LOGINกลางดึกหญิงสาวนอนกระสับกระส่าย แม้จะรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้างแต่สุดท้ายก็นอนไม่หลับเหมือนเดิม พอสมองว่างก็เผลอคิดถึงแต่เรื่องเก่า ๆ แล้วน้ำตามันก็ไหลออกมาเสียดื้อ ๆ
จะร้องไห้เสียงดังก็ไม่ได้เดี๋ยวจะถูกลูกชายเจ้าของบ้านมาต่อว่าเหมือนเมื่อคืน
แต่จะให้อดทนอดกลั้นก็คงไม่ไหว หญิงสาวจึงตัดสินใจออกไปนั่งร้องไห้ที่สนามหญ้าหน้าบ้าน
ฮือ! ฮึก! ฮือ!
เสียงผู้หญิงร้องไห้แว่วมาตามสายลม ยิ่งภายในห้องเงียบกริบมันยิ่งชัดขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้คนที่ยังนอนไม่หลับต้องเดินออกไปตรงระเบียงห้อง แล้วชะเง้อชะแง้มองหาที่มาของเสียง
เขาเห็นเงาตะคุ่ม ๆ ของใครบางคนอยู่ตรงหลังพุ่มไม้
ชายหนุ่มเดินออกจากบ้านแล้วมุ่งไปยังสนามหญ้า ค่อย ๆ ย่องเข้าไปด้านหลังคนที่นั่งกอดเข่าก้มหน้าร้องห่มร้องไห้
ยัยเด็กน้ำหวานอีกแล้ว
เธอจะกวนโมโหเขาไปถึงไหน
“เธอรู้ไหมว่าเสียงร้องไห้ของเธอมันไปรบกวนการนอนของคนอื่น”
“คุณทิวเขา”
หญิงสาวสะดุ้งโหยงตกใจพร้อมกับอุทานชื่อคนที่เข้ามาไม่ให้สุ้มให้เสียง ขนาดหนีมาร้องไห้อยู่ตั้งไกลเขายังได้ยินเสียงอีกเหรอ
หูเทพหรือยังไงกัน
หญิงสาวรีบเช็ดน้ำตาแล้วลุกขึ้นยืน
“ขอโทษค่ะ”
แม้จะหยุดร้องไห้ไปแล้วแต่น้ำเสียงยังเจือปนความสะอื้น หญิงสาวก้มหน้าไม่กล้าสบตากับสายตาดุดันคู่นั้น
“คราวหน้าก็หัดเกรงใจคนอื่นซะบ้าง โดยเฉพาะเจ้าของบ้าน”
เธอไม่เคยลืมว่ากำลังอาศัยบ้านคนอื่นอยู่ ประโยคที่ว่าความเกรงใจเป็นสมบัติของผู้ดีเธอก็รู้และเข้าใจอย่างถ่องแท้ ถึงได้มานั่งร้องไห้อยู่หน้าบ้านเพียงลำพัง ใครจะคิดว่าออกมาตั้งไกลขนาดนี้เขายังได้ยินอีก
“ต่อไปหวานจะไม่ร้องไห้ให้ได้ยินอีกแล้วค่ะ” เธอให้ค่ำมั่น
“ก็ดี”
นัยน์ตาคมมองสำรวจหญิงสาวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เธอใส่ชุดนอนบาง ๆ ลงมานั่งร้องไห้ด้านล่างไม่รู้รึไงกันว่ารอบ ๆ บ้านมีลูกน้องของพ่อเขาเดินเพ่นพ่านอยู่เต็มไปหมด
ร่างเล็กยังยืนนิ่งไร้ทีท่าจะกลับเข้าห้อง
“แล้วไม่กลับห้อง?”
