แต่พออเล็กซิสเดินออกมาจากห้อง กลับเห็นเอโลดี้กำลังนั่งหัวเราะร่วนอยู่กับเจสซี่และชาร์ลี พวกเขาควรออกไปได้แล้ว แต่ดูเหมือนว่าคงคุยติดลมกันสนุก บางครั้งอเล็กซิสอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเจสซี่ชอบผู้หญิง เอโลดี้คงเป็นคนแรกที่เขาชอบ เพราะว่าทั้งสองเข้ากันได้ดีมาก เจสซี่ชอบและเอ็นดูเอโลดี้ไม่ต่างจากน้องสาวอีกคนเลยทีเดียว
แต่ว่า ก็แค่น้องสาวอีกคน
“โทษทีที่ให้รอนะ” อเล็กซิสแทรก
ชาร์ลีกระโดดลิงโลดเหมือนรอโอกาสนี้มานานแล้ว “เย่ เราออกไปได้แล้วใช่ไหมครับ แล้วพี่ไบรซ์ล่ะครับ”
อเล็กซิสทำหน้าเศร้า “ไบรซ์ไม่ยอมพักอ่านหนังสือเลยอะเจ้าลิง เหลือแต่พวกเรานี่แหละ และอาจจะมีเดวี่อีกคนแทนนะ แต่ว่าทำไมถึงยังนั่งกันอยู่ล่ะ”
เอโลดี้ลุกขึ้น “อ้อ ฉันลืมบอกเธอไปว่า ฉันไปกับเธอนะอเล็กซ์”
เด็กสาวในเสื้อยืดสีขาวจ้องเขม็งไปที่เพื่อน ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง เพราะเธออยากไปหาเดวี่ที่บ้านเพียงลำพังมากกว่ามีเพื่อนติดสอยห้อยตามไปด้วย
ไม่ได้ตกลงกันไว้อย่างนี้นี่นา
เอโลดี้จ้องกลับด้วยดวงตาสีน้ำตาลเข้มแฝงข้อความเป็นนัยว่า “เออออกับฉันเหอะน่า”
เจสซี่มองสลับระหว่างอเล็กซิสกับเอโลดี้ ไม่เข้าใจว่าพวกผู้หญิงเล่นอะไรกัน
“สรุปแล้วยังไงครับ คุณสุภาพสตรีทั้งสอง” เจสซี่ถาม
“โอเค ตามนั้น” อเล็กซิสสรุป เจสซี่ยังคงสงสัยแต่จับมือชาร์ลีเดินออกจากบ้านไปแต่โดยดี มีอเล็กซิสและเอโลดี้เดินตามเหมือนลูกเป็ด เพื่อนของเธอขี่จักรยานมาเอง ส่วนชาร์ลีนั่งซ้อนท้ายเจสซี่ และอเล็กซิสใช้จักรยานอีกคัน
“ฉันคิดว่าเธออยากไปกับเขาซะอีก” อเล็กซิสพูดขึ้นเมื่อพี่ชายและน้องชายขี่จักรยานออกไปแล้ว
เด็กสาวร่างเล็กยิ้มเหนื่อยอ่อน “อเล็กซ์ เขาไม่ชอบฉันเลยสักนิด ให้ตายเถอะ ก็แค่เห็นเป็นเพื่อนน้องสาว ก็ดีอยู่หรอกนะที่ได้อยู่กับเขา แต่มันเจ็บด้วยเวลาเขาเอาแต่พูดถึงโจชัว แถมชอบพูดให้ฟังจังเลย งี่เง่าชะมัด” เอโลดี้หุบปาก เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “โทษนะ ฉันลืมไปว่าเธอคงอยากย่องเข้าห้องเดวี่คนเดียว จะได้กระซิบข้างหูของเขา ปลุกเขาด้วยเสียงหวาน ๆ ของเธอ “ตื่นสิคะที่รัก” จากนั้นเขาจะลุกขึ้นจากที่นอนพร้อมกับท่อนบนอันเปลือยเปล่า เดวี่คงใส่แค่กางเกงบ็อกเซอร์ตัวเดียวเวลานอน ใช่ไหมล่ะ”
เด็กสาวผมสีน้ำตาลทำเสียงไม่พอใจที่เพื่อนแหย่
