“อิจฉาฉันเหรอ” อเล็กซิสแทบไม่อยากเชื่อ ก็ในเมื่อเพื่อนของเธอเกิดมาพร้อมกับรูปลักษณ์และฐานะที่ดีโดยไม่ต้องพยายามเลย
“ฉันไม่ได้อิจฉา” จูนระเบิดออกมา “อเล็กซ์ เธอแยกตัวออกจากฉันเอง เธอเลือกนังนั่น ครอบครัวของเธอก็รักเอดี้มากกว่าฉัน เธอไม่ใช่เพื่อนของฉันอีกต่อไปแล้ว”
“ฉันไม่เคยเลือกเพื่อนเลยสักคน พวกเธอคือเพื่อนของฉัน ฉันรักพวกเธอเหมือนกัน จูน ทำไมเธอไม่พูดกับฉันตรง ๆ ล่ะ ทำไม ฉันทำผิดขนาดนั้นเลยเหรอ” อเล็กซิสถาม แต่เสียงของเธอกลับเหมือนตะโกนดังขึ้นเรื่อย ๆ “เพราะว่าไอ้มงกุฎพลาสติกนั่นใช่ไหม ตอบเซ่!”
“ไม่เกี่ยวกับงานพรอม เธอทิ้งฉันและได้ทุกอย่างไปเลยนี่นา!” จูนตะโกนกลับ
“ฉันไม่เคยทิ้งเธอเลย!” อเล็กซิสโยนขวดน้ำหอมลงบนเตียงเดวี่ “นี่ใช่น้ำหอมที่เธออยากได้หรือเปล่า แล้วอะไรอีก อะไรที่ฉันเอาไป นี่คือวิธีแก้แค้นของเธอเหรอ ด้วยการนอนกับเขา นี่คือวิธีการเอาคืนสิ่งที่เธออ้างว่าฉันขโมยมางั้นสิ พูดสิ!”
“อย่าคาดคั้นอีกเลยอเล็กซ์ ก็แค่คนขี้อิจฉา เธอควรจะโทษไอ้นิสัยหยิ่งยโสคิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่นมากกว่าโทษอเล็กซ์นะ นังบ้า เพราะอย่างงี้ไง เธอถึงไม่มีเพื่อนเลยสักคน” เอโลดี้แทรกบทสนทนาอันดุเดือดระหว่างอเล็กซิสกับจูน แต่กลับทำให้จูนโมโหมากขึ้นไปอีก ในฐานะที่เป็นนักบาสโรงเรียน อเล็กซิสพุ่งตัวรับเหยือกแก้วที่ลอยมาทางเอโลดี้ได้ทันก่อนที่มันจะตกใส่หัวเพื่อน
“หุบปากไปเลย ยัยปากสว่าง”
“ขอบคุณนะ อเล็กซ์” เอโลดี้ตอบ “ยัยนี่มันบ้าไปแล้ว ก็แค่ของเล่นของแฟนเธอ”
“จูนไม่ใช่ของเล่น!” อเล็กซิสไม่ตั้งใจจะแก้ แต่ทำไปแล้ว “แล้วเดวี่ก็ไม่ใช่แฟนของฉันแล้ว” เด็กสาวสรุป
เดวี่ยื้อ พยายามขอให้เธอให้อภัย
“นายรู้ว่าจูนคิดกับฉันยังไงใช่ไหม” อเล็กซิสถามเด็กหนุ่มขณะที่วางเหยือกแก้วลงบนพื้น เขาพยักหน้า “แล้วนายก็เลือกที่จะนอนกับเธอ มากกว่าบอกฉันงั้นสิ”
“อเล็กซ์...มันก็แค่เซ็กซ์นะ”
“ถ้าฉันนอนกับคนอื่น ฉันจะอ้างคำนี้ได้เหมือนกันใช่ไหม” เธอย้อน
เมื่ออเล็กซิสวิเคราะห์สีหน้าคนทั้งคู่ ทั้งจูนและเดวี่ เธอมองเห็นความจริงที่ว่าเดวี่รู้ว่าจูนคิดอะไร แต่กลับกระโจนลงไปในกับดัก อเล็กซิสค้นพบคำตอบว่า บางทีมันอาจไม่ใช่กับดักของจูนหรอก แต่เป็นเพราะเดวี่เป็นพวกมักมากต่างหาก เขารู้ว่าจูนเป็นเพื่อนสนิทของแฟนตัวเอง แต่เขากลับเลือกที่จะหยิบมีดแล้วช่วยจูนแทงหลังคนที่เขาประกาศว่ารัก ใช่ เขาพยายามจะบอกว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเซ็กซ์ล้วน ๆ แต่มันไม่ใช่ข้ออ้างที่ฟังขึ้นหรอกนะ
ข้อแก้ตัวของเขาไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นเลย ฉันควรเชื่อคำพูดของพวกผู้ใหญ่ตั้งแต่แรก เดวี่ที่ยืนตรงหน้าอเล็กซิสไม่ใช่เดวี่ที่เธอรัก ไม่ใช่คนนั้น...คนที่เธอฝืนคำตักเตือนของพ่อแม่ว่าเธอยังไม่โตพอ...คนที่เธอยอมมอบความไร้เดียงสาของตัวเองให้กับเขา
อเล็กซิสไม่ต้องการได้ยินอะไรเพิ่มอีกแล้ว เลยปาของฝากที่ซื้อมาทั้งหมดใส่หน้าเดวี่ซะ “ฉันซื้อของฝากมาด้วยนะ หมดธุระกับพวกเธอแล้ว”
เดวี่ยังคงยืนจังก้าไม่ยอมให้ไป
“ไม่เอาน่า พวกเราจะแก้ปัญหาไปด้วยกันนะ”
“ใส่เสื้อเถอะ” เธอบอกเขา “อย่าเสียเวลาอีกเลย เจสซี่กับชาร์ลีรอพวกเราอยู่ ฉันไม่อยากทำลายวันดี ๆ ของน้องชาย มอนเทส พวกเราขอทางด้วย”
น้ำตาของเขาหยดลง แต่มันไม่อาจสั่นคลอนความคิดเธอได้ แค่นี้มาสคาร่าคงทำหน้าเธอพังไปเรียบร้อยแล้ว เดวี่รู้ดีว่าเขาไม่อาจแก้ไขทุกอย่างได้อีกแล้ว ความเย็นชาที่เธอแสดงออกมาทำให้เขายอมถอยออกไป
สภาพเมืองในสายตาของอเล็กซิสเปลี่ยนไปทันที บรรยากาศกลับกลายเป็นขมุกขมัว เธอไม่ทันสังเกตมาก่อนว่าเมฆบนท้องฟ้ามีมากขนาดนี้
“นานเท่าไรแล้วที่เธอสงสัยพวกเขา” อเล็กซิสถามเอโลดี้ ทั้งสองกำลังเดินออกมา พร้อมกับจักรยานข้างกาย
“ก็ประมาณเดือนนึง หลังจากที่ทีมฟุตบอลชนะ ฉันควรบอกเธอก่อนหน้านี้ แต่...ขอโทษนะ ฉันเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะทำแบบนั้นจริง ๆ”
“ไม่ต้องหรอก มันไม่ใช่ความผิดของเธอนะเอดี้”
อเล็กซิสพยายามไม่หันกลับไปมองบ้านอดีตแฟนหนุ่ม เจสซี่และเอโลดี้พูดถูก เธอไม่เคยสงสัยพวกเขาเลย โดยเฉพาะจูน ไม่เคยสังเกตเห็นความผิดปกติของเพื่อน เธอคิดบวกเกินไป ไว้ใจคนมากเกินไป มันสายไปแล้วที่จะดึงมีดออกจากหลัง มีดเล่มนี้บาดลึกนัก และเลือดของเธอกำลังจะไหลหมดตัว
“เขามันสมองทึบ โง่ และงี่เง่า” เอโลดี้พูด
“เขาไม่ได้โง่หรอก ฉันต่างหาก” อเล็กซิสหัวเราะ ฟังดูแล้วเหมือนเป็นบ้ามากกว่ากำลังขำ “รู้อะไรไหมเอดี้ ฉันเคยแม้แต่นึกภาพชุดแต่งงาน แถมยังคิดว่าถ้าได้สวมมงกุฎดอกไม้ก็จะดีมาก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า นอกจากจะเป็นพวกเพ้อฝันแล้ว ฉันยังโง่มากอีกด้วย”
เอโลดี้สั่นหัว “ไม่หรอก ฉันก็เคยเพ้อฝันบ้า ๆ เหมือนกัน เรื่องของฉันกับเจสซี่ไง”