“กะ...กลับค่ะ”
“ก็ไปสิ”
เขาทำหน้าดุพลางโคลงศีรษะไปทางประตูบ้านเพื่อบอกเป็นนัย ๆ ว่าให้เธอกลับเข้าไป
น้ำหวานยอมทำตามคำสั่งโดยไม่พูดอะไร เดินก้มหน้างุดเข้าบ้านโดยมีทิวเขาเดินตามหลัง
ทั้งสองแยกย้ายกันที่หน้าห้องนอนของหญิงสาว
หลายวันต่อมา
เพราะเป็นวันแรกของการเป็นนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยจึงทำให้น้ำหวานตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เมื่อคืนเธอนอนไม่ค่อยหลับเพราะมัวเตรียมนั่นเตรียมนี่สำหรับวันรุ่งขึ้น แถมยังตื่นแต่เช้าอาบน้ำแต่งตัวด้วยชุดนักศึกษาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง
หญิงสาวยืนยิ้มอยู่หน้ากระจกพลางพูดคุยกับรูปพ่อริว
“วันนี้น้ำหวานไปเรียนวันแรก พ่อริวเป็นกำลังใจให้น้ำหวานด้วยนะจ๊ะ”
หลังจากเตรียมทุกอย่างครบครันน้ำหวานก็เดินลงมาชั้นล่าง เธอวางข้าวของไว้บนโต๊ะแล้วเดินเข้าไปในครัวคอยเป็นลูกมือช่วย ป้าสุ แม่บ้านวัยห้าสิบปีหยิบจับนั่นนี่ตอนทำอาหาร
น้ำหวานมักทำอย่างนี้เป็นประจำ เพราะเธอถือคติที่ว่าอยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย อาจไม่ได้ปั้นวัวปั้นควายแต่ก็ช่วยทำทุกอย่างเท่าที่สามารถช่วยได้
วันนี้ในครัวทำอาหารหลายอย่าง มีทั้งกุ้งผัดพริกเกลือ แกงจืดเต้าหู้หมูสับ แกงส้มชะอมทอด ทอดมันปลากราย แล้วยังมีน้ำพริกลงเรือซึ่งเป็นเมนูประจำบ้านก็ว่าได้
น้ำหวานยืนตรงหน้าเคาน์เตอร์ครัว มือข้างหนึ่งยกถ้วยเต้าหู้ไข่ที่ตัดไว้เป็นชิ้นพอดีคำขึ้นมาระหว่างที่มืออีกข้างกำลังจับทัพพีคนหม้อแกงจืดเป็นระยะ ก่อนที่ใบหน้าสวยจะหันไปถามแม่บ้านวัยกลางคน
“ป้าสุขา หวานเอาเต้าหู้ไข่ใส่เลยนะคะ”
“ค่อย ๆ ใส่นะคะ เดี๋ยวน้ำแกงจะกระเด็นโดนแขน”
“ค่ะ”
เธอหันไปสนใจหม้อแกงที่น้ำซุปกำลังเดือดได้ที่ เหลือแค่ใส่เต้าหู้ไข่ลงไปแกงจืดเต้าหู้หมูสับหม้อนี้ก็ครบสูตร
ทว่าขณะที่เธอกำลังจะใส่เต้าหู้ลงไปในหม้อ ผู้ที่ร้อยวันพันปีไม่เคยเข้ามาเหยียบในห้องครัวก็พูดโพล่งขึ้นมาเสียงดัง
“ทำอะไร”
หญิงสาวตกใจจนสะดุ้ง เผลอเทเต้าหู้ไข่ใส่หม้ออย่างแรงจนน้ำร้อนกระเด็นขึ้นมา แถมยังละมือจากทัพพีจนทำให้มันร่วงลงไปในหม้อแกง
