LOGINเช้าวันถัดมา
“ขึ้นรถเร็วๆ วันนี้ เราต้องรีบเข้าเมือง มีหลายอย่างต้องทำ” เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาเอ่ยเสียงขรึม ดวงตาจ้องมองร่างบางฉายแววนิ่งเฉย ไม่แสดงอาการใดให้หญิงสาวรู้ความคิดข้างใน
“ค่ะ”
ศศิกาญจน์คิดว่าจะเดินไปนั่งด้านหลัง เพราะมองผ่านกระจกเข้าไปเห็นเบาะข้างคนขับมีซองสีน้ำตาลปึกใหญ่วางไว้ที่เบาะนั่งข้างคนขับ ร่างบางสวยจึงเปลี่ยนไปเปิดประตูด้านหลังคนขับเตรียมตัวจะก้าวขึ้นรถ แต่แล้วต้องชะงักกับเสียงเข้มที่ดังขึ้น
“มานั่งข้างหน้า” เสียงกึ่งสั่งการกึ่งบังคับดังขึ้น
ศศิกาญจน์มองหน้าเขาแล้วถามกลับ “จะให้นั่งตรงไหนคะ ก็ที่เบาะไม่ว่าง”
“ถ้าไม่รู้ว่านั่งตรงไหน จะนั่งที่ตักคนขับก็ได้นะ”
“พ่อเลี้ยง!”
ศศิกาญจน์หันไปมองค้อนใส่ จอมทัพสอดตัวเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัย หยิบซองเอกสารที่ภายในมีเงินปึกใหญ่ขึ้นมา หญิงสาวเห็นดังนั้นก็รีบเปิดประตูไปนั่งข้างคนขับ จากนั้นมือหนาก็ยื่นซองเอกสารหนักอึ้งมาส่งให้
“ฝากถือหน่อย”
ดวงหน้าสวยน่ารักก้มมองซองสีน้ำตาลที่ถู
ศศิกาญจน์ได้ยินจอมทัพพูดแบบนั้นพร้อมมองตรงมาก็รีบลดเมนูลง แล้วมองคนตรงหน้าที่กินดุจริงๆ อาหารมากมายบนโต๊ะถูกเขาจัดการเกือบเกลี้ยงทุกจานแล้วยังพูดอีกว่าหิว นี่เธอกำลังเผชิญกับตัวอะไร“พ่อเลี้ยง...” พอนึกขึ้นได้ศศิกาญจน์ก็ถึงกับชะงัก “กินอาหารไปตั้งเยอะ ยังไม่อิ่มอีกเหรอคะ”จอมทัพพูดแก้เก้อ เขาไม่ได้หิวข้าว ที่หิวก็คือคนน่าอร่อยตรงหน้าต่างหาก“ช่วงนี้ พี่หิวบ่อย” แล้วแก้เก้อด้วยการขอให้ศศิกาญจน์ช่วยสั่งของหวานเหมือนของเธอให้เขาอีกถ้วยจอมทัพกินขนมหวานที่ศศิกาญจน์สั่งมาเหมือนแบบเดียวกับเธอ พร้อมลอบมองใบหน้าหวานๆ ก่อนจะสะดุดตากับนิ้วนางข้างขวาที่มี ‘แหวนคลัดดาห์’ ซึ่งเป็นเครื่องประดับดั้งเดิมของชาวไอริช แหวนชนิดนี้มีลักษณะเป็นรูปมือทั้งสองข้าง โอบประคองหัวใจ เป็นตัวแทนแห่งมิตรภาพ ความรัก และความภักดีจอมทัพรู้สึกคุ้นตากับแหวนวงนี้ แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก แม้ว่าแหวนคลัดดาห์จะมีมากมาย แต่แหวนคลัดดาห์วงนี้มีเพชรรูปหัวใจสีฟ้าซึ่งหาได้ยาก และเขาต้องเคยเห็นแหวนวงนี้ที่ไหนมาก่อน พอเห็นศศิกาญจน์สว
อีกฟากเป็นเวลาใกล้เที่ยง จอมทัพเหลียวมองคนนั่งข้างๆ พลางเอ่ยขึ้น เพราะคนที่ต้องใช้ทั้งแรงและสมองในการทำงานอย่างเขาต้องกินให้อิ่มท้อง จะได้มีเรี่ยวแรงทำงาน“ใกล้เที่ยงแล้ว ซอหิวไหม”ศศิกาญจน์มองเวลาที่นาฬิกาข้อมือ เมื่อเช้าเธอกินอาหารได้ไม่กี่คำ อาจเป็นเพราะมีเรื่องเครียดๆ ในหัว พอถูกเขาสะกิดเรื่องอาหารเที่ยง น้ำย่อยในกระเพาะก็ร้องประท้วงว่าหิวแล้ว