Masukกลางดึกหญิงสาวนอนกระสับกระส่าย แม้จะรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้างแต่สุดท้ายก็นอนไม่หลับเหมือนเดิม พอสมองว่างก็เผลอคิดถึงแต่เรื่องเก่า ๆ แล้วน้ำตามันก็ไหลออกมาเสียดื้อ ๆ
จะร้องไห้เสียงดังก็ไม่ได้เดี๋ยวจะถูกลูกชายเจ้าของบ้านมาต่อว่าเหมือนเมื่อคืน
แต่จะให้อดทนอดกลั้นก็คงไม่ไหว หญิงสาวจึงตัดสินใจออกไปนั่งร้องไห้ที่สนามหญ้าหน้าบ้าน
ฮือ! ฮึก! ฮือ!
เสียงผู้หญิงร้องไห้แว่วมาตามสายลม ยิ่งภายในห้องเงียบกริบมันยิ่งชัดขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้คนที่ยังนอนไม่หลับต้องเดินออกไปตรงระเบียงห้อง แล้วชะเง้อชะแง้มองหาที่มาของเสียง
เขาเห็นเงาตะคุ่ม ๆ ของใครบางคนอยู่ตรงหลังพุ่มไม้
ชายหนุ่มเดินออกจากบ้านแล้วมุ่งไปยังสนามหญ้า ค่อย ๆ ย่องเข้าไปด้านหลังคนที่นั่งกอดเข่าก้มหน้าร้องห่มร้องไห้
ยัยเด็กน้ำหวานอีกแล้ว
เธอจะกวนโมโหเขาไปถึงไหน
“เธอรู้ไหมว่าเสียงร้องไห้ของเธอมันไปรบกวนการนอนของคนอื่น”
“คุณทิวเขา”
หญิงสาวสะดุ้งโหยงตกใจพร้อมกับอุทานชื่อคนที่เข้ามาไม่ให้สุ้มให้เสียง ขนาดหนีมาร้องไห้อยู่ตั้งไกลเขายังได้ยินเสียงอีกเหรอ
หูเทพหรือยังไงกัน
หญิงสาวรีบเช็ดน้ำตาแล้วลุกขึ้นยืน
“ขอโทษค่ะ”
แม้จะหยุดร้องไห้ไปแล้วแต่น้ำเสียงยังเจือปนความสะอื้น หญิงสาวก้มหน้าไม่กล้าสบตากับสายตาดุดันคู่นั้น
“คราวหน้าก็หัดเกรงใจคนอื่นซะบ้าง โดยเฉพาะเจ้าของบ้าน”
เธอไม่เคยลืมว่ากำลังอาศัยบ้านคนอื่นอยู่ ประโยคที่ว่าความเกรงใจเป็นสมบัติของผู้ดีเธอก็รู้และเข้าใจอย่างถ่องแท้ ถึงได้มานั่งร้องไห้อยู่หน้าบ้านเพียงลำพัง ใครจะคิดว่าออกมาตั้งไกลขนาดนี้เขายังได้ยินอีก
“ต่อไปหวานจะไม่ร้องไห้ให้ได้ยินอีกแล้วค่ะ” เธอให้ค่ำมั่น
“ก็ดี”
นัยน์ตาคมมองสำรวจหญิงสาวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เธอใส่ชุดนอนบาง ๆ ลงมานั่งร้องไห้ด้านล่างไม่รู้รึไงกันว่ารอบ ๆ บ้านมีลูกน้องของพ่อเขาเดินเพ่นพ่านอยู่เต็มไปหมด
ร่างเล็กยังยืนนิ่งไร้ทีท่าจะกลับเข้าห้อง
“แล้วไม่กลับห้อง?”
