5
พอเหมาะพอดี
“คุณชายท่านมองสิ่งใดอยู่หรือ” บ่าวรับใช้ถามพลางรินน้ำชาบนโต๊ะให้ผู้เป็นนายที่นั่งมองเหม่อไปยังโต๊ะสตรีทั้งสอง ซึ่งยามนี้กำลังพูดคุยหยอกล้อกันจนเพลิดเพลิน
“นั่นใช่โจวเจียวเจียวหรือไม่” บุรุษผู้นั้นเอ่ยถาม มือก็รับถ้วยชาที่มีไอร้อนลอยกรุ่นมาจิบ แม้สายตาจะเลิกมองนางแต่ยังไม่ละความสนใจจากนางไป
เขาเคยได้ยินผู้คนเล่าลือกันว่าโจวเจียวเจียวเป็นหญิงสาวที่เอาแต่ใจตนเอง ไม่สนใจ ไม่ไว้หน้าผู้ใดนอกเสียจากมู่หลินเฟิง บุรุษที่นางพึงใจที่สุด แต่มู่หลินเฟิงไม่ชื่นชอบนาง
“ขอรับนั่นคุณหนูโจว บุตรสาวคนเดียวของตระกูลโจว น้องสาวคนเดียวของคุณชายโจว คุณชายท่านสนใจหรือ”
“ข้าหรือจะสนนาง เพียงได้ยินข่าวว่านางจงใจผลักบุตรสาวใต้เท้าสือตกน้ำในงานโคมไฟ จึงอยากรู้ว่านางเป็นคนเช่นไร”
“เอาแต่ใจตามประสาบุตรสาวเศรษฐีขอรับ มิต่างจากคุณหนูตระกูลอื่น ต่างก็แต่เป็นคนโพงพางไปเสียหน่อยไม่เหมือนคุณหนูบ้านอื่น” เฉิงเชียงบ่าวรับใช้ชายพ่วงตำแหน่งองครักษ์ของคุณชายตระกูลหลินกล่าวขึ้นน้ำเสียงจริงจัง ปนตื่นเต้นราวกับเป็นเรื่องสนุก
ชายหนุ่มฟังเรื่องราวจากปากบ่าวของตนเงียบ ๆ พร้อมจิบชาในถ้วยไปด้วย หากไม่ใช่ตระกูลหลินกับตระกูลเฉียนเกี่ยวข้องเป็นญาติกัน งานเช่นนี้เขาไม่เข้าร่วมให้เหนื่อยเป็นแน่
มารดาเขาตายไปหลายปีแล้ว เหลือเพียงบิดาที่เป็นแม่ทัพให้ วัน ๆ ยุ่งจนแทบไม่ได้เจอ ไม่รู้ยามนี้จำหน้ากันได้หรือไม่ ทำให้บุตรชายคนเดียวเช่นเขาต้องมาเป็นตัวแทน หากรู้เช่นนี้คงหนีกลับค่ายทหารไปแล้ว น่าเบื่อยิ่ง
องครักษ์หนุ่มว่าจบเขาก็พูดขึ้นอย่างเคร่งขรึม
“เฉิงเชียง เหตุใดเรื่องของสตรีเจ้าก็พูดเป็นน้ำไหลเลยเล่า ทำตัวราวหญิงปากตลาด” ผู้ถูกตำหนิเบ้ปาก ขมวดคิ้ว เหตุใดคุณชายของเขาจึงกล่าวเช่นนั้น ผู้ที่ฟังอยู่ตรงนี้ก็เห็นมีแต่คุณชายหลิน หากไม่ต้องการฟังเรื่องราวเหล่านี้เหตุใดไม่ห้ามก่อนเขาเล่าจบ
แต่มีหรือบ่าวเช่นเขาจะขวัญกล้าเอ่ยทัดทานผู้เป็นนาย ทำได้เพียงค้อมตัวกล่าวขอโทษไป
“อีกนานหรือไม่ พิธีจึงจะเสร็จ ที่นี่น่าเบื่อข้าอยากกลับไปฝึกยุทธ์มากกว่า”
“คงอีกสักพักขอรับ” ชายหนุ่มพยักหน้ารับก่อนจะขยับตัวเท้าแขนลงบนโต๊ะอาหารไว้ให้คางได้พักพิง หากไม่เกรงใจเขาจะเอนนอนให้มันรู้แล้วรู้รอดไป
“เฮ้อ ข้ารอไม่ไหวแล้ว ไปเฉิงเชียงข้าจะออกไปเดินเล่นสักหน่อย รอให้เริ่มพิธีค่อยกลับมา ไม่เช่นนั้นคงได้หลับคาโต๊ะ” เฉิงเชียงรับคำด้วยการพยักหน้าแล้วเดินตามผู้เป็นนายไปติด ๆ
ชายหนุ่มเดินมาถึงส่วนลานของเรือนข้าง มีดอกไม้พืชพรรณหลากหลายอย่างกำลังชูดอกงดงาม หากเขาเป็นสตรีย่อมต้องเบิกบาน แต่หาใช่เขาในยามนี้ที่เป็นทหารจึงไม่สามารถชื่นชมความงามของดอกไม้เหล่านี้ได้
