แต่พออเล็กซิสเดินออกมาจากห้อง กลับเห็นเอโลดี้กำลังนั่งหัวเราะร่วนอยู่กับเจสซี่และชาร์ลี พวกเขาควรออกไปได้แล้ว แต่ดูเหมือนว่าคงคุยติดลมกันสนุก บางครั้งอเล็กซิสอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเจสซี่ชอบผู้หญิง เอโลดี้คงเป็นคนแรกที่เขาชอบ เพราะว่าทั้งสองเข้ากันได้ดีมาก เจสซี่ชอบและเอ็นดูเอโลดี้ไม่ต่างจากน้องสาวอีกคนเลยทีเดียว
แต่ว่า ก็แค่น้องสาวอีกคน
“โทษทีที่ให้รอนะ” อเล็กซิสแทรก
ชาร์ลีกระโดดลิงโลดเหมือนรอโอกาสนี้มานานแล้ว “เย่ เราออกไปได้แล้วใช่ไหมครับ แล้วพี่ไบรซ์ล่ะครับ”
อเล็กซิสทำหน้าเศร้า “ไบรซ์ไม่ยอมพักอ่านหนังสือเลยอะเจ้าลิง เหลือแต่พวกเรานี่แหละ และอาจจะมีเดวี่อีกคนแทนนะ แต่ว่าทำไมถึงยังนั่งกันอยู่ล่ะ”
เอโลดี้ลุกขึ้น “อ้อ ฉันลืมบอกเธอไปว่า ฉันไปกับเธอนะอเล็กซ์”
เด็กสาวในเสื้อยืดสีขาวจ้องเขม็งไปที่เพื่อน ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง เพราะเธออยากไปหาเดวี่ที่บ้านเพียงลำพังมากกว่ามีเพื่อนติดสอยห้อยตามไปด้วย
ไม่ได้ตกลงกันไว้อย่างนี้นี่นา
เอโลดี้จ้องกลับด้วยดวงตาสีน้ำตาลเข้มแฝงข้อความเป็นนัยว่า “เออออกับฉันเหอะน่า”
เจสซี่มองสลับระหว่างอเล็กซิสกับเอโลดี้ ไม่เข้าใจว่าพวกผู้หญิงเล่นอะไรกัน
“สรุปแล้วยังไงครับ คุณสุภาพสตรีทั้งสอง” เจสซี่ถาม
“โอเค ตามนั้น” อเล็กซิสสรุป เจสซี่ยังคงสงสัยแต่จับมือชาร์ลีเดินออกจากบ้านไปแต่โดยดี มีอเล็กซิสและเอโลดี้เดินตามเหมือนลูกเป็ด เพื่อนของเธอขี่จักรยานมาเอง ส่วนชาร์ลีนั่งซ้อนท้ายเจสซี่ และอเล็กซิสใช้จักรยานอีกคัน
“ฉันคิดว่าเธออยากไปกับเขาซะอีก” อเล็กซิสพูดขึ้นเมื่อพี่ชายและน้องชายขี่จักรยานออกไปแล้ว
เด็กสาวร่างเล็กยิ้มเหนื่อยอ่อน “อเล็กซ์ เขาไม่ชอบฉันเลยสักนิด ให้ตายเถอะ ก็แค่เห็นเป็นเพื่อนน้องสาว ก็ดีอยู่หรอกนะที่ได้อยู่กับเขา แต่มันเจ็บด้วยเวลาเขาเอาแต่พูดถึงโจชัว แถมชอบพูดให้ฟังจังเลย งี่เง่าชะมัด” เอโลดี้หุบปาก เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “โทษนะ ฉันลืมไปว่าเธอคงอยากย่องเข้าห้องเดวี่คนเดียว จะได้กระซิบข้างหูของเขา ปลุกเขาด้วยเสียงหวาน ๆ ของเธอ “ตื่นสิคะที่รัก” จากนั้นเขาจะลุกขึ้นจากที่นอนพร้อมกับท่อนบนอันเปลือยเปล่า เดวี่คงใส่แค่กางเกงบ็อกเซอร์ตัวเดียวเวลานอน ใช่ไหมล่ะ”
เด็กสาวผมสีน้ำตาลทำเสียงไม่พอใจที่เพื่อนแหย่
“เซออออร์ไพรส์ไหมที่รัก จุ๊บ ๆ” เอโลดี้หัวเราะ ชอบใจที่ได้แกล้งเพื่อน “เอ หรือมากกว่าจูบกันแน่น้า”
“เงียบน่า” อเล็กซิสรีบเดินไปเอาจักรยาน หน้าแดงก่ำ “ถ้าเธอไม่หยุด ฉันจะบอกเจสซี่ว่าเธอรู้สึกยังไงกับเขา”
อเล็กซิสยิ้มเช่นคนที่กำชัยชนะไว้ในมือ เอโลดี้ตีแขนอเล็กซิสแล้วรีบไปเอาจักรยานของตัวเอง หน้าแดงหูแดงพอกัน
“เอ้อ เกือบลืมเลย” อเล็กซิสมอบพาเลทลิปสติกให้กับเพื่อน
“ว้าว อะไรเนี่ย” เอโลดี้ทำตาโต “เพื่อนรัก รักเธอจริง ๆ” เด็กสาวกอดคออเล็กซิส “ได้มาฟรีเหรอ นี่ฉันชักอยากจะทำงานแบบเธอบ้างแล้วนะ”
“ไม่ใช่ของฟรีแน่นอน คิดว่าฉันดังขนาดนั้นเลยเหรอ ได้ส่วนลดจากรุ่นพี่น่ะ ส่วนน้ำหอมอันนี้ของจูน” อเล็กซิสอวดขวดสีชมพูทรงสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนให้ดู “แอบเห็นว่าจูนอยากได้” เอโลดี้ปิดปากเงียบเมื่อเธอพูดถึงชื่อศัตรู
