“อเล็กซ์-ฟะ-ฟัง-ฉะ-ฉันนะ” เดวี่รีบดึงผ้าห่มมาคลุมตัว ดังนั้นจูนจึงต้องรีบกระโจนไปที่เสื้อผ้าของเธอเพื่อปกปิดร่างกายตัวเอง ดวงตาสีฮาเซลที่แสนหวานซึ้งของเดวี่คลอไปด้วยน้ำตาที่ออกมาจากความรู้สึกผิดเมื่อโดนจับได้ “ฉะ-ฉัน อธิบายได้” เสียงแหบเสน่ห์ของเขาตอนนี้กลับฟังแล้วเหมือนมีเสลดติดคอ ปากของเขาสั่นราวกับเป็นอาชญากรที่ถูกตำรวจอย่างอเล็กซิสบุกเข้าจับกุม ท่อนอกแน่นเปลือยเปล่ากลับเต็มไปด้วยรอยลิปสติกสีแดงของจูน แล้วยังมีรอยช้ำมากมาย อเล็กซิสพอจินตนาการออกว่าเขาได้มาอย่างไร เธอมองรอยลิปสติกบนใบหน้าของเขา พยายามยึดมือตัวเองไว้กับตัวเพื่อไม่ให้มันฝากรอยมือไว้บนหน้าหล่อ ๆ นั้น
น้ำตาค่อย ๆ ไหลอาบแก้ม เหมือนทุกอย่างช้าลงแม้แต่ระบบความคิดในหัว อเล็กซิสพยายามไม่ร้องไห้ออกมา แต่ดูเหมือนเขื่อนในลูกตาจะแตกออกเสียแล้ว พวกเขาทำแบบนี้ได้ยังไง แล้วทำไมมันเจ็บปวดถึงขนาดนี้ อเล็กซิสเคยคิดว่าชีวิตของเธอมาถึงจุดสูงสุด และจะดีกว่านี้ต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเดวี่ทำลายความรู้สึกนั้นลงอย่างย่อยยับ
ชีวิตที่เกือบสมบูรณ์ ใช่สิ มันแค่เกือบนี่นา
ตาของอเล็กซิสกับจูนสบกันจนได้ ไม่มีน้ำตา ไม่มีความรู้สึกผิด ไม่มีคำขอโทษอยู่ในนั้นแม้แต่น้อย สุดท้าย จูนเลือกที่จะยืนนิ่งแล้วหลบสายตาเพื่อนรัก จูนพยายามที่จะแต่งตัวให้เรียบร้อย ทำสีหน้าราวกับว่าอเล็กซิสกับเอโลดี้บุกเข้าห้องมาอย่างไร้มารยาท อเล็กซิสไม่ได้ยินอะไรเลยจนกระทั่งเอโลดี้พูดข้างหู
“อเล็กซ์อย่าเสียใจไปเลยนะ” จากนั้นเอโลดี้จ้องไปที่จูนแล้วด่าทออีกครั้ง “อีแรด! เธอทำแบบนี้ได้ยังไง ทั้งสองคนเลย”
“ขอโทษ ฉะ-ฉะ-ฉัน” เดวี่พยายามจะพูดออกมา เขากลายเป็นคนติดอ่างมาได้สักพักแล้ว
อเล็กซิสไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงอยู่ด้วยกันแบบนี้ ในเมื่อจูนไม่เคยสนใจเดวี่เลยสักนิด จูนฝันหวานอยากเดตกับผู้ชาย ไม่ใช่เด็กผู้ชาย ผู้ชายที่ดีพร้อมและไม่มีข้อติ แน่นอนว่าเดวี่อาจจะหล่อและฮอต แต่จูนชอบพูดว่าเดวี่เป็นเด็กน้อยเบบี๋โตแต่ตัว และใช่ เดวี่เป็นแค่เด็กหนุ่มขี้อายพูดน้อย เขาก็อีกคน เคยบอกว่ารักอเล็กซิส...รักในแบบที่ไม่เคยรักใครมาก่อน พวกเขาจะแก่ไปพร้อมกัน ใช้ชีวิตและทำตามความฝันไปร่วมกัน ทุกอย่างที่เขาสัญญาตั้งแต่จูบแรกจนถึงคืนงานพรอมพังหมดทุกอย่าง แน่สิ จูนสวยนี่นา สวยมาก เป็นคนที่สวยที่สุด...แล้วยังเป็นนังเพื่อนตัวแสบอีกด้วย
