“ฟังดู...น่ากลัวแฮะ แถมประโยคหลังก็ไม่น่าไว้ใจ” เหมือนหัวใจของเธอเต้นแรงขึ้น ใบหน้าปีศาจของคาเมรอนผุดขึ้นมาในความคิดด้วยความหวาดระแวง กลัวว่าชายคนนี้จะกลายเป็นปีศาจเหมือนไอ้เวรนั่น แต่เขาดูไม่เหมือนคนพวกนั้น เธอไม่รู้สึกสังหรณ์ว่าจะเกิดเรื่องแบบนั้นอีก แต่กระนั้น...“ฉันนั่งดูนายเล่นกลก็ได้ ฉันเป็นผู้ชมที่ดีนะ ขอเถอะ อย่าคะยั้นคะยอเลย”
อเล็กซ์คงสังเกตเห็นว่าเธอไม่สบายใจ เขาจึงพูดโน้มน้าวด้วยเสียงที่อ่อนโยนลง “ไม่น่ากลัวหรอก เธอปลอดภัยแน่ ๆ ฉันจะอุ้มเธอไว้แบบนี้ เถอะน่า ฉันต้องมีผู้ช่วย แล้วตอนนี้เธอได้รับตั๋วชมชั้นพิเศษเชียวนะ โชคดีขนาดไหนแล้ว”
ใบหน้าของเขาห่างกับเธอไม่กี่คืบ และเพราะเหตุนี้ เธอจึงมองเห็นดวงตาของเขาได้เต็มตา มันเป็นสีดำสนิท แต่สะท้อนให้เห็นดาราจักรที่โลดแล่นอยู่ข้างใน และไม่รู้เพราะอะไร เธอเกิดเชื่อใจเขาขึ้นมา
“นายสัญญานะว่ามันไม่อันตราย”
“แน่นอน ไม่ต้องกลัวหรอก ฉันสัญญา” เขาชูนิ้วก้อยขึ้น
“แล้วทำไมต้องอุ้มด้วย” เด็กสาวไม่หยุดซักถาม
“เพราะมันง่ายกว่า แล้วก็ปลอดภัยกว่าด้วย เดี๋ยวเธอจะเข้าใจเอง ฉันสัญญาแล้วนะ”
อเล็กซิสนิ่งคิดสักพัก จากนั้นพยักหน้าตกลง เขาอุ้มเธอขึ้นง่าย ๆ ราวกับอุ้มตุ๊กตา แต่ไม่ว่าอย่างไรเธอยกแขนคล้องคอเขาแน่น
“ฉันจะนับหนึ่งถึงสามนะ”
เธอพยักหน้า
“หนึ่ง...” อเล็กซ์กระโดดทันที ร่างสูงโพทะยานขึ้นราวกับจรวด
อเล็กซิสกรีดร้องเสียงดังลั่น หลับตาปี๋ ไม่กล้ามองข้างล่าง
ไม่นาน เธอเพิ่งรู้ตัวว่าร่างของทั้งสองไม่ได้ตกลง อเล็กซ์กระโดดสูงในแบบที่มนุษย์ปกติทำไม่ได้ พวกเขากำลังลอยตัวอยู่ โอบล้อมไปด้วยดาวนับพัน เธอมองเห็นทางช้างเผือกใกล้ขึ้น และพอเขาสั่งให้เครื่องซูมเข้า จึงดูเหมือนว่ามันกำลังเคลื่อนตัวเข้าหาคนทั้งคู่
ชั่วขณะหนึ่งที่จิตกับร่างแยกออกจากกัน ร่างกายของเธอเบาจนเหมือนไร้น้ำหนัก ช่วงเวลาที่จิตปราศจากมลภาวะทางความคิดที่คอยหลอกหลอนอยู่ในหัว เมื่อมันเป็นอิสระ ต่อมรับรู้แทบไม่มีผลอันใด และเมื่อไม่รู้สึก ก็ไม่มีความเจ็บปวด หมดสิ้นอาวรณ์ และข้อสงสัยต่าง ๆ ประหนึ่งสิ่งรบกวนในใจทั้งหมดพร้อมใจกันหยุดนิ่ง เธอกลายเป็นเพียงดาวดวงหนึ่งที่มีอยู่ แต่ไร้ซึ่งอารมณ์และความรู้สึก บางทีเมื่อเธอหยุดรับทุกสิ่งทุกอย่าง มันอาจเป็นหนทางสู่อิสรภาพอย่างหนึ่ง ปลดเปลื้องโซ่ตรวนทางความคิดที่ครอบงำเธออยู่ทุกวัน
“เธอเข้าใจแล้วใช่ไหม ว่าทำไมฉันถึงชอบสิงอยู่ในนี้”
เสียงของเขาดังก้องอยู่ในหู แต่ในสภาวะนี้ สมองของเธอทำงานช้าลง การประมวลผลจึงช้าลงไปด้วย ไม่นาน ร่างคนทั้งสองค่อย ๆ ลอยลงสู่เบื้องล่าง พ่ายแพ้ให้กับอำนาจแรงโน้มถ่วงในที่สุด เขาปล่อยตัวเธอลง
“ว้าว ไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนี้มาก่อนเลย รู้สึกเหมือนลอยขึ้นไปบนอวกาศจริง” เด็กสาวตบมือเบา ๆ โดยไม่รู้ตัว “นายบินได้ น่าทึ่งมาก”
“ไม่ได้บินสักหน่อย” เขาว่า อเล็กซิสเพิ่งรู้สึกตัวว่าอเล็กซ์มองเธอไม่วางตา
“มีอะไรเหรอ”
เขาเดินเข้ามาใกล้ จ้องเข้าไปในดวงตาเธอด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้ เหมือนกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง “ฉันไม่เคยเห็นดวงตาสีน้ำเงินแบบนี้มาก่อนเลย”