ทุกอย่างพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือภายในชั่วโมงเดียว ช่วงเวลาสั้น ๆ ที่เธอได้มีโอกาสเรียนรู้ความจริง และความจริงนี้เองทำให้เธอสูญเสียคนสำคัญสองคนในชีวิตไป
เปล่า ไมเคิลแน่ใจว่าอเล็กซ์ไม่ได้รู้สึกแบบเขา อีกฝ่ายเข้าใจไปอีกอย่าง ถ้าเป็นไปได้ เขาอยากจะพูดกับอเล็กซิสเดี๋ยวนี้ บางที...มันอาจเป็นพลังของเธอ แต่ทำไมอเล็กซ์ไม่รู้สึก หรือเพราะเขายังไม่ได้สู้ เขายังไม่ได้ใช้พลัง แล้วพลังของอเล็กซิสเป็นแบบไหนกันแน่ เพิ่มพลังให้คนอื่นงั้นหรือ หรือปลดล็อกให้อีกฝ่ายรู้จักใช้พลังของตัวเอง“บรรยากาศไม่ดี” อาคุสะพูดขึ้น“กลับไปดูพวกเทสซ่าก่อนกันเถอะ” อเล็กซิสตบไหล่แฟนหนุ่มสองสามทีเพื่อให้เขาออกไปจากตัว “ถ้าพวกมันแห่ไปที่นั่น ทุกคนแย่แน่” ทั้งหมดพยักหน้า เด็กสาวกำลังจะขยับเท้าก็หันมาไมเคิล “ไว้อธิบายว่าเมื่อกี้นายทำอะไร” เธอยกมือตีหน้าผากตัวเองแต่ก่อนจะไปไหนได้ ทั้งหมดได้ยินเสียงกรีดร้อง...*****เทสซ่าไม่เคยยินดีเท่านี้มาก่อนที่ได้เจอพวกบลูในเวลานี้ เธอผล็อยหลับไปเมื่อไรไม่รู้ แต่เมื่อรู้สึกตัวอีกที ก็มีมนุษย์รูปร่างคล้ายหุ่นยนต์สองตนตรงเข้ามา ทีแรกเธอคิดว่าพวกเขาต้องการจะสังหารฝ่ายต่อต้าน แต่ไม่ใช่แค่นั้น พวกเขามาเพื่อลักพาตัวโคดี้เด็กหนุ่มผมบลอนด์ยังนอน
“หาเองสิวะ” เขาตะโกน ทว่าไม่ทันระวังเพราะมันดาปาอาวุธกลับมา เมื่อหันหน้ากลับไปก็เห็นรอยเท้าเต็มหน้ากระแทกเข้าที่หน้า ร่างของเขากระเด็นกระแทกกำแพงตึก ไมเคิลส่ายหัว มึนไปมันหมด อเล็กซิสวิ่งเข้ามาช่วยพยุงตัวขึ้น“พวกมันไม่บอก อย่าเสียเวลา” เขาได้ยินดังนั้นคิ้วขมวดกันทันที เดี๋ยว... กลายเป็นว่าพวกเขาทั้งหมดจำต้องรั้งพวกมันให้สู้กับตัวเอง ไม่อย่างนั้นพวกเทสซ่าแย่แน่ เขาไม่รู้ว่ามีกลุ่มอื่นตามหาโคดี้อีกหรือไม่ และถ้าเป็นแบบนั้นก็ยิ่งไม่สามารถปล่อยให้พวกมันไป พอเห็นเขายืนได้ อเล็กซิสตัดสินใจค่อย ๆ เดินตรงไป มือยังยิงปืนไม่หยุด “เก็บไฟแช็ก” เธอสั่งเขา “ห้ามทำมันหายเด็ดขาด”“อย่าไป” เขาร้อง แต่เธอไม่ฟัง อเล็กซิสหยิบดาบของไมเคิลขึ้นมาอีกข้างแล้วโถมตัวใส่มันแล้วไมเคิลเห็นดังนั้นรีบตะครุบไฟแช็กแล้วจุดมันขึ้น“อเล็กซิส” เขาร้องเมื่อเห็นเธอบ้าบิ่นจะสู้กับมันตัวต่อตัว พลันร่างเธอก็กระเด็นล้มไปทางเรมีที่กำลังรับมือกับอีกตัวคู่กับอาคุสะ อเล็กซ์สบถอะไรบางอย่าง แล้วจัด