“นายรักจูนใช่ไหม บอกฉันมาสิ ถ้าพวกเธอรักกัน ฉันจะเดินออกเอง ไม่ ไม่ ฉันออกมาแล้ว” นั่นคือสิ่งเดียวที่เธอพอจะพูดออกมาได้...ถามพวกเขา ยอมแพ้ให้กับความรักของพวกเขา
“ไม่” เดวี่ตอบอย่างมั่นใจ ครั้งนี้คำพูดของเขาไม่ทรยศตัวเอง “ไม่นะ อเล็กซ์”
คำตอบของเดวี่เหมือนจุดชนวนความขัดแย้งให้กับจอมหักหลังทั้งสองคน ทั้งสองจ้องมองกันเอง และเป็นฝ่ายจูนที่โกรธ คำแรกที่เธอหลุดพูดออกมาคือ “ว่าไงนะ ‘ไม่’ งั้นเหรอ”
“ไม่เอาน่าจูน เธอรู้ว่าทำไมเธอถึงอยู่ในห้องของฉัน”
“แล้วทำไมฉันถึงมาอยู่ในห้องของนายได้เล่า!”
“ก็ได้ ฉันจะปล่อยให้พวกเธอตกลงกันก็แล้วกัน” อเล็กซิสจับมือเอโลดี้ขณะที่เดวี่ดึงมือ
อเล็กซิสไม่ให้ไป“ฉันขอโทษ ใช่ ฉะ ฉันเคยชอบจูนมาก่อน แต่มันนานมาแล้ว และตอนนี้ฉันรักเธอนะ รักเธอ อเล็กซ์ รักจริง ๆ” เขาประคองใบหน้าของแฟนสาว หวังว่าเธอจะเชื่อใจเขาอีกครั้งหนึ่ง “มันเป็นความผิดของฉันเอง ฉันทำให้เธอเสียใจ ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจ ให้อภัยเดวี่ของเธอนะ”
อเล็กซิสได้ยินเสียงเอโลดี้พยายามกลั้นไม่ให้หัวเราะใส่จูน แต่เอาเข้าจริงกลับไม่รู้สึกว่าตัวเองชนะเลยเมื่อถูกเลือก ตรงกันข้าม มันกลับเป็นความรู้สึกที่แย่มากเหมือนเธอเป็นสิ่งของ หากพิจารณาสภาพห้องของเดวี่ และรอยจูบบนตัวของเขาและจูน อเล็กซิสนึกสงสัยว่าพวกเขาทำแบบนี้ลับหลังเธอมากี่ครั้งแล้ว แถมเขายังบอกอีกว่าไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ ใช่เหรอ
สิ่งที่เธอไม่เข้าใจที่สุดคือทำไมจูนทำแบบนี้กับเธอได้ พวกเธอเป็นเพื่อนรักกันมานานมาก ลึก ๆ แล้วอเล็กซิสคิดว่าจูนไม่เคยรู้สึกอะไรกับเดวี่เลย หรือเป็นเพราะว่า เดวี่กลายเป็นดาวเด่นกองกลางที่ทำให้ทีมฟุตบอลโรงเรียนได้ถ้วยรางวัล แถมยังเพิ่งได้ตำแหน่งราชางานพรอมพร้อมกับอเล็กซิสมาหมาด ๆ
