อเล็กซิสมองตาม เห็นอดีตประธานนักเรียนกำลังนั่งคุยอยู่กับเพื่อนกลุ่มใหม่อย่างสนุกสนาน เบลินดาปรับตัวกับสถานที่แห่งนี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติเหมือนกับที่เวดทำได้ คงเป็นสิ่งเดียวที่พวกเขาเหมือนกัน เธอดูมีความสุขมากขึ้น หากนับจากวันที่ถูกจับมาด้วยกัน
“นายยังคุยกับคาร์เตอร์อยู่ ฉันเห็น” อเล็กซิสพูด “นายไม่โกรธเธอเลยเหรอ”
เขาสั่นหัว “หายโกรธไปแล้ว พวกเราลงเรือลำเดียวกันแล้วนี่นา ฉันค่อนข้างเห็นใจเบลนะ พวกเธอสองคนเย็นชาใส่เขามากไปหน่อย”
อเล็กซิสจ้องตาออสโล่เขม็ง ชี้นิ้วไปที่หน้าตัวเอง “ฉันเนี่ยนะ เย็นชาเหรอ เขาตั้งใจจะให้ฉันถูกจับเลยนะ”
“ฉันรู้ ๆ อย่างน้อยเธอก็แค่ไม่สนใจเบล ก็ยังดี ฉันก็ไม่ได้จะว่าเธอสักหน่อย”
อเล็กซิสถอนหายใจอย่างแรง “ออสโล่ ฉันรู้ว่านายใจอ่อนง่าย โอเค ฉันอาจไม่บ่น ไม่กล่าวโทษคาร์เตอร์ แต่ฉันอดไม่ได้ที่จะเตือนนายให้ระวังคนแบบนี้ ฉันไม่รู้ว่าคาร์เตอร์คิดอะไรอยู่ แถมเธอยังไม่เคยขอโทษพวกเราเลยด้วยซ้ำ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านายยังคุยกับคนแบบนั้นได้ นับถือจริง ๆ”
“เธอก็มองฉันดีไป ก็แค่สงสารเขา”
“นายดูสิ คาร์เตอร์มีเพื่อนใหม่แล้ว มีความสุขดีโดยที่ไม่ต้องมีพวกเรา เธอไม่ต้องการความสงสารหรอกออสโล่ ฉันรู้ว่านายไม่ได้คิดอะไร แต่ฉันกลัวว่าเธอจะทำร้ายนาย หรือหลอกใช้นาย อยู่ห่างคนแบบนี้ไว้ดีกว่า ฉันอยากเตือนนายเท่านี้แหละ”
ออสโล่พยักหน้า แต่เธอรู้ดีว่าเขาเป็นคนดีเกินกว่าจะยอมฟังคำเตือนของเธอ
จู่ ๆ มีเสียงเคร้งดังขึ้น เหมือนมีวัตถุบางอย่างหล่นลงข้างตัว อเล็กซิสมองตามที่มาของเสียง เห็นวัตถุลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าชิ้นเล็กทำจากโลหะ ไม่สิ ไม่ใช่โลหะ อเล็กซิสไม่แน่ใจ สีของมันเป็นสีขาวประกายทอง มีเพชรรูปไข่เม็ดเล็ก ๆ ประดับอยู่บนเรือนร่างสวยงามของมัน เธอหยิบดู พบว่าของที่ว่าเป็นไฟแช็ก
“ว้าว” ออสโล่ทึ่ง เมื่ออเล็กซิสยื่นให้ดู
“ของใครเนี่ย น่าจะแพงน่าดู”
“ไฟแช็กเหรอ”
“ใช่” อเล็กซิสเปิดฝาออก
“ขอโทษนะ นั่นของฉันเอง” เสียงนุ่มทุ้มดังขึ้นเหนือหัว อเล็กซิสและออสโล่เงยหน้าขึ้น เห็นชายหนุ่มตาหล่อจัดมองลงมา
“มันสวยมากเลย” เธอบอกเขาแล้วส่งคืนให้ ยังคงอึ้งเล็กน้อย เขารับไว้แล้วใช้นิ้วสัมผัสมือเธออย่างจงใจ เหมือนมีกระแสไฟส่งผ่านมาทันที อเล็กซิสรู้สึกร้อนวูบที่ใบหน้า
