ชนาธิปดึงเธอให้มาอยู่ด้านหลังตลอดเวลาระหว่างที่เขาเข้าไปตรวจตราห้องนอนที่มีอยู่เพียงสองห้อง ซึ่งห้องของหญิงสาวนั้นยังคงมีรอยเลือดแห้งกรังอยู่บนพื้น และเมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่จริงๆ เขาจึงยอมปล่อยให้เธอจัดการกับธุระส่วนตัว
“เก็บมาแต่เอกสารสำคัญและของที่จำเป็นก็พอ ที่เหลือก็เอาไว้ที่นี่แหละ”
เสียงเรียบๆ พูดกับเธอระหว่างที่เขาหย่อนตัวลงนั่งบนปลายเตียง ต้องรักจึงเดินไปก้มดูใต้เตียงเป็นอย่างแรกพร้อมกับเอามือล้วงเข้าไปด้านใน
คิ้วเรียวสวยเริ่มขมวดมุ่นขึ้นเรื่อยๆ เมื่อควานเข้าไปที่ช่องลับใต้เตียงแล้วไม่พบสิ่งที่ตนซ่อนเอาไว้ ชนาธิปที่มองอยู่ตลอดก็เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ในขณะที่หญิงสาวนั่งแปะลงกับพื้นอย่างหมดแรงพร้อมกับหยาดน้ำที่คลอเต็มหน่วยตา
“เงินช่วยงานศพของแม่หายไปแล้ว รักซ่อนเอาไว้ตรงนี้แต่มันหายไป” คำสุดท้ายถูกกลืนหายไปเพราะมีเสียงสะอื้นมากลบ หญิงสาวยกมือขึ้นปิดหน้าพร้อมกับปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น
ชนาธิปลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วเดินเข้าไปหาคนที่นั่งร้องไห้ตัวโยน จากนั้นจึงช้อนร่างเล็กมานั่งตักเขาบนเตียง
“หายไปแล้วก็ช่างมันเถอะ ระหว่างนี้เธอไปอยู่กับฉันก่อนแล้วค่อยหาทางขยับขยายก็ได้”
นิ้วโป้งของเขาเกลี่ยน้ำตาที่ไหลอาบแก้มลงมาอย่างอ่อนโยน ต้องรักช้อนตามองเขาผ่านม่านน้ำตาก่อนจะส่ายหน้าไปมาช้าๆ
“รักเกรงใจ แค่นี้รักก็รบกวนคุณธิปมากพอแล้ว”
“เรื่องนั้นเอาไว้ค่อยคุยกันทีหลัง ตอนนี้รีบเก็บของที่จำเป็นก่อนดีกว่า แล้วเราค่อยกลับไปนั่งคุยกันที่ห้องของฉันก่อนว่าจะเอาอย่างไรต่อไป ดีไหม”
ชายหนุ่มพูดกับเธออย่างนุ่มนวลและใจเย็น น้ำเสียงของเขาฟังดูเหมือนผู้ใหญ่คุยกับเด็กอย่างไรอย่างนั้น จนต้องรักเผลอตัวพยักหน้าตอบรับเขาไปอย่างง่ายดาย
ต้องรักเก็บเฉพาะเสื้อผ้าแค่ไม่กี่ชุด โดยเฉพาะชุดนักศึกษาและชุดยูนิฟอร์มสำหรับใส่ทำงานที่ผับ หนังสือเรียน เอกสารสำคัญ และของที่จำเป็นต้องใช้ส่วนหนึ่งยัดลงกระเป๋าเสื้อผ้าใบไม่ใหญ่นัก ใจจริงอยากจะขนไปมากกว่านี้ แต่เพราะกระเป๋าที่มีใบเล็กเกินกว่าที่จะใส่ลงไปได้ทั้งหมด
