พอเจสซี่บอกว่าไม่มีอะไรต้องกังวลอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ อเล็กซิสคลายใจลง สุดท้ายเธอสามารถข่มตานอนหลับได้สนิท แม้ต้องนอนบนพื้นที่ทั้งแข็งและเย็นก็ตาม เธอหลับไปไม่นานมากนักและตื่นขึ้นมาพร้อมกับความมั่นใจว่าจะถูกปล่อยตัวในวันนี้ อเล็กซิสเห็นว่ายังมีเพื่อนบางคนที่ยังหลับไม่ลง แม้ทุกคนทราบแล้วว่าเบลินดา คาร์เตอร์ เป็นคนแจ้งความกับตำรวจว่ามีกลุ่มเสี่ยงปะปนอยู่ในงานปาร์ตี้ แต่ใช่ว่าทุกคนจะนิ่งนอนใจว่าขั้นตอนการตัดสินจะดำเนินไปอย่างรวดเร็ว บางคนรู้สึกเฉย ๆ บางคนยังลุกลี้ลุกลน อาจเป็นเพราะกฎหมายฉบับนี้เกี่ยวข้องกับเคสเอชโอวันโดยตรง ทางการจึงมองกลุ่มเสี่ยงและกลุ่มต้องสงสัยเป็นตัวอันตรายต่อสหพันธรัฐ ดังนั้น ถึงแม้ยังไม่มีคำตัดสิน คนที่ถูกจับก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงสายตาของเจ้าหน้าที่ที่มองพวกเขาอย่างจับผิด ทว่าในทางกลับกัน เพราะพวกอเล็กซิสถูกจับกุมตัวอันเนื่องจากมีการแจ้งความเท็จ ถ้าหากกฎหมายเข้มงวดแต่คงไว้ซึ่งหลักยุติธรรม ทางการจะไม่ปฏิบัติกับพวกเขาเหมือนกับอาชญากรแน่นอน อเล็กซิสเชื่อมั่นในความเที่ยงธรรมของกฎหมายและเจสซี่ พี่ชายของตัวเอง
ต้องขอบคุณโชคหรืออะไรก็แล้วแต่ ที่ช่วยให้เธอไม่ต้องอยู่ร่วมห้องขังห้องเดียวกับเวดและเบลินดา ทั้งสองดันถูกขังไว้ด้วยกัน ไม่ต่างจากคุณมิลเลอร์และคุณนายคาร์เตอร์ รุ่นลูกต่างตะโกนเถียงกันอย่างเมามัน พอหยุดพักเหนื่อยก็กลับมาทะเลาะกันใหม่ อเล็กซิสมองเห็นไอร้อนเป็นวงกว้างรอบตัวสองคนนั้น ซึ่งคงร้อนกว่าความร้อนในหน้าร้อนแน่ ๆ เพราะเพื่อน ๆ ต่างถอยห่างออกจากรัศมีของคนทั้งคู่ ปล่อยให้พวกเขาปะทะกันตรงกลาง เวดและเบลินดาไม่เคยเป็นศัตรูกันมาก่อน จนกระทั่งวันนี้
เบลินดาถูกกดดันจากสายตาโกรธเคืองหลังจากที่พ่อแม่ของทุกคนบอกว่าใครเป็นคนทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายนี้ขึ้น พวกเขากล่าวโทษเบลินดาทุกเรื่อง มันอาจจะเป็นเรื่องยากสักหน่อยที่จะเชื่อว่าประธานนักเรียนทำเรื่องพรรค์นี้ ทีแรก อเล็กซิสรู้สึกเฉย ๆ กับพฤติกรรมของเบลินดา แต่หลัง ๆ เริ่มมีน้ำโหตามคนอื่น เพราะเพื่อนคนนี้เอาแต่ยืนกรานว่าเธอทำในสิ่งที่ถูกต้อง บางครั้งพวกคนฉลาดก็อาจทำเรื่องโง่โดยที่ไม่มีใครคาดคิดได้ แต่อเล็กซิสอยากรู้สาเหตุที่แท้จริงมากกว่า ว่าทำไมเบลินดาถึงทำแบบนี้ ซึ่งเธอก็ไม่ยอมรับผิดสักที
