หลี่ชงเหอแค่นยิ้มหยันขณะเดินตามเศรษฐีฟางเข้ามาด้านในคฤหาสน์ตระกูลฟางใหญ่โตโอ่โถงสมฐานะเศรษฐีใหญ่ฟางจงซวิ่นผายมือเชื้อเชิญเขาอีกทั้งพินอบพิเทาเป็นอย่างมาก“ไม่ทราบว่าบ้านข้าคับแคบเช่นนี้ นายท่านจะพักได้หรือไม่” เศรษฐีฟางถูมือถูไม้ผายมือให้ “เรือนนี้เหมาะที่สุดแล้วสำหรับแขกระดับนายท่านที่อุตส่าห์ตอบรับคำเชิญ”หลี่ชงเหอหันกลับมากระตุกยิ้มเย็นชาก่อนเอ่ย “ที่นี่ดีเกินกว่าที่ข้าคิดไว้มาก มิทราบว่าเป็นการรบกวนท่านมากไปหรือไม่ หากว่ารบกวน ข้าก็...”“หามิได้ๆ แค่นายท่านยอมมาพักที่คฤหาสน์ของข้า ก็นับว่าเป็นเกียรติมากแล้ว”“ข้าเองก็เป็นแค่พ่อค้าวานิช จะมีศักดิ์มีศรีใดเทียบเท่าคนใหญ่คนโตได้เล่า”“แต่นายท่านมีบุญคุณช่วยชีวิตข้าไว้จากพวกโจรป่า ข้าน้อยต้องตอบแทน”“ก็แค่ข่วยเหลือกันยามมีภัย มิใช่เรื่องสลักสำคัญอันใดต้องต้อนรับขับสู้ถึงเพียงนี้”“แต่ข้าน้อยไม่ลืม นายท่านก็เป็นผู้มีเกียรติที่ข้าน้อยนับถือและอยากทำการค้าร่วมด้วยไปอีกนานๆ หากเป็นไปได้ก็อยากทวงถามสัญญาที่เคยฝากฝังบุตรีกับนายท่านด้วย”“ข้าไม่ลืมหรอก”“เช่นนั้นนายท่านตกลงปลงใจแล้วหรือไม่ขอรับ”“ตกลงปลงใจอย่างไร”หลี่ชงเหอแม้รู้แต่แกล้งไขสื
ร่างอรชรในชุดบางพลิ้วสีฟ้าสีหน้าตระหนกสุดขีดเมื่อเห็นคมกระบี่วาววับผ่านเข้ามาในครรลองสายตา ไม่เพียงเท่านั้นมันยังจ่อที่ลำคอของนางในระยะประชิดจนรู้สึกถึงความเย็นเฉียบเมื่อแรกสัมผัสฟางถิงถิงตัวสั่นงันงกเมื่ออีกฝ่ายพุ่งเข้ามาหาดวงหน้าแนบชิดอย่างจงใจ “ทำอะไร” “ข้ามิได้ทำ!” หลี่ชงเหอมองปราดไปที่มือนางก่อนตะคอกถาม “หลักฐานคามือยังว่ามิได้ทำรึ!” ฟางถิงถิงถึงคราวจำนนจนปล่อยหลักฐานที่ว่าหลุดมือไปต่อหน้า สุดที่หลี่ชงเหอจะรั้งไว้เพราะมันหายลับไปในรัตติกาลเสียแล้ว “นี่เจ้า! รู้หรือไม่ว่าทำอะไรลงไป อยากตายใช่หรือไม่!” เขาตะคอกซ้ำกำข้อมือนางกระชากเข้าหาจนร่างอรชรปะทะเข้ากับอกแกร่ง “ก็คือ คือ ข้า ข้ามิได้” นางละล่ำละลักขณะเบี่ยงหน้าหลบริมฝีปากอีกฝ่ายและรู้ตัวว่าถูกรั้งไว้ด้วยอ้อมแขนแกร่ง “นี่เจ้า! เจ้าจะทำอะไร ปล่อยข้านะ!” “ไม่ปล่อยหากเจ้าไม่บอกเจตนาของเจ้า” “ข้ามิได้มีเจตนาร้ายหรอกน่า” นางเสียงแข็ง ดวงตาวาวโรจน์จ้อง “หากไม่ปล่อย ข้าจะร้องให้คนช่วย” หลี่ชงเหอกระตุกยิ้มมุมปากกระชับร่างอรชรแน่