เฒ่าทรอยนอนฟุบลงกับพื้นจนหน้าคลุกไปกับหิมะสกปรกบนพื้น ไม่มีใครคิดช่วยให้เขาลุกขึ้นมา และถ้าใครทำแบบนั้น ไมเคิลจะเป็นคนกระชากคอออกมาเอง เด็กหนุ่มยืนพักหอบหายใจ กว่าจะพาทรอยออกมาได้ยากลำบาก หุ่นยนต์ถูกตั้งโปรแกรมให้กำจัดใครก็ตามที่อยู่ในสถานะเจ้าพนักงานของทอยซิตี้ ก่อนหน้านี้ เขาขอให้ฟีบี้รีเซตพวกมันใหม่เป็นหน่วยทหารแทน แต่เพราะเธอยืมพลังมาจากโคดี้ ประสิทธิภาพของมันไม่แน่ไม่นอน เมื่อเซตได้ตัวหนึ่งก็ต้องเซตตัวอื่น เธอไม่สามารถทำได้ทีเดียว พอทำงานซ้ำไปซ้ำมา หญิงสาวก็เริ่มหมดความอดทน ฟีบี้บอกว่าเธอไม่ได้ทำหน้าที่ปกป้องชีวิตเจ้าหน้าที่ แต่เพื่อสานงานของโคดี้และเพื่อปกป้องพวกเราทุกคนต่างหาก ศูนย์กลางของทอยซิตี้คือ เดอะ วาล และถ้าหากเจาะเข้าไปยังศูนย์บัญชาการได้ พวกทหารจะแพ้ราบคาบ นั่นคือสิ่งที่เธอบอก แต่ไมเคิลเข้าใจว่ามันคือการคาดเดามากกว่า และเขาก็รู้ว่าเธอไม่ได้คิดขึ้นเอง แต่มันมาจากลูไมเคิลเดินตรงไปแล้วดึงคอเสื้อทรอยขึ้นมาอีก คราวนี้เขาลากเข้าไปในตึกของเมลิสซ่า ที่พักเก่าของตนกับเรมี ตอนนี้แทบไม่มีใครอยู่ในตึกแล้ว ประชากรในเดอะ วาลบางส่วนที่ไม่อยากต่อสู้ก็อพยพไปยังเขตอื่น เนื่อง
ขณะนั้นริงโก้ตัดสินใจอุ้มเอมอนขึ้นมาคนเดียว เพียซจึงอุ้มเดสซิเรตามมา เบลินดาเห็นพวกเขาเดินตรงมาก็ลุกขึ้น เธอส่งขวดน้ำดื่มให้อย่างรู้งาน ระหว่างนั้นเพียซก็เล่าว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง หลังจากประตูเปิด พวกเขาก็บุกเข้าไปข้างในเพื่อหาตัวเอมอนกับเดสซิเร ทั้งสองถูกจับสวมกุญแจมือ อาวุธโดนยึดหมด แต่เดสซิเรและเอมอนก็ทำให้กำลังพลภายในนั้นปั่นป่วนไปมาก พวกเขาเจอศพทหารหลายราย คงเป็นฝีมือของทั้งสอง ตอนไปถึง หญิงสาวยังพอมีสติจึงเล่าว่า ทั้งคู่พยายามหาห้องควบคุม แต่ภายในมีระบบเชื่อมต่อกับชุดสูทที่เอมอนสวม เพียงย่างก้าวไปในส่วนที่เป็นสำนักงาน หน้ากากจึงถูกปลดออกอัตโนมัติ ทั้งสองจึงต้องสู้และพยายามจะออกมา ทว่าก็สู้จำนวนคนและอาวุธไม่ได้ จากนั้นจึงถูกจับทรมาน อาจเป็นโชคดีในโชคร้ายของเดสซิเรที่ไม่มีแผนอะไรอยู่แล้ว บวกกับพลังพิเศษที่ทำให้พวกนั้นไม่อาจสัมผัสหรือเข้าใกล้ได้มากนัก ส่วนเอมอนนั้นแย่หน่อยเพราะพอรู้แผนของลูคร่าว ๆ แต่ไม่ได้ปริปากออกไปเลย ดังนั้นเขาจึงโดนซ้อมหนักที่สุด“แล้ว...ทำไมพวกเธอมานั่งอยู่ตรงนี้” โอลิแวนถาม “พวกอเล็กซิสล่ะ ฉันได้ยินกว่าทั้งกลุ่มเข้าไปในเขตเธอไม่ใช่หร