เวลาผ่านไป พอเวดกับเบลินดาทะเลาะกันหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงขั้นเกือบลงไม้ลงมือ เพื่อนคนอื่นจำต้องยื่นมือเข้ามาขวางไว้ มิฉะนั้น ทั้งสองอาจจะฆ่ากันตายก่อนที่จะได้รับอิสรภาพก็เป็นได้ หนึ่งชั่วโมงผ่านไป พวกเขาทะเลาะกันใหม่อีกรอบ พฤติกรรมน่ารำคาญวนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่จบไม่สิ้น
ผ่านไปครึ่งวัน พวกตำรวจเริ่มปล่อยตัวเพื่อนบางคนออกจากห้องขัง อย่างน้อยทีมเชียร์ลีดเดอร์ก็ถูกปล่อยยกทีม อเล็กซิสและออสโล่นั่งมองเพื่อนออกจากห้องขังตาปริบ ๆ บางคนร้องไห้ไปด้วยเพราะดีใจจนกลั้นน้ำตาไม่อยู่ พวกอเล็กซิสที่เหลือรอคอยอย่างใจจดใจจ่อว่าเมื่อไรจะถึงตาโดนเรียกบ้าง แต่จวบจนแสดงอาทิตย์หายไปจากช่องหน้าต่างบานเล็กที่อยู่เหนือหัว ความวิตกกังวลที่หายไปแล้วกลับผุดขึ้นมาใหม่และหนักขึ้นกว่าเดิม เพราะมีแต่อเล็กซิส ออสโล่ เวด และ
เบลินดาเท่านั้นที่นั่งคอยคำสั่งปล่อยตัว แม้แต่เวดกับเบลินดายังหยุดทะเลาะกันชั่วคราว ทั้งหมดนั่งจ้องหน้ากัน สับสน เคว้งคว้าง“ทำไมถึงเหลือแต่พวกเรา” ออสโล่ถามขึ้น คิ้วทั้งสองข้างย่นเข้าหากัน ดูเหมือนพยายามใช้ความคิดอย่างหนัก
“มีคนเยอะมั้ง พวกเราอาจจะแค่กลุ่มสุดท้าย” อเล็กซิสพยายามอธิบายสถานการณ์ที่เป็นอยู่
“ทำไมถึงไม่ปล่อยฉันนะ” เบลินดาครวญ
อเล็กซิสเห็นเส้นเลือดบนหน้าผากของเวดกระตุก เธอจึงชวนเขาคุยเพื่อกันไม่ให้ทะเลาะกันอีก “ไม่เป็นไรหรอกน่า เดี๋ยวพวกเขาก็มาเรียกพวกเราเอง”
“มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ พวกเราล้วนเป็นนักเรียนที่เข้าชิงทุนด้วยกันทั้งนั้นนะ” ออสโล่ยังคงตั้งคำถาม และมันค่อนข้างมีเหตุผลให้น่าคิดพอสมควร
“โอ๊ย ไอ้หัวแคร์รอต พวกเราไม่ใช่ผู้ชิงทุนกันแล้ว ต้องขอบคุณยัยนี่” เวดตอบ ไม่วายส่งสายตาเคืองไปที่เด็กสาวข้างกาย
ไม่กี่นาทีต่อมา อเล็กซิสเริ่มที่จะเข้าใจประเด็นของออสโล่มากขึ้น เพราะมันนานเกินไปแล้วจริง ๆ แถมพวกที่ยังอยู่คือหัวกะทิของโรงเรียนทั้งนั้น พวกเขาควรได้รับคำสั่งปล่อยตัวตั้งแต่เช้า หรือพร้อมกับคนอื่นถึงจะถูก นี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลย
“ต้องใช้เวลา ๆ” อเล็กซิสท่อง ไขว้นิ้วสองนิ้วให้กำลังใจตัวเอง
ย่างเข้าช่วงดึก โจเซฟ เจ้าหน้าที่ตำรวจชายคนหนึ่งเรียกให้กลุ่มวัยรุ่นอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่พ่อแม่ของพวกเขาจัดมาให้ ทั้งหมดตกใจกันถ้วนหน้า วัยรุ่นทั้งสี่ขอร้องให้นายตำรวจตอบว่าเพราะเหตุใดพวกเขาจึงอยู่ในห้องขัง
“ทำไมพวกคุณไม่ปล่อยพวกเราคะ”
