Share

บทที่ 2.1

last update Last Updated: 2025-09-05 17:15:07

        ‘ผู้..ที่...ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด

        ผู้ที่เล็กที่สุด ก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด

        ผู้ที่มีเกียรติ คือ ผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น…’

        เสียงเจื้อยแจ้วยานคางของเด็ก ๆ ในชั้นกำลังพากันท่องสุภาษิตจีนซึ่งหนึ่งในกิจวัตรประจำวันที่เด็ก ๆ ต้องทำก่อนเลิกเรียนเพื่อย้ำเตือน และให้เด็กเหล่านั้นได้ซึมซับแง่คิดที่บรรพบุรุษเคยเขียนเอาไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ประพฤติปฏิบัติตาม อี้ถิงที่นั่งหน้าชั้นเรียนท่องมันอย่างตั้งใจ เมื่อท่องจบประโยคเสียงกริ๊งเลิกเรียนก็ดังขึ้นพอดี เด็ก ๆ ดีใจรีบเก็บกระเป๋าร่ำลาครูประจำชั้นวิ่งตึงตังออกจากห้องเรียนราวกับดีใจที่ได้เป็นอิสระหลังจากที่ต้องอดทนนั่งเรียนมาหลายชั่วโมง

        หลี่อี้ถิงเองก็เป็นหนึ่งในเด็ก ๆ เหล่านั้น แม้ในคาบเรียนเธอจะตั้งใจเรียนมากเพื่อไม่ให้เงินที่มารดาส่งเสียทุกหยวนเสียเปล่า แต่เมื่อได้เวลาเลิกเรียนเธอก็ไม่รีรอที่จะเก็บของใส่กระเป๋าร่ำลาคุณครูประจำชั้นแล้วก็วิ่งตึกตักออกไปจากห้องเรียนทันที

        ตอนเช้ามารดาจะเดินมาส่งเธอที่โรงเรียนทุกเช้า แต่เมื่อเลิกเรียนเธอต้องเดินกลับบ้านเองเพราะมารดาของเธอต้องทำงานจึงไม่สามารถมารับได้ หลี่อี้ถิงแม้จะเป็นเพียงแค่เด็กเจ็ดขวบยังไม่โตในสายตาผู้ใหญ่ แต่สำหรับเธอที่ต้องปากกัดตีนถีบกับมารดาสองคนแล้ว นับว่าเธอนั้นโตทางความคิดและช่วยเหลือตัวเองได้ดีมากกว่าเด็กในชั้นทั่วไป  เพราะฐานะทางบ้านที่ยากลำบากมาตั้งแต่เกิด อี้ถิงที่เห็นมารดาทำงานอย่างหนักมาตัวคนเดียว ตอนสี่ขวบเธอเคยเห็นมารดาแอบไปร้องไห้เงียบ ๆ คนเดียวในห้องน้ำ

แม้เธอในวัยนั้นจะไม่เข้าใจมากนักว่าเหตุใดมารดาถึงได้หลั่งน้ำตา แต่เมื่อมารดาออกจากห้องน้ำ กลับยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยนราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นและเป็นแบบนั้นทุกครั้ง เธอจึงท่องในใจมาตั้งแต่เด็กว่าจะไม่ทำให้มารดาต้องหลั่งน้ำตาเพราะเธอแม้แต่หยดเดียว เธอจึงตั้งใจเรียน เป็นเด็กดีของหม่าม้า เชื่อฟังหม่าม้าทุกคำ เพื่อให้แม่ของเธอได้ยิ้มอย่างมีความสุข และหวังว่าสักวันเธอจะหาเงินเยอะ ๆ มาเลี้ยงดูมารดาเพราะไม่อยากให้มารดาต้องเหนื่อยอีก

        “ว่าไงเจ้าตัวเล็กเลิกเรียนแล้วเหรอ?” พี่ชายตัวใหญ่ในชุดเชฟสีขาวทักทายเด็กสาวเมื่อเห็นเธอเปิดประตูหลังร้านเข้ามา  อี้ถิงโค้งตัวทักทายผู้ใหญ่อย่างมีมารยาทตามที่มารดาพร่ำสอนเสมอ