“เซออออร์ไพรส์ไหมที่รัก จุ๊บ ๆ” เอโลดี้หัวเราะ ชอบใจที่ได้แกล้งเพื่อน “เอ หรือมากกว่าจูบกันแน่น้า”
“เงียบน่า” อเล็กซิสรีบเดินไปเอาจักรยาน หน้าแดงก่ำ “ถ้าเธอไม่หยุด ฉันจะบอกเจสซี่ว่าเธอรู้สึกยังไงกับเขา”
อเล็กซิสยิ้มเช่นคนที่กำชัยชนะไว้ในมือ เอโลดี้ตีแขนอเล็กซิสแล้วรีบไปเอาจักรยานของตัวเอง หน้าแดงหูแดงพอกัน
“เอ้อ เกือบลืมเลย” อเล็กซิสมอบพาเลทลิปสติกให้กับเพื่อน
“ว้าว อะไรเนี่ย” เอโลดี้ทำตาโต “เพื่อนรัก รักเธอจริง ๆ” เด็กสาวกอดคออเล็กซิส “ได้มาฟรีเหรอ นี่ฉันชักอยากจะทำงานแบบเธอบ้างแล้วนะ”
“ไม่ใช่ของฟรีแน่นอน คิดว่าฉันดังขนาดนั้นเลยเหรอ ได้ส่วนลดจากรุ่นพี่น่ะ ส่วนน้ำหอมอันนี้ของจูน” อเล็กซิสอวดขวดสีชมพูทรงสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนให้ดู “แอบเห็นว่าจูนอยากได้” เอโลดี้ปิดปากเงียบเมื่อเธอพูดถึงชื่อศัตรู
“ชวนจูนมาด้วยเหรอ”
“เปล่า ฉันไม่อยากนั่งอยู่ท่ามกลางสงครามเย็นระหว่างพวกเธอสองคนหรอกนะ แค่คิดว่าจะเอาไปให้จูนที่บ้านเย็นนี้ แน่นอนว่าไม่ชวนเธอไปด้วยอยู่แล้ว ไม่เอาน่า อย่าทำหน้ามุ่ยสิ พวกเราเรียนจบกันแล้วนะ เอดี้”
“แล้วไง จูนเกลียดฉัน ฉันก็เกลียดจูน ไม่มีอะไรห้ามความรู้สึกนี้ได้หรอกน่า”
“ตกลง ๆ ไม่พูดแล้ว” อเล็กซิสยอมแพ้ ไม่กล้าหยิบยกอะไรที่เกี่ยวกับเพื่อนอีกคนมาพูดให้เอโลดี้ระคายหูอีก ทั้งสองจะได้ขี่จักรยานไปบ้านเดวี่โดยไม่ต้องเถียงกันระหว่างทาง
บ้านของเดวี่ตั้งอยู่บนถนนที่อยู่ทางทิศใต้ของเมือง ตัวบ้านค่อนข้างใหญ่กว่าบ้านของพวกเดวิสประมาณหนึ่ง เมื่อเด็กสาวทั้งสองคนมาถึง ก็เห็นว่าไม่มีใครอยู่บ้านนอกจากเจ้าตัวเพราะยังเห็นจักรยานของเขาจอดอยู่ แต่รถของคุณและคุณนายมอนเทสหายไป แสดงว่าพ่อแม่ของเขาไม่อยู่บ้าน ซึ่งเป็นปกติเพราะเป็นวันทำงานของพวกผู้ใหญ่
“เขาอยู่บ้านนี่นา ทำไมไม่รับโทรศัพท์นะ” อเล็กซิสพึมพำกับตัวเอง
“นอนติดเตียงอยู่มั้ง” เอโลดี้ว่า ได้ยินที่เพื่อนบ่น “เดวี่นอนกรนหรือเปล่า”
อเล็กซิสทำเป็นไม่ได้ยินคำถามของเพื่อน แต่เมื่อเธอมองไปเรื่อย ๆ สายตากลับสะดุดอยู่ที่จักรยานปริศนาคันหนึ่งที่จอดอยู่ใกล้โรงรถ จักรยานทาสีส้ม สีโปรดของจูน
ไม่หรอก ไม่ใช่แค่สีโปรด แต่เป็นจักรยานของจูนเลยต่างหาก
เอโลดี้มองตามเพื่อน พอเห็นก็พูดขึ้นมาว่า “จริง ๆ แล้ว ฉันก็อยากจะบอกกับเธอเรื่องนื้มาสักพัก แต่เพราะฉันไม่มีหลักฐาน...”