“ชวนจูนมาด้วยเหรอ”
“เปล่า ฉันไม่อยากนั่งอยู่ท่ามกลางสงครามเย็นระหว่างพวกเธอสองคนหรอกนะ แค่คิดว่าจะเอาไปให้จูนที่บ้านเย็นนี้ แน่นอนว่าไม่ชวนเธอไปด้วยอยู่แล้ว ไม่เอาน่า อย่าทำหน้ามุ่ยสิ พวกเราเรียนจบกันแล้วนะ เอดี้”
“แล้วไง จูนเกลียดฉัน ฉันก็เกลียดจูน ไม่มีอะไรห้ามความรู้สึกนี้ได้หรอกน่า”
“ตกลง ๆ ไม่พูดแล้ว” อเล็กซิสยอมแพ้ ไม่กล้าหยิบยกอะไรที่เกี่ยวกับเพื่อนอีกคนมาพูดให้เอโลดี้ระคายหูอีก ทั้งสองจะได้ขี่จักรยานไปบ้านเดวี่โดยไม่ต้องเถียงกันระหว่างทาง
บ้านของเดวี่ตั้งอยู่บนถนนที่อยู่ทางทิศใต้ของเมือง ตัวบ้านค่อนข้างใหญ่กว่าบ้านของพวกเดวิสประมาณหนึ่ง เมื่อเด็กสาวทั้งสองคนมาถึง ก็เห็นว่าไม่มีใครอยู่บ้านนอกจากเจ้าตัวเพราะยังเห็นจักรยานของเขาจอดอยู่ แต่รถของคุณและคุณนายมอนเทสหายไป แสดงว่าพ่อแม่ของเขาไม่อยู่บ้าน ซึ่งเป็นปกติเพราะเป็นวันทำงานของพวกผู้ใหญ่
“เขาอยู่บ้านนี่นา ทำไมไม่รับโทรศัพท์นะ” อเล็กซิสพึมพำกับตัวเอง
“นอนติดเตียงอยู่มั้ง” เอโลดี้ว่า ได้ยินที่เพื่อนบ่น “เดวี่นอนกรนหรือเปล่า”
อเล็กซิสทำเป็นไม่ได้ยินคำถามของเพื่อน แต่เมื่อเธอมองไปเรื่อย ๆ สายตากลับสะดุดอยู่ที่จักรยานปริศนาคันหนึ่งที่จอดอยู่ใกล้โรงรถ จักรยานทาสีส้ม สีโปรดของจูน
ไม่หรอก ไม่ใช่แค่สีโปรด แต่เป็นจักรยานของจูนเลยต่างหาก
เอโลดี้มองตามเพื่อน พอเห็นก็พูดขึ้นมาว่า “จริง ๆ แล้ว ฉันก็อยากจะบอกกับเธอเรื่องนื้มาสักพัก แต่เพราะฉันไม่มีหลักฐาน...”
อเล็กซิสจ้องเข้าไปในดวงตาเพื่อนสนิท เข้าใจแจ่มแจ้งว่าเอโลดี้หมายถึงอะไร จากนั้นสั่นหัวปฏิเสธข้อสงสัยนั้น เดวี่เป็นรักแรกของเธอและจะเป็นรักสุดท้าย พวกเขาคบกันมาหนึ่งปีและความสัมพันธ์ก็ดำเนินไปได้ดี เขาไม่มีนิสัยเจ้าชู้ และที่สำคัญ จูนเป็นเพื่อนสนิทของเธอด้วย แค่นี้ก็คงไม่มีอะไรน่าสงสัยแล้ว
“พวกเขาเป็นเพื่อนกัน เหมือนเธอกับเขาไง เข้าบ้านเถอะ...” เอโลดี้ดึงมือเธอไว้แล้วกระซิบว่า “อย่าทำเสียงดังดีกว่า อย่าโกหกตัวเองเลยนะอเล็กซ์ ทำไมจูนถึงอยู่กับแฟนของเธอในเวลาที่พ่อแม่ของเขาไม่อยู่บ้าน แล้วพวกเขาคิดว่าเธอไม่อยู่ในเมืองเล่า”
“จูนเป็นเพื่อนพวกเรานะ เพื่อนสนิทของพวกเรานะ” อเล็กซิสพยายามปฏิเสธข้อสงสัยของเอโลดี้ “เธอก็สนิทกับเขาเหมือนกัน น่าจะรู้ว่าเขาไม่ใช่คนแบบนั้น” เด็กสาวไม่รู้ตัวเลยว่าเน้นคำทุกคำเพื่อบังคับให้เชื่อคำพูดของตัวเอง หัวใจของเธอเต้นแรงจนเหมือนมันอยากจะดิ้นหลุดออกมาจากอก
“ให้ฉันแก้คำพูดเธอก่อนนะอเล็กซ์ อย่างแรก จูนเป็นเพื่อนสนิทของเธอ ไม่ใช่ของฉัน และตั้งแต่เธอเข้าสังกัดโมเดลลิ่ง ฉันไม่แน่ใจเท่าไรนะจ๊ะ และสอง เดวี่ก็เป็นเพียงเด็กผู้ชายคนหนึ่ง” เอโลดี้ยังให้เหตุผลต่อ “เธอก็น่าจะรู้ดีนะ ปกติแล้วไม่มีใครอยู่กับแฟนของเพื่อนสนิทในบ้านของเขา ทั้งเวลาที่พ่อแม่ของเขาอยู่บ้านหรือไม่อยู่ก็ตาม”
“พวกเขาคุยกันอยู่มั้ง” อเล็กซิสพยายามหาข้อแก้ตัวให้คนทั้งคู่ แต่ยิ่งพูด ตัวเธอกลับยิ่งดูโง่เหมือนหยิบเขามาสวมด้วยตัวเองซะอย่างนั้น
เอโลดี้กลอกตา “ฉันเกลียดไอ้นิสัยโลกสวยแบบเว่อร์ ๆ ของเธอจริง ๆ เธอพยายามจะปฏิเสธความจริงใช่ไหมล่ะ ใช่ไหม”
ประโยคนี้คุ้น ๆ เหมือนเจสซี่เคยบอกกับเธอเลย
“ไม่ใช่สักหน่อย! ฉันก็แค่...”