หญิงสาวจึงไม่ทันจะตอบร่างกายมันก็ตอบแทนไปก่อนจอมทัพได้ยินเสียงน้ำย่อยก็นึกขำ แต่ยังตีหน้าขรึม ไม่พูดอะไรออกมา เพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะเขิน“เดี๋ยวข้างหน้าจะผ่านร้านอาหาร เป็นร้านอร่อยแถวนี้ แวะกินอะไรกันหน่อย กินเสร็จเราจะได้เข้าไร่กัน”“ก็ได้ค่ะ ถ้าคุณหิว เดี๋ยวฉันลงไปกินเป็นเพื่อน”จอมทัพเหลือบมอง ใบหน้าหล่อขรึมขึ้น “บอกแล้วไงว่าให้เรียกผมว่าพี่ แล้วแทนตัวเองว่าซอ มันดูสนิทกันมากว่า จะได้ไม่มีใครสงสัย”เธอไม่อยากต่อล้อต่อเถียงจึงพยักหน้ารับ “ได้ค่ะ ต่อไปซอจะเรียกคุณว่าพี่”“พูดง่ายๆ แบบนี้น่ารักมาก แต่พี่จะไม่ให
ร่างสูงใหญ่เหลือบมองคนข้างก่อนจะส่ายหัวแรงๆ “เป็นไปไม่ได้”บังเอิญศศิกาญจนได้ยินเลยหันมาถามเขา “อะไรเป็นไปไม่ได้คะ”“ยุ่ง” เขาตอบกลับเหมือนรำคาญ ทำเอาคนถามชักสีหน้างอง้ำสะบัดหน้าหนีกลับไปมองถนนจอมทัพลอบถอนหายใจ ดูท่าจะไม่ดีแล้ว เขาเป็นคนไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ นอกจากเรื่องที่พิสูจน์ได้ แล้วเหลือบมองคนนั่งข้างที่สะบัดหน้าหนีไปเหมือนงอนเขา ที่เธออยู่ในหัวของเขาตลอดเวลาก็คงเพราะ เขานึกอยากตักตววงความสุขในเรื่องเซ็กซ์กับเธอมากกว่ามั้ง ตั้งแต่แรกเห็นต้องยอมรับว่าศศิกาญจน์เป็นสเปคของเขาเลย อกเป็นอก เอวเป็นเอว หน้าตาก็สวยหวาน น่ารัก น่าฟัดขนาดนี้‘ถ้าต้องจ้างเป็นแสน แขนไม่ได้จับ ไม่ใช่เขาหรอก’ความคิดที่วุ่นวาย สับสน อาจเพราะเขาจ่ายไปหนัก เธอน่าจะมีของแถมอะไรให้เขาบ้าง แต่พอเห็นอีกฝ่ายเงียบใส่“เดี๋ยวกลับไปที่ไร่พี่จะพาซอเข้าไปในไร่ ให้คนงานรู้จัก คนงานมันจะได้รู้ไงว่าพี่มีเมียแล้ว ไอ้พวกนี้กระจายข่าวไว แค่ไม่กี่วันเขาก็รู้กันทั้งจังหวัด คราวนี้ผู้หญิงคนนั้นจะได้ เลิกเข้ามายุ่งในชีวิตพี่ซะท
ศศิกาญจน์กรีดร้องอยู่ในอก อยากจะชกหน้าเข้าให้สักที นอกจากปากเสียแล้ว ในหัวคงมีแต่เรื่องแย่ๆ มองเธอลบมาก คนอะไรในหัวคงคิดเรื่องดีๆ เหมือนชาวบ้านไม่เป็น ดวงหน้าหวานสวยยิ่งตาขุ่นเขียวขึ้นไปอีก หญิงสาวถอนหายใจแรงๆ พยายามข่มอารมณ์ก่อนจะอธิบาย“พ่อเลี้ยงแสนเป็นเพื่อนของข้าวสวย เพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย เราเคยเจอกันสองครั้ง ตอนที่พ่อเลี้ยงแสนไปเยี่ยมข้าวสวยที่หอพัก ก็เท่านั้นค่ะ แล้วก็เพิ่งมาเจอกันอีกครั้งที่นี่” เธอเล่าไปตามความจริง ไม่ได้ปกปิดอะไรจอมทัพแอบโล่งอกเบาๆ ก่อนจะหัวเราะในลำคอ ที่มุมปากปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย คิ้วหนาเลิกสูงเมื่อนึกหน้าน้องสาวพ่อเลี้ยงแสนชัยออก อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเมียกำมะลอของเขาจริงๆ นั่นละ ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง แต่ถึงยังไงก็ไม่ปรารถนาให้มันมาใกล้ผู้หญิงของเขาอยู่ดี“ก็แล้วไป ในเมื่อไอ้พ่อเลี้ยงแสนเป็นแค่พี่ชายของเพื่อนเธอ งั้นก็ไม่ต้องเจอกันบ่อยหรอก เพราะมันเป็นแค่พี่ชายเพื่อน ไม่ใช่เพื่อนของเธอสักหน่อย จริงไหม”ศศิกาญจน์มองเขากลับด้วยแววตาไม่เข้าใจ “เดี๋ยวนะคะ เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ซอรับงานเล่
ศศิกาญจน์นึกถึงคำพูดแม่หมอที่ทำนายทายทักว่า เธอได้พบโซลเมต แล้วยังเลือกได้ไพ่อัศวินขี่ม้า นั่นหมายความว่าผู้ชายคนนั้นจะมาช่วยแก้ไขปัญหามืดดำในชีวิตที่เธอกำลังเผชิญอยู่ ซึ่งก็คงเป็นสองแม่ลูกที่กำลังจะพยายามฮุบสมบัติทุกชิ้นของบิดา โดยเฉพาะพี่เลี้ยงของเธอ มันไม่อยากได้แค่สมบัติ เธอรู้ดีอยู่แก่ใจนายณกรณ์หวังจะฮุบตัวเธอไปเป็นสมบัติด้วย และผู้ชายลักษณะรูปร่างสูง ผิวขาว ที่แม่หมอบอกคนนั้นจะต้องเป็นใครไปไม่ได้...‘ใช่แหละ...พ่อเลี้ยงแสนชัย’เพราะจำได้ว่า พอเดินออกมาจากร้านที่รับทำนายโชคชะตาเธอก็บังเอิญเจอเขาเข้าพอดี“ต้องใช่เขาแน่ๆ”“เธอบ้าหรือเปล่า ยิ้มคนเดียวพูดคนเดียว”เสียงเข้มดังขึ้นมาทำลายความคิด ศศิกาญจน์เหลือบตามองไปที่คนกุมพวงมาลัยไว้แน่น แต่จอมทัพหันมามองที่เธอเต็มๆ จนคนตัวเล็กรับรู้ถึงพลังบางอย่างที่จับจ้องมา เจ้าของดวงหน้าเรียวสวยรู้สึกว่าเขามองเธอแปลกๆ“ไม่ได้บ้าค่ะ มีคนบอกว่าซอกำลังโชคดีต่างหาก...”คนถามอยากรู้แต่เก็บอาการเอาไว้แล้วถามเสียงเรียบ“โชคดีเรื่องอะไร”
ลมที่พัดมาหอบหนึ่งทำให้เครื่องแขวนไหววูบกระทบกันส่งเสียงกรุ๋งกริ๋ง ดึงสายตาให้ศศิกาญจน์หันไปมองที่ห้องหนึ่ง ม่านไหมสีเงินยวงดึงดูดสายตาให้หันไปมอง รู้ตัวอีกทีก็ยืนอยู่หน้าร้านพยากรณ์ดวงชะตาแล้ว ศศิกาญจน์เบิกตากว้าง เธอไม่ใช่สาวสายมูจึงคิดจะหันหลังกลับ ตั้งใจเดินไปหาน้ำดื่ม ทว่า น้ำเสียงไม่เบาไม่ดังที่ชวนเชิญให้เข้าไปในร้านทำให้หญิงสาวลังเล“เข้ามาก่อนสิ”มือบางขาวสะอาดแหวกม่านไหมเข้าไป ภายในเป็นห้องสี่เหลี่ยมที่กวาดสายตาทีเดียวก็เห็นทั่วทั้งร้าน ภายในร้านดูสะอาดสะอ้าน ทว่ากลับให้ความรู้สึกชวนค้นหา สตรีวัยห้าสิบเศษนั่งอยู่บนโต๊ะซึ่งมีกองไพ่ดูเก่าคร่ำคร่าแต่ก็แฝงพลังบางอย่าง“นั่งลงก่อนสิหนู”ศศิกาญจน์ส่ายหน้า “ขอโทษนะคะ แต่หนูไม่ชอบดูดวงค่ะ” จากนั้นคิดจะหันหลังเดินกลับออกจากร้าน“ฉันก็ไม่ได้ดูดวงให้ทุกคนที่เข้ามาหรอกนะ แต่หนูมีพลังบางอย่าง เหมือนไพ่กำลังอยากจะบอกอะไร กำลังไม่สบายใจเรื่องครอบครัวอยู่ใช่ไหม”ร่างบางสวยที่กำลังจะเดินจากไปชะงักเท้าแล้วหันกลับไปมองผู้ส่งสาร “ใช่ค่ะ คุณป้าทราบได