อเล็กซิสจ้องเข้าไปในดวงตาเพื่อนสนิท เข้าใจแจ่มแจ้งว่าเอโลดี้หมายถึงอะไร จากนั้นสั่นหัวปฏิเสธข้อสงสัยนั้น เดวี่เป็นรักแรกของเธอและจะเป็นรักสุดท้าย พวกเขาคบกันมาหนึ่งปีและความสัมพันธ์ก็ดำเนินไปได้ดี เขาไม่มีนิสัยเจ้าชู้ และที่สำคัญ จูนเป็นเพื่อนสนิทของเธอด้วย แค่นี้ก็คงไม่มีอะไรน่าสงสัยแล้ว
“พวกเขาเป็นเพื่อนกัน เหมือนเธอกับเขาไง เข้าบ้านเถอะ...” เอโลดี้ดึงมือเธอไว้แล้วกระซิบว่า “อย่าทำเสียงดังดีกว่า อย่าโกหกตัวเองเลยนะอเล็กซ์ ทำไมจูนถึงอยู่กับแฟนของเธอในเวลาที่พ่อแม่ของเขาไม่อยู่บ้าน แล้วพวกเขาคิดว่าเธอไม่อยู่ในเมืองเล่า”
“จูนเป็นเพื่อนพวกเรานะ เพื่อนสนิทของพวกเรานะ” อเล็กซิสพยายามปฏิเสธข้อสงสัยของเอโลดี้ “เธอก็สนิทกับเขาเหมือนกัน น่าจะรู้ว่าเขาไม่ใช่คนแบบนั้น” เด็กสาวไม่รู้ตัวเลยว่าเน้นคำทุกคำเพื่อบังคับให้เชื่อคำพูดของตัวเอง หัวใจของเธอเต้นแรงจนเหมือนมันอยากจะดิ้นหลุดออกมาจากอก
“ให้ฉันแก้คำพูดเธอก่อนนะอเล็กซ์ อย่างแรก จูนเป็นเพื่อนสนิทของเธอ ไม่ใช่ของฉัน และตั้งแต่เธอเข้าสังกัดโมเดลลิ่ง ฉันไม่แน่ใจเท่าไรนะจ๊ะ และสอง เดวี่ก็เป็นเพียงเด็กผู้ชายคนหนึ่ง” เอโลดี้ยังให้เหตุผลต่อ “เธอก็น่าจะรู้ดีนะ ปกติแล้วไม่มีใครอยู่กับแฟนของเพื่อนสนิทในบ้านของเขา ทั้งเวลาที่พ่อแม่ของเขาอยู่บ้านหรือไม่อยู่ก็ตาม”
“พวกเขาคุยกันอยู่มั้ง” อเล็กซิสพยายามหาข้อแก้ตัวให้คนทั้งคู่ แต่ยิ่งพูด ตัวเธอกลับยิ่งดูโง่เหมือนหยิบเขามาสวมด้วยตัวเองซะอย่างนั้น
เอโลดี้กลอกตา “ฉันเกลียดไอ้นิสัยโลกสวยแบบเว่อร์ ๆ ของเธอจริง ๆ เธอพยายามจะปฏิเสธความจริงใช่ไหมล่ะ ใช่ไหม”
ประโยคนี้คุ้น ๆ เหมือนเจสซี่เคยบอกกับเธอเลย
“ไม่ใช่สักหน่อย! ฉันก็แค่...”