แต่ทำไมจูนถึงมีพฤติกรรมแบบนี้ในเมื่อเธอก็รู้ว่าเดวี่เป็นแฟนของเพื่อนรักตัวเองไม่ใช่เหรอ อเล็กซิสคิดว่าจูนรักอเล็กซิสเหมือนที่เธอรักจูนเสียอีก
“จูนยั่วนายเหรอ เดวี่” เอโลดี้ถาม ยังคงจ้องไปที่คู่ปรับของตัวเอง พวกเธอไม่เคยเป็นเพื่อนกันเลยแม้จะอยู่กลุ่มเดียวกัน และแม้ทั้งสองจะมีอเล็กซิสเป็นเพื่อนรักเหมือนกัน
“หุบปาก ใครถามความเห็นเธอไม่ทราบ” จูนคำรามใส่ ยังคงโมโหเดวี่อยู่
“มันเป็นความผิดของฉันเอง ฉันขอโทษ” เดวี่หันไปหาจูน “ฉันขอโทษ” แต่จูนไม่ยอมรับคำขอโทษของเขา
“นายมันห่วยจริง ๆ นายอยากนอนกับฉัน แอบมองฉันทีเผลอ จูบฉัน แล้วเรื่องเมื่อคืนล่ะ สุดท้ายแล้วไง นายบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ งั้นเหรอ ไอ้คนขี้ขลาด!”
เหมือนกับมีมีดเล่มใหญ่อีกด้ามแทงมิดเข้ากลางหัวใจเดี๋ยวนั้น อเล็กซิสต้องการคำตอบจากแฟนหนุ่ม
“ใช่ ฉันอยากรู้อยากลอง ฉันผิดเอง ฉันรู้ว่าเธอใช้ฉันเพื่อเอาคืนอเล็กซ์ ถ้าจะมีใครที่โง่และเห็นแก่ตัวก็คือฉันคนเดียว” เดวี่สารภาพเสียงอ่อน
“เดี๋ยวนะ ทำไมเธอต้องเอาคืนฉันด้วย” อเล็กซิสโพล่งออกไป เรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่สำหรับเธอมาก “ทำไมเหรอจูน เกิดอะไรขึ้นกับพวกเรากันแน่” มือที่ถือของฝากสั่นระริกตามแรงโกรธที่พยายามเก็บไว้ข้างใน
เด็กสาวจ้องมองเข้าไปยังดวงตาของเพื่อน ครั้งนี้เห็นน้ำตาที่กำลังเอ่อ เป็นครั้งแรกที่
อเล็กซิสตระหนักแล้วว่า เธอไม่เคยเข้าใจจูนเลยแม้แต่น้อย“อีนี่มันอิจฉาเธอ” เอโลดี้เปิดเผยความคิดของจูนให้เธอฟัง
เปล่า ไมเคิลแน่ใจว่าอเล็กซ์ไม่ได้รู้สึกแบบเขา อีกฝ่ายเข้าใจไปอีกอย่าง ถ้าเป็นไปได้ เขาอยากจะพูดกับอเล็กซิสเดี๋ยวนี้ บางที...มันอาจเป็นพลังของเธอ แต่ทำไมอเล็กซ์ไม่รู้สึก หรือเพราะเขายังไม่ได้สู้ เขายังไม่ได้ใช้พลัง แล้วพลังของอเล็กซิสเป็นแบบไหนกันแน่ เพิ่มพลังให้คนอื่นงั้นหรือ หรือปลดล็อกให้อีกฝ่ายรู้จักใช้พลังของตัวเอง“บรรยากาศไม่ดี” อาคุสะพูดขึ้น“กลับไปดูพวกเทสซ่าก่อนกันเถอะ” อเล็กซิสตบไหล่แฟนหนุ่มสองสามทีเพื่อให้เขาออกไปจากตัว “ถ้าพวกมันแห่ไปที่นั่น ทุกคนแย่แน่” ทั้งหมดพยักหน้า เด็กสาวกำลังจะขยับเท้าก็หันมาไมเคิล “ไว้อธิบายว่าเมื่อกี้นายทำอะไร” เธอยกมือตีหน้าผากตัวเองแต่ก่อนจะไปไหนได้ ทั้งหมดได้ยินเสียงกรีดร้อง...