เสร็จเรียบร้อยชนาธิปก็คว้าเอากระเป๋าใบนั้นมาถือไว้เสียเอง ก่อนจะเดินนำหญิงสาวออกจากห้อง ต้องรักอ้าปากจะค้านพร้อมทำท่าจะเข้าไปดึงเอากระเป๋าใบนั้นมาถือ ทว่าพอเจอสายตาคมกริบที่ตวัดมองมาอย่างปรามๆ หญิงสาวจึงได้แต่ปิดปากแล้วเดินตามหลังเขาไปเงียบๆ
หลังจากล็อกบ้านแล้ว เธอก็รีบแทรกตัวเข้าไปนั่งในรถทันทีก่อนที่จะตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่น โดยมีชายหนุ่มร่างสูงตามเข้ามาติดๆ ระหว่างที่รถค่อยๆ เคลื่อนที่ออกจากหน้าบ้าน ต้องรักหันมองสถานที่ที่ตนเคยอยู่อาศัยมาตั้งแต่ยังเป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็กๆ จนกระทั่งเติบโตมาจนบัดนี้อย่างอาลัยอาวรณ์ สัญชาตญาณบางอย่างบอกกับเธอว่าอาจจะไม่ได้กลับมาที่บ้านหลังนี้อีกแล้ว
อุ้งมืออุ่นร้อนของคนข้างๆ เคลื่อนมากุมมือเธอไว้พร้อมกับบีบเบาๆ อย่างให้กำลังใจ หญิงสาวหันไปมองหน้าเขาจนได้สบตากัน แม้ไม่มีคำพูดใดๆ เอื้อนเอ่ยออกมาจากริมฝีปากหยักสวยของเขา แต่ต้องรักก็รับรู้ได้ว่าเขากำลังปลอบ และบอกเธอว่าเขาจะคอยอยู่เคียงข้างตรงนี้ไม่ไปไหน
เมื่อมาถึงเพนต์เฮาส์ของเขา ชายหนุ่มนำกระเป๋าเสื้อผ้าไปวางไว้ให้ในห้องนอนก่อนจะออกมานั่งที่โซฟายาวตัวเดิม ในขณะที่ต้องรักกำลังลังเลว่าจะนั่งตรงไหนดีระหว่างโซฟาเดี่ยวทางขวามือของเขา หรือจะฝั่งตรงข้าม ก็พอดีกับที่มือใหญ่ของคนที่นั่งอยู่ก่อนตบลงบนที่ว่างข้างตัวพร้อมกับสายตาที่มองมาเหมือนคำสั่งกลายๆ
ต้องรักลอบกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ก่อนจะค่อยๆ ก้าวเข้าไปหย่อนตัวลงนั่งบนโซฟาตัวเดียวกันกับเขา เพียงแต่เธอขยับออกมานั่งชิดกับที่วางแขน
และเพราะต้องรักมัวแต่หลุบตาลงมองพื้นเบื้องหน้า เธอจึงไม่ทันเห็นว่าคนข้างกายนั้นลอบอมยิ้มออกมาเล็กน้อยจนแทบมองไม่ออก ทว่าดวงตานั้นเป็นประกายระยิบระยับจนเจ้าตัวต้องผินหน้าไปอีกทางเพื่อไม่ให้หญิงสาวได้เห็น
“ช่วงนี้เธออยู่ที่นี่ไปก่อนละกัน จนกว่าเธอจะหาห้องเช่าได้”
เสียงทุ้มพูดขึ้นมาลอยๆ เมื่อปรับสีหน้าให้เป็นปกติได้แล้ว หญิงสาวหันมองเขาพลางเม้มปากแน่นราวกับกำลังชั่งใจว่าควรพูดออกไปดีหรือไม่ ทว่าพอเห็นสายตาคาดคั้นของเขาพร้อมกับคิ้วเข้มที่เลิกขึ้นเป็นเชิงถาม เธอจึงยอมพูดในที่สุด
“คือ...คือว่ารักเกรงใจคุณธิปค่ะ แค่เมื่อคืนที่ช่วยรักเอาไว้ แถมยังให้ที่นอนรัก รักก็เกรงใจจนไม่รู้จะเกรงใจอย่างไรแล้ว วันนี้รักก็รบกวนคุณธิปทั้งวัน รักเลยคิดว่าเดี๋ยวรักไปขอเพื่อนค้างชั่วคราวก็ได้ค่ะ จนกว่ารักจะมีเงินไปเช่าห้อง”