“ชู่ววว เบาสิ ก็ได้ ๆ เธอไม่ได้โลกสวยเกินไป แต่เธอกำลังโกหกตัวเองอยู่ ฉันรู้นะว่า ลึก ๆ เธอเห็นด้วยกับฉัน”
อเล็กซิสยอมรับว่าเธอหมดความกล้าที่จะเข้าไปในบ้านหลังนี้ ในใจครึ่งหนึ่งก็คิดตามข้อสงสัยของเอโลดี้ แต่อีกครึ่งก็พยายามที่จะไม่คิดให้เสียใจ เพราะแค่สงสัยยังทำให้เธอเจ็บปวดได้ขนาดนี้ ราวกับมีเข็มด้ามเล็กนับร้อยที่มองไม่เห็นทิ่มแทงใจอยู่
“เราจะไม่เคาะประตู” เด็กสาวร่างเล็กลองง้างหน้าต่าง “ไม่ล็อกแฮะ” เธอเปิดออกแล้วพยายามปีนเข้าไปข้างใน
“ช่วยฉันทีสิยะ” เอโลดี้เร่งอเล็กซิส
พวกเธอแทบจะเดินย่องกันอยู่แล้ว แต่เพราะเดวี่ไม่ได้อยู่ข้างล่าง จึงง่ายที่จะย่องขึ้นข้างบนต่อไปโดยที่ไม่จำเป็นต้องระวังตัวมากมาย ยิ่งเดินเข้าใกล้ห้องของเดวี่เท่าไร อเล็กซิสยิ่งใจเต้นระทึก ตรรกะของเอโลดี้นั้นฟังดูมีเหตุผลใช้ได้เลยทีเดียว แต่เธอขอให้มันผิดเถอะ
เอโลดี้ค่อย ๆ บิดลูกบิดประตู มันไม่ได้ล็อกเหมือนกับประตูข้างล่าง ทันทีที่เพื่อนสาวผลักประตูเปิดออก วินาทีนั้นหัวใจของอเล็กซิสหยุดเต้นลงทันที เธอดีใจที่เอโลดี้มากับเธอแทนที่จะไปกับเจสซี่ เพราะมิฉะนั้น เธอจะต้องเห็นภาพนี้คนเดียว
จูนกับเดวี่นอนอยู่ด้วยกันอย่างที่เอโลดี้คาดการณ์ไว้ทุกประการ นอนบนเตียงเดียวกัน ใต้ผ้าห่มเดียวกัน กอดก่ายและเปลือยเปล่าด้วยกันทั้งคู่ เสื้อผ้าของพวกเขากระจัดกระจาย ทั้งสองคงผ่านค่ำคืนที่สนุกสุดเหวี่ยงเชียวล่ะ
ถ้วยรางวัลลอยลิ่วไปทางคนทั้งสองแล้วตกลงที่ท้องของเดวี่พอดิบพอดี ไม่ใช่ฝีมือของอเล็กซิสหรอก แต่เป็นฝีมือของเอโลดี้ต่างหาก เด็กสาวผมสีเข้มตะโกนด่าทอคนทั้งสองอย่างบ้าคลั่ง “เห็นไหมล่ะ ฉันบอกเธอแล้ว เดฟ นายมันอุบาทว์ที่สุด ส่วนเธอ ยัยผู้หญิงสกปรก!”
พวกเขาตะลึงตะลาน ทั้งตื่นจากนิทราและตกใจในคราวเดียวกัน อเล็กซิสไม่รู้ว่าเธอควรจะรู้สึกอย่างไรในตอนนี้ เธอควรโกรธ หึง กรีดร้องจนเป็นบ้า หรือ ร้องไห้แสดงความผิดหวัง สิ่งเดียวที่เธอรู้สึกคือความว่างเปล่าในอกราวกับหัวใจของเธอหายไปเดี๋ยวนั้น
นึกว่าเรารักกันเสียอีก
คนสำคัญสองคนในชีวิตของเธอกลับหักหลังเธอด้วยวิธีการที่แย่ที่สุด บางครั้งความว่างเปล่าคือความเจ็บปวดที่เลวร้ายขั้นสุด ฉากตรงหน้าทำเอาอเล็กซิสพูดไม่ออก
พวกเขาทำแบบนี้ได้ยังไงกัน
“อเล็กซ์-ฟะ-ฟัง-ฉะ-ฉันนะ” เดวี่รีบดึงผ้าห่มมาคลุมตัว ดังนั้นจูนจึงต้องรีบกระโจนไปที่เสื้อผ้าของเธอเพื่อปกปิดร่างกายตัวเอง ดวงตาสีฮาเซลที่แสนหวานซึ้งของเดวี่คลอไปด้วยน้ำตาที่ออกมาจากความรู้สึกผิดเมื่อโดนจับได้ “ฉะ-ฉัน อธิบายได้” เสียงแหบเสน่ห์ของเขาตอนนี้กลับฟังแล้วเหมือนมีเสลดติดคอ ปากของเขาสั่นราวกับเป็นอาชญากรที่ถูกตำรวจอย่างอเล็กซิสบุกเข้าจับกุม ท่อนอกแน่นเปลือยเปล่ากลับเต็มไปด้วยรอยลิปสติกสีแดงของจูน แล้วยังมีรอยช้ำมากมาย อเล็กซิสพอจินตนาการออกว่าเขาได้มาอย่างไร เธอมองรอยลิปสติกบนใบหน้าของเขา พยายามยึดมือตัวเองไว้กับตัวเพื่อไม่ให้มันฝากรอยมือไว้บนหน้าหล่อ ๆ นั้นน้ำตาค่อย ๆ ไหลอาบแก้ม เหมือนทุกอย่างช้าลงแม้แต่ระบบความคิดในหัว อเล็กซิสพยายามไม่ร้องไห้ออกมา แต่ดูเหมือนเขื่อนในลูกตาจะแตกออกเสียแล้ว พวกเขาทำแบบนี้ได้ยังไง แล้วทำไมมันเจ็บปวดถึงขนาดนี้ อเล็กซิสเคยคิดว่าชีวิตของเธอมาถึงจุดสูงสุด และจะดีกว่านี้ต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเดวี่ทำลายความรู้สึกนั้นลงอย่างย่อยยับชีวิตที่เกือบสมบูรณ์ ใช่สิ มันแค่เกือบนี่นา ตาของอเล็กซิสกับจูนสบกันจนได้ ไม่มีน้ำตา ไม่มีความรู้สึกผิด ไม่มีคำขอโทษอย