“กะ...กลับค่ะ”
“ก็ไปสิ”
เขาทำหน้าดุพลางโคลงศีรษะไปทางประตูบ้านเพื่อบอกเป็นนัย ๆ ว่าให้เธอกลับเข้าไป
น้ำหวานยอมทำตามคำสั่งโดยไม่พูดอะไร เดินก้มหน้างุดเข้าบ้านโดยมีทิวเขาเดินตามหลัง
ทั้งสองแยกย้ายกันที่หน้าห้องนอนของหญิงสาว
หลายวันต่อมา
เพราะเป็นวันแรกของการเป็นนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยจึงทำให้น้ำหวานตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เมื่อคืนเธอนอนไม่ค่อยหลับเพราะมัวเตรียมนั่นเตรียมนี่สำหรับวันรุ่งขึ้น แถมยังตื่นแต่เช้าอาบน้ำแต่งตัวด้วยชุดนักศึกษาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง
หญิงสาวยืนยิ้มอยู่หน้ากระจกพลางพูดคุยกับรูปพ่อริว
“วันนี้น้ำหวานไปเรียนวันแรก พ่อริวเป็นกำลังใจให้น้ำหวานด้วยนะจ๊ะ”
หลังจากเตรียมทุกอย่างครบครันน้ำหวานก็เดินลงมาชั้นล่าง เธอวางข้าวของไว้บนโต๊ะแล้วเดินเข้าไปในครัวคอยเป็นลูกมือช่วย ป้าสุ แม่บ้านวัยห้าสิบปีหยิบจับนั่นนี่ตอนทำอาหาร
น้ำหวานมักทำอย่างนี้เป็นประจำ เพราะเธอถือคติที่ว่าอยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย อาจไม่ได้ปั้นวัวปั้นควายแต่ก็ช่วยทำทุกอย่างเท่าที่สามารถช่วยได้
วันนี้ในครัวทำอาหารหลายอย่าง มีทั้งกุ้งผัดพริกเกลือ แกงจืดเต้าหู้หมูสับ แกงส้มชะอมทอด ทอดมันปลากราย แล้วยังมีน้ำพริกลงเรือซึ่งเป็นเมนูประจำบ้านก็ว่าได้
น้ำหวานยืนตรงหน้าเคาน์เตอร์ครัว มือข้างหนึ่งยกถ้วยเต้าหู้ไข่ที่ตัดไว้เป็นชิ้นพอดีคำขึ้นมาระหว่างที่มืออีกข้างกำลังจับทัพพีคนหม้อแกงจืดเป็นระยะ ก่อนที่ใบหน้าสวยจะหันไปถามแม่บ้านวัยกลางคน
“ป้าสุขา หวานเอาเต้าหู้ไข่ใส่เลยนะคะ”
“ค่อย ๆ ใส่นะคะ เดี๋ยวน้ำแกงจะกระเด็นโดนแขน”
“ค่ะ”
เธอหันไปสนใจหม้อแกงที่น้ำซุปกำลังเดือดได้ที่ เหลือแค่ใส่เต้าหู้ไข่ลงไปแกงจืดเต้าหู้หมูสับหม้อนี้ก็ครบสูตร
ทว่าขณะที่เธอกำลังจะใส่เต้าหู้ลงไปในหม้อ ผู้ที่ร้อยวันพันปีไม่เคยเข้ามาเหยียบในห้องครัวก็พูดโพล่งขึ้นมาเสียงดัง
“ทำอะไร”
หญิงสาวตกใจจนสะดุ้ง เผลอเทเต้าหู้ไข่ใส่หม้ออย่างแรงจนน้ำร้อนกระเด็นขึ้นมา แถมยังละมือจากทัพพีจนทำให้มันร่วงลงไปในหม้อแกง
น้ำแกงร้อน ๆ กระเด็นโดนแขนเรียวจนร่างเล็กสะดุ้งถดหนี ทั้งป้าสุและทิวเขาพุ่งตัวเข้าไปดูหญิงสาวแล้วพูดขึ้นมาพร้อมกัน
“เป็นอะไรไหม/เป็นอะไรไหมคะ”
ร่างสูงทำยึกยักก่อนจะเป็นฝ่ายถอยร่นออกมาให้ป้าสุเข้าไปดูน้ำหวาน จากนั้นก็คอยยืนสังเกตการณ์อยู่ด้านหลัง