“ชู่ววว เบาสิ ก็ได้ ๆ เธอไม่ได้โลกสวยเกินไป แต่เธอกำลังโกหกตัวเองอยู่ ฉันรู้นะว่า ลึก ๆ เธอเห็นด้วยกับฉัน”
อเล็กซิสยอมรับว่าเธอหมดความกล้าที่จะเข้าไปในบ้านหลังนี้ ในใจครึ่งหนึ่งก็คิดตามข้อสงสัยของเอโลดี้ แต่อีกครึ่งก็พยายามที่จะไม่คิดให้เสียใจ เพราะแค่สงสัยยังทำให้เธอเจ็บปวดได้ขนาดนี้ ราวกับมีเข็มด้ามเล็กนับร้อยที่มองไม่เห็นทิ่มแทงใจอยู่
“เราจะไม่เคาะประตู” เด็กสาวร่างเล็กลองง้างหน้าต่าง “ไม่ล็อกแฮะ” เธอเปิดออกแล้วพยายามปีนเข้าไปข้างใน
“ช่วยฉันทีสิยะ” เอโลดี้เร่งอเล็กซิส
พวกเธอแทบจะเดินย่องกันอยู่แล้ว แต่เพราะเดวี่ไม่ได้อยู่ข้างล่าง จึงง่ายที่จะย่องขึ้นข้างบนต่อไปโดยที่ไม่จำเป็นต้องระวังตัวมากมาย ยิ่งเดินเข้าใกล้ห้องของเดวี่เท่าไร อเล็กซิสยิ่งใจเต้นระทึก ตรรกะของเอโลดี้นั้นฟังดูมีเหตุผลใช้ได้เลยทีเดียว แต่เธอขอให้มันผิดเถอะ
เอโลดี้ค่อย ๆ บิดลูกบิดประตู มันไม่ได้ล็อกเหมือนกับประตูข้างล่าง ทันทีที่เพื่อนสาวผลักประตูเปิดออก วินาทีนั้นหัวใจของอเล็กซิสหยุดเต้นลงทันที เธอดีใจที่เอโลดี้มากับเธอแทนที่จะไปกับเจสซี่ เพราะมิฉะนั้น เธอจะต้องเห็นภาพนี้คนเดียว
จูนกับเดวี่นอนอยู่ด้วยกันอย่างที่เอโลดี้คาดการณ์ไว้ทุกประการ นอนบนเตียงเดียวกัน ใต้ผ้าห่มเดียวกัน กอดก่ายและเปลือยเปล่าด้วยกันทั้งคู่ เสื้อผ้าของพวกเขากระจัดกระจาย ทั้งสองคงผ่านค่ำคืนที่สนุกสุดเหวี่ยงเชียวล่ะ
ถ้วยรางวัลลอยลิ่วไปทางคนทั้งสองแล้วตกลงที่ท้องของเดวี่พอดิบพอดี ไม่ใช่ฝีมือของอเล็กซิสหรอก แต่เป็นฝีมือของเอโลดี้ต่างหาก เด็กสาวผมสีเข้มตะโกนด่าทอคนทั้งสองอย่างบ้าคลั่ง “เห็นไหมล่ะ ฉันบอกเธอแล้ว เดฟ นายมันอุบาทว์ที่สุด ส่วนเธอ ยัยผู้หญิงสกปรก!”