“ตาของฉันน่ะเหรอ มันก็สีฟ้า”
“ไม่ใช่สีฟ้า สีน้ำเงินเข้ม ตอนอยู่ข้างบนเลยเห็นชัดว่าเป็นสีน้ำเงินเข้ม (“โอเค สีน้ำเงิน” อเล็กซิสยอมแพ้) แต่เหมือน...มีอะไรบางอย่าง...ส่องสว่างอยู่ข้างใน ไม่ใช่เพราะแสงกระทบแต่...มันอยู่ในตัวเธอ”
ฉับพลันอุณหภูมิในห้องเหมือนเพิ่มขึ้น อเล็กซิสรู้สึกว่าอากาศอบอุ่นขึ้นทันตา เมื่ออเล็กซ์เขยิบเข้ามาใกล้กว่าเดิม ดวงตาสีดำของเขาเอาแต่จ้องสำรวจเข้าไปในตาของเธอ เป็นวินาทีที่แก้มทั้งสองข้างร้อนผ่าว ลมหายใจติดขัด และเธอเป็นฝ่ายถอยออกมาเอง
“พวกเราเป็นพวกสัตว์กลางคืนแน่ ๆ เลย เธอก็เหมือนกันใช่ไหม” ชายหนุ่มถาม โทนเสียงดูยินดีเหมือนเด็กที่เจอเพื่อนใหม่
“นายคนเดียวมั้ง วันนี้ฉันแค่นอนไม่หลับ ปกติแล้วฉันชอบนอนนะ”
พวกเขามองหน้ากันโดยไม่พูดอะไรอยู่สักพัก
อเล็กซ์เป็นฝ่ายทำลายความเงียบก่อน “ในเมื่อคืนนี้มีแค่ฉันกับเธอ ทำไมพวกเราไม่ลองมาคุยปัญหาปรัชญากัน[1]” เขาจบประโยคด้วยการกัดปากพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“...ฮะ”
“ฉันหมายถึงปรัชญาจริง ๆ นะ” ชายหนุ่มยิ้มเย้ย ดวงตาสีเข้มจนเหมือนสีดำลุกวาวล้อเลียนความคิดบางอย่างในหัวเด็กสาว เธอกลั้นหายใจอย่างอดทน เพราะรอยยิ้มก่อนหน้าทำให้เธอคิดไปในทางนั้น แต่อย่างไรก็ตาม เธอกลับอยากคุยกับเขาต่อ
และใช่ หมายถึงปรัชญา
“งั้น ถ้าเป็นเดส์การ์ต[2]ล่ะ”
“ดังนั้น พวกเราถึงอยู่คุยเรื่องนี้”[3] อเล็กซ์สรุป
[1] ‘คุยปรัชญา’ ผู้เขียนยึดความหมายที่จะสื่อในเวอร์ชันภาษาอังกฤษ ‘Talking Philosophy’ มีความหมายอีกนัยหนึ่งหมายถึง sexual intercourse (การมีเพศสัมพันธ์) ตัวละครอเล็กซ์เล่นกับความหมายของคำ
[2] เรเน่ เดส์การ์ต เป็นนักคณิตศาสตร์และนักปรัชญา
[3] วลีโด่งดังของเดการ์ตคือ I think; therefore, I am ภาษาไทยคือ ข้าพเจ้าคิด (ดังนั้น) ข้าพเจ้าจึงมีอยู่ หมายถึง ความคิดเกิดจากการที่มนุษย์นั้นคิด เมื่อมีผู้คิด นั่นหมายความว่าผู้คิดมีตัวตนอยู่จริง ๆ
“ที่นี่มีไว้ทำอะไรกันแน่”ทีวีจอแบนบนโต๊ะแสดงรายละเอียดข้อมูลสุขภาพ ทั้งน้ำหนัก ส่วนสูง วันเกิด กรุ๊ปเลือด ระดับคอเลสเตอรอล ความดันโลหิต และอื่น ๆ เจ้าหน้าที่สาวสวมชุดเครื่องแบบสีขาวคล้ายนางพยาบาล (ขาวอีกละ!) คาดผ้าปิดปากสีเขียว เธอเอ่ยชมเบนด้วยน้ำเสียงสูงปรี๊ดว่าสุขภาพของเขาดีอย่างน่าเหลือเชื่อ“คุณครับ ที่นี่คือที่ไหนกันแน่ เอาไว้ทำอะไร”เธอดึงแขนข้างที่สวมนาฬิกาแล้วอธิบายวิธีการใช้งาน อุปกรณ์ตัวนี้สามารถบันทึกข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวกับเขาได้หมด โดยหากกดปุ่มแสดงรายละเอียดจะขึ้นเป็นจอโฮโลแกรม มันยังแสดงเวลาล่าสุดที่เขาสูบบุหรี่ครั้งสุดท้าย ใช่แล้ว ครั้งสุดท้าย เพราะห้องนั้นติดตั้งเครื่องดักจับควันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อเล็กซ์อกหักยับเยิน“สรุปที่นี่เอาไว้ทำไรวะ บอกมาสักทีสิเว้ยเฮ้ย”“คนต่อไป! อเล็กซานเดอร์ โวลคอฟ”เก้าอี้เลื่อนไปข้างหน้าโดยอัตโนมัติ จากนั้นตัวเบาะกระเด้งขึ้นผลักเขาออกจากที่นั่งโดยปริยาย เบนกระเด็นล้มลงออกมานอกห้อง คำถามที่เขาถามไปเมื่อครู่ นอกจากจะไม่ได้รับคำตอบแล้ว ตัวเองยังนอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นเบนลูบก้นตัวเอง เขายืนรออเล็กซ์ไม่นาน ร่างสูงเดินออกมาต่างจากเขาที่ถูกผล