“ใช่...คนนั้นหรือเปล่า”
“พวกเธอจำฉันได้เหรอ” เขาถาม
ทั้งคู่พยักหน้า
ชายหนุ่มคนนี้น่าจะอายุมากกว่าพวกเขาไม่กี่ปี อาจจะเป็นนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัย แต่ที่แน่ ๆ เขาอ่อนกว่าโนเอล ผู้ชายคนนี้เป็นคนเดียวกับหนุ่มหล่อที่ยิ้มให้อเล็กซิสในโรงอาหารเมื่อสามวันก่อน และตอนนั้นเองที่เวดเริ่มแสดงท่าทีหึงหวง ทำนิสัยเสียอย่างที่เธอเจออยู่ตอนนี้
“ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้ล่ะ”
“เอ่อ...พวกเรานั่งคุยกัน” ออสโล่ตอบ แต่ทำสีหน้าราวกับว่าถามโง่ ๆ
“ตรงนี้เลยเหรอ”
น่าแปลกนัก เพียงแค่เขาเลิกคิ้วถามกลับยิ่งน่ามอง
“มันเงียบกว่าที่อื่น” เด็กสองคนยืนขึ้น เพราะเมื่อยคอที่ต้องแหงนหน้าคุย พอยืนแล้วจึงเห็นว่าเขาสูงกว่าอเล็กซิสไม่มาก และน่าจะมาจากครอบครัวร่ำรวย เธอตัดสินเอาจากเสื้อผ้ามีราคาที่เขาใส่ บุคลิกท่าทาง การยืน สายตา ล้วนมีมาดเหมือนนักธุรกิจ แต่ก็ยังดูเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่ปั้นแต่ง ทั้งหน้าตา องค์ประกอบต่าง ๆ ให้ความรู้สึกราวกับว่าเขาเดินออกมาจากนิตยสารแฟชั่นผู้ชาย ชายหนุ่มตัดผมสั้นจัดทรงเนี้ยบ ดูมีสไตล์ ใบหน้าเนียนไร้ซึ่งหนวดเครา
“บี.อาร์. คือยี่ห้อไฟแช็กเหรอ”
“เปล่า ชื่อย่อของฉันเอง”
ดวงตาสีอำพันของชายหนุ่มมองสลับระหว่างอเล็กซิสและออสโล่ “แล้วคนผมบลอนด์ล่ะ”
“กำลังเต้นอยู่”
“อ้อ...” เขามองไปยังเวดที่กำลังเต้นกับสาวคนอื่น เพราะเทสซ่านั่งอยู่กับโนเอล เอามือยันคางทำหน้ามุ่ยไม่พูดไม่จา
“แล้วพวกเธอไม่เต้นกันเหรอ”
อเล็กซิสสั่นหัว “อ้อ ไม่หรอก”
“ไม่ชอบเหรอ”
“ก็ชอบ แต่ไม่ใช่ตอนนี้”
“เอ้อ เอางี้นะ ฉันปล่อยให้พวกเธอสองคนคุยกันแล้วกัน บาย” ออสโล่โน้มตัวลงเหมือนบอกลา แล้วหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ให้กับเธอ
“เฮ้ย อย่าทำงี้สิ” เธอเรียก แต่เขาไม่ยอมกลับมา “นายนี่มัน...แสบกว่าที่คิด” เธอพึมพำแล้วหันกลับมาหาชายหนุ่มข้าง ๆ เขากำลังจ้องเธออยู่ แม้ไม่มีรอยยิ้ม แต่สายตาสื่อความหมายได้ดีว่าขบขัน เขาเข้าใจในสิ่งที่ออสโล่ทำ
“นายอยู่ที่นี่มานานแล้วหรือยัง” เธอตัดสินใจถาม
“เกือบสามอาทิตย์แล้ว”
พอ ๆ กับพวกเทสซ่าเลย “แล้วนายเคยเห็นจอห์น ลีลอยด์ไหม”
“ใครเหรอ”
“นายไม่รู้จักเขาเหรอ” เด็กสาวทำตาโต