“มีอะไรผิดปกติหรือเปล่าคะ”
“ได้โปรดเถอะ ผมอยู่นานกว่านี้ไม่ได้แล้วนะ”
“ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะ
“พวกเธอ...ใจเย็นก่อน เราพบว่าข้อมูลของพวกคุณผิดปกติ จริง ๆ แล้ว ผมก็ไม่มีหน้าที่จะมาอธิบายหรอกนะ ดังนั้น ต่อไปนี้อย่าถามอะไรให้มากความอีก ตามมาเงียบ ๆ ก็แล้วกัน” ตำรวจหนุ่มคนนี้ดูเย็นชากว่าทุกคน
“เย็นชาชะมัด” อดีตหัวหน้าทีมฟุตบอลพึมพำ
ออสโล่กับอเล็กซิสมองตากัน เห็นความสับสนในใจคนทั้งคู่ เธอนึกถึงคำแนะนำของเจสซี่ให้ทำตัวเรียบร้อยเข้าไว้ ดังนั้น เธอจึงยอมเชื่อฟังแต่โดยดีและบอกให้ทุกคนทำตาม พวกเด็กผู้หญิงถูกพาไปอาบน้ำฝั่งผู้หญิง ห้องอาบน้ำจะแยกเป็นห้องเล็ก ๆ เหมือนกับห้องอาบน้ำในโรงยิมของโรงเรียน แต่สัดส่วนเล็กกว่ามาก พวกเธอได้รับอนุญาตให้สวมชุดที่พ่อแม่เตรียมมาให้ และเพราะมันไม่ใช่ชุดนักโทษ อเล็กซิสเลยสบายใจขึ้นมาหน่อย
เจสซี่ ฉันยังเชื่อใจพี่ได้ใช่ไหม
มันเป็นการอาบน้ำที่ยาวนานที่สุดเท่าที่อเล็กซิสเคยเจอ การที่ต้องมาอยู่กับเบลินดาสองต่อสองไม่ต่างจากนั่งแช่ก้นลงบนก้อนน้ำแข็งขนาดเท่าภูเขา ในฐานะเพื่อนที่รู้จักกันอย่างผิวเผิน แต่เดิมทั้งอเล็กซิสและเบลินดาปฏิบัติต่อกันปกติ ยิ้มแย้มแจ่มใส ทักทายแล้วแต่โอกาส แต่ตอนนี้
เบลินดากลับทำท่าเย็นชาใส่ราวกับเป็นศัตรูกันมาชาติกว่า ถึงกระนั้น ความเปลี่ยนแปลงของอดีตประธานนักเรียนไม่ได้ทำให้อเล็กซิสหัวเสียเท่ากับใบหน้าที่ปราศจากความรู้สึกผิด เบลินดาเชื่อว่าเธอทำถูก แม้แต่พูดโกหกออกไปจนทุกคนเดือดร้อน มันน่าโมโหที่ต้องอยู่กับคนประเภทนี้ พวกที่ชอบโทษคนอื่นแต่ไม่โทษตัวเอง เกลียดทุกสิ่งแต่ลืมแก้ทัศนคติของตัวเองตอนแรกก็จูน ตอนนี้มาเจอเบลินดาอีก...อเล็กซิสถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายที่เจอกับปัญหาไม่รู้จบ
เธอมั่นใจว่าครอบครัวของเด็กทั้งหมดจะต้องมาเยี่ยมและหวังว่าจะพาพวกเขากลับบ้านได้ในวันนี้ แต่เพราะยังไม่มีคำสั่งปล่อยตัว พ่อแม่ของแต่ละคนคงนั่งรออยู่สักที่ไหนสักแห่งในสถานีตำรวจ หรือไม่ก็นั่งหน้าเศร้ารอคอยข่าวดีอยู่ที่บ้าน
“พวกนายคิดว่าพวกเราจะได้ออกไปไหม” ออสโล่ถามเมื่อทั้งหมดกลับมานั่งในห้องขัง พร้อมกับเนื้อตัวหอมสะอาดสะอ้าน เวลานี้เด็กวัยรุ่นที่เหลือถูกนำมาขังในห้องเดียวกัน ห้องขังห้องอื่นจึงโล่ง ว่างเปล่า เพราะซานโบซ่าเป็นเมืองที่สงบและมีอัตราการเกิดอาชญากรรมเพียงแค่ 0.02 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น พอเหลือผู้ต้องขังอยู่เพียงสี่คน บรรยากาศจึงเงียบลงทันตา