ทั้งสองเคยไปลองเล่นที่สนามบาสแล้วครั้งหนึ่ง เบนกับอเล็กซ์ไม่ค่อยนิยมเล่นกีฬาแนวนี้ ดังนั้นจึงไม่ได้ไปเล่นที่นั่นอีก ช่วงที่พวกเขายังเป็นนักเรียน ทั้งสองเลือกเข้าสมาคมศิลปะป้องกันตัว มวย ยิงปืน ว่ายน้ำ และเทนนิส ส่วนกอล์ฟซึ่งเป็นกีฬาที่คนส่วนใหญ่ในฟิวเจอร์ริสติกนิยมกลับเป็นกีฬาที่ทั้งสองเกลียด พวกเขาหลงใหลกีฬาแนวต่อสู้และใช้อาวุธ อันเนื่องมาจากอิทธิพลที่ได้รับมาจากเหล่าฮีโร่ในวัยเด็ก โดยเฉพาะเบนที่ชอบของพวกนี้มากเป็นพิเศษ เขายังมีงานอดิเรกสะสมอาวุธ ทั้งของโบราณและสมัยใหม่สนามบาสของที่นี่ปูพื้นด้วยไม้เมเปิ้ลขัดเงาเป็นมันวาว ส่วนอัฒจันทร์ตั้งอยู่ด้านในและมีเพียงฝั่งเดียว คนหกคนกำลังรอพวกเขาอยู่ ทั้งหมดสวมเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น หรือไม่ก็กางเกงยีน อเล็กซิสนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างเทสซ่ากับเด็กหนุ่มผมสีแดง พอเทสซ่าเห็นหน้าเบน หญิงสาวหรี่ตามองเชิดคางขึ้น เบนนึกสนุกเลยขยิบตาพร้อมกับส่งยิ้มยียวนให้เธอ สาวคู่อริจึงทักทายตอบด้วยนิ้วกลาง“เฮ้” อเล็กซิสโบกมือทักทาย เขาหันเหความสนใจไปที่เด็กสาวคนนี้ทันที เบนเกือบจะโบกมือกลับอยู่แล้วเชียว ถ้าไม่เห็นว่าสายตาของเธอมองเลยไปยั
“โอเค ในเมื่อมินนี่ไม่ยอมลงมาเล่น งั้นเรามาโอน้อยออกกัน!” อเล็กซิสดึงความสนใจจากทุกคนอีกรอบ ท่าทางกระเหี้ยนกระหือรืออยากเริ่มเล่นให้เร็วที่สุด แววตาของเธอเป็นประกายวิบวับพวกเขาแบ่งออกเป็นสองทีม ทีมของอเล็กซิสประกอบไปด้วยโนเอล ออสโล่ และซาร่าห์ ส่วนทีมของเทสซ่ามีเบน อเล็กซ์ และเวด“ที่รัก พวกเราไม่เคยพรากจากกันเลย” เบนตรงเข้ากอดก่ายร่างสูงของเพื่อน ฝากฝังรอยเท้าไว้ที่ขากางเกงมากมายอเล็กซ์ทำหน้าเอือมระอา เขาดันศีรษะตัวเพื่อนออกไป แต่ไม่วายหัวเราะเบา ๆ“มีกฎข้อเดียวเท่านั้น ห้ามโกง! ห้ามใช้พลังพิเศษเด็ดขาด” เด็กสาวตาสีน้ำเงินประกาศ แต่ไม่ได้จ้องมองใครเป็นพิเศษ“นี่เธอก็รู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ” เบนจ้องเพื่อนเขม็ง ต้องการให้อเล็กซ์คายทุกอย่างออกมาให้หมดเดี๋ยวนั้น“ใช่ เธอรู้ว่าฉันมีพลังพิเศษ แต่เขาไม่รู้เรื่องของนาย โอเค้? ทำไมต้องให้ฉันบอกทุกเรื่องด้วย นายไม่ใช่เมียสักหน่อย”“อ้าว ก็ฉันเป็นเพื่อนสนิท”“ที่แม่งนอนกับแฟนฉันเนี่ยนะ”“บอกแล้