“ไม่นะ” เขายืนยัน ดูจากสีหน้าแล้ว อเล็กซิสแน่ใจว่าเขาไม่ได้โกหก “เขาเป็นใครเหรอ”
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” อเล็กซิสผิดหวังเล็ก ๆ เทสซ่าพูดถูก ไม่มีใครเคยเจอจอห์นที่นี่จริง ๆ
“ในเมื่อเธอไม่เต้น ถ้าอย่างนั้น มาดื่มเป็นเพื่อนฉันไหม”
เวลาเขายิ้ม เหมือนมีประกายแสงสาดเข้าตา เขามีเสน่ห์อย่างร้ายกาจทีเดียว โดยเฉพาะดวงตาและสีหน้าที่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกำลังคุยกับเทพบุตรในคราบมนุษย์ เพียงแต่ว่า ปีกของเขาเป็นสีดำ ทุกครั้งที่เธอสบตา ดวงตาสีน้ำตาลอมเหลืองคู่นี้เหมือนมีมนต์ทำให้เธอลืมตัว ยิ่งเวลาเขากัดริมฝีปากแล้วเหยียดยิ้ม อเล็กซิสรู้สึกเหมือนมีคนเร่งอุณหภูมิในบริเวณนั้น ที่สำคัญ เขาไม่ได้ปกปิดกับดักที่ซ่อนอยู่หลังดวงตาคู่นั้นไว้เลย ไฟในดวงตาตรงหน้าส่องสว่าง ปราศจากเสียงล่อลวง เพียงแค่รอให้เธอลองเข้าไปสัมผัสว่ามันร้อนแค่ไหน
“เฮ้อ เสียงเพลงดังจริง ๆ” เขาบ่น มือที่ถือแก้วจ่อเข้าไปในน้ำพุไวน์ “ไม่ตอบถือว่าเออออ ฉันชื่อเบนจามิน แต่เรียกว่าเบนก็พอแล้ว เธอชื่ออะไรล่ะ” เขาแนะนำตัวเอง พร้อมยื่นมือมาอย่างเป็นทางการ อากัปกิริยาทำให้เธอรู้สึกเหมือนเป็นเจ้าหญิง และเขาเป็นทั้งเจ้าชายและปีศาจ
“อเล็กซิส” เธอเขย่ามือนั้น อีกครั้งที่เหมือนกับมีกระแสไฟฟ้าส่งผ่าน ราวกับเขายื่นการ์ดพร้อมริบบิ้น อเล็กซิสพยายามไม่จ้องตาเขา
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ อเล็กซิส”
ทำไมนะ แค่รอยยิ้มธรรมดาถึงทำให้เขินได้ขนาดนี้ เด็กสาวคิด ชายคนนี้กับหนุ่มผมสีเงินทำให้เธอเกิดความรู้สึกดีที่ได้อยู่ในสวรรค์ลวงตาแห่งนี้ ถ้าหากเดวี่ไม่ได้นั่งอยู่ในใจ อเล็กซิสอาจจะลองเสี่ยงเล่นกับไฟ แต่ทำไมเดวี่ถึงยังอยู่ เขาควรออกไปจากใจได้แล้ว ถึงคนคนนี้จะดูอันตราย แต่เขาก็ไม่ได้เสแสร้ง ทำไมต้องสนใจคนที่นอกใจแล้วเลิกกันไปแล้วด้วย แค่คุยกันเล่น ๆ คงไม่เป็นไรมั้ง โอ๊ย นี้คิดอะไรมากมาย ช่วยไม่ได้ ฉันเป็นผู้หญิงนี่นา และพวกผู้หญิงมักมีคิดเยอะแยะ ตีกันไปหมด
สุดท้าย อเล็กซิสพยายามตั้งสติตัวเอง หนุ่มหล่อร้อนแรงส่งไออันตรายขนาดนี้ล้วนน่ากลัว เธอควรจำว่าเดวี่สอนบทเรียนอะไรไว้กับเธอบ้าง “เอ่อ ขอตัวก่อนนะ ฉันต้องกลับไปที่กลุ่มแล้ว” สุดท้ายเธอหักห้ามใจไม่หลงไปในกับดักเสน่ห์ของเขา
“เหรอ แต่เพื่อน ๆ เธอดูกำลังสนุกกับ...”
