวาดผวา ส่วนเธอกับไมเคิลมองลงไปด้วยสายตาว่างเปล่า“ปล่อยไปเถอะ เราต้องการเพียงมานา”อเล็กซิสไม่ได้ใจดี เธอแค่ไม่อยากเสียเวลาไมเคิลพยักหน้าแต่สายตายังจับจ้อง
แม้สายตาจะคอยชำเลืองมองแฝดที่ยืนจังก้าอยู่ด้านหน้าประตูรอให้พวกมันเข้ามา อเล็กซิสใช้เวลานี้เรียกข้อมูลขึ้นมาเรื่อย ๆ นอกจากจะเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอของพวกเขาแล้ว พวกมันต้องการเซลล์ไข่ของเธอและสเปิร์มของแฝดเพื่อผสมเทียม สมมติฐานของคนพวกนี้นั่นคือ เธอและไมเคิลเป็นกลุ่มเสี่ยงคู่เดียวที่สามารถให้กำเนิดทายาทที่มีลักษณะพิเศษได้ เหมือนอย่างที่ลูก้าและเจมม่าเคยให้กำเนิดคนทั้งสอง เนื่องจากกลุ่มเสี่ยงคนอื่นล้วนมีภาวะมีบุตรยากหรืออาจจะถึงขนาดไร้ประสิทธิภาพที่จะมีทายาทเลยก็ว่าได้เพื่ออะไร ผลิต...ผลิตกองทัพผู้มีพลังพิเศษด้วยตัวเองหรือปัญหาคือ เธออยากรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง เอไลโตทั้งหมด หรือบางคน? ที่แน่ ๆ พวกมันใช้คาเรลที่สมควรถูกประหารชีวิตไปแล้วปลอมตัวเป็นไมเคิลมากหลอกเธอเสียงฝีเท้ามากมายมาเป็นโขยงโดยที่แฝดชายยืนรออยู่ อเล็กซิสถอยห่างจากโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน“อยู่เฉย ๆ” คนข้างนอกตะโกนเข้ามา “อย่าขยับไม่อย่างนั้นพวกเราจำเป็นต้องยิง!”ชายหนุ่มผมเงินหัวเราะดูแคลนคนข้างนอก พริบตาเดียวเปลวเพลิงลุกโถมเข้าใส่ประตูด้านหน้า ทีมรักษาความป
ความเงียบกลับมาปกคลุมอีกครั้งพร้อมกับสภาพเครื่องมือล้มระเนระนาด รวมทั้งจานที่บรรจุเซลล์ไข่แตกละเอียด เพียงเธอมอง ของเหลวในนั้นแห้งเหือดตรงมุมขวาของห้องมีกล้องวงจรปิดอยู่ อเล็กซิสยกมือขึ้นทำท่าบิด มันแตกแล้วตกลงมา เพียงเท่านั้นเธอรีบลุกออกจากเตียงเพื่อไปหาไมเคิล แต่เพียงขยับก็เจ็บหน่วงที่ท้อง สุดท้ายกลั้นใจหยิบผ้าคลุมมาพันตัวแล้วเดินไปหาน้องชาย มันไม่ได้เจ็บมากนัก แต่แปลบ ๆ หน่วง ๆ เหมือนเวลาที่เธอเคยมีประจำเดือน“ไมเคิล” เธอจับแก้มที่มีแผลไหม้แล้วสงสารจับใจ ใบหน้าของเขาคือของขวัญล้ำค่าที่ไม่ว่าใครก็อยากจะถนอมดูแล แล้วดูตอนนี้สิ อเล็กซิสดึงเครื่องรัดออกแล้วสวมกอดคนที่นอนอยู่แน่นเพื่อให้เขาฟื้นตัว “ไมเคิล ตื่นสิ ไมเคิล”ชายหนุ่มส่งเสียงครางอือ ๆ เบา ๆ เธอถอนตัวขึ้นมาเพื่อรอให้เขาฟื้น เขาเริ่มขยับริมฝีปาก “รอ...”“ไม่ต้องรอ” เธอบอกพลางกุมมือเขาแน่น น้ำตาเอ่อขึ้นมาเมื่อมองแฝดชายราวกับเห็นร่างของซีโน่ที่กำลังจะตาย “ตื่นขึ้นมา ฉันจะปกป้องนายเอง”เขากะพริบตาก่อนจะลืมตามอง ดวงตาสีฟ้าเข้มสบกับของเ
มีกี่เรื่องที่ทำให้คนเราฝันร้าย แต่เมื่อตื่นเหมือนกับโผล่ขึ้นผิวน้ำปีศาจในความทรงจำล้วนมีมากหน้าหลายตา และกลุ่มแรกมีชื่อว่าคาเมรอนกับบรูซ ยังดีที่โชคยังเข้าข้าง ต่างกับตอนนี้ที่ตกอยู่ในเงื้อมมือปีศาจใต้หน้ากาก หมดสิ้นอิสรภาพโดยสิ้นเชิงสติไปไหน เหตุใดจึงรู้สึกล่องลอย บางครั้งตื่นตัว บางครั้งไม่รู้สึกมันมากันเป็นกลุ่ม จับร่างของอเล็กซิสขึงเพื่อเอาบางสิ่งจากกาย หากขัดขืนดิ้นรนก็จะได้รับความเจ็บปวดสาหัสจนไม่อาจขยับได้ไปหลายนาที คงเป็นเพราะกายหยาบนี้ทนทานต่อยาสลบจึงตื่นเร็วเกินไป แต่ต่อให้ทนได้เพียงใดก็ไม่ได้แปลว่าไม่เจ็บปวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมรุกล้ำเข้ามาเสียงกรีดร้องอ้อนวอนขอให้พวกมันหยุดไม่เป็นผล แม้เมื่อมันได้สิ่งที่ต้องการก็ยังไม่ปล่อยอเล็กซิสกับไมเคิลไป พวกมันเอาขาหยั่งออกแล้วปล่อยให้ขาเธอนอนเหยียดยาวโดยมีเครื่องล็อกตรึงไว้ไม่ให้ขยับ“พวกแกต้องชดใช้” เสียงที่ตะโกนออกไปกลั่นออกมาจากความแค้นที่อยู่ลึกสุด แต่กลับฟังดูอ่อนแอเกินกว่าจะขู่ให้ผู้ใดกลัว ตรงกันข้ามกลับเรียกเสียงหัวเราะขำขันแทนเธอหันไปมอง