เทสซ่าทำเสียงฮึ่มใส่ แต่พี่ชายของเธอกลับหัวเราะเห็นเป็นเรื่องน่าขัน เขามองเบนเหมือนมองเด็กเล็ก ๆ อย่าเหมาว่าฉันเป็นน้องชายของนายเลย “มาเถอะ เทส” คนพี่เร่งน้องสาว เทสซ่ามอบนิ้วกลางให้เขาเป็นครั้งที่สามเพื่ออำลาก่อนเปลี่ยนทีมพออเล็กซิสมาอยู่ในทีม รูปเกมเปลี่ยนทันที โนเอลอาจตัวสูงใหญ่ แต่ตัวเขาไม่ใช่ผู้เล่นที่น่ากลัว เมื่อปราศจากคนส่งบอลที่ดี โนเอลก็ไม่ต่างอะไรจากกำแพงโง่ ๆ ที่ยืนขวางทางเท่านั้น ถ้าข้ามผ่านไปได้ ก็ไม่มีอะไรต้องกลัว อเล็กซิสวิ่งเร็ว แถมยังชู้ตแม่น ทีมของเขาจากที่ตามหลัง ตอนนี้เลยขึ้นนำ ทว่าคะแนนยังไม่ห่างกันมาก เบนไม่ประมาท จนกระทั่งอเล็กซ์ขอเวลานอก“ฉันว่า เราควรเปลี่ยนผู้เล่น อย่างนี้มันไม่แฟร์นะ ให้ฉันเปลี่ยนกับออสโล่ก็ได้” อเล็กซ์โพล่งออกมา“อะไรของนายวะ” เบนแทบอยากจะเขวี้ยงลูกบาสในมือทิ้ง บางครั้งนิสัยขึ้น ๆ ลง ๆ ของเพื่อนสนิททำให้เขาปวดขมับ“ไม่เป็นไรหรอก ฉันว่าเราต้องจบเกมแล้วล่ะ ก่อนที่ออสโล่จะเป็นลม” อเล็กซิสว่า ทั้ง ๆ ที่ยังเล่นไปไม่ถึงชั่วโมง เด็กหนุ
“แล้วพวกเธอทำอะไรกัน หมายถึง คุยอะไรกันบ้าง”เธอหันหน้ามา เพ่งมอง“ฉันพูดอะไรผิดเหรอ”“เปล่า แค่รู้สึกแปลกใจที่นายดูสนใจเพื่อนของนายกับฉันมากขนาดนี้ นายคงไม่เห็นหน้าตัวเองหรอก แต่หน้าของนายตอนนี้ขึงขังมาก”“คือ” เขาพยายามหาข้อแก้ตัว “เขาขังตัวเองในห้องนั้นมาหลายวัน ฉันเป็นห่วงมาก แล้วจู่ ๆ เขาก็ออกมา ฉันก็เลยคิดว่า เธออาจจะมีส่วนช่วยด้วย”“อ้อ เข้าใจแล้ว แต่ไม่ใช่เพราะฉันหรอก เขาคิดได้ด้วยตัวเองน่ะ” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงสบาย ๆเบนจ้องเข้าไปในดวงตาสีน้ำเงินคู่นั้น จากนั้นเธอคลี่ยิ้มบาง ๆ “ไม่เชื่อเหรอ ฉันพูดจริงนะ พวกเราแค่คุยกันเรื่องปรัชญาต่าง ๆ เท่านั้นเอง”“หา ปรัชญาเหรอ”อเล็กซิสเลิกคิ้ว ทำให้เบนปรับสีหน้าเป็นปกติ “เดส์การ์ต อริสโตเติล ซาร์ต นายรู้จักคนพวกนี้ไหม”“แน่นอน ฉันรู้จัก...พวกเธอคุยกันแค่นี้เหรอ”“อื้อ ก็มีเรื่องอื่นด้วยแหละ แต่ว่าส่วนใหญ่คุยกันเรื่องนี้ เพื่อนของนายค่อนข้างรู้
เบ็กกี้เป็นเด็กใหม่ของที่นี่ เธอเพิ่งมาถึงหอพักแห่งนี้ยังไม่ครบวันเลยด้วยซ้ำ พอได้ยินว่ามีประกาศข่าวใหม่ เธอเห็นแต่ละคนรีบวิ่งไปที่โทรทัศน์จอยักษ์ เด็กสาวร่างเล็กเดินไหลไปตามกระแสมนุษย์ มือข้างซ้ายกุมข้อมือข้างขวาเอาไว้ เธอเดินค้อมตัว มองซ้ายมองขวาเหมือนกับมีคนกำลังจับผิดอยู่ และถ้าหากเธอทำอะไรผิดแปลกไป ทั้งตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ เธอจะโดนลงโทษ เมื่อเดินมาถึงข้างหน้าจอทีวี เด็กสาวแหงนหน้ามองข้อความที่เขียนบนนั้นกำหนดการเคลื่อนย้ายผู้พักอาศัยจะมีขึ้นในวันที่ 28 กรกฎาคม 3012 กรุณาทิ้งสัมภาระไว้ที่ห้อง และมารวมตัวกันเพื่อรอสัญญาณที่ห้องโถงในเวลา 18 นาฬิกา หมายเหตุ: ห้ามพกกระเป๋าสัมภาระ “เคลื่อนย้ายเหรอ หมายความว่าพวกเราต้องย้ายที่อยู่งั้นเหรอ” เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างเธอพูดขึ้น เขามีผมสีแดงเช่นกัน แต่ใบหน้าเต็มไปด้วยกระ เขามากับเพื่อนสาวคนหนึ่ง พอพูดจบ ทั้งสองก็พากันขยับมาข้างหน้า เบ็กกี้จึงมองเห็นแต่แผ่นหลัง เธอไม่ใช่เด็กหญิงตัวน้อย แต่เป็นเด็กสาวที่ร่างเล็กเหมือนเด็กน้อย แม้อายุครบสิบห้าปีเมื่อสองเดือนก่อน แต่เธอหาได้ตัวสูงขึ้นมากกว่าเดิมไม่ ที่สำคัญ ไซส์มินิแบบเบ็กกี้ไม่ได้ทำให้เธอดูน