เด็กสาวมองไปทางเวดที่กำลังเต้นอย่างเมามัน ใบหน้าแดง ไม่สนว่าเตะหรือเหวี่ยงใส่ใครไปบ้าง เทสซ่ากับโนเอลก็ดื่มหนักราวกับกำลังแข่งกันอยู่ มินนี่...มินนี่ก็คือมินนี่ ส่วนออสโล่โบกมือให้เธอกับเบน
“เห็นไหม” เขายิ้ม เป็นรอยยิ้มเหมือนผู้ชนะ
ไอ้ออสโล่ ไว้ทีฉันนะ
“โอเค...” เธอไม่รู้จะเริ่มอย่างไร ความคิดสองอย่างเถียงกันอยู่ในหัว ในเมื่อชายหนุ่มคนนี้สนใจเธอ และเขาก็ดูดีเอามาก ๆ ทำไมเธอจะไม่ให้โอกาสตัวเองเล่า แค่คุยคงไม่เป็นอะไรมั้ง ชีวิตจะได้สดชื่นขึ้นมาบ้าง อีกอย่างเธอก็ยังโสด ถึงเวลาเตะเดวี่ออกไปจากใจได้แล้ว
“ฉันไม่เต้นนะ แต่ถ้าคุยกันเฉย ๆ ก็ได้ เอ่อ นายมาจากไหนเหรอ” เด็กสาวจ้องไปที่เท้าตัวเอง
“เมืองหลวง”
มิน่า แค่รองเท้าก็แพงกว่าเสื้อผ้าของฉันทั้งตัวแล้ว
“แล้วเธอมาจากที่ไหนเหรอ อเล็กซิส”
“เรียกอเล็กซ์เถอะ ถ้าอยากจะพูดให้สั้นลง ฉันมาจากซานโบซ่า อยู่ในรัฐอิดริน่าน่ะ”
แต่เบนกลับหัวเราะ
“ขำอะไรเหรอ”
อีกแล้ว ถ้าเธอขอให้เขาหยุดยิ้มแบบนั้นได้จะแปลกหรือเปล่า เพียงแค่สายตาก็ทำให้เธอกระวนกระวายอยู่ไม่สุข พอจ้องกลับก็เหมือนถูกดวงตาคู่นั้นสแกนไปทั่วร่าง
“เพื่อนสนิทของฉันชื่ออเล็กซ์เหมือนกัน”
“อ้อ อย่างงี้นี่เอง เขาเป็นผู้ชายใช่ไหม” พูดจบ อเล็กซิสเม้มปากตัวเองทันที ยัยโง่ พูดอะไรไป ทำไมจู่ ๆ ถึงทำตัวโง่ขึ้นมา
“แน่นอน เขาเป็นผู้ชาย ฉันไม่ค่อยเห็นผู้หญิงชื่ออเล็กซ์เท่าไร” โทนเสียงบ่งบอกว่าขบขัน พอสายตาของเขาเลื่อนมาที่คางและคอ อเล็กซิสเบี่ยงตัวหลบสายตาทันที อาการเขินอายนั้นหายวับไป เพราะบาดแผลพวกนี้ทำให้เธอนึกถึงวันนั้น
“โทษนะ ไม่ได้ตั้งใจจะมอง แต่ฉันเห็นแผลที่...”