“ฉันไม่รู้สึกแบบนั้นแล้วสิ” อเล็กซิสยอมรับว่าความเชื่อมั่นที่มีต่อคำพูดเจสซี่ลดลงทุกวินาที ยิ่งเมื่อเห็นเข็มนาฬิกาขยับไปเรื่อย ๆ ความหวังของเธอเริ่มหมดลง เธอต้องการแค่ความยุติธรรม แต่ความหวังที่ไร้ซึ่งแสงสว่างก็ไม่ต่างอะไรจากความสิ้นหวัง
“เราต้องได้ออกสิ บางทีอาจต้องใช้เวลาตรวจสอบว่าเราบริสุทธิ์ วิดีโอที่ฉันถ่ายก็เป็นมายากลธรรมดา ทุกคนก็รู้ดีอยู่แล้วว่ายัยสารเลวข้าง ๆ ฉันเนี่ย แจ้งความเท็จ”
เบลินดาเหลือบมองเวดตาขวาง อเล็กซิสพยายามไม่มองหน้า เพราะรำคาญท่าทางที่อีกฝ่ายเชิดหน้าทำราวกับว่าเป็นผู้ถูกกระทำ มันทำให้อเล็กซิสยิ่งรู้สึกโกรธ
“เจ้าหน้าที่คนนั้นบอกว่าข้อมูลของพวกเราผิดปกติ” ออสโล่ทบทวนสิ่งที่ตัวเองได้ยินให้ทุกคนฟัง “แต่ว่า ไอ้ความผิดปกติที่ว่าคืออะไร อันนี้แหละที่ฉันคิดไม่ออก”
ทุกคนนั่งเงียบ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองกันแน่
“ถ้าเกิด...ถ้าเกิดพวกเราไม่ได้ออกไปล่ะ”
กลุ่มกบฏบางกลุ่มต้องการทำลายนิวโฮป จึงไม่ใช่ทุกกลุ่มที่ยินดีอ้าแขนต้อนรับพวกเขา และข้อสำคัญคือ พวกเขาจะติดต่อคนเหล่านี้ได้อย่างไร จะรู้ได้อย่างไรว่ากลุ่มไหนตอบโจทย์ที่พวกเขาต้องการไม่มีใครตอบได้ แม้แต่บลูก็จนแต้ม เขาเพียงแค่อยากอยู่ที่นี่ ใกล้กับหลุมศพน้องชาย“ไมเคิล ฉันว่าไม่ปกตินะ” จอห์นปลุกสติของเขาอีกครั้งสายฟ้าของอเล็กซ์ฟาดซัดต้นไม้แถบนั้นเป็นจุณทีเดียวนับสิบต้น ขณะเดียวกันกระแสไฟฟ้าแล่นเป็นวงรอบตัวเขา อาคุสะเริ่มตื่นตัว ออร่าสีเขียวและเหลืองแผ่ออกไป“อเล็กซิส ถอยออกไป!” เป็นอเล็กซ์ที่ตะโกนเตือนแฟนสาว “ฉันคุมมันไม่ได้!”“แย่ละ” ไมเคิลกับจอห์นวิ่งเข้าไปอเล็กซิสควบคุมมวลน้ำเพื่อดับไฟ แต่กระแสไฟฟ้าของคนรักยังแล่นออกมาเรื่อย ๆ จนเธอเริ่มหาที่หลบไม่ได้ เขาหาทางจะเข้าไปช่วยฝาแฝด ตอนนี้แทบมองไม่เห็นอเล็กซ์เพราะมีแต่กระแสไฟฟ้าพัวพันรอบตัวเทสซ่าหวีดร้องขึ้นมา เธอกับอาคุสะจับมือกันแน่น พื้นดินบริเวณนั้นสั่นสะเทือน เขาสบตากับจอห์น ใช่ แผ่นดินไหว แต่...ฝีมือธรรมชาติหรือสัญชาตญ
ทุกคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ที่แท้นาฮีมานาไม่ได้คิดจะให้พวกเขากลับนิวโฮปแต่แรก ไมเคิลหันไปมองพวกเพื่อน ๆ เทสซ่านั้นคิ้วขมวดจนเป็นปม เธอนั่งกอดอกหลังตรงแล้วเม้มปากแน่น หากแต่ไหล่สั่น ขณะที่คนอื่นถกเถียงกัน อเล็กซิสก็นั่งเท้าคางใช้ความคิด ไมเคิลสัมผัสความรู้สึกร่วมของคนในนี้ได้อย่างหนึ่ง นั่นคือความเศร้าเมื่อรู้ว่าจะไม่ได้กลับบ้าน หรืออาจจะไม่มีวันได้กลับ“ถ้าหาก...