เบ็กกี้พยายามจะหยุดเรมี แต่สายไปแล้ว สองคนนั้นเดินตรงมา เด็กสาวเดาว่า พวกเขาน่าจะอายุประมาณราว ๆ สิบเจ็ดสิบแปด เธอก้มหน้างุดและเลือกที่จะแอบอยู่ข้างหลังเพื่อนใหม่“มีอะไรให้ช่วยไหม” หนุ่มผมแดงถามพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น ส่วนเด็กสาวคนนั้นทำสีหน้าแบบเดียวกัน จนกระทั่งเบ็กกี้เห็นดวงตาสีน้ำเงินของเธอ สาวร่างเล็กตัวสั่นสะท้านขึ้นมาทันทีมันเป็นดวงตาคู่เดียวกับที่เธอเห็นในความฝัน ดวงตาที่แสนน่ากลัว ใช่ มันมีขอบสีน้ำเงินเข้ม ส่วนในม่านตาเป็นสีน้ำทะเลลึกที่เหมือนมีแสงส่องประกายระยิบระยิบอยู่ข้างใน ใบหน้านี้ด้วย ถึงแม้ในความฝันภาพจะไม่ชัด แต่มันเหมือนกับวงหน้างามที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ความฝันที่ทำให้ครอบครัวของเบ็กกี้ตัดสินใจส่งเธอไปยังสถานบำบัดทางจิต เพราะเด็กสาวเอาแต่กรีดร้องทุกคืน พวกเขาบอกว่าเธอเกิดมาพร้อมกับคำสาปซาตาน ไม่บริสุทธิ์ เต็มไปด้วยบาปกำเนิดมากกว่ามนุษย์ทั่วไป มันเป็นเพราะว่าเธอมักจะฝัน และความฝันจะกลายเป็นจริงอยู่บ่อยครั้ง ถ้าหากฝันเรื่องดี พวกเขาคงเปรียบเธอเหมือนนักบุญ แต่เมื่อมันเป็นเรื่องร้าย เธอจึงถูกเปรียบเหมือนลูกปีศาจ คำสาปที่เธอไม่เคยอยากได้ แล้ว
อเล็กซิสไม่สนใจเพื่อนชาย เธอหันมาหาเบ็กกี้ “เอาล่ะ หมดปัญหาแล้วนะ ฉันชื่อ อเล็กซิส คนนี้ชื่อ ออสโล่ นี่คือ เบน แล้วพวกนายชื่ออะไร”เด็กสาวไม่จำเป็นต้องตอบเมื่อเรมีทำหน้าที่แทนหมด “เรมี ส่วนนี่ก็เบ็กกี้”“อายุแค่สิบสี่ใช่ไหม” เบนถาม“ไม่ ๆ ฉันสิบหกแล้ว” เรมีรีบตอบ“เปล่า ฉันหมายถึงเด็กผู้หญิง”“สิบห้า...ต่างหาก” เธอพูดกระซิบเหมือนเคย“เฮ้อ มินนี่สองสินะ” คนชื่อเบนว่า เด็กสาวไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร แต่ความรู้สึกบอกว่ามันไม่ใช่คำชมเธอสังเกตเรมี เขาดูท่าอยากร่วมสนุกกับคนกลุ่มนี้มาก สายตานั้นมองเหมือนรอคอยคำชวน และเมื่อพวกเขาเอ่ยปากชวน เด็กหนุ่มตอบตกลงทันที เขายังลากเบ็กกี้ตามไปด้วยราวกับทั้งสองกลายเป็นพี่น้องกันไปแล้ว หรือรู้จักเป็นเพื่อนกันมานาน สมาชิกใหม่อย่างเธอยังคงกลัวดวงตาของอเล็กซิส ดังนั้นจึงเอาแต่อยู่ติดกับพี่ชายป้ายแดงและพยายามไม่พูดกับเธอคนนั้น อเล็กซิสคงจับสังเกตได้ เธอจึงหันไปคุยกับเรมีแทน เขาถึงกับหน้าบานอย่างกับจานดาวเทียม จะโทษเขาก็ไม่ไ
สาวผมแดงนั่งมองพวกเขาอยู่บนเตียง ผ้าห่มคลุมร่างกายเปลือยเปล่าเพราะเสื้อผ้าถูกถอดออกทิ้งไว้บนพื้น อเล็กซิสกระตุกแขนไมเคิลที่ยืนแข็งเป็นท่อนไม้ เธอส่งยิ้มให้เด็กหนุ่มมากกว่าแสดงออกว่าโกรธ “อยากร่วมด้วยเหรอ” เสียงของหล่อนแหบกระเส่าจงใจยั่วอีกฝ่าย สุดท้ายอเล็กซิสลากไมเคิลออกไปได้สำเร็จไมเคิลมองหน้าเธอ ใบหน้าแดงก่ำ “ฉันคิดว่าเธอถูกทำร้าย” แล้วชี้ไปที่บลูชายหนุ่มชี้หน้าตัวเอง “ฮะ ถูกทำร้าย?” จากนั้นระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น จากที่โมโหดูจะพอใจมากกว่า “ขอโทษที่รุนแรงจนนายตกใจ แต่ช่วยไม่ได้เพราะลีลาชั้นมันเผ็ดร้อน” เขาตบไหล่ชายหนุ่ม แต่ไมเคิลมีกะใจเบี่ยงตัวออก“คือ...บลู ไมเคิลค่อนข้างจะสับสนนิดหน่อย ฉันขอโทษจริง ๆ เขาไม่ได้ตั้งใจ” อเล็กซิสแก้ตัวให้เพื่อนและพยายามมองแค่หน้าของบลู ปกติแล้วเขาไม่ใช่ผู้ชายในแบบที่เธอชอบ หรือตรงสเป็ก แต่หุ่นของเขานี่มัน...หน้าอกชายหนุ่มยังคงสั่นไปตามแรงหัวเราะ “พูดจริงดิ เพื่อนเธอไม่รู้จักเสียงเมื่อกี้เหรอ เอ แล้วที่อยู่ในห้องกันสองคนทำอะไรกันวะ” เขาหันไป