“อิจฉาฉันเหรอ” อเล็กซิสแทบไม่อยากเชื่อ ก็ในเมื่อเพื่อนของเธอเกิดมาพร้อมกับรูปลักษณ์และฐานะที่ดีโดยไม่ต้องพยายามเลย“ฉันไม่ได้อิจฉา” จูนระเบิดออกมา “อเล็กซ์ เธอแยกตัวออกจากฉันเอง เธอเลือกนังนั่น ครอบครัวของเธอก็รักเอดี้มากกว่าฉัน เธอไม่ใช่เพื่อนของฉันอีกต่อไปแล้ว”“ฉันไม่เคยเลือกเพื่อนเลยสักคน พวกเธอคือเพื่อนของฉัน ฉันรักพวกเธอเหมือนกัน จูน ทำไมเธอไม่พูดกับฉันตรง ๆ ล่ะ ทำไม ฉันทำผิดขนาดนั้นเลยเหรอ” อเล็กซิสถาม แต่เสียงของเธอกลับเหมือนตะโกนดังขึ้นเรื่อย ๆ “เพราะว่าไอ้มงกุฎพลาสติกนั่นใช่ไหม ตอบเซ่!”“ไม่เกี่ยวกับงานพรอม เธอทิ้งฉันและได้ทุกอย่างไปเลยนี่นา!” จูนตะโกนกลับ“ฉันไม่เคยทิ้งเธอเลย!” อเล็กซิสโยนขวดน้ำหอมลงบนเตียงเดวี่ “นี่ใช่น้ำหอมที่เธออยากได้หรือเปล่า แล้วอะไรอีก อะไรที่ฉันเอาไป นี่คือวิธีแก้แค้นของเธอเหรอ ด้วยการนอนกับเขา นี่คือวิธีการเอาคืนสิ่งที่เธออ้างว่าฉันขโมยมางั้นสิ พูดสิ!”“อย่าคาดคั้นอีกเลยอเล็กซ์ ก็แค่คนขี้อิจฉา เธอควรจะโทษไอ้นิสัยหยิ่งยโสคิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่นมากกว่าโทษอเล็กซ์นะ นังบ้า เพราะอย่างงี้ไง เธอถึงไม่มีเพื่อนเลยสักคน” เอโลดี้แทรกบทสนทนาอันดุเดือดระหว่างอ
บ้านคงจะกลายเป็นบ้านที่เงียบผิดปกติจากทุกวัน ถ้าหากโทรทัศน์ที่ปราศจากคนดูเครื่องนี้ไม่ได้ถูกเปิดทิ้งเอาไว้ เจ้าชาร์ลีถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวอีกแล้ว และตอนนี้เขากำลังนั่งสร้างสรรค์ศิลปะแนวใหม่บนผนังบ้านที่คาเลบเพิ่งทาสีขาวไปเมื่อเดือนก่อน ชาร์ลีอาจคิดว่ากำแพงโล่งเกินไป เขาจึงวาดลายใหม่เพื่อความสมบูรณ์ ซึ่งรูปที่เขาวาดนั้นดูเหมือนกับยีราฟที่มีขาเป็นงู บนโต๊ะอาหารมีไอศกรีมของป๊อปปี้ เจลาโต้ จำนวนหกควอทซ์ถูกวางทิ้งละลายไว้อยู่ เมื่อคาเลบเดินเข้าไปใกล้จึงเห็นว่ารสเชอร์เบทหมดเกลี้ยงกล่องแล้ว ส่วนรสช็อกโกแลตมิ้นต์สี่ที่ รวมถึงรสช็อกโกแลตคาราเมลมาคาเดเมียยังเหลืออยู่เต็มและกำลังแข่งกันละลายเป็นน้ำ ในห้องครัว หม้อต้มบนเตาเดือดปุด ๆ จนเกือบจะไหม้ ชาร์ลีวิ่งมาหาพวกเขาทันทีที่เบียนน่าปิดประตู คราบไอศกรีมเชอร์เบทยังติดอยู่ที่แก้มและริมฝีปาก“ทำไมทิ้งน้องไว้คนเดียวอีกแล้ว” เขาพูดกับตัวเอง เจ้าชาร์ลีวิ่งเล่นเกี่ยวพันรอบขาผู้เป็นพ่ออย่างอารมณ์ดี“ไอศกรีมละลายแล้วนะที่รัก” เบียนน่าเก็บไอศกรีมเข้าตู้เย็นและเดินไปปิดเตาอย่างใจเย็นชาร์ลียังคงเล่นกับพ่อ ปากพูดเจื้อยแจ้วว่า “วันนี้เจสซี่กับอเล็กซ์พาผมไปเที่
คาเลบรู้สึกเหมือนกับทั้งเดวี่และจูนเอามีดมาแทงหลังของเขาด้วย ความเจ็บปวดของอเล็กซิสเป็นความเจ็บปวดของผู้เป็นพ่อด้วย เดวี่อาจเป็นเด็กดีก่อนหน้านี้ แต่อย่างไรก็ตาม มันเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ที่จะต้องพบกับความเปลี่ยนแปลง และมีเหตุผลอยู่สองอย่างที่ทำให้คนคนนั้นเปลี่ยนไป หนึ่ง เวลาทำให้คนเปลี่ยน และสอง เราอาจไม่เคยทราบถึงตัวตนที่แท้จริงของคนคนนั้นจนวันที่แสดงออกมา เบียนน่ามองหน้าสามี เร่งให้เขาพูดอะไรก็ได้กับลูก เพราะว่าเธอกลับร้องไห้เสียเอง เมื่อเป็นเรื่องของลูก เบียนน่ากลับอ่อนไหวโดยเฉพาะเวลาที่ลูกของเธอเป็นทุกข์ ผู้เป็นแม่ไม่อาจพูดอะไรออกมาได้ นอกจากแบ่งปันความเจ็บปวดของลูกสาวแทน“นั่นก็เป็นเพราะว่าลูกสาวของพ่อเป็นเด็กดี ลูกจึงสมควรมีเพื่อนที่ดีกว่านี้ และมีแฟนที่ดีกว่าเขาด้วย พ่อตอบไม่ได้หรอกนะ ว่าทำไมพวกเขาถึงทำร้ายลูกสาวของพ่อ แต่พ่อรู้ว่าชีวิตของลูกต้องดำเนินต่อไป ความรักบางอย่างอาจมีวันหมดอายุ แต่ความรักของพ่อไม่เคยหมด ความรักของครอบครัวก็เช่นกัน พ่อไม่อยากให้ลูกร้องไห้คร่ำครวญที่พวกเขาทรยศลูก แต่ร้องเพื่อระบายมันออกมา การร้องไห้ช่วยบรรเทาความเศร้าได้ เชื่อพ่อสิ พ่ออยากให้ลูกเข้าใ