พวกเขาตะลึงตะลาน ทั้งตื่นจากนิทราและตกใจในคราวเดียวกัน อเล็กซิสไม่รู้ว่าเธอควรจะรู้สึกอย่างไรในตอนนี้ เธอควรโกรธ หึง กรีดร้องจนเป็นบ้า หรือ ร้องไห้แสดงความผิดหวัง สิ่งเดียวที่เธอรู้สึกคือความว่างเปล่าในอกราวกับหัวใจของเธอหายไปเดี๋ยวนั้น
นึกว่าเรารักกันเสียอีก
คนสำคัญสองคนในชีวิตของเธอกลับหักหลังเธอด้วยวิธีการที่แย่ที่สุด บางครั้งความว่างเปล่าคือความเจ็บปวดที่เลวร้ายขั้นสุด ฉากตรงหน้าทำเอาอเล็กซิสพูดไม่ออก
พวกเขาทำแบบนี้ได้ยังไงกัน
มือและเท้าเย็นเยียบขึ้นมา แต่บลูพยายามปั้นสีหน้าให้เป็นปกติ ยิ่งเห็นทุกคนในห้องนี้ต่างมีสีหน้าเคร่งเครียดแต่ยังไม่ถึงขั้นตื่นตระหนกก็ยิ่งสะกดกลั้นไว้ข้างใน แม้ภายในใจไม่รู้ว่าจะจัดการกับความรู้สึกไหนก่อนระหว่างกลัวตายกับสูญเสีย“พวกนั้นว่าไง แล้วเจ้าคนที่คุมหุ่นยนต์ได้ล่ะ”เมลิสซ่าส่ายหน้า “เด็กคนนั้นใช้พลังไม่ได้ แต่พวกเขาดูจะจัดการกับของพวกนี้ได้บ้าง” เธอหลิ่วตาไปทางอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่รายล้อม “โคดี้พยายามจะปลดล็อกระเบิด ส่วนเรมีกำลังรวบรวมข้อมูลกับดักในตึกนี้ทั้งหมด แล้วก็เร็กกี้...” หญิงสาวถอนหายใจโล่งอก “เขาเคยทำงานในศูนย์วิศกรรมการบินและอวกาศของฟิวเจอร์ริสติกเลยพอจับจุดอะไรได้บ้าง ที่ฉันทำได้คือหาอะไรก็ได้ที่จะพอให้พวกมีมันสมองคิดออก เพราะคนอย่างฉัน แค่เปิดเครื่องยังงง”“ยาน?” ริงโก้ไม่แน่ใจนัก “เราจะหนีด้วยยานเหรอ”“อื้อ” เมลิสซ่าพยักหน้า “มันเป็นวิธีเดียวนี่”“แล้วคนอื่นล่ะ” เดสซิเรถามขึ้น “ยังมีคนกระจายอยู่ทุกเขต ซ่อนตัว หาท
เทสซ่านิ่งงันไปพักหนึ่งก่อนสมองจะทำงานใหม่ เธอกลืนน้ำลายแล้วถามอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้น พวกนั้นจะระเบิดตึกนี้...หรือทอยซิตี้?”แม้เป็นคนพูดเอง แต่เมื่อมันออกจากปากไปแล้ว เลือดในกายกลับเย็นวาบลงจนขนลุกไปหมด อเล็กซิสหน้าซีดลง สีหน้าแสดงออกว่ากำลังใช้สมองวิเคราะห์หนัก“เราต้องบอกลู” เทสซ่าสรุป ถ้าจะนับคนที่มีมันสมองดีเลิศ นอกจากเรมี อเล็กซิส และโคดี้แล้ว เธอนึกถึงลู หญิงสาวค่อนข้างเจ้าแผนการและมีประสบการณ์มากกว่า น่าจะเข้าใจตัวเลขนี้ได้ดีกว่า“บางที...” เรมีรุดเข้าไปที่โต๊ะแสตนเนอร์ อเล็กซิสเบี่ยงตัวเดินออกมาให้เขาจัดการ หน้าจอปรากฏข้อมูลต่าง ๆ ขึ้นมามากมาย เทสซ่าสบตากับรีเวอร์ แววตาของเขาเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังไม่ถึงกับยอมแพ้3:24:34เทสซ่าจ้องมันราวกับว่าเธอจะมีพลังจิตสะกดให้หยุดได้...