เมื่อกี้เหมือนมีความรู้สึกแปลก ๆ เกิดขึ้นกับเขา ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องเป็นห่วงยัยนั่นด้วย
“ป้าบอกแล้วไงคะว่าให้ระวัง ดูซิเป็นรอยแดงเลย เดี๋ยวป้าไปหายามาทาให้นะคะ”
ป้าสุเดินไปปิดสวิตช์เตาแล้วยกหม้อแกงจืดลง จากนั้นก็เดินไปหายาทาแก้แผลพุพองมาทาให้
“ปวดแสบไหมคะ”
“นิดหน่อยค่ะ”
ระหว่างที่กำลังนั่งทายากันอยู่ สองสามีภรรยาผู้เป็นเจ้าของบ้านก็เดินลงมาจากชั้นสอง ของขวัญมองทั้งสองคนที่กำลังง่วนทำอะไรบางอย่างโดยมีเจ้าลูกชายนั่งดูอยู่ห่าง ๆ
ด้วยความสงสัยจึงรีบเอ่ยถาม
“มีอะไรกันเหรอ”
“คุณน้ำหวานถูกน้ำแกงร้อนกระเด็นใส่ค่ะ” ป้าสุตอบผู้เป็นนายหญิงของบ้าน
“แล้วเป็นอะไรมากไหมไหนอาดูซิ”
นั่งลงด้านข้างสาวน้อยแล้วจับแขนของเธอพลิกดู แขนเรียวเล็กมีรอยแดงเป็นจุด ๆ แถมบางจุดก็เริ่มพุพองขึ้นมา
“ไปทำยังไงให้มันกระเด็นใส่ล่ะน้ำหวาน”
อาผู้ชายเอ่ยถามหลานสาวด้วยความเป็นห่วง ดูแล้วน้ำหวานไม่น่าเป็นคนซุ่มซ่าม
หญิงสาวนั่งนิ่งไม่กล้าบอกความจริงว่าเป็นเพราะเธอตกใจเสียงเข้ม ๆ ของทิวเขา ได้ยินทีไรก็ตกใจทุกทีประหนึ่งว่าเธอเป็นผู้ร้ายกลัวความผิดอย่างไรอย่างนั้น
“จะทำยังไงล่ะครับ ก็คนมันซุ่มซ่ามเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว โดนน้ำร้อนกระเด็นใส่ก็ไม่แปลกหรอก อีกหน่อยก็คงตกบันได หรือไม่ก็เดินชนรั้วบ้านจนหัวร้างข้างแตกนั่นแหละ”
เพลียะ!
ฝ่ามืออรหันต์ของผู้เป็นแม่ฟาดลงบนท่อนแขนของคนพูดมาก ร่างสูงสะดุ้งโหยงตกใจก่อนจะร้องอุทานขึ้น
“โอ๊ย! แม่ผมเจ็บนะ”
“ทำไมถึงได้ปากเสียอย่างนี้นะตาทิวเขา น้องเจ็บอยู่แทนที่จะสงสารดันเอาแต่พูดจากระแทกแดกดันน้อง”
“ก็ผมพูดความจริง”
“ยังจะพูดอีก”
ผู้เป็นแม่ง้างฝ่ามือข่มขู่ ไม่รู้ว่าเจ้าลูกชายได้เชื้อปากเสียมาจากใคร ก่อนจะนึกขึ้นมาได้เมื่อหันไปมองหน้าสามีตัวเอง
อ้อ! นึกออกแล้ว สมัยที่ยังไม่ได้รักกันพ่อของเขาก็ปากเสียแบบนี้
ที่แท้ก็เชื้อพ่อนี่เอง
ทายาเสร็จเรียบร้อยป้าสุก็ขอตัวไปจัดโต๊ะอาหาร ทั้งสี่คนเดินไปนั่งรอที่โต๊ะเพื่อทานอาหารเช้าพร้อมกัน
ตั้งแต่น้ำหวานมาอยู่ที่บ้านหลังใหญ่เกือบหนึ่งเดือน ปกติจะได้นั่งทานอาหารเช้ากันแค่สามคนเพราะอีกคนถ้าไม่นอนตื่นสายก็ไม่ได้กลับมานอนที่บ้าน
เพราะฉะนั้นมื้อนี้จึงเป็นมื้อแรกที่น้ำหวานได้ทานข้าวเช้าโดยมีทิวเขานั่งทานด้วย
เธอรู้สึกเกร็งไปหมด
“เปิดเทอมวันแรกตื่นเต้นไหมจ๊ะน้ำหวาน”
อาผู้หญิงถามขึ้นขณะนั่งรออาหารมาเสิร์ฟให้ครบ
“ตื่นเต้นค่ะ”
“ทิวเขาวันนี้ไปส่งน้องที่คณะด้วยนะ”
“ทำไมผมต้องไปส่งด้วยล่ะแม่”