“บอกแล้วไงเอดี้ ฉันไม่อยากไปไหนทั้งนั้น ไม่มีอารมณ์ ไม่เข้าใจหรือไง” อเล็กซิสโต้ตอบกับเพื่อนสนิทผ่านโทรศัพท์บ้าน“ไปเถอะนะ เธอต้องเจอเพื่อนบ้างนะอเล็กซ์ จะเอาแต่เก็บตัวอยู่แต่กับบ้านไม่ได้เด็ดขาด นะ ๆ ฉันไปด้วยเหมือนกัน” เพื่อนสาวขอร้องมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเอาชนะนิสัยช่างตื๊อของเอโลดี้ อเล็กซิสจึงจำเป็นต้องตอบตกลงไปงานปาร์ตี้ที่บ้านของเวด มิลเลอร์ทั้งที่ไม่ได้เต็มใจอยากไป เพื่อนกับเหล้า อันไหนจะช่วยให้ฉันเลิกคิดเรื่องบ้า ๆ ในหัวได้ดีกว่ากันนะหลังจากวันนั้น วันที่อเล็กซิสจับได้ว่าเดวี่นอกใจเธอ เขาคอยโทรมาหาเธอเกือบทุกชั่วโมง ในวันถัดมา เดวี่มาหาที่บ้านอีกครั้ง อเล็กซิสจึงตัดสินใจบอกเลิกอย่างเป็นทางการ รวมทั้งยอมฟังคำขอโทษเพื่อจบทุกอย่างให้สมบูรณ์ แม้ยังรักเดวี่มากอยู่เต็มหัวใจ แต่ก็ไม่เหลือความไว้วางใจในตัวเขาแล้ว หนำซ้ำอาการช้ำในยังสาหัสอยู่มาก เธอทำใจคบต่อกับเขาไม่ได้ ทว่าทั้งที่บอกเลิกเดวี่ไปแล้ว เขากลับยังปรากฏตัวในความฝันของเธอเสมอ มันน่าสมเพชที่เธอยังอยากที่จะฝันถึงเขา เพราะในความฝัน เธอลืมไปว่าทั้งสองเลิกกันไปแล้ว เธอชอบฝันเรื่องคืนงานพรอมที่ผ่านมา อเล็กซิสคิดว่ามันอาจจะ
“เฮ้ย ไม่เป็นไรเลย อย่าซีเรียสดิ” อเล็กซิสรีบบอกทันที รู้สึกผิด เพราะเดวี่เป็นเพื่อนของเขาคนหนึ่งเด็กหนุ่มฉีกยิ้มกว้าง เจ้าเล่ห์ “จริง ๆ ชวนแล้ว แต่สองคนนั้นไม่มาเอง จูนน่ะไม่แปลกหรอก ยัยนี่แทบไม่อยากจะไปบ้านใคร แต่ตอนแรกเดวี่ก็ว่าจะมา แต่พอรู้ว่าทุกคนรู้เรื่องแล้ว เขาก็เลยเปลี่ยนใจ”เขาอวดรอยยิ้มเจ้าเสน่ห์ที่เป็นลักษณะเฉพาะตัว ถ้าหากว่าเดวี่ไม่ได้ยิงประตูแห่งชัยชนะจนทำให้ทีมฟุตบอลคว้าถ้วยรางวัลไป เวดอาจจะได้เป็นราชางานพรอมก็ได้ เวด มิลเลอร์เป็นกัปตันทีมฟุตบอลของโรงเรียน แล้วยังเป็นคู่แข่งชิงทุนรัฐบาลกับเธอด้วย เขามีรูปลักษณ์ที่คล้ายกับเดวี่ ทั้งส่วนสูง ผมสีบลอนด์ หุ่นล่ำแบบนักกีฬา บวกกับรอยยิ้มที่น่าหลงใหล แต่เวดไม่ใช่เด็กหนุ่มขี้อายเหมือนเดวี่ ตรงกันข้าม เขาเป็นคนพูดเก่ง พูดเสียงดังฟังชัด ชอบเข้าสังคม ส่วนเดวี่ชอบอยู่เงียบ ๆ มากกว่า เวดมักจัดงานปาร์ตี้ที่บ้านของตัวเองเป็นประจำ“นายนี่มัน...” “เอ้า เข้าไปได้แล้ว เร็ว ๆ” เขาเร่งเธอเมื่อเดินเข้าไปในงาน ทีมฟุตบอลทั้งทีมส่งเสียงเชียร์ดังลั่นที่เธอโผล่หน้ามาในงานปาร์ตี้แม้เพิ่งผ่านเรื่องแย่ไปหมาด ๆ “เจ๋งมาก อเล็กซ์ มันต้องอย่างงี้สิ เด
เมื่อเดินเข้าไปในงาน ทีมฟุตบอลทั้งทีมส่งเสียงเชียร์ดังลั่นที่เธอโผล่หน้ามาในงานปาร์ตี้แม้เพิ่งผ่านเรื่องแย่ไปหมาด ๆ “เจ๋งมาก อเล็กซ์ มันต้องอย่างงี้สิ เดี๋ยวทุกอย่างก็ดีเอง พวกเราจะสั่งสอนเจ้าเดวี่ให้ แล้วเราจะส่งคืนตัวเขากลับมาให้ถึงมือเธอเลยนะ”เธอรู้ว่าพวกเขาพยายามจะให้กำลังใจ แต่อเล็กซิสก็อดรู้สึกอายไม่ได้ที่พวกเขาพูดเหมือนกับว่าทั้งสองจะกลับมาคบกันได้อีกขณะเดียวกัน เมื่อเธอเจอกับเพื่อนคนอื่น ๆ อเล็กซิสพอเข้าใจแล้วว่าทำไมเดวี่ไม่มา เอโลดี้น่าจะประกาศเรื่องราวทั้งหมดให้ทุกคนในเมืองรู้กันถ้วนหน้า เพราะเมื่อเธอเจอกับทีมนักบาสของตัวเอง สาว ๆ พร้อมใจกันพูดด่าเดวี่ “หมอนั่นมันไอ้งั่งชัด ๆ อเล็กซ์ เธอจะหาแฟนที่ดีกว่านี้ได้แน่นอน”ยังมีทีมเชียร์ลีดเดอร์ที่ทุกคนเปรียบเสมือนกับลูกน้องของเอโลดี้ ตะโกนด่าจูนให้เธอฟังอย่างออกรส “อย่าสนใจยัยสารเลวนั่นเลย! ถ้าเราเจอยัยนั่น เราจะจัดการให้เธอเอง”ปกติแล้ว เวลาผู้หญิงอารมณ์เดือดดาลก็มักจะน่ากลัวกว่าเวลาปกติอยู่แล้ว แต่เมื่อพวกเธอพร้อมใจกันเกลียดคนคนเดียวกัน อารมณ์ที่พลุ่งพล่านก็ไม่ต่างไปจากไฟป่าที่ลุกโหมอเล็กซิสรู้ว่าชื่อเสียงของจูนมีทั้งกระแสบวก