        “สวัสดีค่ะ”

        “แม่ของเธอทำงานอยู่ข้างใน...จานในอ่างล้างได้เลยนะ” เสียงของน้าหยุนปิงเพื่อนหม่าม้าเอ่ยบอก หลี่อี้ถิงก็พยักหน้าเข้าใจทันที เธอแขวนกระเป๋านักเรียนไว้ที่ล็อคเกอร์ของหม่าม้าก่อนสวมผ้ากันเปื้อนวิ่งจู๊ดไปนั่งล้างจานหลังครัวอย่างขะมักเขม้น  ชะเง้อมองหามารดาเป็นระยะ ๆ

        “เจ้าเด็กนี่ขยันดีเนอะ”

        “อือ ไม่เคยอู้เหมือนนายเลย” หยุนปิงแซวเพื่อนร่วมงานกลับ งานหลังครัววุ่นวายมากเสียงตะหลิวกระทบกระทะดังไม่หยุด ร้านอาหารของเถ้าแก่จางลูกค้าเยอะมาก อี้ถิงเห็นหม่าม้าเดินหัวหมุนเสิร์ฟอาหารก็พลันยิ้มเพียงลำพังเมื่อเห็นคนที่อยากเจอแล้วก็อุ่นใจ

         หลังเลิกเรียนอี้ถิงจะแวะมาช่วยพี่ ๆ ล้างจานในครัวเถ้าแก่ก็ไม่ใจร้ายใช้แรงงานเด็กฟรีเขาให้ค่าตอบแทนเธอตามสมควรแม้จะไม่มากแต่อะไรที่เป็นเงินอี้ถิงก็ทำหมดเพราะอยากช่วยมารดา

        เพราะเรามีกันแค่สองคนแม่ลูกนี่นา..

        เห็นเหงื่อที่ไหลลงมาข้างขมับมารดาแล้ว ใบหน้าที่อิดโรยเหนื่อยล้า บางครั้งอี้ถิงก็น้ำตาซึมที่เห็นมารดาทำงานหนักเพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูเธอ เธอปาดน้ำตาทิ้งแล้วตั้งใจล้างจานให้สะอาดทุกใบ

        งานแค่นี้เธอไม่เหนื่อยเลย

        ไม่แม้แต่นิดเลยด้วยซ้ำ

        เหลียนฟางที่กำลังวุ่นอยู่หน้างานพอเดินกลับเข้ามาหลังร้านเห็นลูกสาวกำลังล้างจานอยู่ก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ เขาหอมแก้มลูกสาวแป๊บ ๆ ก็ต้องรีบรับออเดอร์ไปเสิร์ฟลูกค้าโต๊ะอื่นต่อจนกระทั่งเวลาพักทานข้าวก็เป็นเวลาสองทุ่มพอดี เขาจึงเดินตรงมาหาลูกสาวที่กำลังล้างจานใบสุดท้ายเสร็จ  อี้ถิงช่วยงานตั้งแต่เวลาเลิกเรียนจนถึงสองทุ่มเป็นเวลาพักทานข้าวของมารดา ดังนั้นเหลียนฟางจึงใช้เวลาพักนี้เดินไปส่งลูกสาวที่บ้านหลังเล็ก ๆ ของเรา กินข้าวที่นั่นเมื่อใกล้ถึงเวลาก็กลับเข้าไปทำงาน เป็นแบบนี้ทุกวัน…

        “หม่าม้าไปทำงานต่อก่อนนะ ฝันดีนะคะ” เหลียนฟางจูบเบา ๆ บนหน้าผากลูกสาวที่นอนอยู่บนฟูก