ไมเคิลพยายามทำตัวเป็นปกติ เขามานอนเล่นในห้องเธอตั้งแต่สี่โมงเย็น เพราะในห้องตัวเองเต็มไปด้วยอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และสามหนุ่มไอทีอย่างโคดี้ เรมี กับอาคุสะที่พยายามถอดรหัสเข้าเครื่องให้ได้ ทอยซิตี้ไม่ใช่เมืองพักตากอากาศ หากพวกเขาไม่ดื่มหรือชมลานประลองก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรอีก ทั้งสองคุยกันว่าจะหางานทำช่วงเย็นดีไหม อย่างน้อยอาจแก้เบื่อแถมได้ชิปนิดหน่อย ไมเคิลเคยลองทำแล้วออกมาและอาจจะกลับเข้าไปใหม่วันนี้จึงผ่านไปอย่างช้า ๆ สำหรับทั้งสองคน บางครั้งเธอนั่งจดบันทึกอยู่ เขาจะเริ่มเข้ามากระแซะ หลายครั้งเธออยากให้ตัวเองคล้อยตามแต่มันมีบางอย่างที่ทำให้เธอหยุด สัมผัสของไมเคิลไม่ได้ทำให้เธอใจสั่น ทั้งที่หน้าตาและรูปร่างเป็นต่อ อาจเป็นเพราะแววตาของเขาแสดงความอยากรู้อยากเห็นมากกว่าต้องการจริง ๆ และอาจเป็นเพราะเขาทำให้เธอรู้สึกกึ่ง ๆ ระหว่างออสโล่กับลิ้ตเติ้ลชาร์ลีมากเกินไป ความใกล้ชิดของพวกเขายิ่งกว่าก่อนอเล็กซ์จะตีจากเสียอีก แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องนอนตัก กอด หรือถูกเนื้อต้องตัว พวกเขาไม่เคยไปไกลเกินกว่านี้ ถ้าไม่นับจูบทดลองคราวนั้นและสุดท้าย เด็กหนุ่มมักผล็อยหลับบนตักเธอเสมอ ไมเคิลชอบให้เธอเ
คำสุดท้ายแรงเหมือนตบหน้าโดยไม่ใช่มือ แววตาหยิ่งผยองเมื่อครู่กลายเป็นหวาดหวั่น และเมื่ออเล็กซิสเห็นเงาตัวเองในดวงตาคู่นั้นก็ตกใจไม่แพ้กัน ความเกลียดชังในตัวเธอส่งผ่านออกมาจนเห็นชัดผ่านเงาสะท้อน และแม้แต่ตัวเองยังแทบรับไม่ได้กับใบหน้านั้น ดวงตาเธอเหลือบมองเทสซ่าและรีเวอร์ที่ยังคุยกันดี ไม่มีทะเลาะ จึงจับตัวมินนี่เลื่อนออกไป ให้ตัวเองมีช่องว่างปลีกตัวมินนี่ไม่สนใจ เธอเขยิบตัวแล้วก้าวไปเกาะกำแพงข้างหน้าแทน สายตาจดจ่ออยู่ที่พี่สาวตัวเองมากกว่าคนรอบข้าง เวลานี้อเล็กซิสไม่สนใจแล้วว่าต้องรอเทสซ่าหรือไม่ แต่ฉวยโอกาสนี้กลับเขต ใบหน้าอาฆาตเมื่อครู่ยังติดอยู่ในหัว“ฉันไม่เคยอยากให้พวกเขาตาย”เท้าเธอหยุดกะทันหัน เบลินดาเดินตามมา “เวดยังไม่ตาย” เธอสวน หันกลับไปเผชิญหน้ากับผู้ที่มาจากที่เดียวกัน “เธอไม่เคยขอโทษ ไม่เคยรู้สึกผิด ตลอดเวลาฉันเห็นเธอลอยหน้าลอยตาราวกับตัวเองเป็นเหยื่อ...”“เพราะฉันเป็นเหยื่อ” เด็กสาวตรงหน้ากำหมัดแน่น มือทั้งสองข้างสั่นอเล็กซิสหัวเราะ “กล้าพูด”“เหยื่อของผองเพื่อ