“ข้าจะไปนั่งรับลมที่นั่นสักพัก เจ้าไปเถิดหากเริ่มพิธีให้มาตาม”
“ขอรับคุณชาย” เฉิงเชียงค้อมตัวรับแล้วเดินจากไปไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดขึ้นมาอีก กลัวว่าจะถูกเจ้านายดุให้อีกหน ชินเสียแล้วก็คุณชายของเขาอารมณ์เปลี่ยนแปลงรวดเร็วเป็นปกติ
หลินซีเป็นบุตรชายของแม่ทัพหลิน ที่มีความดีความชอบรบศึกใดไร้ปราชัย ฮ่องเต้จึงทรงชื่นชอบเป็นพิเศษ ผู้คนเองก็เกรงใจแม่ทัพน้อยผู้นี้ไปด้วย
เขาคิดไว้ว่าวันหน้าต้องได้ออกรบเคียงบ่าบิดา เป็นขุนศึกคู่ใจร้อยพันสงครามไม่หวั่นจึงมักไปขลุกตัวอยู่ในค่ายฝึกยุทธ์ซ้อมดาบ
แม้จะมีใบหน้างดงามเทียบเคียงอิสตรี แต่จนบัดนี้เขาก็ยังไม่สนใจเรื่องการวิวาห์เลย
“นั่นคุณชายหลินมิใช่หรือ มาทำสิ่งใดที่นี่” สมองรีบทบทวนบทนิยายทันทีที่ได้ยินหว่านจืออวิ๋นเอ่ยชื่อคนผู้หนึ่งขึ้นมา แซ่นี้นางจำได้ว่าเขาคือพระรองที่แสนดี หลงรักและทำทุกอย่างเพื่อสืออีหราน งดงามอย่างที่ผู้เขียนบรรยายไว้จริง ๆ คิ้วเข้มดังคันธนู ดวงตาฉายแววกล้าหาญมุ่งมั่น ริมฝีปากเล็กรูปกระจับสีสดดังชาดทาปาก
ไม่แน่ว่าหากจับเขามาแต่งหญิงคงสูสีกับหว่านจืออวิ๋น
ที่นางมาวันนี้ส่วนหนึ่งก็เพราะหลินซีผู้นี้ เดิมทีหลินซีไม่ต้องตาต้องใจสตรีนางใดเลย แต่เนื่องจากในงานพิธีปักปิ่นสืออีหรานช่วยเขาเอาไว้จึงเกิดใจผูกจิตรักแก่สืออีหราน
นางไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้นเพราะหลินซีเป็นบุรุษที่มีอำนาจ หากเข้าเป็นพวกสืออีหรานมีแต่นางที่เสียเปรียบ
“ใช่แล้ว ไปทักสักหน่อยดีหรือไม่พี่จืออวิ๋น” โจวเจียวเจียวกล่าวพลางส่งยิ้มหยอกล้อราวกับรู้ทันให้หว่านจืออวิ๋น ใบหูเล็กของหญิงสาวแดงเรื่อทันทีที่พูดถึงบุรุษผู้นั้น
โจวเจียวเจียวคิดว่าหากผู้ที่ช่วยเขาวันนี้ไม่ใช่สืออีหราน เขาย่อมไม่ตกหลุมรักนางแน่ จึงตั้งใจมาร่วมพิธีปักปิ่น แต่นางไม่ต้องการเป็นจุดสนใจเลยคิดว่าจะให้หว่านจืออวิ๋นเป็นผู้ช่วยเหลือเขาแทน
เช่นนี้หลินซีก็จะไม่มีทางช่วยเหลือสืออีหรานในการลอบกัดนางภายหน้า คนอะไรฉลาดจริง ๆ นางคิดลำพังพร้อมกับอมยิ้มให้ตนเอง
“เจียวเจียว” หญิงสาวรับรู้ได้ว่ากำลังถูกหยอกล้อก็เรียกชื่ออีกฝ่ายแก้ความขัดเขิน ก่อนที่ใบหน้าจะแดงลามไปทั่วสองแก้มนวล
“พี่จืออวิ๋นนั่นสืออีหราน หากท่านยังอยู่เงียบ ๆ เช่นนี้ระวังสตรีอื่นจะเอาไปกินเสียก่อน รีบไปเถอะ อีกสักครู่กิ่งไม้ใหญ่บนหัวคุณชายหลินจะหล่นลงมา ท่านรีบไปช่วยดีกว่า” โจวเจียวเจียวพูดจบก็เหลือบมองกิ่งไม้แห้งบนต้นทับทิมเหนือหัวหลินซี ทั้งที่บอกว่าจะออกมารับลมแต่พอไม่เห็นใครอยู่แถวนี้ เขาก็ฟุบหลับลงบนโต๊ะหินอ่อน