พลังจิต “โคดี้!” นึกได้แล้วก็หุนหันวิ่งออกไปแม้จะหลับสนิทไปไม่กี่ชั่วโมง แต่โคดี้ใช้พลังหนักหน่วงมากระหว่างอยู่นอร์ธ เลือดกำเดาออกถึงสองครั้ง และเมื่อครู่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้อยู่ในห้อง มีเพียง
บลูวิ่งตรงไปหาเพียซ เหมือนเขาพยายามจะพูด แต่ดูเหมือนสูดอากาศเข้าปอดมากกว่า เลือดไหลทะลักออกมาจากอก เดสซิเรย่อตัวข้าง ๆ ขณะที่โอลิแวนผลักบลูออกไป“ไม่เป็นไร เพียซ อดทนหน่อย ฉันจะทำให้นายไม่เจ็บ” แต่เสียงหญิงสาวสั่น “นายต้องอดทน ฉันจะพานายไปหาหมอ”หมอหรือพวกนั้นตายหมดแล้วบลูสบตากับเอมอนและริงโก้ พวกเขาส่ายหน้าเหมือนไม่อยากยอมรับความจริง ยังไม่อยากจะเชื่อ แค่เสี้ยววินาทีแค่นั้น“แกแม่งอึดจะตาย!” เขาหัวเราะออกมา “อดทนอีกนิดเว้ย” แต่ประโยคหลังเสียงกลับสั่น คำพูดที่ออกมาเสแสร้งสิ้นดี ในอกมีช่องว่างขยายเป็นวงกว้าง มือของเขาสั่นเพียซยกมือห้ามไม่ให้เดสซิเรใช้พลัง เขารู้ตัว...เขารู้ว่ามันสายไปแล้ว ต่อให้เธอใช้พลังให้เขาไม่รู้สึกเจ็บปวด แต่เลือดที่ไหลออกมาไม่มีวันหยุด บาดแผลฉกรรจ์เกินไป “รีบ...เตือน...” มือนั้นตกลงข้างตัว ดวงตาสีฟ้าของเขาไม่ได้จับจ้องกับสิ่งใดอีก มันขาดประกายแห่งชีวิตไปแล้ว“ไม่ ๆ” โอลิแวนประคองศีรษะแฟนหนุ่มแนบอก เขาพูดอยู่คำเดียว “ไม่ ๆ”
ไม่ใช่ครั้งแรกที่บลูเข้าไปข้างใน ศูนย์บัญชาการกลางก็เหมือนศูนย์รวมข้อมูล หากมีปัญหาอะไร ต้องการสอบถามเรื่องใดก็มาที่นี่ แต่เขาคุ้นชินกับสถานที่ยามเปิดไฟสว่างจ้าไม่ใช่มืดและรกร้าง มีเจ้าหน้าที่ประจำการทุกจุดหรือแม้แต่เสียงอัตโนมัติ ลิฟต์ข้างในยังใช้การได้แต่ไม่มีใครยอมขึ้น พวกเขาเลือกใช้บันได บางห้องเปิดทิ้งไว้ บางห้องปิดล็อกแน่นหนาบลูเดินวนไปวนมาอยู่บนชั้นสาม ยังไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิต หรือว่าพวกนั้นหนีไปหมด แล้วเสียงเมื่อกี้ล่ะ? เขาเดินวนอยู่รอบห้องที่น่าจะเป็นส่วนสำนักงาน โต๊ะทำงานถูกแบ่งออกเป็นส่วน ๆ กั้นด้วยกระจกขุ่นขนาดประมาณอก แต่ละโต๊ะวางคอมพิวเตอร์จอบางเฉียบ หน้าจอปิดสนิท บนโต๊ะไม่มีเอกสารใด ๆ เลย เหลือไว้เพียงข้าวของเล็ก ๆ เช่นแก้วกาแฟ ปากกา แล้วก็สมุดจด รอบห้องล้อมไปด้วยกำแพงกระจกขุ่น ตรงมุมเพดานมีกล้องวงจรปิด เขาเห็นเดสซิเรแตะไปที่หน้าจอแล้วผงะ“มีอะไร”“ตัวเลข” เธอชี้ไปที่หน้าจอ คอมพิวเตอร์ของที่นี่มีขนาดเล็กบาง บางครั้งหน้าจอก็โปร่งแสง บางครั้งขุ่นมัว เดสซิเรใช้นิ้วปาดทีเดียว หลังจอที่ขุ่นอยู่ก็ปรากฏตัวเลขขึ้นให้ท