“ก็ไม่มีอะไร” หลี่ชงเหอกระตุกยิ้มราวกับแค่รู้แล้วก็ผ่านไปมิได้สนใจใยดี แต่ทว่าแม่เสือจมูกไวอย่างอวี๋แหลียนมีหรือจะดูไม่ออก“หรือนายท่านสนใจแม่นางคนใด ให้ข้าไปดูลาดเลาให้ดีหรือไม่ หากถูกอกถูกใจได้เป็นเขยเศรษฐีตระกูลฟางก็นับว่ามีวาสนาไม่เลว”“มีวาสนาได้เป็นเขยเศรษฐีเช่นนั้นรึ”“เจ้าค่ะ ใครๆ ก็รู้ว่าในเมืองนี้ ไม่มีผู้ใหญ่ร่ำรวยไปกว่าท่านเศรษฐีฟางจงซวิ่นไปได้” อวี๋เหลียนเอ่ยอย่างมีจริต “แต่ว่าหมายดอมดมดอกฟ้า นายท่านอาจจะต้องเหนื่อยหน่อยเพราะคุณหนูใหญ่ตระกูลฟางผู้นั้นนิสัยเอาแต่ใจยิ่งนัก”“สตรีงามมักเอาแต่ใจสินะ”“จะว่าเช่นนั้นก็ย่อมได้เจ้าค่ะ หากนายท่านชอบจะให้แม่สื่อไปทาบทาม...”“ไม่ต้อง” บุรุษหนุ่มเพียงแต่ปรายตามองนางแล้วยิ้มหยันก่อนเอ่ย “ข้าไม่ใส่ใจพวกลูกสาวเศรษฐีหรอก”“เช่นนั้นหรือว่านายท่านมีคนที่หมายใจไว้อยู่แล้ว”“ถามทำไม” หลี่ชงเหอเหลือบมองส่งสายตาดุใส่อวี๋เหลียนนิ่วหน้าก่อนจะฉีกยิ้มยวนใจตอบ “ข้าก็แค่อยากสนองความต้องการของนายท่าน แต่หากนายท่านไม่ชอบให้ข้าวุ่นวายข้าก็...”“เหตุใดเจ้าถึงมากความเช่นนี้”อวี๋เหลียนแห่งเหลาบุปผาถึงกับงันไป ไม่นานก็แปรเปลี่ยนสีหน้าสดชื่นดังเดิม “ข้า
ฟางลี่หลิวกลับหัวเราะชอบใจแล้วเล็มเลียขนมของตัวเองจนพอใจแล้วแกล้งเย้า “โธ่ ข้าแค่พูดเล่นมิได้อยากให้เจ้ากินของเหลือข้าสักหน่อย”“แน่นะ”“แน่สิ เจ้าก็รู้นิสัยข้า ของของข้า ข้าไม่ให้ใคร ของที่เจ้าให้ข้าแล้ว ข้าก็ไม่คืน นอกจากสิ่งนั้นเป็นของที่ข้าไม่ต้องการแล้ว ข้าถึงจะยกให้เจ้า” ฟางถิงถิงฟังจบก็ถึงกับหน้าเจื่อน รู้สึกถึงความนัยแปลกๆ กับคำพูดอีกฝ่ายแต่ก็ไม่อยากใส่ใจจึงรีบเดินนำ ฟางลี่หลิวจึงได้ทีวิ่งตาม “อะ นี่ข้าให้เจ้า”“นี่คือ...” ฟางถิงถิงรับมาหน้าฉงน แต่ฟางลี่หลิวยิ้มกว้าง“เซาปิ่งหน้ายิ้มของโปรดเจ้าไง ข้าตั้งใจซื้อให้เจ้าเชียวนะ ไม่ต้องเสียใจกับคำพูดของข้านะ” ฟางลี่หลิวแสร้งเย้าไม่พอยังยื่นนิ้วชี้เรียวยาวไปที่มุมปากของฟางถิงถิงดันขึ้นให้ริมฝีปากจิ้มลิ้มยกขึ้น “นี่ๆ เจ้ายิ้มแล้ว” “เจ้าทำถึงขนาดนี้ ข้าก็ต้องยิ้มสิ” ฟางถิงถิงว่าพลางสีหน้าหดหู่พลันดีขึ้นเมื่อก้มมองขนมเซาปิ่งโรยงาที่วาดเทียนรูปโค้งสีแดงเหมือนรอยยิ้มอยู่ "ข้ากินละนะ” “อืม เดินไปกินไปดูโคมไฟทางโน้นกันดีกว่า” “ก็ได้ๆ เห็นแก่เจ้า”“ลองไม่เห็นแก่ข้าสิ ข้าจะโกรธเจ้าให้ดู”