“อ้าว! เจ้าลูกคนนี้ มหาลัยก็อยู่ที่เดียวกัน ทางเดียวกันไปด้วยจะเป็นไรไป”
ผู้เป็นแม่นิ่วหน้าใส่ลูกชายตัวดี เอะอะก็มีปัญหาตลอด
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะอาขวัญ หวานไปเองได้ค่ะ”
น้ำหวานรีบเอ่ยทัดทาน ขืนให้เธอนั่งรถไปมหาวิทยาลัยพร้อมกับทิวเขาก็คงเป็นเหมือนวันนั้น เธอไม่เอาชีวิตไปเสี่ยงดีกว่า
“เห็นไหมเจ้าตัวเขาก็ไปเองได้”
“จะไปเองให้มันเปลืองเงินทำไมล่ะน้ำหวาน ไปกับพี่เขานี่แหละ”
หันมาพูดกับผู้เป็นหลานแล้วหันไปถลึงตาใส่ลูกชายทันที จากนั้นก็พูดขึ้นว่า
“ไปส่งน้องด้วย”
“แม่”
“นี่คือคำสั่ง”
ออกคำสั่งเสียงแข็งขนาดนั้นมีหรือเขาจะกล้าปฏิเสธ
คิ้วหน้าขมวดมุ่นอย่างไม่พอใจแต่จะทำอะไรได้ สุดท้ายก็ต้องน้อมรับคำสั่งแต่โดยดี
ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าบ้านนี้ใครใหญ่สุด ขนาดพ่อทิศเหนือแสนดุแสนโหดยังไม่กล้าขัดคำสั่งเลยสักครั้งแล้วลูกชายอย่างเขาจะกล้าเหรอ
น้ำหวานก็พูดอะไรมากไม่ได้ ในเมื่อผู้เป็นใหญ่ออกคำสั่งมาอย่างนั้นมีหรือเธอจะกล้าคัดค้าน
กลางดึกหญิงสาวนอนกระสับกระส่าย แม้จะรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้างแต่สุดท้ายก็นอนไม่หลับเหมือนเดิม พอสมองว่างก็เผลอคิดถึงแต่เรื่องเก่า ๆ แล้วน้ำตามันก็ไหลออกมาเสียดื้อ ๆจะร้องไห้เสียงดังก็ไม่ได้เดี๋ยวจะถูกลูกชายเจ้าของบ้านมาต่อว่าเหมือนเมื่อคืน แต่จะให้อดทนอดกลั้นก็คงไม่ไหว หญิงสาวจึงตัดสินใจออกไปนั่งร้องไห้ที่สนามหญ้าหน้าบ้านฮือ! ฮึก! ฮือ!เสียงผู้หญิงร้องไห้แว่วมาตามสายลม ยิ่งภายในห้องเงียบกริบมันยิ่งชัดขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้คนที่ยังนอนไม่หลับต้องเดินออกไปตรงระเบียงห้อง แล้วชะเง้อชะแง้มองหาที่มาของเสียงเขาเห็นเงาตะคุ่ม ๆ ของใครบางคนอยู่ตรงหลังพุ่มไม้ชายหนุ่มเดินออกจากบ้านแล้วมุ่งไปยังสนามหญ้า ค่อย ๆ ย่องเข้าไปด้านหลังคนที่นั่งกอดเข่าก้มหน้าร้องห่มร้องไห้ยัยเด็กน้ำหวานอีกแล้วเธอจะกวนโมโหเขาไปถึงไหน“เธอรู้ไหมว่าเสียงร้องไห้ของเธอมันไปรบกวนการนอนของคนอื่น”“คุณทิวเขา”หญิงสาวสะดุ้งโหยงตกใจพร้อมกับอุทานชื่อคนที่เข้ามาไม่ให้สุ้มให้เสียง ขนาดหนีมาร้องไห้อยู่ตั้งไกลเขายังได้ยินเสียงอีกเหรอหูเทพหรือยังไงกันหญิงสาวรีบเช็ดน้ำตาแล้วลุกขึ้นยืน“ขอโทษค่ะ”แม้จะหยุดร้องไห้ไปแล้วแต่น้ำเสียงยังเจือปน