        “ทำงานเสร็จแล้วรีบกลับบ้านนะคะ หนูเป็นห่วง” เสียงของลูกสาวกับประโยคที่ได้ฟัง เป็นใครก็ใจอ่อนยวบเหมือนขนมสายไหมที่โดนน้ำ

        “รับทราบค่ะ” เหลียนฟางยิ้มให้เธอ  ก่อนประตูจะปิดลง เหลือเพียงเด็กสาวที่นอนลืมตาโพลงท่ามกลางความมืดกับแสงไฟจากตึกสูงตรงข้ามที่เล็ดลอดเข้ามา

        หม่าม้ากลับออกไปทำงานแล้ว เธอนอนไม่หลับ...เธอเป็นห่วงหม่าม้าทุกคืนจึงแสร้งว่าหลับแล้วแต่จริง ๆ แล้วนั้นเธอจะหลับได้อย่างอุ่นใจก็ต่อเมื่อเห็นหม่าม้าเปิดประตูเข้ามาอีกครั้ง ซึ่งนั่นก็เป็นเวลาเที่ยงคืนนิด ๆ ข้อนี้หม่าม้าไม่เคยรู้และอี้ถิงก็ไม่เคยบอกเพราะไม่อยากให้หม่าม้าต้องกังวล

        เธอนอนไม่หลับจึงได้ลุกขึ้นและหยิบสมุดวาดรูปกับกล่องสีไม้ที่ได้จากการชนะการเขียนเรียงความขึ้นมาวาดรูประบายสีรอมารดาเลิกงาน โต๊ะเขียนหนังสือของเธอเป็นโต๊ะสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ข้างหน้าต่าง มองออกไปก็เห็นป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ เธอยิ้มเมื่อเห็นป้ายโฆษณาถูกเปลี่ยนใหม่

        ภาพของหวังอวี้เฟิงในสูทดำใส่แว่นโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยี่ห้อหนึ่งทำให้เธอวางมือจากสมุดวาดรูปเหล่านั้น นั่งเท้าคางมองหน้าหวังอวี้เฟิงยิ้มอย่างดีใจราวกับว่าเห็นเขาคนนั้นอยู่ตรงหน้าจริง ๆ

        จะว่าไปอีกไม่กี่วันก็วันเกิดของหม่าม้าแล้ว

        หลี่อี้ถิงรู้ดีว่าจะซื้ออะไร

        เงินที่ได้จากเถ้าแก่มาวันนี้หากรวมกับเงินที่เก็บไว้ก็น่าจะพอสำหรับของขวัญชิ้นเล็กที่เธอตั้งใจอยากจะซื้อให้หม่าม้าในวันเกิด เธอลุกเดินไปหยิบกระปุกออมสินเก่า ๆ ที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าแล้วเดินกลับมาที่โต๊ะ นั่งมองมันสลับกับป้ายบิลบอร์ดที่มีหวังอวี้เฟิงมองหน้าเธออยู่

        “คุณว่าหม่าม้าจะชอบไหม?” ดวงตาสุกสกาวมองหน้าหวังอวี้เฟิงที่อยู่ในท่ายิ้มมุมปากเป็นเชิงคำถาม

        “…..”

        “ชอบงั้นเหรอ? ใช่ค่ะหนูก็คิดว่าหม่าม้าต้องชอบแน่นอน” เธอถามเองตอบเอง คุยกับป้ายโฆษณางึมงำลำพังอมยิ้มเมื่อนึกถึงสีหน้าตอนที่มารดาเห็นของขวัญของเธอ

        หลี่อี้ถิงวางทุกสิ่งในมือ เธอนอนเท้าคางมองหน้าหล่อของหวังอวี้เฟิงแล้วก็เผลอหลับไปทั้งอย่างนั้น