“โอ๊ะ ขอโทษนะ” เสียงแหบ ๆ นั้นปลุกเธอให้ตื่นจากความทรงจำเก่า ๆ เด็กหนุ่มผมแดงสวมเสื้อยืดเรียบ ๆ กับกางเกงยีนเก่า ๆ พยายามทรงตัว เขาถือเบียร์สองแก้ว “มันมืด...คือ”“ไม่เป็นไร ๆ ไม่เจ็บหรอก” เธอบอก ปัดน้ำตาออกจากแก้มเขามองหน้าอเล็กซิสที่มีคราบน้ำตา แววตาบ่งบอกว่าเห็นใจ“ไม่เป็นไร ไม่ใช่เพราะนายชนหรอก อย่าคิดมาก” เธอบอก กะจะเดินออกจากสถานที่หลบภัยชั่วคราวแห่งนี้“เธอไม่เป็นอะไรแน่นะ” เขาถามโดยไม่ยอมสบตา มันเป็นบุคลิกของเขาเอง ออสโล่ค่อนข้างขี้อาย“ไม่เลย ทำไมนายมาคนเดียว คริสติน่าอยู่ไหนล่ะ” เธอถาม ออสโล่เป็นเพื่อนร่วมชั้นในวิชาเลข และเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมชิงทุนเหมือนกัน“ก็...ฉันมากับคริสติน่านั่นแหละ แต่คนที่เธอแอบชอบมาคุยกับเธอ ฉันก็เลย....” พวกเขายิ้มให้กันอย่างเข้าใจ เขาจึงไม่ต้องอธิบายต่อ ออสโล่เป็นเด็กหนุ่มรูปร่างสันทัด เขามีดวงตาสีน้ำตาลอ่อนและใบหน้าตกกระ“ฉันได้ยินมาว่าเธอสอบติดที่เดลฟี ยินดีด้วยนะ” เขาว่าเพื่อนคนนี้เป็นคนเดียวที่ไม่สนใจเรื่องความสัมพันธ์ของเธอกับเดวี่และจูน ไม่แม้แต่จะเอ่ยถึงมัน“ขอบใจ แล้วนายล่ะ”“ติดวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมที่อีสท์แลนด์”“เจ๋งนะนั่นนะ” เธอมอ
สาวผมแดงนั่งมองพวกเขาอยู่บนเตียง ผ้าห่มคลุมร่างกายเปลือยเปล่าเพราะเสื้อผ้าถูกถอดออกทิ้งไว้บนพื้น อเล็กซิสกระตุกแขนไมเคิลที่ยืนแข็งเป็นท่อนไม้ เธอส่งยิ้มให้เด็กหนุ่มมากกว่าแสดงออกว่าโกรธ “อยากร่วมด้วยเหรอ” เสียงของหล่อนแหบกระเส่าจงใจยั่วอีกฝ่าย สุดท้ายอเล็กซิสลากไมเคิลออกไปได้สำเร็จไมเคิลมองหน้าเธอ ใบหน้าแดงก่ำ “ฉันคิดว่าเธอถูกทำร้าย” แล้วชี้ไปที่บลูชายหนุ่มชี้หน้าตัวเอง “ฮะ ถูกทำร้าย?” จากนั้นระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น จากที่โมโหดูจะพอใจมากกว่า “ขอโทษที่รุนแรงจนนายตกใจ แต่ช่วยไม่ได้เพราะลีลาชั้นมันเผ็ดร้อน” เขาตบไหล่ชายหนุ่ม แต่ไมเคิลมีกะใจเบี่ยงตัวออก“คือ...บลู ไมเคิลค่อนข้างจะสับสนนิดหน่อย ฉันขอโทษจริง ๆ เขาไม่ได้ตั้งใจ” อเล็กซิสแก้ตัวให้เพื่อนและพยายามมองแค่หน้าของบลู ปกติแล้วเขาไม่ใช่ผู้ชายในแบบที่เธอชอบ หรือตรงสเป็ก แต่หุ่นของเขานี่มัน...หน้าอกชายหนุ่มยังคงสั่นไปตามแรงหัวเราะ “พูดจริงดิ เพื่อนเธอไม่รู้จักเสียงเมื่อกี้เหรอ เอ แล้วที่อยู่ในห้องกันสองคนทำอะไรกันวะ” เขาหันไป
ไมเคิลพยายามทำตัวเป็นปกติ เขามานอนเล่นในห้องเธอตั้งแต่สี่โมงเย็น เพราะในห้องตัวเองเต็มไปด้วยอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และสามหนุ่มไอทีอย่างโคดี้ เรมี กับอาคุสะที่พยายามถอดรหัสเข้าเครื่องให้ได้ ทอยซิตี้ไม่ใช่เมืองพักตากอากาศ หากพวกเขาไม่ดื่มหรือชมลานประลองก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรอีก ทั้งสองคุยกันว่าจะหางานทำช่วงเย็นดีไหม อย่างน้อยอาจแก้เบื่อแถมได้ชิปนิดหน่อย ไมเคิลเคยลองทำแล้วออกมาและอาจจะกลับเข้าไปใหม่วันนี้จึงผ่านไปอย่างช้า ๆ สำหรับทั้งสองคน บางครั้งเธอนั่งจดบันทึกอยู่ เขาจะเริ่มเข้ามากระแซะ หลายครั้งเธออยากให้ตัวเองคล้อยตามแต่มันมีบางอย่างที่ทำให้เธอหยุด สัมผัสของไมเคิลไม่ได้ทำให้เธอใจสั่น ทั้งที่หน้าตาและรูปร่างเป็นต่อ อาจเป็นเพราะแววตาของเขาแสดงความอยากรู้อยากเห็นมากกว่าต้องการจริง ๆ และอาจเป็นเพราะเขาทำให้เธอรู้สึกกึ่ง ๆ ระหว่างออสโล่กับลิ้ตเติ้ลชาร์ลีมากเกินไป ความใกล้ชิดของพวกเขายิ่งกว่าก่อนอเล็กซ์จะตีจากเสียอีก แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องนอนตัก กอด หรือถูกเนื้อต้องตัว พวกเขาไม่เคยไปไกลเกินกว่านี้ ถ้าไม่นับจูบทดลองคราวนั้นและสุดท้าย เด็กหนุ่มมักผล็อยหลับบนตักเธอเสมอ ไมเคิลชอบให้เธอเ