หญิงสาวสบตาเขาอย่างหวาดๆ ก่อนจะรีบหลบสายตาคมกริบที่มองมานิ่งๆ หากเปรียบสายตาของเขาเป็นดาบเล่มยาว ป่านนี้ร่างทั้งร่างของเธอคงถูกฟันจนไม่เหลือชิ้นดีแล้วเป็นแน่
“ทำกับข้าวเป็นไหม” จู่ๆ เขาก็ถามขึ้นมาลอยๆ
“ก็พอทำได้บ้างค่ะ ตอนแม่ยังอยู่ก็เคยช่วยแม่ทำบ่อยๆ”
ต้องรักตอบเขาไปอย่างงงๆ คุยกันเรื่องจะขอไปอยู่กับเพื่อนอยู่ดีๆ เขาก็วกมาถามเรื่องทำอาหารเสียอย่างนั้น
“งั้นดีเลย ไปซื้อของสดมาใส่ตู้เย็นกันหน่อยดีกว่า”
พูดพร้อมกับลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เห็นต้องรักแหงนหน้ามองเขาจนคอตั้งบ่าด้วยสีหน้างุนงง และปากอิ่มที่เผยอออกเล็กน้อยจนเห็นไรฟันขาวสะอาด ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะก้มลงไปใช้นิ้วล็อกคางมนเอาไว้ ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปจุมพิตแผ่วเบาที่ริมฝีปากแดงระเรื่อนั้น
ต้องรักรู้สึกว่าแก้มร้อนผ่าวขึ้นมาทันทีที่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร สัมผัสนุ่มนวลนั้นส่งผลให้ร่างทั้งร่างเย็นเฉียบราวกับถูกแช่แข็ง ทว่ามีเพียงที่เดียวที่รู้สึกอบอุ่นอ่อนหวานสวนทางกันกับร่างกายที่แข็งเป็นหินของเธอ...หัวใจ...
“ทำกับข้าวมื้อเย็นให้ฉันกินหน่อย ฉันอยากกินอาหารฝีมือเธอ...ได้ไหม”
น้ำเสียงอ่อนโยนและแววตาอบอุ่นของเขาที่มองมาทำให้หญิงสาวพยักหน้าตอบเขาไปอย่างเลื่อนลอย พร้อมกับมือใหญ่ที่ฉุดรั้งมือของเธอให้ลุกขึ้นเดินตามการจับจูงของเขาไป มารู้สึกตัวอีกครั้งก็ตอนก้าวขาเข้ามาในลิฟต์เรียบร้อยแล้ว
ต้องรักก้มลงมองมือที่อยู่ในอุ้งมือของเขาพลางบ่นตัวเองอยู่ในใจ...แบบนี้เขาเรียกแพ้ทางใช่ไหม อยู่ใกล้เขามากๆ ทีไร หัวใจพานหวั่นไหวทำอะไรไม่ถูกทุกที
หญิงสาวหยิบเสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลเข้มออกมาจากราว ระหว่างที่กำลังนึกไปถึงรูปร่างของเขาว่าควรจะสวมไซซ์อะไร แต่สมองกลับคิดไปถึงเรือนกายสูงใหญ่เปลือยเปล่าอวดกล้ามเนื้อหนั่นแน่น ท่อนแขนทรงพลังยามโอบรัดเธอเข้าสู่แผงอกอบอุ่น เสียงทุ้มสั่นพร่าครางแผ่วอยู่ชิดริมหู ยามร่างใหญ่โตของเขาเคลื่อนไหวอยู่บนกายเธออย่างเร่าร้อนหวามไหวตายแล้ว! เลือกซื้อเสื้อให้เขาอยู่ดีๆ แล้วทำไมไปคิดถึงตอนที่นัวเนียกับเขาบนเตียงได้เล่าผิวแก้มร้อนผ่าวจนต้องรักต้องรีบหันหน้าหลบไปอีกทางเพื่อไม่ให้คนอื่นสังเกตเห็น