        เที่ยงคืนได้เวลากลับบ้านเหลียนฟางจึงได้เห็นลูกสาวนอนฟุบอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือข้างหน้าต่างก็อดแปลกใจไม่ได้   แต่เมื่อมองออกไปเห็นใบหน้าหล่อจัดของใครบางคนอยู่ตรงนั้นเขาก็พอเข้าใจแล้ว   เหลียนฟางอุ้มลูกกลับมานอนบนฟูกห่มผ้าให้เธอ ก่อนเดินมาหยุดข้างหน้าต่างมองหน้าอวี้เฟิงแบบนั้นอยู่พักใหญ่ ยืนเงียบ ๆ มองเขาอยู่อย่างนั้นก่อนปิดผ้าม่านลงจัดการตัวเองแล้วนอนกอดลูกสาวเหมือนทุกคืน แต่ดูเหมือนว่าคืนนี้จะอบอุ่นกว่าทุกครั้ง

        ไม่รู้ว่าเป็นเพราะป้ายโฆษณายักษ์นั่นหรือเปล่าที่ทำให้เหลียนฟางนอนอมยิ้ม

        อบอุ่นราวกับเหมือนว่ามีเขานอนอยู่ข้างกันจริง ๆ

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • กรงแค้นขังรัก [Mpreg]   บทที่ 3.1

    ‘ทำไมหม่าม้าถึงชอบหวังอวี้เฟิงเหรอคะ?’ ‘…..’ หม่าม้าไม่เคยตอบคำถามนี้เลย แต่กลับยิ้มสวยให้กับลูกสาว ‘เป็นเพราะเขาเก่งแล้วก็หล่อใช่ไหมคะ? นั่นสิขนาดคุณครูที่โรงเรียนหนูยังชอบเขาเลย’ อี้ถิงเคยถามมารดาอยู่หลายครั้ง แต่กลับไม่ได้รับคำตอบเลยเธอจึงคิดว่าที่มารดาชอบอวี้เฟิงมากก็คงเพราะหล่อและเก่งมาก ๆ เหตุผลคล้ายกับแฟน ๆ คนอื่นที่ชื่นชอบเขา แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามเถอะ สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ มารดาของเธอชอบหวังอวี้เฟิงมาก แม้ครอบครัวของเราจะไม่มีเงินมากพอที่จะแบ่งเงินไปสนับสนุนซื้อสินค้าที่เขาเป็นพรีเซนเตอร์ได้ และสิ่งเดียวที่แสดงออกถึงความรักของมารดาที่มีต่ออวี้เฟิงได้ก็คือตัดรูปเขาในหนังสือพิมพ์เก็บเอาไว้ในกล่องคุกกี้เก่า ๆ นั่น เด็กสาวเดินมาหยุดตรงหน้าเค้าท์เตอร์ชำระเงินที่มีพี่พนักงานกำลังเล่นมือถือด้วยท่าทางเพลิดเพลินจนลืมสังเกตว่ามีลูกค้าตัวน้อยยืนรอนานแล้ว “อูย ขอโทษจะพอดีป้ายโฆษณามันบังพี่เลยมองไม่เห็น” เธอโบ้ยไปเรื่อย อี้ถิงยิ้มอ่อน “ไม่เป็นไรค่ะ” “มีอะไรให้พี่ช่วยหรือเปล่า?” เธอถามลูกค้าตัวน้อย เด็กสาวพยักห