ไมเคิลสบตากับเรมี อีกครั้งที่พวกเขาไม่เข้าใจว่าพวกเธอวางแผนอะไรกัน“ฉันต้องการคำอธิบาย ตั้งแต่เช้า พวกเราวุ่นจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ยังไม่นับเรื่องที่พวกเธอทำโดยไม่บอกก่อน”ฟีบี้กลอกตา เธอไม่ได้มีท่าทีสำนึกหรืออ่อนข้อลงแบบเทสซ่า แต่กลับยักไหล่ไม่สนใจ แม้บุคลิกหญิงสาวจะเป็นแบบนี้ และปกติก็ไม่มีใครถือสา (ยกเว้นเทสซ่า) แต่เวลานี้ เขาอดฉุนไม่ได้“ทำไมฉันต้องบอกพวกนายด้วย โต ๆ กันแล้ว อีกอย่างก็ใช่ว่าฉันจะรู้ก่อนหน้าอะไรนักหนา ถ้าไม่ใช่เพราะโคดี้ ฉันก็อาจจะนั่งทำหน้าโง่เหมือนพวกนายนี่แหละ” อาคุสะทำเสียงจุ๊ ๆ แล้วส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามปรามเรื่องคำพูด เธอยักคอไปมาอย่างกวนประสาท “เฮ้อ เอาเป็นว่าตอนนี้โคดี้ต้องพัก ส่วนฉันก็ยืมพลังเขามาใช้ จะพยายามเปิดไอ้ประตูยักษ์นั่น” พูดจบก็ถูมือ“ฟีบี้...” อเล็กซิสพูดขึ้น “ฉันเดินผ่านศูนย์อนามัย...เห็นศพพยาบาลเต็มไปหมด ยังไม่รวมเจ้าหน้าที่คนอื่นที่ไม่ใช่ทหารอีก...”หญิงสาวเงียบไปเมื่อเจอคำถามนี้ เทสซ่าก็เม้มปากแน่น เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นทั้งสองมองหน้ากันอย่างเข้า
11:45 PM หน้าประตูเขตเครสเตอร์ - เดอะ วาลกระแสไฟฟ้าแผ่กระจายเป็นวงกว้าง มันส่งแรงต้านผลักก้อนคอนกรีตชิ้นโตหล่นกลับลงมบนพื้นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไมเคิลทึ่งที่โคดี้สามารถป้อนชุดคำสั่งพิลึกพิลั่นให้กับหุ่นพิฆาต หรืออันที่จริงคือ ใครจะคิดว่าเขาจะป้อนคำสั่งแบบนั้นในเวลารีบเร่งเช่นนี้ ทุกครึ่งชั่วโมงจะมีหุ่นสองสามตัวเดินกลับมาปาก้อนหินหนักขึ้นไป กำแพงกั้นเขตแน่นหนาจนแม้แต่พวกมันข้ามไปไม่ได้ จึงใช้วิธีนี้เช็กดูว่าระบบรักษาความปลอดภัยของทอยซิตี้สั่นคลอนแล้วหรือยัง จะว่าเป็นเพราะระบบถูกออกแบบมาดีก็ว่าได้ ถ้าหากไม่ใช้เพราะโคดี้มีพลังพิเศษ ไมเคิลไม่เห็นหนทางเลยว่าพวกเขาจะออกไปได้ ต่อให้เครสเตอร์และนอร์ธพังทลายเพียงใด มันก็ยังไม่ลามไปถึงอีกฝั่งที่ถือว่าเป็นศูนย์กลาง และเมื่อนั้น ถ้าหากพวกเขาจะล้างศัตรู ก็อาจปล่อยระเบิดลงมาลูกเดียว แบบที่เคยเกือบล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ไปเมื่อหลายพันปีก่อนยุคก่อนหายนะ...พี่สาวฝาแฝดเคยเล่าให้เขาฟังเข้าเที่ยงคืนกว่าแล้วหรือ เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น อเล็กซิสจะกินอะไรแล้วหรือยัง เขานั่งนับวันแล้วเหงื่อตก พวกเขาทำปฏิทินเช็กความถี่ว่าอะวีซีจะออกฤ