“แค่รอยช้ำกับแผลเป็นนิดหน่อย...นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงล่ะ”
“ถ้าไม่ว่าอะไร ฉันอยากจะบอกว่า ฉันรู้วิธีลบรอยพวกนี้นะ” เขาไม่ตอบคำถามเธอ แต่โฟกัสที่รอยช้ำ “ในห้องพยาบาล มียาที่จะช่วยลบรอยพวกนี้ได้หมด ถ้าเธอสงสัยว่าฉันโกหกหรือเปล่า เธอลองดูสิ่งของรอบตัวก็แล้วกัน แล้วจะเข้าใจเอง ความรู้ที่พวกรัฐบาลปิดกั้นไว้ไม่ได้มีแค่เทคโนโลยีหรอกนะ”
เด็กสาวกวาดตาไปรอบ ๆ สนใจทันที “จริงเหรอ ลบได้หมดเลยเหรอ”
เขาพยักหน้า “อื้อ หมดเลย ลองไปดูไหมล่ะ ฉันจะพาไป” เขายื่นมือมา พร้อมกับรอยยิ้มที่ยากจะปฏิเสธได้ น่าขำที่มันทำให้เธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกหมาป่าในคราบเจ้าชายล่อลวง แต่เธอกลับพร้อมเต็มใจรับข้อเสนอแสนยั่วยวน มองเห็นกับดักเป็นพรมแดง
“อเล็กซิส!”
เทสซ่าตะโกนเรียกเสียงดัง เวดกลับไปนั่งที่โต๊ะแล้ว หรี่ตามองเบนเหมือนครั้งแรกที่เขาทำ อเล็กซิสอยากให้เขาเลิกทำท่าแบบนั้นสักที
เบนไม่ได้หันไปมอง แต่เหลือบมองพวกเขาผ่านหางตาเท่านั้น จากนั้นเขาเพียงหันมายิ้มน้อย ๆ “เพื่อนเธอเรียกแล้ว อย่าลืมไปเอายาที่นั่นล่ะ พวกผู้หญิงไม่ชอบมีรอยแผลเป็นหรอก จริงไหม”
“ขอบคุณเบน ขอบคุณจริง ๆ แต่นายจะไปแล้วเหรอ”
เขาเหยียดมุมปากข้างหนึ่งคล้ายกำลังแค่นยิ้ม “ครั้งหน้า หวังว่าเราคงจะมีเวลาคุยกันนานกว่านี้ แล้วเจอกัน”
เพียงแค่กะพริบตา เขาก็หายไปแล้ว เธอไม่เข้าใจว่าทำไมพอเทสซ่าเรียกเธอ เขาถึงรีบไป
“เธอคุยอะไรกับเขาน่ะ” เทสซ่าเดินตรงมาคล้องแขนเหมือนหวงเพื่อน อเล็กซิสเห็นภาพเอโลดี้ซ้อนขึ้นมา “หมอนั่นหล่อ รวย ทำตัวราวกับเป็นสุภาพบุรุษหลุดออกมาจากนิยาย แต่ตัวจริงน่ะ หมาป่าชัด ๆ บอกให้รู้ไว้เลยนะสาวน้อย เพราะฉันรู้จักหมอนี่มาก่อนเธออีก ร้ายจะตาย”
“ไม่ต้องห่วงหรอก เขาไม่ได้เสแสร้งสักนิด แต่เปิดเผยชัดเจนเลยล่ะ...แต่ว่านะ เทสซ่า หมาป่าตัวนี้คงเป็นหมาป่าที่มีเสน่ห์ล้นเหลือเลย เธอว่าไหม” อเล็กซิสหยอดเพื่อน
เทสซ่าสั่นหัว กอดอกแน่น “ไม่เอาน่า ใช่ว่าหนูน้อยหมวกแดงทุกคนจะมีนายพรานมาช่วยนะจ๊ะ หนูน้อยพวกนั้นถูกหมาป่ากลืนกินไปทั้งตัว เธอไม่เคยได้ยินพวกผู้ใหญ่สอนเหรอ ว่าอย่าเล่นกับไฟ”