“โอ้” ทำไมเราต้องรู้เรื่องที่ไม่ควรรู้ด้วยนะ เธอเหลือบมองเพื่อนสาวอีกที สองคนนั้นยังหัวเราะคิกคัก ไม่รู้ตัวว่ามีคนกล่าวถึง “หมอนั่นไม่ได้เป็นโรคจิตใช่ไหม” เธอถาม เพราะมินนี่ไม่เคยเก็บความลับของพี่สาวอยู่มินนี่ส่ายหัว “รีเวอร์น่ารักจะตาย ไม่กวนประสาทเหมือนโคดี้ด้วย เขาเป็นผู้ใหญ่ โนเอลก็ชอบ” แววตาสีฟ้าอ่อนสลดลงเมื่อนึกถึงพี่ชายที่จากไป อเล็กซิสลุกขึ้นกอดเธอเป็นการปลอบโยน “ถ้าเขาไม่หายไปและไม่ทำให้เทสซ่าเสียใจก็ดี แต่มันไม่ได้แปลว่าฉันเชียร์เขาแทนโคดี้นะ” เด็กสาวเงยหน้าทำตาปริบ ๆ ถึงแม้เธอค่อนข้างประหลาดไปสักหน่อย แต่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่เอ็นดูน้องเล็กของพวกโธมัสคนนี้อเล็กซิสยิ้ม “ฉันรู้”เธอมองรีเวอร์อีกครั้ง ครั้งนี้เขารู้ตัวจึงเดินหายไป เธอไม่เคยรู้เรื่องเขาเลย ไม่แน่ใจว่าเทสซ่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับแฟนเก่า แต่ภาวนาว่าอย่าให้มีเรื่องขัดข้องใจกับแฟนปัจจุบันก็คงดี อเล็กซิสถอนหายใจ เธอนึกถึงวันที่อเล็กซ์เจอเธอแอบอยู่หลังถังขยะข้างตึกที่พักไมเคิล สติตกอยู่ใต้อำนาจฤทธิ์ยา ถึงแม้เธอไม่อาจตอบได้
พวกผู้หญิงมีวิธีบรรเทาความเครียดต่างกับผู้ชาย ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ไหน การได้จับจ่ายซื้อของคือความสุขและวิธีปลดปล่อยมวลพลังลบทั้งปวง ถึงแม้ที่นี่ไม่มีร้านบูติกแบรนด์ชั้นนำ หรือแม้แต่ร้านโนเนมดีไซน์ล้ำ มีเพียงตลาดมือสองและแผนกเสื้อผ้าในซูเปอร์ตั้งราวเรียงกันเป็นตับ ไร้รสนิยม แม้ทอยซิตี้ไม่มีตัวเลือกให้กับผู้หญิงมากนัก แต่แค่ได้สวมใส่ ลอง และซื้อ ก็สนองนี้ดได้ไม่ยาก และเพราะมันเป็นหนทางเดียวสำหรับพวกเธอคงมีแค่อเล็กซิสที่นั่งเท้าคางรอเทสซ่าแต่งตัวคนอย่างอเล็กซิสหรือจะแค่นั่งรอ เด็กสาวผู้ชื่นชอบสะสมเสื้อผ้าสวยและน้ำหอมเป็นชีวิตจิตใจ ทั้งที่ค่าตัวจากงานพิเศษต่าง ๆ ละลายไปกับของพวกนี้ เหตุใดเธอจึงนั่งเบื่อ ประเด็นมันอยู่ที่ว่า ใครคือคนที่ช้อปด้วยต่างหาก และก็ไม่ใช่เพราะเทสซ่าแน่นอนเทสซ่าเดินออกจากห้องลองเสื้อพร้อมเบลินดา สวมเสื้อแจ็กเกตดำแบบเดียวกับที่เธอชอบยืมอเล็กซิสใส่สมัยอยู่ในหอพัก (ท่าทางจะชอบจริง ๆ) เสื้อนอกทับเสื้อสายเดี่ยวสีเขียวข้างใน ด้วยบุคลิกทะมัดทะแมง ผิวสีเชสนัทเกลี้ยงเกลา และรองเท้าบูตส์หนัง เธอยิ่งสวยและเท่เหมือนนางเอกเดินออกจากหนังแอคชั่น “สามพันสองร้อยชิป ไม่ใช่หนั
ไมเคิลส่ายหัวปัดมือให้เธอถอยออกไป (ไม่กล้าแตะตัวเธออีก) อเล็กซิสในอ้อมกอดอเล็กซ์ไม่ได้นอนหรือหลับ หากแต่ตื่นอยู่แต่เหมือนไม่ค่อยมีสติ ริมฝีปากพึมพำว่า “ปล่อย” เบา ๆ ในลำคอ“เปิดประตูสิ” อเล็กซ์สั่งเพราะมือทั้งสองอุ้มเพื่อนของเขาไว้“นายก็เขยิบสิ” เขาสั่งกลับ อเล็กซ์เลื่อนตัวเข้ามาใกล้ประตู เขาจับมืออเล็กซิสแตะที่ตัวสแกนเพื่อปลดกลอน มีเสียงดังกริ๊ก มือผลักบานประตูเปิดให้อเล็กซ์เข้าข้างใน “นี่” ไมเคิลไม่สนใจหญิงสาวเลยปิดประตูใส่หน้าหล่อนดังปัง เธอทุบครั้งหนึ่งก่อนจะด่าออกมา เมื่อนั้นเสียงฝีเท้าห่างออกไป ในที่สุด“ฉันอยากได้ผ้าชุบน้ำ”ไมเคิลพยักหน้า ส่วนอเล็กซิสก็พยายามจะลุกขึ้นจากเตียงให้ได้ “ไม่...ต้อง...” จนอเล็กซ์ดันตัวเธอลง “ไม่” สภาพอเล็กซิสไม่ต่างจากคนเมายา เขาไม่รู้ว่าเธอไปโดนอะไรมาแต่ก็ทำตามที่อเล็กซ์บอก นั่นคือเข้าไปในห้องน้ำแล้วคว้าผ้าขนหนูผืนเล็ก พอเปิดก๊อกก็พบว่าน้ำแรงปกติ โกหกจริงด้วย มือทั้งสองรีบบิดน้ำหมาด ๆ พอออกมาก็เห็นสองอเล็กซ์เถียง