ถ้าหากเราทำให้เมเคอร์เข้าใจได้ว่าพวกเราไม่เป็นภัย พวกเราเป็นชาวนิวโฮป อยากปกป้องบ้านเหมือนกัน ถ้าเราทำให้เขาเห็นจุดยืนของพวกเราว่าไม่ได้เป็นภัยต่อไลบราเรีย ต่อโลก...” ไมเคิลเลิกคิ้ว เพราะเทสซ่าพูดเหมือนอเล็กซิสเปี๊ยบ“ฉันคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยเทสซ่า เมเคอร์ไม่มีวันให้กองกำลังกับพวกเธอแน่”“ฉันไม่ได้หมายถึงกองกำลัง ฉันหมายถึงตัวพวกเราเอง ถ้าเขามองว่าพวกเราเป็นภัย ทำไมไม่มองว่าพวกเราเป็นอาวุธให้พวกเขาได้”“เทสซ่าพูดถูก” เซนว่า “ทหารสามคนนั้นก็เป็นกลุ่มเสี่ยง”“ลูเซียนบอกว่าเพราะพวกเขาเป็นชาวไลบราเรียนอยู่ก่อนแล้ว ทั้งยังถ
มีเพียงสิ่งลมเขย่ากิ่งไม้ไปมา แสงสีแดงริบหรี่จนแทบเลือนหายไป ความมืดย่างกรายแทนที่ แต่ดวงตาสีน้ำเงินของอเล็กซิสกลับสว่างไสว ช่างเหมือนกับดวงตาคู่นั้นที่คอยจ้องเขายามค่ำคืน ไมเคิลในวัยเด็กมีอาการตื่นตระหนกบ่อยครั้ง และลูก้าเป็นคนปลอบเขา ถึงแม้เขาไม่เคยล่วงรู้เรื่องแฝดอีกคน แต่เพราะดวงตาของเธอเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาอยากอยู่ใกล้เธอ ในยามนี้เขาอ่านความคิดเธอออก ผ่านแววตาและสีหน้า ทั้งคู่ไม่คิดว่าลูเซียนโกหก อย่างไรก็ตามยังคิดว่าอีกฝ่ายบอกไม่หมด ความปรารถนาดีมีบางอย่างเคลือบแฝง ผลงานของลูเซียนคือเครื่องมือที่ฆ่าโนเอลและเบน เขาไม่มีวันให้อภัย เพียงแต่ว่า พวกเขาจะต้องชั่งใจให้ได้ว่าการเชื่อฟังลูเซียนจะเป็นประโยชน์มากกว่าเพิกเฉยหรือไม่เขารู้ว่าอเล็กซิสเสียใจ เธอบอกน้องชายคนนี้เสมอว่านิวโฮปจะเป็นบ้านใหม่ของพวกเขา“อเล็กซิส ไมเคิล” หญิงสาวผมสีดำเรียกสติฝาแฝดทั้งสอง “กลับกันเถอะ มืดแล้ว”“เดี๋ยว...” เขาชะลอเธอรอฟัง แต่เป็นพี่สาวของเขาที่พูด“ถ้าคุณอยากให้พวกเราคล้อยตามลูเซียน คุณต้องบอกมาให้หมดว่าคุณกับเขารู้จักกัน
ดวงตาสีแดงกลอกไปมาราวกับดูแคลนคำพูดของพวกเขา “ผมหวังดี ที่พวกเขากลับไปไม่ใช่เพราะถอย แต่จะกลับมาอีกครั้งพร้อมกับกองทหารและอาวุธมากมาย เมเคอร์ไม่ปล่อยพวกคุณแน่นอน เขาไม่อยากยืดเยื้อ และคราวนี้ได้คงใช้วิธีดึงอาร์คาเดียมาช่วย ทั้งนิวโฮปก็เจอปัญหา ดังนั้นถ้ากำจัดพวกคุณได้เร็วเท่าไร ฝ่ายทหารจะโฟกัสกลับนิวโฮปได้ดีขึ้น”“เกิดอะไรกับนิวโฮป” อเล็กซิสซักทันที “เมเคอร์...