พยายามตั้งสติอยู่กับเสื้อที่ถืออยู่ในมืออีกครั้งพร้อมกับยกมันขึ้นยืดออกไปจนสุดแขนเพื่อมองขนาดของมันให้ชัดเจน“พี่โอ๋คะ เสื้อของผู้ชายนี่ไซซ์มันมาตรฐานเท่ากันทุกยี่ห้อรึเปล่า”ต้องรักหันไปถามคนที่กำลังยืนดูเสื้ออีกฝั่ง ชนิดาหันหน้ามาทางคนถามพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย“เอ...พี่ก็ไม่แน่ใจนะ คงต้องกะขนาดตัวคนใส่เอาเองแล้วละ”ชนิดาไม่กล้าฟันธงลงไป เนื่องจากครั้งหนึ่งเคยซื้อเสื้อให้น้องชายใส่ เธอจำได้ว่าน้องชายใส่เสื้อไซส์ M แต่พอซื้อไปให้กลับกลายเป็นว่าไซส์ M ของยี่ห้อที่เธอซื้อไปขนา
“ทำอะไรอยู่” มุมปากของคนพูดโค้งขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาคมกล้าจริงจังก่อนหน้านี้แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนทันทีที่ได้ยินเสียงของคนที่อยู่ปลายสาย“กำลังนั่งดูซีรีส์กับพี่โอ๋ค่ะ...คุณธิปเป็นอย่างไรบ้างคะ เดินทางเหนื่อยไหม”รอยยิ้มบางๆ เมื่อครู่คลี่ออกกว้างทันทีเมื่อได้ฟังคำถามที่แสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใยที่มีต่อเขา“ได้ยินเสียงเธอก็หายเหนื่อยแล้ว” ร่างสูงเอนหลังไปพิงกับพนักโซฟา เห็นอีกฝ่ายเงียบไป ไม่ต้องเดาก็รู้ได้ว่าคนฟังคงกำลังยิ้มเขินจนหน้าแดงก่ำ อารมณ์ขุ่นมัวที่เคธี่สร้างไว้มลายหายไปแล้ว แทนที่ด้วยความคิดถึงแสนหวานล้ำที่ค่อยๆ โอบล้อมหัวใจเขาเสียจนอยากกลับไปเห็นหน้าเธอวันนี้และเดี๋ยวนี้“จริงสิ...ต้องรัก ฉันต้องอยู่ที่นี่ยาวไปสองอาทิตย์นะ มีธุระด่วนเข้ามาพอดีน่ะ” พูดพลางปิดเปลือกตาลงด้วยความเหนื่อยหน่าย หากรู้ตั้งแต่แรก เขาคงไม่มาอาทิตย์นี้ คงรวบยอดมาอาทิตย์หน้าเลยทีเดียว เจตนาของนิโคลัสเห็นได้ชัดว่าต้องการรั้งเขาให้อยู่ที่นี่นานที่สุดเท่าที่จะทำได้จึงไม่ยอมปริปากเรื่องงานเลี้ยงอาทิตย์หน้าให้เขาฟังเลยแม้แต่ประโยคเดีย
“ใช่...ถ้ามีโอกาส” วิลผงกศีรษะขึ้นลงช้าๆ รู้สึกใจหายกับประโยคสุดท้ายของเพื่อนรักทั้งคู่นั่งนิ่งกันไปอีกพักใหญ่ๆ แต่สุดท้ายวิลก็เป็นฝ่ายลองพูดโน้มน้าวเพื่อนอีกครั้ง“ฉันว่านายกลับไปคิดให้ดีก่อนดีกว่านะทิม อีกตั้งสามเดือน ยังมีเวลาให้นายได้ตัดสินใจว่าจะเลือกเดินทางไหน แต่สำหรับฉัน ฉันคิดว่าเคธี่เหมาะสมกับนายที่สุดแล้ว นายจะยอมเสียสละทุกอย่าง ยอมแลกทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิตของตัวเองเพียงเพราะผู้หญิงคนหนึ่งจริงๆ หรือเพื่อน”ชนาธิปผินหน้ามามองคนพูดพลางยกแก้วบรั่นดีขึ้นกระดกลงคอจนหมดในอึกเดียว จากนั้นจึงพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ“แต่คนบางคนก็ควรค่าแก่การเสียสละไม่ใช่หรือ”ชนาธิปกับวิลกลับมาถึงคฤหาสน์ในเวลาล่วงเข้าวันใหม่ไปแล้วเกือบสองชั่วโมง นัยน์ตาสีนิลมองไปยังประตูบานใหญ่เบื้องหน้า เวรยามแน่นหนาและกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งไว้รายรอบเป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าคฤหาสน์หลังนี้ไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะเข้าออกได้ตามอำเภอใจวิลขับรถเข้าไปจอดในโรงรถที่อยู่ด้านหลังคฤหาสน์ จากนั้นทั้งคู่ก็พากันเดินไปตามทางที่ปูด้
ภายใต้แสงไฟสลัวรางของผับหรูแห่งหนึ่ง ปรากฏร่างของบุรุษหนุ่มสองคนที่ต่างเชื้อชาตินั่งประจันหน้ากันอยู่ที่โต๊ะด้านในสุด ทั้งคู่กวาดตามองบรรยากาศโดยรอบด้วยแววตาไร้ความรู้สึก ราวกับว่าเสียงเพลงจังหวะเร้าใจและหญิงสาวสวยมากหน้าหลายตาที่กำลังวาดลีลาเร่าร้อนตามจังหวะเพลงเหล่านั้นหาได้มีความหมายใดๆ กับพวกเขาเลยแม้แต่น้อยกระทั่งในที่สุด ชายร่างใหญ่ผู้เป็นเจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าอมเทาก็ผินหน้ามาที่ผู้ร่วมโต๊ะและเป็นฝ่ายเปิดปากขึ้นมาก่อน“นายจะปฏิเสธจริงหรือทิม” แม้น้ำเสียงจะฟังดูเรียบเรื่อย แต่หัวคิ้วของผู้พูดกลับขมวดเป็นปมเมื่อมองหน้าอีกฝ่าย“ใช่ ฉันแต่งงานกับเคธี่ไม่ได้”ชนาธิปตอบโดยไม่แสดงอาการลังเลออกมาให้เห็น ก่อนจะยกแก้วบรั่นดีขึ้นจดริมฝีปาก เขารู้ว่าเพื่อนสนิทกำลังกังวลเรื่องอะไร แต่เขาก็ได้ตัดสินใจไปแล้ว“เคธี่รักนายมากนะ ฉันรู้ดี” วิลพูดพลางหลุบสายตาลงต่ำเพื่อปิดบังไม่ให้คนที่ฉลาดเป็นกรดอย่างชนาธิปจับสีหน้ากับแววตาของตนได้ ในขณะที่อีกฝ่ายหันมามองแล้วลอบยกยิ้มที่มุมปาก“จริงอยู่ว่าเคธี่รักฉัน แต่เธอไม่ได้รักในแบบคนรัก นายก็รู้ว่าเคธี่กับฉันเติบโตมาด้วยกันจนแทบจะเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกันอยู
ชนาธิปเดินลงมาจากชั้นสองก่อนเวลาดินเนอร์ประมาณครึ่งชั่วโมง เขาชะงักเท้าทันทีเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่พอกันกับเขาแต่อีกฝ่ายลำตัวหนากว่ายืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงคอยท่าอยู่ตรงเชิงบันได“ยินดีต้อนรับกลับมา พี่ชาย” คนยืนรอเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายขึ้นก่อน ชนาธิปยิ้มบางๆ ก่อนจะเดินเข้าไปสวมกอดร่างหนาหลวมๆ แทนคำทักทาย“ผมทรงใหม่ของนายเข้าท่าดีนะวิล”ชนาธิปมองทรงผมทรงใหม่ของบอดีการ์ดหนุ่มด้วยแววตากึ่งทึ่งกึ่งขำ เพราะมันเป็นทรงเดียวกับนักฟุตบอลคนหนึ่งของทีมเรอัลมาดริดคนถูกทักเรื่องทรงผมทำหน้าอิหลักอิเหลื่อ กระแอมออกมาครั้งหนึ่งก่อนอ้อมแอ้มบอกเสียงค่อย“คุณหนูลากไปตัดเมื่อวานนี้”ได้ฟังอย่างนั้นชนาธิปเกือบหลุดหัวเราะแต่ก็อดเห็นใจอีกฝ่ายไม่ได้ เคธี่นั้นคลั่งไคล้นักฟุตบอลทีมนี้มาก จึงมักพร่ำเพ้ออยู่บ่อยๆ และคนที่ต้องตกเป็นตุ๊กตาให้เธอก็เห็นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากวิล บอดีการ์ดหนุ่มที่คอยตามติดไม่ห่างนั่นเองมื้อค่ำวันนี้มีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคนนั่นคือชนาธิป เพราะตามปกติแล้วจะมีเพียงแค่นิโคลัส เคธี่ และวิลเ
รถทั้งหมดมาหยุดลงตรงเทอร์เรซหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ บุรุษต่างชาติที่นั่งอยู่ด้านหน้าคู่กับคนขับรีบลงจากรถเพื่อมาเปิดประตูให้ชนาธิป ในขณะที่เอกรัฐเปิดประตูรถด้วยตัวเองเพราะรู้สถานะของตนดีว่าอยู่ในฐานะอะไรร่างสูงก้าวขาลงจากรถ เขาหันไปขอบคุณชายที่เปิดประตูให้เบาๆ ก่อนจะเดินขึ้นบันไดหินอ่อนเข้าสู่ตัวคฤหาสน์โดยมีเอกรัฐตามมาด้านหลัง ฝีเท้ามั่นคงหนักแน่นชะงักเล็กน้อยเมื่อยืนอยู่หน้าประตูไม้โอ๊กขัดเงาบานใหญ่ เพราะทันทีที่เขาย่างเท้าเข้าไปด้านใน โซ่ตรวนที่มองไม่เห็นก็จะปรากฏขึ้นมาพันธนาการเท้าทั้งสองข้างของเขาไว้ทันทีซึ่งมันจะถอดออกได้ก็ต่อเมื่อเขากลับไปเมืองไทยเท่านั้น!“ยินดีต้อนรับกลับบ้าน ไอ้ลูกชาย”เสียงทุ้มทรงอำนาจดังขึ้นทันทีที่ชนาธิปเหยียบย่างเข้าสู่คฤหาสน์ ชายหนุ่มหันมองไปตามเสียง เห็นร่างสูงใหญ่อย่างชาวอเมริกันของนิโคลัส รูคส์ มาเฟียผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่งของสหรัฐอเมริกากำลังยืนดูดซิการ์อยู่หน้าเตาผิงในห้องรับแขก มุมปากที่คาบซิการ์อยู่นั้นโค้งขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาคมกริบสีเทาเด็ดเดี่ยวมีประกายยินดีเมื่อเห็นเขา“สวัสดีครับนายท่าน”