  • กรงแค้นขังรัก [Mpreg]   บทที่ 2.2

    “ดี ดี ดี ดีมาก แบบนั้น…หล่อมาก” ตี๊ด ตี๊ด ตี๊ด ตี๊ด ช่างภาพกดชัตเตอร์รัวไม่หยุด ในเมื่อนายแบบเอเนอร์จี้ยังเต็มร้อยขนาดนี้แม้ตอนนี้จะเป็นเวลาตีหนึ่งแล้วก็ตามแต่ก็ยังดูเหมือนว่า หวังอวี้เฟิง ยังไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย ใบหน้าหล่อจัดของเขายังคงดูสดใสราวกับคนนอนเต็มอิ่มทั้งที่ลุยงานกันมาตั้งแต่เช้า “เซตสุดท้ายแล้วครับ พักก่อนไหมครับ?” “ไม่เป็นไรครับ ถ่ายต่อได้เลยครับ” เป็นคำตอบที่ช่างภาพต้องการมากที่สุดก็คือคำนี้แหละ ในเมื่อฟีลกำลังได้หากหยุดกลางคันก็อาจทำให้พลังงานขาดช่วงและยืดเวลาทำงานออกไปอีก ดังนั้นหากนายแบบโอเคสิ่งที่ช่างภาพอย่างเขาต้องทำคือรีบกดปุ่มชัตเตอร์รัว ๆ ด้วยความว่องไวและมืออาชีพ อย่างน้อยก็มีสตาฟอีกหลายคนที่เริ่มจะง่วงเต็มที เขาคนหนึ่งแหละที่เริ่มจะคิดถึงหมอนนุ่ม ๆ แล้ว “หล่อมากเลยเนอะ” “ใช่ เมื่อกี้ตอนพักกอง ฉันขอถ่ายรูปเขาก็ให้ถ่ายนะ ใครว่าเขาหยิ่ง ฉันว่าเขาแค่นิ่งเท่านั้นแหละ” “หยิ่งอะไรกันแม่จะตีปากให้ หากหวังอวี้เฟิงหยิ่งล่ะก็ โลกนี้ก็ไม่มีใครดีแล้ว” “ใช่” แล้วสองสาวก็แปะมือกัน แน่นอนพวกเธอคือห

  • กรงแค้นขังรัก [Mpreg]   บทที่ 2.1

    ‘ผู้..ที่...ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุด ก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติ คือ ผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น…’ เสียงเจื้อยแจ้วยานคางของเด็ก ๆ ในชั้นกำลังพากันท่องสุภาษิตจีนซึ่งหนึ่งในกิจวัตรประจำวันที่เด็ก ๆ ต้องทำก่อนเลิกเรียนเพื่อย้ำเตือน และให้เด็กเหล่านั้นได้ซึมซับแง่คิดที่บรรพบุรุษเคยเขียนเอาไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ประพฤติปฏิบัติตาม อี้ถิงที่นั่งหน้าชั้นเรียนท่องมันอย่างตั้งใจ เมื่อท่องจบประโยคเสียงกริ๊งเลิกเรียนก็ดังขึ้นพอดี เด็ก ๆ ดีใจรีบเก็บกระเป๋าร่ำลาครูประจำชั้นวิ่งตึงตังออกจากห้องเรียนราวกับดีใจที่ได้เป็นอิสระหลังจากที่ต้องอดทนนั่งเรียนมาหลายชั่วโมง หลี่อี้ถิงเองก็เป็นหนึ่งในเด็ก ๆ เหล่านั้น แม้ในคาบเรียนเธอจะตั้งใจเรียนมากเพื่อไม่ให้เงินที่มารดาส่งเสียทุกหยวนเสียเปล่า แต่เมื่อได้เวลาเลิกเรียนเธอก็ไม่รีรอที่จะเก็บของใส่กระเป๋าร่ำลาคุณครูประจำชั้นแล้วก็วิ่งตึกตักออกไปจากห้องเรียนทันที ตอนเช้ามารดาจะเดินมาส่งเธอที่โรงเรียนทุกเช้า แต่เมื่อเลิกเรียนเธอต้องเดินกลับบ้านเองเพราะมารดาของเธอต้องทำงานจึงไ