น้ำแกงร้อน ๆ กระเด็นโดนแขนเรียวจนร่างเล็กสะดุ้งถดหนี ทั้งป้าสุและทิวเขาพุ่งตัวเข้าไปดูหญิงสาวแล้วพูดขึ้นมาพร้อมกัน
“เป็นอะไรไหม/เป็นอะไรไหมคะ”
ร่างสูงทำยึกยักก่อนจะเป็นฝ่ายถอยร่นออกมาให้ป้าสุเข้าไปดูน้ำหวาน จากนั้นก็คอยยืนสังเกตการณ์อยู่ด้านหลัง
เมื่อกี้เหมือนมีความรู้สึกแปลก ๆ เกิดขึ้นกับเขา ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องเป็นห่วงยัยนั่นด้วย
“ป้าบอกแล้วไงคะว่าให้ระวัง ดูซิเป็นรอยแดงเลย เดี๋ยวป้าไปหายามาทาให้นะคะ”
ป้าสุเดินไปปิดสวิตช์เตาแล้วยกหม้อแกงจืดลง จากนั้นก็เดินไปหายาทาแก้แผลพุพองมาทาให้
“ปวดแสบไหมคะ”
“นิดหน่อยค่ะ”
ระหว่างที่กำลังนั่งทายากันอยู่ สองสามีภรรยาผู้เป็นเจ้าของบ้านก็เดินลงมาจากชั้นสอง ของขวัญมองทั้งสองคนที่กำลังง่วนทำอะไรบางอย่างโดยมีเจ้าลูกชายนั่งดูอยู่ห่าง ๆ
ด้วยความสงสัยจึงรีบเอ่ยถาม
“มีอะไรกันเหรอ”
“คุณน้ำหวานถูกน้ำแกงร้อนกระเด็นใส่ค่ะ” ป้าสุตอบผู้เป็นนายหญิงของบ้าน
“แล้วเป็นอะไรมากไหมไหนอาดูซิ”
นั่งลงด้านข้างสาวน้อยแล้วจับแขนของเธอพลิกดู แขนเรียวเล็กมีรอยแดงเป็นจุด ๆ แถมบางจุดก็เริ่มพุพองขึ้นมา
“ไปทำยังไงให้มันกระเด็นใส่ล่ะน้ำหวาน”
อาผู้ชายเอ่ยถามหลานสาวด้วยความเป็นห่วง ดูแล้วน้ำหวานไม่น่าเป็นคนซุ่มซ่าม
หญิงสาวนั่งนิ่งไม่กล้าบอกความจริงว่าเป็นเพราะเธอตกใจเสียงเข้ม ๆ ของทิวเขา ได้ยินทีไรก็ตกใจทุกทีประหนึ่งว่าเธอเป็นผู้ร้ายกลัวความผิดอย่างไรอย่างนั้น
“จะทำยังไงล่ะครับ ก็คนมันซุ่มซ่ามเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว โดนน้ำร้อนกระเด็นใส่ก็ไม่แปลกหรอก อีกหน่อยก็คงตกบันได หรือไม่ก็เดินชนรั้วบ้านจนหัวร้างข้างแตกนั่นแหละ”
เพลียะ!
ฝ่ามืออรหันต์ของผู้เป็นแม่ฟาดลงบนท่อนแขนของคนพูดมาก ร่างสูงสะดุ้งโหยงตกใจก่อนจะร้องอุทานขึ้น
“โอ๊ย! แม่ผมเจ็บนะ”
“ทำไมถึงได้ปากเสียอย่างนี้นะตาทิวเขา น้องเจ็บอยู่แทนที่จะสงสารดันเอาแต่พูดจากระแทกแดกดันน้อง”
“ก็ผมพูดความจริง”
“ยังจะพูดอีก”
ผู้เป็นแม่ง้างฝ่ามือข่มขู่ ไม่รู้ว่าเจ้าลูกชายได้เชื้อปากเสียมาจากใคร ก่อนจะนึกขึ้นมาได้เมื่อหันไปมองหน้าสามีตัวเอง
อ้อ! นึกออกแล้ว สมัยที่ยังไม่ได้รักกันพ่อของเขาก็ปากเสียแบบนี้
ที่แท้ก็เชื้อพ่อนี่เอง