เช้าวันต่อมา“เมื่อคืนขวัญได้ยินเสียงน้ำหวานร้องไห้อยู่ในห้อง สงสัยจะคิดถึงบ้านนะคะ”ของขวัญพูดขึ้นขณะวางแก้วกาแฟไว้ตรงหน้าผู้เป็นสามีทิศเหนือเงยหน้าสบตากับภรรยาแล้วทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะพูดขึ้นว่า“ไม่แปลกหรอกที่น้ำหวานจะคิดถึงบ้าน ปกติไอ้ริวมันไม่ค่อยได้พาน้ำหวานไปเที่ยวไหน เอาแต่ทำงานงก ๆ เลยพลอยทำให้น้ำหวานกลายเป็นคนติดบ้านน่ะสิ““ถ้างั้นวันนี้ขวัญพาน้ำหวานไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาดีไหมคะ เผื่อจะช่วยให้เธอหายเศร้าได้บ้าง”“พี่ว่าก็ดีนะ ให้ตาทิวเขาขับรถพาไปสิ”“โอ๊ย! รายนั้นพึ่งพาได้ที่ไหนล่ะคะ ขับรถออกจากบ้านตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ”“นี่มันอยู่ติดบ้านไม่เป็นรึไง เจ้าลูกคนนี้”“ขวัญก็ว่างั้นแหละค่ะ เหมือนใครตอนหนุ่ม ๆ ก็ไม่รู้”เมียรักทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะเดินหนีขึ้นไปชั้นสองทิศเหนือถึงกับสะดุ้งเฮือก กาแฟที่เพิ่งจะกลืนลงคอแทบล้นทะลักออกมาทางเก่า จะเหมือนใครเล่าก็เหมือนเขาน่ะสิ เหมือนเป๊ะราวกับถอดแบบกันมา นี่แหละหนาที่เขาเรียกว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นเวลาต่อมาหลังจากชักชวนน้ำหวานให้ออกมาเป็นเพื่อนซื้อของ สองสาวต่างวัยก็พากันเดินเล่นอยู่ในห้างแห่งหนึ่ง ของขวัญพาหลานสาวคนใหม่เลือกซื้อของใช้จำ
@ผับหรูเสียงเพลงจังหวะ EDM ดังอึกทึกครึกโครมอยู่ในผับหรูแห่งหนึ่งซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นผับที่ผู้คนนิยมมาเที่ยวเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศเหล่านักท่องราตรีมากมายต่างพากันโยกย้ายอวดกันวาดลวดลายอย่างไม่มีใครยอมใคร แสงไฟส่องกะพริบหมุนวนไปมาตามจังหวะเพลงเพื่อช่วยเพิ่มความครื้นเครงให้กับเหล่านักดื่มทั้งหลายภายในห้องวีไอพีของผับมีการรวมตัวกันของนักศึกษากลุ่มหนึ่งซึ่งพวกเขามักนัดกันมาสังสรรค์ที่นี่เป็นประจำ“แดกเต็มที่เลยเพื่อน มื้อนี้กูเลี้ยงเอง”เจ้าขุนเอ่ยขึ้นเมื่อเพื่อนมาครบองค์ประชุมออสตินกระดกเหล้าเข้าปากรัว ๆ เพื่อระบายความขุ่นเคือง นึกถึงเรื่องเมื่อตอนเย็นแล้วรู้สึกโมโหไม่หายที่ไอ้เจ้าขุนมันพูดปาว ๆ ว่าจะเลี้ยงน่ะเงินกูทั้งนั้น“มึงไม่ต้องเครียดหรอกน่าคราวหน้ากูไม่ออมมือให้มันแน่”วายุตบไหล่ออสตินเบา ๆ ยังจะมีคราวหน้าอีกเหรอ“กูไม่เชื่อมึงแล้วไอ้ห่า ดูจากสถิติที่มึงแข่งกับไอ้ทิวเขาแล้วกูขอย้ายไปเดิมพันข้างมันดีกว่า”ออสตินย้ายไปนั่งข้างทิวเขา ยกมือขึ้นมาบีบนวดไหล่เพื่อนเบา ๆ เพื่อเอาอกเอาใจ“คราวหน้ากูขอเดิมพันข้างมึงนะ”“ว่าไง มึงยอมป้ะ” ทิวเขาหันมาถามเจ้าขุนเจ้าขุนพยักพเยิดหน้าให้