ไมเคิลรุดไปยังหน้าต่างตรงทางเดิน ยกบานหน้าต่างจนสุดแล้วชะโงกหน้าออกไป ลมแรงตีปะทะหน้า ถึงแม้เขาจะชอบอากาศเย็นสบายมากกว่าร้อน แต่เมื่อทอยซิตี้เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ลมกลับไม่น่าพิสมัย สายตาของเขาเลื่อนไปช้า ๆ ทีละจุด ทีละจุด แต่ไร้ประโยชน์ ถึงอเล็กซิสอยู่แถวนี้ก็ยากที่จะเห็นอยู่ดี ทำไมต้องโกหก เธอไปไหนกันแน่ หัวใจบีบรัดเมื่อความผิดหวังจู่โจม เขาคิดว่าเธอไม่ไว้ใจเขา ทั้งที่เข้าใจว่าตนเองคือคนที่เธอสนิทใจที่สุด มากกว่าเทสซ่า แต่สุดท้าย เขาคิดผิดอเล็กซ์โผล่หน้าออกมาข้าง ๆ ผมของเขายาวจนต้องจับมันไว้ไม่ให้ปลิวและพัดเข้าหน้า “เขามีท่าทีแบบนี้มาสักพักแล้วยัง”ไมเคิลไม่แน่ใจว่าจะตอบอย่างไร ตอนนี้ดูเหมือนทั้งสองจะพักอารมณ์เหม็นขี้หน้าชั่วคราว ถึงแม้ทุกคนเห็นว่าเธอค่อนข้างโทรมและเงียบกว่าตอนอยู่ในศูนย์ฝึก แต่ไม่ได้นึกถึงเรื่องอื่นเลย ใช่แล้ว ไม่มีใครสังเกตเลยรวมทั้งตัวเขาเองด้วย“เขาบอกอะไรนายบ้าง” ชายหนุ่มเริ่มยิงคำถาม “มันเกี่ยวกับที่โดนจับไปหรือเปล่า หรือไม่ใช่”“ไม่รู้!” ไมเคิลตอบอย่างมีอารมณ์ “แล้วนาย
ห้องของไมเคิลกับเรมีแออัดยิ่งกว่าเดิมเมื่อรองรับคนถึงเก้าคน คอมพิวเตอร์จอแบนขนาดสิบห้านิ้วตั้งกลางวง หน้าตามันดูดีจนไม่น่าเชื่อว่าพวกเขาประกอบกันเอง เรมีเสียบปลั๊กแล้วกดเปิด หน้าจอสีดำกะพริบถี่ ๆ ก่อนเปลี่ยนเป็นสีฟ้าน้ำทะเลปรากฏเปลวไฟเป็นตัวอักษรรูปตัวเอทับต้นไม้ มันพลิ้วไหวเหมือนไฟมีชีวิต “โอ้โห” พวกเขาตื่นเต้น ไม่นานกล่องสีขาวเด้งออกมาเพื่อให้กรอกรหัส“ข้างในมีอะไรบ้าง” อเล็กซิสยื่นหน้าเข้ามา มือกำขวดน้ำแน่นท่าทางกระหายน้ำตั้งแต่เข้ามาในห้อง“ต้องกรอกรหัสก่อน” เรมีย้ำ สายตาจดจ่อกับหน้าจอดังกล่าว“กรอกสิ” เทสซ่าเร่ง “ฉันอยากรู้แล้ว”“เอ่อ” หนุ่มน้อยวัยสิบหกเคาะคีย์บอร์ดสัมผัส “เรายังแฮคมันไม่ได้”“หา?” พวกที่เหลือร้องออกมาพร้อมกัน “ถ้าอย่างนั้น...พวกนายเรียกให้พวกเราดูแค่ว่ามันเปิดได้”“ใช่” เรมีพยักหน้าหงึก ๆ “ไม่ตื่นเต้นกันเหรอ”“ฉันบอกแล้วว่าเราควรเจาะรหัสให้ได้ก่อน” อาคุสะพูดเสียงเรียบ เข
อเล็กซิสเงยหน้ามองไฟข้างบนอย่างกับจะจับผิดระบบ แต่ไมเคิลรู้ตัวการดีจึงเหยียดเท้าถีบเก้าอี้ข้างหน้า แม้ยั้งแรงไว้บ้างแต่ตัวอเล็กซ์อัดเข้ากับขอบโต๊ะจัง ๆ ไม่ทันร้องว่าเจ็บก็ลุกพรวดจนเก้าอี้กระแทกโต๊ะข้างหลังซึ่งก็คือระหว่างไมเคิลและอเล็กซิส เขาหมุนตัวเตรียมจะพุ่งเข้ามา ไมเคิลรออยู่แล้วง้างหมัดเตรียมสวน ทว่าสงครามยุติก่อนที่มันจะเริ่ม อเล็กซิสกับเรมีพร้อมใจกันกดเขาไว้กับโต๊ะ ส่วนอาคุสะและฟีบี้ทำแบบเดียวกันกับอเล็กซ์“ตรงนั้นมีอะไรกัน!”“เข้าใจผิดครับ เข้าใจผิด” เรมีตะโกน “พวกนายหยุดเดี๋ยวนี้”ทั้งสองจ้องหน้ากันราวกับเป็นศัตรูมาช้านาน ยิ่งอเล็กซ์ไม่ได้ตัดผมโกนหนวด หน้าตารุงรัง ยิ่งทำให้สีหน้านั้นเอาเรื่องกว่าตอนใบหน้าเกลี้ยงเกลา “บอกให้เขาหยุดสิ” ไมเคิลเถียง เสียงแหบแห้งเพราะน้ำลายติดคอ“นายนั่นแหละที่หยุด” เรมีกดศีรษะเขาลง“เบา ๆ เรมี ไมเคิลนายอยู่นิ่ง ๆ” อเล็กซิสว่า“ฉันไม่ได้เริ่ม!” เขาจ้องหน้าอเล็กซ์เขม็ง“เฮ้ ๆ พวกนาย” เทสซ่ายืนขึ้นเตรียมพ