เจ้าชายเมเคอร์ใช่ไหม ที่คุณว่า”ลูเซียนพยักหน้า “ใช่ ตำแหน่งเขาสูงกว่าผม ถ้าคุณสังเกตคำนำหน้า ผมเป็นลอร์ด เขาถือตำแหน่งเจ้าชาย เมเคอร์ต้องการทำลายกลุ่มเสี่ยง เขาเห็นว่าพวกคุณเป็นภัย” ชายอัลบิโนขยับตัว มีภาพยานสงครามฝูงหนึ่งปรากฏขึ้น เขาชี้ไปที่รูปพวกนี้ “นี่คือสิ่งที่พวกคุณจะเจอ ในดิสก์แผ่นนี้ ผมมอบโลเคชันให้พวกคุณหนีไปหลบภัย รับรองว่าไม่มีใครเข้าไปยุ่งกับที่นี่ได้ เมื่อสถานการณ์ในนิวโฮปดีขึ้น ผมจะหาทางทำให้เมเคอร์เปลี่ยนใจ”“คุณมีพลังจิตไม่ใช่หรือ คุณควบคุมจิตใจเขาได้...” อเล็กซิสว่า“ถ้าผมทำได้ผมทำไปนานแล้ว” แต่สาย
แดดสนธยาส่องผ่านร่มไม้จนเกิดลำแสงสีทองเป็นริ้ว คนสามคนเดินย่ำเท้าไปตามใบไม้แห้ง ลมเย็นโชยสลับผสานกับลมร้อนในตอนกลางวัน เวลากำลังผลัดเปลี่ยนเข้าสู่ช่วงกลางคืน“คุณแน่ใจใช่ไหมว่าไม่ใช่กับดัก” อเล็กซิสถามยายแม่มด (และพักนี้ไมเคิลมักใช้คำนี้บ่อย เพราะไอ้นิสัยชอบรู้เรื่องมากมายแต่ไม่ยอมเล่าให้หมดของนาฮีมานาทำให้เขารำคาญ) “เราจับโดรนสอดแนมมาได้สามวัน แล้ววันนี้เขาก็เรียกแค่พวกเราแค่สามคน ทำไมต้องเป็นคุณ ทำไมต้องเป็นพวกเรา”“เขาไม่ชอบคนเยอะ อาจเป็นเพราะพวกเธอเห็นหน้าเขาแล้วมั้ง แต่ฉันเชื่อว่ามันเป็นจุดประสงค์ดี”เธอมั่นใจอะไรในตัวคนคนนี้กัน คนที่สามารถแฝงตัวอยู่ในกลุ่มเมื่อไรก็ได้เพียงแค่ควบคุมสมองไม่ให้มองเห็น สามารถปรับเปลี่ยนความคิดใครก็ได้ แล้วจะเชื่อใจนาฮีมานาได้อย่างไร ไมเคิลสงสัยนัก“ผมไม่คิดอย่างนั้นนะ” เขาโพล่ง “ลูเซียนเป็นหัวหน้าทีมวิจัย คุณรู้หรือเปล่าว่าพวกเราผ่านอะไรมาบ้างกับงานของทีมวิจัย เราต้องเสียอะไรบ้างกับงานของเขา”“ฉันรู้ดี” นาฮีมานาตอบโดยไม่หันมามอง เ
เช้าวันต่อมา บอร์ญ่ายังคงเป็นคนมาเสิร์ฟอาหาร และบราวน์ไม่เข้ามาอีกเลย เขานั่งนับวันตั้งแต่โดนจับจึงนึกได้ว่านี่คือวันศุกร์ เจ้าของบ้านคงออกไปทำงาน ดังนั้นทั้งวัน เขาเอาแต่ทบทวนสิ่งที่ชายคนนั้นบอก“ตัวตนที่ยังหลงเหลือ” เจสซี่ไม่มีความรู้เรื่องสมองของมนุษย์ คงจะดีกว่านี้ถ้าเขาโทรหาไบรซ์หรือคาเลบได้ ความทรงจำของมนุษย์ถูกลบได้หรือเปล่า สมองของมนุษย์ทำงานอย่างไร“ไลบราเรียน...เอไลโต” เขาท่อง “ฟุตบอล ออสโล่”เมื่อถึงมื้ออาหารเย็น แคดมันเดินเข้ามา อาหารเย็นวันนี้มีเพียงแซนด์วิชกับน้ำเปล่า และช็อกโกแลตบาร์สองแท่ง เมื่ออีกฝ่ายวางถาด เขาเอื้อมไปจับข้อมือ“เวด”แคดมันสะบัดออกจนน้ำหกกระจาย ดวงตาที่มีสีฮาเซลอ่อนกว่าจ้องกลับมา แววตาคู่นี้ขึงขังดุดันและพร้อมจะเอาเรื่องได้ตลอดเวลา“นายจำอเล็กซิสได้ไหม”“หุบปาก”“ออสโล่ เด็กหนุ่มผมสีแดงใบหน้าตกกระ เกิดอะไรขึ้นกับเขา”“หุบปาก!”“ซานโบซ่า!”มือข้างขว