*****เทสซ่าไม่เคยยินดีเท่านี้มาก่อนที่ได้เจอพวกบลูในเวลานี้ เธอผล็อยหลับไปเมื่อไรไม่รู้ แต่เมื่อรู้สึกตัวอีกที ก็มีมนุษย์รูปร่างคล้ายหุ่นยนต์สองตนตรงเข้ามา ทีแรกเธอคิดว่าพวกเขาต้องการจะสังหารฝ่ายต่อต้าน แต่ไม่ใช่แค่นั้น พวกเขามาเพื่อลักพาตัวโคดี้เด็กหนุ่มผมบลอนด์ยังนอน
“หาเองสิวะ” เขาตะโกน ทว่าไม่ทันระวังเพราะมันดาปาอาวุธกลับมา เมื่อหันหน้ากลับไปก็เห็นรอยเท้าเต็มหน้ากระแทกเข้าที่หน้า ร่างของเขากระเด็นกระแทกกำแพงตึก ไมเคิลส่ายหัว มึนไปมันหมด อเล็กซิสวิ่งเข้ามาช่วยพยุงตัวขึ้น“พวกมันไม่บอก อย่าเสียเวลา” เขาได้ยินดังนั้นคิ้วขมวดกันทันที เดี๋ยว... กลายเป็นว่าพวกเขาทั้งหมดจำต้องรั้งพวกมันให้สู้กับตัวเอง ไม่อย่างนั้นพวกเทสซ่าแย่แน่ เขาไม่รู้ว่ามีกลุ่มอื่นตามหาโคดี้อีกหรือไม่ และถ้าเป็นแบบนั้นก็ยิ่งไม่สามารถปล่อยให้พวกมันไป พอเห็นเขายืนได้ อเล็กซิสตัดสินใจค่อย ๆ เดินตรงไป มือยังยิงปืนไม่หยุด “เก็บไฟแช็ก” เธอสั่งเขา “ห้ามทำมันหายเด็ดขาด”“อย่าไป” เขาร้อง แต่เธอไม่ฟัง อเล็กซิสหยิบดาบของไมเคิลขึ้นมาอีกข้างแล้วโถมตัวใส่มันแล้วไมเคิลเห็นดังนั้นรีบตะครุบไฟแช็กแล้วจุดมันขึ้น“อเล็กซิส” เขาร้องเมื่อเห็นเธอบ้าบิ่นจะสู้กับมันตัวต่อตัว พลันร่างเธอก็กระเด็นล้มไปทางเรมีที่กำลังรับมือกับอีกตัวคู่กับอาคุสะ อเล็กซ์สบถอะไรบางอย่าง แล้วจัด
เฒ่าทรอยนอนฟุบลงกับพื้นจนหน้าคลุกไปกับหิมะสกปรกบนพื้น ไม่มีใครคิดช่วยให้เขาลุกขึ้นมา และถ้าใครทำแบบนั้น ไมเคิลจะเป็นคนกระชากคอออกมาเอง เด็กหนุ่มยืนพักหอบหายใจ กว่าจะพาทรอยออกมาได้ยากลำบาก หุ่นยนต์ถูกตั้งโปรแกรมให้กำจัดใครก็ตามที่อยู่ในสถานะเจ้าพนักงานของทอยซิตี้ ก่อนหน้านี้ เขาขอให้ฟีบี้รีเซตพวกมันใหม่เป็นหน่วยทหารแทน แต่เพราะเธอยืมพลังมาจากโคดี้ ประสิทธิภาพของมันไม่แน่ไม่นอน เมื่อเซตได้ตัวหนึ่งก็ต้องเซตตัวอื่น เธอไม่สามารถทำได้ทีเดียว พอทำงานซ้ำไปซ้ำมา หญิงสาวก็เริ่มหมดความอดทน ฟีบี้บอกว่าเธอไม่ได้ทำหน้าที่ปกป้องชีวิตเจ้าหน้าที่ แต่เพื่อสานงานของโคดี้และเพื่อปกป้องพวกเราทุกคนต่างหาก ศูนย์กลางของทอยซิตี้คือ เดอะ วาล และถ้าหากเจาะเข้าไปยังศูนย์บัญชาการได้ พวกทหารจะแพ้ราบคาบ นั่นคือสิ่งที่เธอบอก แต่ไมเคิลเข้าใจว่ามันคือการคาดเดามากกว่า และเขาก็รู้ว่าเธอไม่ได้คิดขึ้นเอง แต่มันมาจากลูไมเคิลเดินตรงไปแล้วดึงคอเสื้อทรอยขึ้นมาอีก คราวนี้เขาลากเข้าไปในตึกของเมลิสซ่า ที่พักเก่าของตนกับเรมี ตอนนี้แทบไม่มีใครอยู่ในตึกแล้ว ประชากรในเดอะ วาลบางส่วนที่ไม่อยากต่อสู้ก็อพยพไปยังเขตอื่น เนื่อง
ขณะนั้นริงโก้ตัดสินใจอุ้มเอมอนขึ้นมาคนเดียว เพียซจึงอุ้มเดสซิเรตามมา เบลินดาเห็นพวกเขาเดินตรงมาก็ลุกขึ้น เธอส่งขวดน้ำดื่มให้อย่างรู้งาน ระหว่างนั้นเพียซก็เล่าว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง หลังจากประตูเปิด พวกเขาก็บุกเข้าไปข้างในเพื่อหาตัวเอมอนกับเดสซิเร ทั้งสองถูกจับสวมกุญแจมือ อาวุธโดนยึดหมด แต่เดสซิเรและเอมอนก็ทำให้กำลังพลภายในนั้นปั่นป่วนไปมาก พวกเขาเจอศพทหารหลายราย คงเป็นฝีมือของทั้งสอง ตอนไปถึง หญิงสาวยังพอมีสติจึงเล่าว่า ทั้งคู่พยายามหาห้องควบคุม แต่ภายในมีระบบเชื่อมต่อกับชุดสูทที่เอมอนสวม เพียงย่างก้าวไปในส่วนที่เป็นสำนักงาน หน้ากากจึงถูกปลดออกอัตโนมัติ ทั้งสองจึงต้องสู้และพยายามจะออกมา ทว่าก็สู้จำนวนคนและอาวุธไม่ได้ จากนั้นจึงถูกจับทรมาน อาจเป็นโชคดีในโชคร้ายของเดสซิเรที่ไม่มีแผนอะไรอยู่แล้ว บวกกับพลังพิเศษที่ทำให้พวกนั้นไม่อาจสัมผัสหรือเข้าใกล้ได้มากนัก ส่วนเอมอนนั้นแย่หน่อยเพราะพอรู้แผนของลูคร่าว ๆ แต่ไม่ได้ปริปากออกไปเลย ดังนั้นเขาจึงโดนซ้อมหนักที่สุด“แล้ว...ทำไมพวกเธอมานั่งอยู่ตรงนี้” โอลิแวนถาม “พวกอเล็กซิสล่ะ ฉันได้ยินกว่าทั้งกลุ่มเข้าไปในเขตเธอไม่ใช่หร
ไมเคิลสบตากับเรมี อีกครั้งที่พวกเขาไม่เข้าใจว่าพวกเธอวางแผนอะไรกัน“ฉันต้องการคำอธิบาย ตั้งแต่เช้า พวกเราวุ่นจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ยังไม่นับเรื่องที่พวกเธอทำโดยไม่บอกก่อน”ฟีบี้กลอกตา เธอไม่ได้มีท่าทีสำนึกหรืออ่อนข้อลงแบบเทสซ่า แต่กลับยักไหล่ไม่สนใจ แม้บุคลิกหญิงสาวจะเป็นแบบนี้ และปกติก็ไม่มีใครถือสา (ยกเว้นเทสซ่า) แต่เวลานี้ เขาอดฉุนไม่ได้“ทำไมฉันต้องบอกพวกนายด้วย โต ๆ กันแล้ว อีกอย่างก็ใช่ว่าฉันจะรู้ก่อนหน้าอะไรนักหนา ถ้าไม่ใช่เพราะโคดี้ ฉันก็อาจจะนั่งทำหน้าโง่เหมือนพวกนายนี่แหละ” อาคุสะทำเสียงจุ๊ ๆ แล้วส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามปรามเรื่องคำพูด เธอยักคอไปมาอย่างกวนประสาท “เฮ้อ เอาเป็นว่าตอนนี้โคดี้ต้องพัก ส่วนฉันก็ยืมพลังเขามาใช้ จะพยายามเปิดไอ้ประตูยักษ์นั่น” พูดจบก็ถูมือ“ฟีบี้...” อเล็กซิสพูดขึ้น “ฉันเดินผ่านศูนย์อนามัย...เห็นศพพยาบาลเต็มไปหมด ยังไม่รวมเจ้าหน้าที่คนอื่นที่ไม่ใช่ทหารอีก...”หญิงสาวเงียบไปเมื่อเจอคำถามนี้ เทสซ่าก็เม้มปากแน่น เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นทั้งสองมองหน้ากันอย่างเข้า
11:45 PM หน้าประตูเขตเครสเตอร์ - เดอะ วาลกระแสไฟฟ้าแผ่กระจายเป็นวงกว้าง มันส่งแรงต้านผลักก้อนคอนกรีตชิ้นโตหล่นกลับลงมบนพื้นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไมเคิลทึ่งที่โคดี้สามารถป้อนชุดคำสั่งพิลึกพิลั่นให้กับหุ่นพิฆาต หรืออันที่จริงคือ ใครจะคิดว่าเขาจะป้อนคำสั่งแบบนั้นในเวลารีบเร่งเช่นนี้ ทุกครึ่งชั่วโมงจะมีหุ่นสองสามตัวเดินกลับมาปาก้อนหินหนักขึ้นไป กำแพงกั้นเขตแน่นหนาจนแม้แต่พวกมันข้ามไปไม่ได้ จึงใช้วิธีนี้เช็กดูว่าระบบรักษาความปลอดภัยของทอยซิตี้สั่นคลอนแล้วหรือยัง จะว่าเป็นเพราะระบบถูกออกแบบมาดีก็ว่าได้ ถ้าหากไม่ใช้เพราะโคดี้มีพลังพิเศษ ไมเคิลไม่เห็นหนทางเลยว่าพวกเขาจะออกไปได้ ต่อให้เครสเตอร์และนอร์ธพังทลายเพียงใด มันก็ยังไม่ลามไปถึงอีกฝั่งที่ถือว่าเป็นศูนย์กลาง และเมื่อนั้น ถ้าหากพวกเขาจะล้างศัตรู ก็อาจปล่อยระเบิดลงมาลูกเดียว แบบที่เคยเกือบล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ไปเมื่อหลายพันปีก่อนยุคก่อนหายนะ...พี่สาวฝาแฝดเคยเล่าให้เขาฟังเข้าเที่ยงคืนกว่าแล้วหรือ เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น อเล็กซิสจะกินอะไรแล้วหรือยัง เขานั่งนับวันแล้วเหงื่อตก พวกเขาทำปฏิทินเช็กความถี่ว่าอะวีซีจะออกฤ