‘ออกไป! อย่าเข้ามาใกล้ฉันนะ ฉันเกลียดเธอ ยัยน้ำเน่า’คำพูดเมื่อสิบสามปีก่อนยังดังก้องอยู่ในหูของน้ำหวาน แม้เวลาจะผ่านไปนานหลายปีแต่ความรู้สึกที่เขามีต่อเธอก็ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย เคยเกลียดเธออย่างไรก็ยังเกลียดอย่างนั้นหญิงสาวคิดในใจขณะลากกระเป๋าเดินทางตามหลังเขาต้อย ๆปึก!ชายหนุ่มหยุดเดินโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้หญิงสาวชนเข้ากับแผ่นหลังกว้างอย่างจังใบหน้าหล่อคมหันขวับกลับมาอย่างไม่สบอารมณ์พร้อมทั้งพ่นลมหายใจใส่เธอเสมือนไม่พอใจ“อุ๊ย! ขอโทษค่ะ”หญิงสาวก้มหน้างุดหลังจากยกมือไหว้ขอโทษขอโพยเขา“ซุ่มซ่าม”เขาทำหน้าตึงใส่แล้วเดินดุ่ม ๆ ไปที่รถหญิงสาวจึงรีบตามไปหลังหอบหิ้วกระเป๋าขึ้นรถน้ำหวานก็เข้ามานั่งด้านข้างคนขับ เธอยังไม่ทันปิดประตูให้สนิทรถคันหรูก็เคลื่อนออกตัวอย่างแรงจนร่างเล็กหงายหลังไปติดกับเบาะเธอรีบดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดไว้ไม่อย่างนั้นอาจเกิดอันตรายได้ ทักษะการขับรถของเขายิ่งดูแปลก ๆ อยู่ด้วย จู่ ๆ ก็เหยียบคันเร่งแรง ๆ แล้วเหยียบเบรกกะทันหันเหมือนกำลังแกล้งเธออย่างไรอย่างนั้นรถซูเปอร์คาร์ราคาหลายล้านแล่นอยู่บนทางด่วนด้วยความเร็วเกือบร้อยหกสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง หญิงสาวนั่งหลับตาป
@ สนามแข่งรถเสียงเร่งเครื่องของรถซูเปอร์คาร์สองคันดังกระหึ่มอยู่ในสนามแข่งรถตรงจุดออกตัว สองหนุ่มเพื่อนซี้ ทิวเขา และ วายุ กำลังจ้องเขม็งมองกันประหนึ่งว่ามีกระแสไฟฟ้าวิ่งไปวิ่งมาระหว่างดวงตาทั้งสองคู่แม้จะเป็นเพื่อนสนิทกันมานาน แต่เมื่ออยู่ในสนามแข่งทั้งคู่ต่างก็มองอีกฝ่ายเป็นคู่ต่อสู้ใคร ๆ ก็รู้ว่าไอ้สองคนนี้มันไม่ยอมกันมาแต่ไหนแต่ไรเมื่อไฟสัญญาณให้ออกตัวรถสองคันก็พุ่งไปด้านหน้าด้วยความเร็ว ทั้งทักษะการขับและประสบการณ์การแข่งทั้งสองหนุ่มถือว่าฝีมือสูสีไม่มีใครดีหรือด้อยไปกว่ากันการแข่งขันเริ่มต้นขึ้นอย่างดุเดือด สองหนุ่มเชือดเฉือนราวกับเป็นคู่ศัตรูมาแต่ชาติปางไหน ผลัดเปลี่ยนกันขึ้นนำอย่างไม่มีใครยอมใคร ก่อนที่รอบสุดท้ายรถของทิวเขาจะเร่งเครื่องขึ้นมาจนทิ้งห่างจากรถของวายุอยู่หลายช่วงคัน“วันนี้ไอ้ทิวเขาแม่งได้ว่ะ แซงหน้าไอ้วายุไปหลายช่วงคันแล้ว เฮ่อ! สงสัยกูจะได้เสียเงินอีกแหง ๆ”ออสติน หนุ่มลูกครึ่งไทยนอร์เวย์เอ่ยขึ้นขณะยืนลุ้นอยู่บนห้องรับรองลูกค้าวีไอพีของสนามแข่งรถ นัยน์ตาสีน้ำตาลเพ่งไปด้านหน้าที่เป็นกระจกใสซึ่งสามารถมองเห็นวิวสนามได้แบบสามร้อยหกสิบองศาภายในห้องกว้างมีจอมอนิเ