คำสุดท้ายแรงเหมือนตบหน้าโดยไม่ใช่มือ แววตาหยิ่งผยองเมื่อครู่กลายเป็นหวาดหวั่น และเมื่ออเล็กซิสเห็นเงาตัวเองในดวงตาคู่นั้นก็ตกใจไม่แพ้กัน ความเกลียดชังในตัวเธอส่งผ่านออกมาจนเห็นชัดผ่านเงาสะท้อน และแม้แต่ตัวเองยังแทบรับไม่ได้กับใบหน้านั้น ดวงตาเธอเหลือบมองเทสซ่าและรีเวอร์ที่ยังคุยกันดี ไม่มีทะเลาะ จึงจับตัวมินนี่เลื่อนออกไป ให้ตัวเองมีช่องว่างปลีกตัวมินนี่ไม่สนใจ เธอเขยิบตัวแล้วก้าวไปเกาะกำแพงข้างหน้าแทน สายตาจดจ่ออยู่ที่พี่สาวตัวเองมากกว่าคนรอบข้าง เวลานี้อเล็กซิสไม่สนใจแล้วว่าต้องรอเทสซ่าหรือไม่ แต่ฉวยโอกาสนี้กลับเขต ใบหน้าอาฆาตเมื่อครู่ยังติดอยู่ในหัว“ฉันไม่เคยอยากให้พวกเขาตาย”เท้าเธอหยุดกะทันหัน เบลินดาเดินตามมา “เวดยังไม่ตาย” เธอสวน หันกลับไปเผชิญหน้ากับผู้ที่มาจากที่เดียวกัน “เธอไม่เคยขอโทษ ไม่เคยรู้สึกผิด ตลอดเวลาฉันเห็นเธอลอยหน้าลอยตาราวกับตัวเองเป็นเหยื่อ...”“เพราะฉันเป็นเหยื่อ” เด็กสาวตรงหน้ากำหมัดแน่น มือทั้งสองข้างสั่นอเล็กซิสหัวเราะ “กล้าพูด”“เหยื่อของผองเพื่อ
“โอ้” ทำไมเราต้องรู้เรื่องที่ไม่ควรรู้ด้วยนะ เธอเหลือบมองเพื่อนสาวอีกที สองคนนั้นยังหัวเราะคิกคัก ไม่รู้ตัวว่ามีคนกล่าวถึง “หมอนั่นไม่ได้เป็นโรคจิตใช่ไหม” เธอถาม เพราะมินนี่ไม่เคยเก็บความลับของพี่สาวอยู่มินนี่ส่ายหัว “รีเวอร์น่ารักจะตาย ไม่กวนประสาทเหมือนโคดี้ด้วย เขาเป็นผู้ใหญ่ โนเอลก็ชอบ” แววตาสีฟ้าอ่อนสลดลงเมื่อนึกถึงพี่ชายที่จากไป อเล็กซิสลุกขึ้นกอดเธอเป็นการปลอบโยน “ถ้าเขาไม่หายไปและไม่ทำให้เทสซ่าเสียใจก็ดี แต่มันไม่ได้แปลว่าฉันเชียร์เขาแทนโคดี้นะ” เด็กสาวเงยหน้าทำตาปริบ ๆ ถึงแม้เธอค่อนข้างประหลาดไปสักหน่อย แต่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่เอ็นดูน้องเล็กของพวกโธมัสคนนี้อเล็กซิสยิ้ม “ฉันรู้”เธอมองรีเวอร์อีกครั้ง ครั้งนี้เขารู้ตัวจึงเดินหายไป เธอไม่เคยรู้เรื่องเขาเลย ไม่แน่ใจว่าเทสซ่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับแฟนเก่า แต่ภาวนาว่าอย่าให้มีเรื่องขัดข้องใจกับแฟนปัจจุบันก็คงดี อเล็กซิสถอนหายใจ เธอนึกถึงวันที่อเล็กซ์เจอเธอแอบอยู่หลังถังขยะข้างตึกที่พักไมเคิล สติตกอยู่ใต้อำนาจฤทธิ์ยา ถึงแม้เธอไม่อาจตอบได้
พวกผู้หญิงมีวิธีบรรเทาความเครียดต่างกับผู้ชาย ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ไหน การได้จับจ่ายซื้อของคือความสุขและวิธีปลดปล่อยมวลพลังลบทั้งปวง ถึงแม้ที่นี่ไม่มีร้านบูติกแบรนด์ชั้นนำ หรือแม้แต่ร้านโนเนมดีไซน์ล้ำ มีเพียงตลาดมือสองและแผนกเสื้อผ้าในซูเปอร์ตั้งราวเรียงกันเป็นตับ ไร้รสนิยม แม้ทอยซิตี้ไม่มีตัวเลือกให้กับผู้หญิงมากนัก แต่แค่ได้สวมใส่ ลอง และซื้อ ก็สนองนี้ดได้ไม่ยาก และเพราะมันเป็นหนทางเดียวสำหรับพวกเธอคงมีแค่อเล็กซิสที่นั่งเท้าคางรอเทสซ่าแต่งตัวคนอย่างอเล็กซิสหรือจะแค่นั่งรอ เด็กสาวผู้ชื่นชอบสะสมเสื้อผ้าสวยและน้ำหอมเป็นชีวิตจิตใจ ทั้งที่ค่าตัวจากงานพิเศษต่าง ๆ ละลายไปกับของพวกนี้ เหตุใดเธอจึงนั่งเบื่อ ประเด็นมันอยู่ที่ว่า ใครคือคนที่ช้อปด้วยต่างหาก และก็ไม่ใช่เพราะเทสซ่าแน่นอนเทสซ่าเดินออกจากห้องลองเสื้อพร้อมเบลินดา สวมเสื้อแจ็กเกตดำแบบเดียวกับที่เธอชอบยืมอเล็กซิสใส่สมัยอยู่ในหอพัก (ท่าทางจะชอบจริง ๆ) เสื้อนอกทับเสื้อสายเดี่ยวสีเขียวข้างใน ด้วยบุคลิกทะมัดทะแมง ผิวสีเชสนัทเกลี้ยงเกลา และรองเท้าบูตส์หนัง เธอยิ่งสวยและเท่เหมือนนางเอกเดินออกจากหนังแอคชั่น “สามพันสองร้อยชิป ไม่ใช่หนั