ทายาเสร็จเรียบร้อยป้าสุก็ขอตัวไปจัดโต๊ะอาหาร ทั้งสี่คนเดินไปนั่งรอที่โต๊ะเพื่อทานอาหารเช้าพร้อมกัน
ตั้งแต่น้ำหวานมาอยู่ที่บ้านหลังใหญ่เกือบหนึ่งเดือน ปกติจะได้นั่งทานอาหารเช้ากันแค่สามคนเพราะอีกคนถ้าไม่นอนตื่นสายก็ไม่ได้กลับมานอนที่บ้าน
เพราะฉะนั้นมื้อนี้จึงเป็นมื้อแรกที่น้ำหวานได้ทานข้าวเช้าโดยมีทิวเขานั่งทานด้วย
เธอรู้สึกเกร็งไปหมด
“เปิดเทอมวันแรกตื่นเต้นไหมจ๊ะน้ำหวาน”
อาผู้หญิงถามขึ้นขณะนั่งรออาหารมาเสิร์ฟให้ครบ
“ตื่นเต้นค่ะ”
“ทิวเขาวันนี้ไปส่งน้องที่คณะด้วยนะ”
“ทำไมผมต้องไปส่งด้วยล่ะแม่”
“อ้าว! เจ้าลูกคนนี้ มหาลัยก็อยู่ที่เดียวกัน ทางเดียวกันไปด้วยจะเป็นไรไป”
ผู้เป็นแม่นิ่วหน้าใส่ลูกชายตัวดี เอะอะก็มีปัญหาตลอด
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะอาขวัญ หวานไปเองได้ค่ะ”
น้ำหวานรีบเอ่ยทัดทาน ขืนให้เธอนั่งรถไปมหาวิทยาลัยพร้อมกับทิวเขาก็คงเป็นเหมือนวันนั้น เธอไม่เอาชีวิตไปเสี่ยงดีกว่า
“เห็นไหมเจ้าตัวเขาก็ไปเองได้”
“จะไปเองให้มันเปลืองเงินทำไมล่ะน้ำหวาน ไปกับพี่เขานี่แหละ”
หันมาพูดกับผู้เป็นหลานแล้วหันไปถลึงตาใส่ลูกชายทันที จากนั้นก็พูดขึ้นว่า
“ไปส่งน้องด้วย”
“แม่”
“นี่คือคำสั่ง”
ออกคำสั่งเสียงแข็งขนาดนั้นมีหรือเขาจะกล้าปฏิเสธ
คิ้วหน้าขมวดมุ่นอย่างไม่พอใจแต่จะทำอะไรได้ สุดท้ายก็ต้องน้อมรับคำสั่งแต่โดยดี
ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าบ้านนี้ใครใหญ่สุด ขนาดพ่อทิศเหนือแสนดุแสนโหดยังไม่กล้าขัดคำสั่งเลยสักครั้งแล้วลูกชายอย่างเขาจะกล้าเหรอ
น้ำหวานก็พูดอะไรมากไม่ได้ ในเมื่อผู้เป็นใหญ่ออกคำสั่งมาอย่างนั้นมีหรือเธอจะกล้าคัดค้าน
อีกด้านหลังรถซูเปอร์คาร์คันงามจอดนิ่งที่ลานจอดรถของคอนโด ร่างสูงก็อุ้มแฟนสาวลงจากรถแล้วพาเข้าไปในลิฟต์ เมื่อประตูลิฟต์ปิดสนิทริมฝีปากจิ้มลิ้มก็ถูกประกบทันที ทำราวกับว่าอยู่ในห้องส่วนตัวทั้งที่ยังอยู่ในลิฟต์“อื้อ~”มือบางตีลงที่หัวไหล่ของเขาพร้อมกับครางท้วง ทิวเขาผละริมฝีปากออกมาแล้วยิ้มขำน้ำหวานทำตาเขียวปั้ดใส่คนที่ชอบทำอะไรตามใจตัวเองประตูห้องยังไม่ทันปิดสนิทริมฝีปากหนาก็ประทับลงบนริมฝีปากบาง ลิ้นร้อนผ่าวสอดแยงเข้าไปในโพรงปากนุ่มแล้วดูดเม้มปลายลิ้นเล็ก ส่งเรียวลิ้นไปเซาะซอนจนทั่วทุกมุม