ความรู้สึกที่เหมือนกลับไปอยู่โรงเรียนนี่คืออะไร อเล็กซิสพอเข้าใจแล้วว่าทำไมพวกเขาถึงเรียกที่นี่ว่า ‘หอพัก’ กัน
กลุ่มกบฏบางกลุ่มต้องการทำลายนิวโฮป จึงไม่ใช่ทุกกลุ่มที่ยินดีอ้าแขนต้อนรับพวกเขา และข้อสำคัญคือ พวกเขาจะติดต่อคนเหล่านี้ได้อย่างไร จะรู้ได้อย่างไรว่ากลุ่มไหนตอบโจทย์ที่พวกเขาต้องการไม่มีใครตอบได้ แม้แต่บลูก็จนแต้ม เขาเพียงแค่อยากอยู่ที่นี่ ใกล้กับหลุมศพน้องชาย“ไมเคิล ฉันว่าไม่ปกตินะ” จอห์นปลุกสติของเขาอีกครั้งสายฟ้าของอเล็กซ์ฟาดซัดต้นไม้แถบนั้นเป็นจุณทีเดียวนับสิบต้น ขณะเดียวกันกระแสไฟฟ้าแล่นเป็นวงรอบตัวเขา อาคุสะเริ่มตื่นตัว ออร่าสีเขียวและเหลืองแผ่ออกไป“อเล็กซิส ถอยออกไป!” เป็นอเล็กซ์ที่ตะโกนเตือนแฟนสาว “ฉันคุมมันไม่ได้!”“แย่ละ” ไมเคิลกับจอห์นวิ่งเข้าไปอเล็กซิสควบคุมมวลน้ำเพื่อดับไฟ แต่กระแสไฟฟ้าของคนรักยังแล่นออกมาเรื่อย ๆ จนเธอเริ่มหาที่หลบไม่ได้ เขาหาทางจะเข้าไปช่วยฝาแฝด ตอนนี้แทบมองไม่เห็นอเล็กซ์เพราะมีแต่กระแสไฟฟ้าพัวพันรอบตัวเทสซ่าหวีดร้องขึ้นมา เธอกับอาคุสะจับมือกันแน่น พื้นดินบริเวณนั้นสั่นสะเทือน เขาสบตากับจอห์น ใช่ แผ่นดินไหว แต่...ฝีมือธรรมชาติหรือสัญชาตญ
ทุกคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ที่แท้นาฮีมานาไม่ได้คิดจะให้พวกเขากลับนิวโฮปแต่แรก ไมเคิลหันไปมองพวกเพื่อน ๆ เทสซ่านั้นคิ้วขมวดจนเป็นปม เธอนั่งกอดอกหลังตรงแล้วเม้มปากแน่น หากแต่ไหล่สั่น ขณะที่คนอื่นถกเถียงกัน อเล็กซิสก็นั่งเท้าคางใช้ความคิด ไมเคิลสัมผัสความรู้สึกร่วมของคนในนี้ได้อย่างหนึ่ง นั่นคือความเศร้าเมื่อรู้ว่าจะไม่ได้กลับบ้าน หรืออาจจะไม่มีวันได้กลับ“ถ้าหาก...ถ้าหากเราทำให้เมเคอร์เข้าใจได้ว่าพวกเราไม่เป็นภัย พวกเราเป็นชาวนิวโฮป อยากปกป้องบ้านเหมือนกัน ถ้าเราทำให้เขาเห็นจุดยืนของพวกเราว่าไม่ได้เป็นภัยต่อไลบราเรีย ต่อโลก...” ไมเคิลเลิกคิ้ว เพราะเทสซ่าพูดเหมือนอเล็กซิสเปี๊ยบ“ฉันคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยเทสซ่า เมเคอร์ไม่มีวันให้กองกำลังกับพวกเธอแน่”“ฉันไม่ได้หมายถึงกองกำลัง ฉันหมายถึงตัวพวกเราเอง ถ้าเขามองว่าพวกเราเป็นภัย ทำไมไม่มองว่าพวกเราเป็นอาวุธให้พวกเขาได้”“เทสซ่าพูดถูก” เซนว่า “ทหารสามคนนั้นก็เป็นกลุ่มเสี่ยง”“ลูเซียนบอกว่าเพราะพวกเขาเป็นชาวไลบราเรียนอยู่ก่อนแล้ว ทั้งยังถ