ผ่านไปเกือบหนึ่งสัปดาห์จนกระทั่งถึงวันเดินทาง“ลูกแม่ ลูก... ชงเหอ เจ้าฟังแม่อยู่หรือไม่”หลี่ชงเหอสะดุ้งเมื่อสัมผัสอ่อนโยนแตะลงที่ข้อมือ ถึงกับอึกอัก ครั้งหันมาก็พบเข้ากับแววตาปริวิตกจากมารดาจึงตรงเข้ามาประคองมารดานั่งแล้วหย่อนตัวลงนั่งยังฝั่งตรงข้าม หงายจอกชาบนถาดวางลง บรรจงรินชาร้อนควันกรุ่นแล้วเลื่อนจอกไปตรงหน้ามารดา เหยียนชิวอี้รับจอกขึ้นมาจิบครู่หนึ่งจึงวางลงแล้วถามบุตรชาย “แล้วที่เจ้าไปคราวนี้ นานหรือไม่”“คาดว่าราวๆ สองเดือน”“อย่าลืมเรื่องที่แม่ขอเจ้า”“ข้ารู้ ข้าจะเอาไปคิดดู”“ดีแล้ว ฝ่าบาทจะได้ไว้ใจไม่คิดว่าเจ้ากระด้างกระเดื่องอีก” เหยียนชิวอวี้เสียงแผ่วหน้าสลด แต่ครั้นสบตาบุตรชายจึงฝืนยิ้มบอก “เพราะแม่หรือไม่ที่ทำให้เจ้าต้องลำบากใจ”“ข้ามิได้ลำบากใจ ข้าจะเอาไปคิดดู”“ก็ได้ เช่นนั้นแม่ฝากความคิดถึงทุกคนด้วย”“แน่นอนอยู่แล้วเสด็จแม่ ไปคราวนี้นอกจากเข้าวังไปถวายรายงานฝ่าบาทแล้ว ข้ายังมีธุระอีกหนึ่งเรื่องที่ต้องทำ”“เรื่องอันใดกัน” “เอ่อ...” จะบอกได้อย่างไรว่าไปครานี้เพราะคำสัญญาที่ทำไว้ ทุกสิ่งยังไม่แน่นอน ฉะนั้นเขายังแพร่งพรายออกไปมิได้ “ข้าสัญญ
ยามซวี่เรือนไม้ไผ่หยู่จี้ ตำหนักคิมหันต์ ป้อมทะเลทรายเทียนอิ่ง ฝนพรำนอกหน้าต่าง อากาศอบอ้าวกลับหนาวเย็น ร่างสูงใหญ่สมส่วนสวมอาภรณ์สีดำขลิบลายเมฆสีแดงเข้มยืนห่อตัวขณะจ้องมองแสงจันทร์นวลที่ถูกบดบังด้วยเมฆาทึบหนาเงียบๆ ลำพัง จนกระทั่งเสียงฝีเท้าแผ่วเบาก้าวเข้ามาก็ยังไม่รู้ตัวหลี่ชงเหอยังคงจ่อมจมกับความคิดคำนึงถึงใครคนหนึ่งจึงไม่ทันได้สนใจว่าสตรีสูงวัยในชุดไหมสีเขียวหยกเนื้อบางพลิ้วที่ก้าวเข้ามา นางชะเง้อมองอีกฝ่ายก่อนจะวางถาดกาชาควันกรุ่นที่โต๊ะแล้วเอ่ยเรียกแผ่วเบาราวกับเกรงอีกฝ่ายจะรำคาญ“คิดเรื่องใดอยู่หรือลูกแม่”หลี่ชงเหอชะงัก หันกลับมาหาเจ้าของน้ำเสียงอ่อนโยนซึ่งมิใช่ใครแต่คือมารดา จึงฝืนยิ้มฝืดเฝือก่อนตอบ “เสด็จแม่ เหตุใดมาเงียบๆ” “เจ้ามิใช่รึที่มาหาแม่ยามนี้” เหยียนชิวอี้หรืออีกนามเหยียนหลิว อดีตพระสนมตกยากว่าพลางเยี่ยมกรายเข้ามาแล้วเผยรอยยิ้มอ่อนโยนขณะจ้องบุตรชายตาไม่กะพริบ “มีเรื่องไม่สบายใจอันใด ปรึกษาแม่ได้ทุกเมื่อ หากแม่รู้จะ...” “ไม่มีสิ่งใดหรอก ข้าก็แค่กังวล” ฉับพลันที่ได้สบตา หลี่ชงเหอถึงกับอึกอัก แต่มีหรือมารดาที่ถึงแม้จะได้กลับมาอยู