  • กรงแค้นขังรัก [Mpreg]   บทที่ 1.2

    เอี๊ยด ประตูเหล็กบานเก่าปิดลงช้า ๆ ด้วยความระมัดระวังกลัวว่าเสียงประตูเหล็กจะเสียดสีดังกันจนทำให้เจ้าตัวเล็กที่กำลังหลับอยู่บนฟูกสีครีมตัวเก่านั้นจะตื่นขึ้นมา “หม่าม้า” แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ทันแล้ว เหลียนฟางรีบวางข้าวของในมือก่อนถลาตัวล้มลงนอนข้าง ๆ ลูกสาววัยเจ็ดขวบที่กำลังสะลึมสะลือคล้ายกับจะตื่น แขนเล็ก ๆ ของลูกสาวกอดเอวคอดบางของผู้เป็นมารดาไว้แน่น เหลียนฟางนอนลูบผมเด็กน้อยอยู่ครู่หนึ่งก่อนเธอจะหลับสนิทลงอีกครั้งอย่างวางใจที่เห็นมารดากลับบ้านอย่างปลอดภัย เหลียนฟางจัดของที่ได้มาเข้าตู้เย็น อาหารที่ลูกค้ากินเหลือเถ้าแก่เองเสียดายไม่อยากทิ้งจึงอนุญาตให้พนักงานในร้านเอากลับบ้านไปกินต่อได้ แน่นอนว่าคนที่หาเช้ากินค่ำใช้แรงงานแลกเงินอันน้อยนิดอย่างพวกเขาอะไรที่ประหยัดได้ก็ต้องประหยัด พวกเขาไม่เคยรังเกียจมัน กลับกันก็คิดบวกว่าดีเสียอีกประหยัดข้าวได้ตั้งหนึ่งมื้อเงินที่จะต้องไปซื้อข้าวมื้อนั้นเหลียนฟางก็หยอดเก็บเป็นค่าเทอมให้อี้ถิงได้แม้จะไม่มาก ก็ดีกว่าเก็บไม่ได้เลย ร่างบางจัดการอาบน้ำชำระร่างกายจนสะอาดใส่ชุดนอนสีเทาเก่า ๆ ล้มตัวนอนข้างลูกสาวที่แสนน่า

  • กรงแค้นขังรัก [Mpreg]   บทที่ 1.1

    “จากงานประกาศรางวัลที่จบลงไปเมื่อวันก่อน ผู้ที่ได้รางวัลนักแสดงดาวรุ่งยอดนิยมแห่งปี จะเป็นใครไปไม่ได้หากไม่ใช่ หวังอวี้เฟิง นักแสดงชายยอดนิยมที่ยังคงครองตำแหน่งอันดับสูงสุดบนยอดพีระมิดมาห้าปีซ้อน…” เสียงบนจอ LCD ยักษ์ฉายภาพผู้ประกาศข่าวกำลังรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานกับงานประกาศรางวัลครั้งใหญ่แห่งปี บนจอใหญ่ยักษ์ฉายภาพช่วงหนึ่งที่หวังอวี้เฟิงเดินไปรับรางวัลบนเวที ใบหน้าหล่อจัดเมื่อต้องแสงไฟนับพันดวงยิ่งเสริมทำให้เขาดูเปล่งประกายเหมือนดาวจรัสแสงที่อยู่บนฟ้าสมรางวัลที่ได้หวังอวี้เฟิงยิ้มมุมปากเล็กน้อยโค้งตัวขอบคุณทุกคนที่คอยสนับสนุนเขาก่อนเดินลงเวทีอย่างสง่างาม เพียงแค่ยิ้มเล็ก ๆ บนมุมปากก็ทำให้แฟนคลับกรี๊ดดังลั่นได้ยินถึงดาวอังคาร นอกจากหล่อดั่งเทพบุตรที่แฟน ๆ ตั้งให้ ฉายาเสือยิ้มยากก็เป็นอีกฉายาที่ได้รับมาเช่นกันรอยยิ้มของอวี้เฟิง จึงเป็นดั่งขุมทรัพย์ที่แฟน ๆ ทั้งประเทศต่างก็โหยหา หลี่เหลียนฟางยืนมองดูจอยักษ์และยิ้มดีใจไปพร้อม ๆ กับผู้คนที่ยืนแออัดสายตาจับจ้องไปยังจุดหมายปลายทางเดียวกัน เสียงกรี๊ดกร๊าดของสาว ๆ นับร้อยดังขึ้นพร้อมกันไม่ได้นัดหมาย เหลียนฟางเอง

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status