ไอ้พวกไร้สมอง หัวกลวง!ก่อนหน้านี้ปืนในมือยังจ่อเล็งไซบอร์ก เวลานี้ปลายกระบอกกลับหันใส่พวกเดียวกัน พวกสมองน้อยตะโกนอ้อนวอนขอให้กลุ่มต่อต้านคุกเข่าวางอาวุธ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง บลูไม่รู้ว่าตัวเองสบถไปกี่คำ แต่มันอาจจะมากกว่าตลอดชีวิตที่เขาเคยสบถใส่รูปของพ่อที่ตายไป เขาแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเพียงได้ยินนิทานหลอกเด็ก นักโทษบางคนกลับหลงเชื่อคำพูดผู้คุม หาได้ไตร่ตรองถึงประสบการณ์ที่ผ่านมาไม่“พวกมึงบ้าไปแล้วหรือไงวะ กะอีแค่เสียงตามสายบอกว่าถูกรางวัล!” เขาตะโกนต่อ “แล้วแม่งก็เชื่อ สัตว์ กูอยู่มาห้าปียังไม่เคยได้สิทธิพิเศษนี้เลย”“แต่พวกเราไม่ได้อยากสู้แต่แรก” นั่นคือเหตุผลของคนโง่กูก็ไม่ได้อยากสู้หรอก ห่า เขามองหน้ามนุษย์ลิงแต่ละตัว บลูไม่ได้อยากให้สถานการณ์มาถึงจุดนี้ ไฟ ควัน ไหนยังจะเลือดและคนตาย อากาศก็หนาวเหน็บถึงกระดูก ยังมาเจอกับสภาวะล่มสลาย แต่มันก็สายเกินกว่าจะกลับไปยืนฝั่งไม่หือไม่อือ ห้าปีในทอยซิตี้สอนให้เขารู้จักทิ้งความหวังแล้วสร้างขึ้นมาเอง ก่อนหน้านี้ความหวังของเขาคือใช้ชีวิตอ
เสียงตามสายเหมือนเสียงแสตนเนอร์ อเล็กซิสจำได้ดีทีเดียว นอกจากทรอยแล้ว เจ้าหน้าที่เธอคลุกคลีด้วยมากที่สุดก็คือเขา“เราไม่ทันตั้งตัวเลย กลุ่มเสี่ยง...พวกคุณพัฒนาไปมากเหลือเกิน มากจนอันตราย มากจนเราไม่อาจต้านทาน แต่พวกคุณก็ยังจำเป็น ยังต้องอยู่ เอชโอวันหมายถึงอาการผิดปกติ คุณอาจจะมองว่ามันเป็นความพิเศษ แต่ก็ดูสิ่งที่พวกคุณทำกับทอยซิตี้ ทั้งหมดตอกย้ำว่าทำไมกลุ่มเสี่ยงต้องอยู่ในนี้ ทำไมพวกเราต้องหาคำตอบ ทำไมพวกเราต้องหาทางรักษา”“บลา บลา” โคดี้ตะโกน “พวกมันพยายามเจรจาโว้ย”“แล้วกลุ่มต้องสงสัยที่ไม่แสดงอาการเล่า พวกคุณยอมรับได้หรือ จู่ ๆ คนกลุ่มหนึ่งก็ทำลายทุกสิ่ง ทำลายชีวิตสงบสุข ทั้งที่อีกไม่กี่เดือน พวกเรารวบรวมรายชื่อผู้ที่อาศัยในทอยซิตี้ในฐานะกลุ่มต้องสงสัยจนไม่อาจเป็นกลุ่มเสี่ยงไว้ อีกไม่กี่เดือน รายงานฉบับนี้จะถูกส่งไปยังทางการ และเมื่อนั้น เราจะส่งพวกคุณกลับบ้าน...”อเล็กซิสกลืนน้ำลาย เธอเข้าใจแล้วว่าพวกเขาต้องการอะไร“อย่าไปฟัง” ใครคนหนึ่งตะโกน แต่ปืนในมือบางคนตกลงข้างตัว หลายคนตกตะลึงก