มีเพียงสิ่งลมเขย่ากิ่งไม้ไปมา แสงสีแดงริบหรี่จนแทบเลือนหายไป ความมืดย่างกรายแทนที่ แต่ดวงตาสีน้ำเงินของอเล็กซิสกลับสว่างไสว ช่างเหมือนกับดวงตาคู่นั้นที่คอยจ้องเขายามค่ำคืน ไมเคิลในวัยเด็กมีอาการตื่นตระหนกบ่อยครั้ง และลูก้าเป็นคนปลอบเขา ถึงแม้เขาไม่เคยล่วงรู้เรื่องแฝดอีกคน แต่เพราะดวงตาของเธอเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาอยากอยู่ใกล้เธอ ในยามนี้เขาอ่านความคิดเธอออก ผ่านแววตาและสีหน้า ทั้งคู่ไม่คิดว่าลูเซียนโกหก อย่างไรก็ตามยังคิดว่าอีกฝ่ายบอกไม่หมด ความปรารถนาดีมีบางอย่างเคลือบแฝง ผลงานของลูเซียนคือเครื่องมือที่ฆ่าโนเอลและเบน เขาไม่มีวันให้อภัย เพียงแต่ว่า พวกเขาจะต้องชั่งใจให้ได้ว่าการเชื่อฟังลูเซียนจะเป็นประโยชน์มากกว่าเพิกเฉยหรือไม่เขารู้ว่าอเล็กซิสเสียใจ เธอบอกน้องชายคนนี้เสมอว่านิวโฮปจะเป็นบ้านใหม่ของพวกเขา“อเล็กซิส ไมเคิล” หญิงสาวผมสีดำเรียกสติฝาแฝดทั้งสอง “กลับกันเถอะ มืดแล้ว”“เดี๋ยว...” เขาชะลอเธอรอฟัง แต่เป็นพี่สาวของเขาที่พูด“ถ้าคุณอยากให้พวกเราคล้อยตามลูเซียน คุณต้องบอกมาให้หมดว่าคุณกับเขารู้จักกัน
ดวงตาสีแดงกลอกไปมาราวกับดูแคลนคำพูดของพวกเขา “ผมหวังดี ที่พวกเขากลับไปไม่ใช่เพราะถอย แต่จะกลับมาอีกครั้งพร้อมกับกองทหารและอาวุธมากมาย เมเคอร์ไม่ปล่อยพวกคุณแน่นอน เขาไม่อยากยืดเยื้อ และคราวนี้ได้คงใช้วิธีดึงอาร์คาเดียมาช่วย ทั้งนิวโฮปก็เจอปัญหา ดังนั้นถ้ากำจัดพวกคุณได้เร็วเท่าไร ฝ่ายทหารจะโฟกัสกลับนิวโฮปได้ดีขึ้น”“เกิดอะไรกับนิวโฮป” อเล็กซิสซักทันที “เมเคอร์...เจ้าชายเมเคอร์ใช่ไหม ที่คุณว่า”ลูเซียนพยักหน้า “ใช่ ตำแหน่งเขาสูงกว่าผม ถ้าคุณสังเกตคำนำหน้า ผมเป็นลอร์ด เขาถือตำแหน่งเจ้าชาย เมเคอร์ต้องการทำลายกลุ่มเสี่ยง เขาเห็นว่าพวกคุณเป็นภัย” ชายอัลบิโนขยับตัว มีภาพยานสงครามฝูงหนึ่งปรากฏขึ้น เขาชี้ไปที่รูปพวกนี้ “นี่คือสิ่งที่พวกคุณจะเจอ ในดิสก์แผ่นนี้ ผมมอบโลเคชันให้พวกคุณหนีไปหลบภัย รับรองว่าไม่มีใครเข้าไปยุ่งกับที่นี่ได้ เมื่อสถานการณ์ในนิวโฮปดีขึ้น ผมจะหาทางทำให้เมเคอร์เปลี่ยนใจ”“คุณมีพลังจิตไม่ใช่หรือ คุณควบคุมจิตใจเขาได้...” อเล็กซิสว่า“ถ้าผมทำได้ผมทำไปนานแล้ว” แต่สาย