ไมเคิลส่ายหัวปัดมือให้เธอถอยออกไป (ไม่กล้าแตะตัวเธออีก) อเล็กซิสในอ้อมกอดอเล็กซ์ไม่ได้นอนหรือหลับ หากแต่ตื่นอยู่แต่เหมือนไม่ค่อยมีสติ ริมฝีปากพึมพำว่า “ปล่อย” เบา ๆ ในลำคอ“เปิดประตูสิ” อเล็กซ์สั่งเพราะมือทั้งสองอุ้มเพื่อนของเขาไว้“นายก็เขยิบสิ” เขาสั่งกลับ อเล็กซ์เลื่อนตัวเข้ามาใกล้ประตู เขาจับมืออเล็กซิสแตะที่ตัวสแกนเพื่อปลดกลอน มีเสียงดังกริ๊ก มือผลักบานประตูเปิดให้อเล็กซ์เข้าข้างใน “นี่” ไมเคิลไม่สนใจหญิงสาวเลยปิดประตูใส่หน้าหล่อนดังปัง เธอทุบครั้งหนึ่งก่อนจะด่าออกมา เมื่อนั้นเสียงฝีเท้าห่างออกไป ในที่สุด“ฉันอยากได้ผ้าชุบน้ำ”ไมเคิลพยักหน้า ส่วนอเล็กซิสก็พยายามจะลุกขึ้นจากเตียงให้ได้ “ไม่...ต้อง...” จนอเล็กซ์ดันตัวเธอลง “ไม่” สภาพอเล็กซิสไม่ต่างจากคนเมายา เขาไม่รู้ว่าเธอไปโดนอะไรมาแต่ก็ทำตามที่อเล็กซ์บอก นั่นคือเข้าไปในห้องน้ำแล้วคว้าผ้าขนหนูผืนเล็ก พอเปิดก๊อกก็พบว่าน้ำแรงปกติ โกหกจริงด้วย มือทั้งสองรีบบิดน้ำหมาด ๆ พอออกมาก็เห็นสองอเล็กซ์เถียง
ไมเคิลรุดไปยังหน้าต่างตรงทางเดิน ยกบานหน้าต่างจนสุดแล้วชะโงกหน้าออกไป ลมแรงตีปะทะหน้า ถึงแม้เขาจะชอบอากาศเย็นสบายมากกว่าร้อน แต่เมื่อทอยซิตี้เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ลมกลับไม่น่าพิสมัย สายตาของเขาเลื่อนไปช้า ๆ ทีละจุด ทีละจุด แต่ไร้ประโยชน์ ถึงอเล็กซิสอยู่แถวนี้ก็ยากที่จะเห็นอยู่ดี ทำไมต้องโกหก เธอไปไหนกันแน่ หัวใจบีบรัดเมื่อความผิดหวังจู่โจม เขาคิดว่าเธอไม่ไว้ใจเขา ทั้งที่เข้าใจว่าตนเองคือคนที่เธอสนิทใจที่สุด มากกว่าเทสซ่า แต่สุดท้าย เขาคิดผิดอเล็กซ์โผล่หน้าออกมาข้าง ๆ ผมของเขายาวจนต้องจับมันไว้ไม่ให้ปลิวและพัดเข้าหน้า “เขามีท่าทีแบบนี้มาสักพักแล้วยัง”ไมเคิลไม่แน่ใจว่าจะตอบอย่างไร ตอนนี้ดูเหมือนทั้งสองจะพักอารมณ์เหม็นขี้หน้าชั่วคราว ถึงแม้ทุกคนเห็นว่าเธอค่อนข้างโทรมและเงียบกว่าตอนอยู่ในศูนย์ฝึก แต่ไม่ได้นึกถึงเรื่องอื่นเลย ใช่แล้ว ไม่มีใครสังเกตเลยรวมทั้งตัวเขาเองด้วย“เขาบอกอะไรนายบ้าง” ชายหนุ่มเริ่มยิงคำถาม “มันเกี่ยวกับที่โดนจับไปหรือเปล่า หรือไม่ใช่”“ไม่รู้!” ไมเคิลตอบอย่างมีอารมณ์ “แล้วนาย
ห้องของไมเคิลกับเรมีแออัดยิ่งกว่าเดิมเมื่อรองรับคนถึงเก้าคน คอมพิวเตอร์จอแบนขนาดสิบห้านิ้วตั้งกลางวง หน้าตามันดูดีจนไม่น่าเชื่อว่าพวกเขาประกอบกันเอง เรมีเสียบปลั๊กแล้วกดเปิด หน้าจอสีดำกะพริบถี่ ๆ ก่อนเปลี่ยนเป็นสีฟ้าน้ำทะเลปรากฏเปลวไฟเป็นตัวอักษรรูปตัวเอทับต้นไม้ มันพลิ้วไหวเหมือนไฟมีชีวิต “โอ้โห” พวกเขาตื่นเต้น ไม่นานกล่องสีขาวเด้งออกมาเพื่อให้กรอกรหัส“ข้างในมีอะไรบ้าง” อเล็กซิสยื่นหน้าเข้ามา มือกำขวดน้ำแน่นท่าทางกระหายน้ำตั้งแต่เข้ามาในห้อง“ต้องกรอกรหัสก่อน” เรมีย้ำ สายตาจดจ่อกับหน้าจอดังกล่าว“กรอกสิ” เทสซ่าเร่ง “ฉันอยากรู้แล้ว”“เอ่อ” หนุ่มน้อยวัยสิบหกเคาะคีย์บอร์ดสัมผัส “เรายังแฮคมันไม่ได้”“หา?” พวกที่เหลือร้องออกมาพร้อมกัน “ถ้าอย่างนั้น...พวกนายเรียกให้พวกเราดูแค่ว่ามันเปิดได้”“ใช่” เรมีพยักหน้าหงึก ๆ “ไม่ตื่นเต้นกันเหรอ”“ฉันบอกแล้วว่าเราควรเจาะรหัสให้ได้ก่อน” อาคุสะพูดเสียงเรียบ เข
อเล็กซิสเงยหน้ามองไฟข้างบนอย่างกับจะจับผิดระบบ แต่ไมเคิลรู้ตัวการดีจึงเหยียดเท้าถีบเก้าอี้ข้างหน้า แม้ยั้งแรงไว้บ้างแต่ตัวอเล็กซ์อัดเข้ากับขอบโต๊ะจัง ๆ ไม่ทันร้องว่าเจ็บก็ลุกพรวดจนเก้าอี้กระแทกโต๊ะข้างหลังซึ่งก็คือระหว่างไมเคิลและอเล็กซิส เขาหมุนตัวเตรียมจะพุ่งเข้ามา ไมเคิลรออยู่แล้วง้างหมัดเตรียมสวน ทว่าสงครามยุติก่อนที่มันจะเริ่ม อเล็กซิสกับเรมีพร้อมใจกันกดเขาไว้กับโต๊ะ ส่วนอาคุสะและฟีบี้ทำแบบเดียวกันกับอเล็กซ์“ตรงนั้นมีอะไรกัน!”“เข้าใจผิดครับ เข้าใจผิด” เรมีตะโกน “พวกนายหยุดเดี๋ยวนี้”ทั้งสองจ้องหน้ากันราวกับเป็นศัตรูมาช้านาน ยิ่งอเล็กซ์ไม่ได้ตัดผมโกนหนวด หน้าตารุงรัง ยิ่งทำให้สีหน้านั้นเอาเรื่องกว่าตอนใบหน้าเกลี้ยงเกลา “บอกให้เขาหยุดสิ” ไมเคิลเถียง เสียงแหบแห้งเพราะน้ำลายติดคอ“นายนั่นแหละที่หยุด” เรมีกดศีรษะเขาลง“เบา ๆ เรมี ไมเคิลนายอยู่นิ่ง ๆ” อเล็กซิสว่า“ฉันไม่ได้เริ่ม!” เขาจ้องหน้าอเล็กซ์เขม็ง“เฮ้ ๆ พวกนาย” เทสซ่ายืนขึ้นเตรียมพ