จูบแลกลิ้นเกี่ยวกระหวัดจนชุ่มฉ่ำไปทั่วปาก จากนั้นเขาก็วางร่างเล็กให้ยืนบนพื้นมือหนาลูบไล้ไปตามเรือนร่างบางพลางถอดเสื้อผ้าที่หญิงสาวสวมใส่ น้ำหวานเองก็ไม่น้อยหน้าจัดการปลดเปลื้องเสื้อผ้าอาภรณ์ของชายหนุ่มออกเช่นกันนัยน์ตาคมจ้องมองเรือนร่างงดงามที่อยู่เบื้องหน้าด้วยอารมณ์ปรารถนา มือหนาเคลื่อนไล้ไปตามผิวกายขาวผ่องอย่างผะแผ่วขณะดันร่างเล็กไปจนชิดกับฝาผนังจากนั้นก็พรมจูบไปตามซอกคอระหง ขณะที่มือข้างหนึ่งเคล้นคลึงตรงสะโพกมน ส่วนมืออีกข้างทำหน้าที่ปลุกเร้าตรงสองเต้าเต่งตึงลมหายใจผ่าวร้อนเป่ารดลงบนลำคอขา
“จะพากันไปไหนเหรอลูก”เสียงผู้เป็นแม่เอ่ยถามลูกชายซึ่งกำลังถือกระเป๋าสะพายเดินตามแฟนสาวลงมาจากชั้นสองของบ้านน้ำหวานนั่งลงบนโซฟาแล้วเป็นคนตอบคำถามแทนชายหนุ่ม“หวานก็ไม่รู้ค่ะ พี่ทิวเขาไม่ยอมบอกเลยค่ะว่าจะพาไปไหน”“อ้าว! จะพาน้องไปไหนทำไมไม่บอกน้องล่ะ”หันไปถามลูกชายตัวดีที่นั่งอยู่ด้านข้างหญิงสาวซึ่งตอนนี้กำลังทำท่าทางออเซาะเธอราวกับเป็นเด็กน้อยจนน่าหมั่นไส้ลูกชายสุดที่รักหันมาทางผู้เป็นแม่แล้วเอ่ยตอบ“บอกไม่ได้ครับมันเป็นความลับ”ผู้เป็นแม่ถอนหายใจเหนื่อยอกเหนื่อยใจก่อนจะตวัดมือไล่ไม่อยากสนใจ ปล่อยให้ทั้งคู่พากันไปเที่ยวตามประสาคนหนุ่มคนสาวหลังไหว้ลาทั้งคู่ก็เดินจูงมือกันไปที่รถ ทิวเขาเป็นคนคอยบริการเปิดประตูพร้อมทั้งคาดเข็มขัดนิรภัยให้น้ำหวาน จากนั้นเขาก็เดินอ้อมไปขึ้นทางฝั่งคนขับ ก่อนที่รถคันหรูจะเคลื่อนออกจากบ้านพาเธอไปยังสถานที่ที่เขานัดแนะเอาไว้กับเพื่อน ๆ@สนามแข่งรถวันนี้ที่สนามแข่งรถดูคึกคักเป็นพิเศษเพราะมีการจัดงาน รถหลายคันวิ่งวอร์มอยู่ในสนามโดยมีผู้ชมมากมายยืนรายล้อมอยู่บริเวณรอบ ๆหลังจอดรถทิวเขาก็เดินไปเปิดประตูให้น้ำหวาน หญิงสาวมีความวิตกกังวลอย่างบอกไม่ถูก ภาพความทร
“อ๊ะ~” ร่างเล็กสั่นสะท้านร้องเสียงครวญครางอย่างได้อารมณ์ สองมือที่บีบขยำเนินนมออกแรงหนักหน่วงขึ้นเรื่อย ๆแม้จะรู้สึกเจ็บแปลบ ๆ ทว่าความเสียวกลับมีมากกว่า น้ำหวานดิ้นพล่านขณะถูกดูดดึงสองเต้าอย่างหนักหน่วง ใบหน้าหล่อเหลาเคลื่อนไซ้ขึ้นไปตรงซอกคอ ใช้ฟันขบเบา ๆ ตรงลำคอระหงด้วยความมันเขี้ยว น้ำหวานเสียดเสียวจนแทบจะขาดใจ มือสองข้างเลื่อนไล้ไปตามเรือนร่างบางจนมาถึงตรงกลางกายสาว ปลายนิ้วบดคลึงตรงจุดกระสันเสียวผ่านกางเกงชั้นในตัวบางจนน้ำรสหวานไหลเยิ้มออกมาเลอะเป้าเปียกแฉะ ร่างสูงหยัดกายคุกเข่าตรงกลางระหว่างขาเนียน มือหนาจับเรียวขาสวยอ้าออกขึ้นเป็นรูปตัวเอ็ม ปลายนิ้วเขี่ยตรงจุดกระสันเสียวจนแน่ใจว่าเปียกเยิ้มเต็มที่เขาก็แหวกเป้ากางเกงชั้นในไปไว้ด้านข้าง ดวงตาคู่คมจดจ้องไปยังร่องกลีบสีชมพู ก่อนจะยกมือขึ้นมาปาดเอาน้ำลายไปถูชโลมบนแท่งเนื้อลำเขื่องของตัวเอง มือหนาชัดรูดแกนกายลำใหญ่สองสามครั้ง จ่อส่วนปลายไว้ตรงปากร่อง จับปลายหยักถูไถตรงเม็ดติ่งเสียวเพื่อเพิ่มอารมณ์ซาบซ่านให้หญิงสาว “อ๊ะ~พี่ทิวเขา หวานไม่ไหวแล้ว ใส่เข้ามาเลยได้ไหมคะ
หลังพูดคุยและทานข้าวเที่ยงร่วมกันกับแม่ครูและน้อง ๆ ในบ้านเด็กกำพร้าน้ำหวานก็เอ่ยลาทุกคนเนื่องจากทิวเขาบอกเธอว่าจะพาไปยังที่ที่หนึ่ง ซึ่งเขาไม่ได้บอกว่าเป็นที่ไหนรถคันหรูวิ่งไปตามเส้นทางที่น้ำหวานค่อนข้างคุ้นเคย เธอรู้สึกสงสัยอยู่ในใจแต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามจนในที่สุดรถคันงามก็มาจอดนิ่งที่หน้าบ้านไม้ทรงล้านนา“พี่ทิวเขาพาหวานมาที่นี่ทำไมคะ”“เดี๋ยวก็รู้ครับ”ชายหนุ่มลงจากรถแล้วเดินอ้อมมาเปิดประตูให้หญิงสาว เธอทำท่าเก้ ๆ กัง ๆ เขาจึงเอ่ยขึ้นว่า“ลงมาเถอะน่า”หญิงสาวลงจากรถตามคำชวน ดวงตาคู่สวยกวาดมองไปรอบ ๆ อาณาบริเวณบ้านหลังใหญ่ที่เธอเคยอยู่อาศัยตั้งแต่เด็กจนโตแล้วหันมามองหน้าชายหนุ่มด้วยความสงสัยทิวเขายิ้มให้หญิงสาว“เข้าไปข้างในกันเถอะ”“เดี๋ยวค่ะ เราเข้าไปข้างในไม่ได้นะคะ บ้านหลังนี้ถูกขายเป็นของคนอื่นไปแล้ว”มุมปากหนากระตุกยิ้มบางเบา เขายกกุญแจบ้านหลังใหญ่ขึ้นมาโชว์ให้หญิงสาวดู“หมายความว่าไงคะ”“บ้านหลังนี้เป็นของน้ำหวานแล้วนะ”น้ำหวานยืนนิ่งแววตาเต็มไปด้วยฉงนสงสัย ไม่นานความสงสัยทุกอย่างก็คลี่คลายด้วยคำอธิบายของคนตรงหน้า“พี่รู้ว่าน้ำหวานรักบ้านหลังนี้มาก พี่ก็เลยซื้อบ้านหลังนี้ไว้”“
หลังจากน้ำหวานโอนเงินค่าผ่าตัดไปให้แม่ครู ดินก็ได้เข้ารับการผ่าตัดในทันที การผ่าตัดเป็นไปด้วยดีเนื้อเยื่อของผู้บริจาคไตเข้ากันได้ดีกับดินเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นไม่นานดินก็ได้กลับมาพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านเด็กกำพร้า“หยุดยาวสามวันหวานจะขึ้นไปเยี่ยมนะคะ”เสียงน้ำหวานกำลังพูดคุยโทรศัพท์กับแม่ครูอยู่ตรงสนามหญ้าหน้าบ้านทิวเขาคอยเดินตามไม่ห่าง ความจริงเพราะอยากแอบฟังว่าเธอคุยกับใครมากกว่า[ดินต้องดีใจแน่ ๆ ที่รู้ว่าน้ำหวานจะมา]“แม่ครูอย่าเพิ่งบอกพี่ดินนะคะ หวานว่าจะไปเซอร์ไพรส์น่ะค่ะ”[จ้ะ แม่จะรูดซิปปากเอาไว้ให้แน่นเลยจ้ะ]“ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่า ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้มั้งคะ”[แม่ล้อเล่นจ้ะ เออ! น้ำหวานรู้เรื่องที่ทางญาติพ่อริวเขาประกาศขายบ้านแล้วใช่ไหม]คิ้วเรียวขมวดมุ่นหลังได้ยินแม่ครูพูด ความจริงก็พอรู้ว่าพวกญาติของพ่อริวอยากขายบ้านหลังนั้นจนเต็มแก่ น้ำหวานดูเศร้าลงทันทีจนคนที่ยืนอยู่ข้างกายสังเกตเห็น“หวานพอรู้ค่ะ” พูดเสียงสั่นน้ำเสียงของเธอทำให้คนปลายสายเป็นห่วง[โธ่! น้ำหวานไม่ต้องคิดมากนะลูก สิ่งของพวกนั้นมันเป็นของนอกกายไม่นานมันก็สูญสลาย ความทรงจำดี ๆ ต่างหากที่จะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต]แม่คร
“น้ำหวานเดี๋ยวก่อน น้ำหวาน” ร่างสูงวิ่งกระหืดกระหอบตามร่างเล็กไปจนถึงหน้าลิฟต์ มือหนาเอื้อมจับข้อมือเล็กแล้วดึงรั้งเอาไว้ ใบหน้าสวยหันมามองหน้าเขาอย่างไม่พอใจ เรื่องความเป็นความตายใครให้เอามาล้อเล่น “ฟังฉันอธิบายก่อน ฉันไม่ได้ตั้งใจจะหลอกเธอน่ะ” “ทุกทีคุณก็พูดแบบนี้ สรุปคือไม่เคยมีเรื่องไหนที่คุณตั้งใจสักเรื่อง” เธอสาวพยายามสะบัดแขนออกจากคนเจ้าเล่ห์ ตั้งท่าจะเดินไปกดลิฟต์ทว่ากลับถูกคนตัวสูงดึงรั้งเอาไว้อีกครั้ง วงแขนแกร่งสวมเข้าที่เอวคอดแล้วกอดรัดร่างเล็กแนบกับลำตัว “ขอโทษ ยกโทษให้ความโง่ของฉันเถอะนะ ฉันโง่เองที่คิดอะไรตื้น ๆ แต่ถ้าฉันไม่ทำแบบนี้ฉันก็ไม่รู้สักทีว่าเธอรักฉันรึเปล่า” “คุณมันชอบเล่นกับใจคนอื่น เห็นความรู้สึกของหวานเป็นเรื่องล้อเล่นรึไง” “ฉันไม่ได้เห็นความรู้สึกของเธอเป็นเรื่องล้อเล่นนะน้ำหวาน ฉันรักเธอมากวันทั้งวันฉันอาการหนักเอาแต่เพ้อถึงเธอ คุณแม่ก็เลยโทรให้เธอมาดูใจฉันไง” จับร่างเล็กให้หันมาสบตากันหลังจากอธิบายเรื่องทั้งหมด “คุณมันเจ้าเล่ห์ที่สุดเลย” เธอทุบมือ