แดดสนธยาส่องผ่านร่มไม้จนเกิดลำแสงสีทองเป็นริ้ว คนสามคนเดินย่ำเท้าไปตามใบไม้แห้ง ลมเย็นโชยสลับผสานกับลมร้อนในตอนกลางวัน เวลากำลังผลัดเปลี่ยนเข้าสู่ช่วงกลางคืน“คุณแน่ใจใช่ไหมว่าไม่ใช่กับดัก” อเล็กซิสถามยายแม่มด (และพักนี้ไมเคิลมักใช้คำนี้บ่อย เพราะไอ้นิสัยชอบรู้เรื่องมากมายแต่ไม่ยอมเล่าให้หมดของนาฮีมานาทำให้เขารำคาญ) “เราจับโดรนสอดแนมมาได้สามวัน แล้ววันนี้เขาก็เรียกแค่พวกเราแค่สามคน ทำไมต้องเป็นคุณ ทำไมต้องเป็นพวกเรา”“เขาไม่ชอบคนเยอะ อาจเป็นเพราะพวกเธอเห็นหน้าเขาแล้วมั้ง แต่ฉันเชื่อว่ามันเป็นจุดประสงค์ดี”เธอมั่นใจอะไรในตัวคนคนนี้กัน คนที่สามารถแฝงตัวอยู่ในกลุ่มเมื่อไรก็ได้เพียงแค่ควบคุมสมองไม่ให้มองเห็น สามารถปรับเปลี่ยนความคิดใครก็ได้ แล้วจะเชื่อใจนาฮีมานาได้อย่างไร ไมเคิลสงสัยนัก“ผมไม่คิดอย่างนั้นนะ” เขาโพล่ง “ลูเซียนเป็นหัวหน้าทีมวิจัย คุณรู้หรือเปล่าว่าพวกเราผ่านอะไรมาบ้างกับงานของทีมวิจัย เราต้องเสียอะไรบ้างกับงานของเขา”“ฉันรู้ดี” นาฮีมานาตอบโดยไม่หันมามอง เ
เช้าวันต่อมา บอร์ญ่ายังคงเป็นคนมาเสิร์ฟอาหาร และบราวน์ไม่เข้ามาอีกเลย เขานั่งนับวันตั้งแต่โดนจับจึงนึกได้ว่านี่คือวันศุกร์ เจ้าของบ้านคงออกไปทำงาน ดังนั้นทั้งวัน เขาเอาแต่ทบทวนสิ่งที่ชายคนนั้นบอก“ตัวตนที่ยังหลงเหลือ” เจสซี่ไม่มีความรู้เรื่องสมองของมนุษย์ คงจะดีกว่านี้ถ้าเขาโทรหาไบรซ์หรือคาเลบได้ ความทรงจำของมนุษย์ถูกลบได้หรือเปล่า สมองของมนุษย์ทำงานอย่างไร“ไลบราเรียน...เอไลโต” เขาท่อง “ฟุตบอล ออสโล่”เมื่อถึงมื้ออาหารเย็น แคดมันเดินเข้ามา อาหารเย็นวันนี้มีเพียงแซนด์วิชกับน้ำเปล่า และช็อกโกแลตบาร์สองแท่ง เมื่ออีกฝ่ายวางถาด เขาเอื้อมไปจับข้อมือ“เวด”แคดมันสะบัดออกจนน้ำหกกระจาย ดวงตาที่มีสีฮาเซลอ่อนกว่าจ้องกลับมา แววตาคู่นี้ขึงขังดุดันและพร้อมจะเอาเรื่องได้ตลอดเวลา“นายจำอเล็กซิสได้ไหม”“หุบปาก”“ออสโล่ เด็กหนุ่มผมสีแดงใบหน้าตกกระ เกิดอะไรขึ้นกับเขา”“หุบปาก!”“ซานโบซ่า!”มือข้างขว