ในนิยายตอนนี้เป็นสืออีหรานเข้ามาช่วยใช้แขนบังกิ่งไม้ที่หล่นลงมาตรงหัวเขาพอดี ทำให้นางได้รับบาดเจ็บไม่น้อย สำหรับสตรีหากเกิดรอยแผลเป็นคงแย่ หลินซีรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก ไม่แน่ว่าหากมันตกลงมาโดนหัวเขาจัง ๆ จะยังเป็นคนปกติดีหรือไม่
“เจียวเจียวรู้ได้อย่างไร”
“อย่าพึ่งถามเลยพี่จืออวิ๋นรีบไปช่วยคุณชายหลินเถิด ไม่เช่นนั้นจะไม่ทันสืออีหรานแล้ว” หว่านจืออวิ๋นพยักหน้าแล้วรีบก้าวเท้าไปอย่างรวดเร็ว หญิงสาวถือวิสาสะดึงแขนเขาที่ฟุบอยู่ให้ลุกจากโต๊ะหินอ่อน ช่างพอดียิ่งที่สืออีหรานก็เข้ามาช่วยเช่นกัน
“นี่เจ้า” หลินซีสะบัดแขน ขมวดคิ้วแน่นอย่างหงุดหงิดที่ถูกขัดขวางเวลานอนเช่นนี้ แต่เมื่อได้ยินเสียงกิ่งทับทิมแห้งขนาดใหญ่ตกกระแทกโต๊ะหินอ่อน ถึงเริ่มเข้าใจว่านางไม่ได้ตั้งใจก่อกวนแต่กำลังช่วยเขาอยู่ต่างหาก
หว่านจืออวิ๋นได้ยินเช่นนั้นก็หน้าเจือนไม่กล้าพูดสิ่งใดออกไป เดิมทีก็ไม่ใช่สตรีที่ช่างพูดจาหรือกล้าทะเลาะกับผู้ใด พอได้ยินอีกฝ่ายกล่าวเสียงดังก็ค้อมตัวเป็นการลา เร่งฝีเท้าหนีไปในทันที
หลินซีตั้งใจจะตามไปแต่ถูกสืออีหรานรั้งไว้เสียก่อน
“คุณชายหลินไม่เป็นไรใช่หรือไม่” นางถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงอย่างจริงใจ แต่ผู้ใดจะรู้เล่าว่าเหตุใดกิ่งทับทิมถึงตกลงมาได้พอเหมาะพอเจาะเช่นนี้ หากมิใช่มีผู้ใดจงใจ...
ฤกษ์ดีงานวิวาห์สองงานถูกจัดขึ้นพร้อมกัน เป็นเหตุให้เรื่องนี้ร่ำลือไปทั่วเมืองเทียนเผิง สองตระกูลขุนนางสำคัญวิวาห์บุตรสาวจากตระกูลคหบดีชื่อดัง งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นที่โรงเตี้ยมมีชื่อแห่งหนึ่งซึ่งเป็นของตระกูลโจวอีกเช่นกันทั้งสองไม่ได้คิดจะแต่งวันเดียวกัน แต่ฤกษ์ดีวันนี้กลับมีเพียงห้าปีครั้ง หลินซีเองก็ไม่อยากรอ มู่หลินเฟิงก็ไม่อยากรอ ยิ่งมีบุตรปีนี้จะเกื้อหนุนครอบครัวเป็นอย่างมาก อีกทั้งสตรีทั้งสองยังกลัวจะไม่ได้ไปร่วมดื่มอวยพรให้อีกฝ่ายเมื่อเลือกไม่ได้จึงตกลงแต่งพร้อมกัน มู่หลินเฟิงและหลินซียังคงปะทะฝีปากกันบ่อย ๆ แต่ทุกครั้งก็ถูกว่าที่ภรรยาตำหนิจนหน้าบูดกันไปทุกทีหากงานจัดในบ้าน เจ้าสาวย่อมไม่มีหน้าที่มาต้อนรับ แต่งานวิวาห์นี้กลับจัดในโรงเตี้ยมใหญ่โต เจ้าสาวทั้งสองจึงสวมผ้าคลุมหน้าพูดคุยกับผู้มาร่วมยินดีด้วยได้ กระทั่งมีชายสูงศักดิ์ผู้หนึ่งเดินเข้ามาคารวะสุรากับโจวเจียวเจียว“
ตอนพิเศษอารมณ์ดีหลังถูกสตรีในใจปฏิเสธชัดเจน หลินซีรู้สึกว่าตนเองต้องเสียใจมากเป็นแน่ ทว่าเรื่องราวไม่เป็นเช่นนั้น เขารู้สึกราวยกภูเขาออกจากอกเสียมากกว่า ร่างสูงโปร่งที่มีใบหน้างดงามราวอิสตรีเดินเอื่อยไปเรื่อย ๆ บนถนนเส้นหลักของตลาดฝั่งประจิมแม้จะมีใบหน้างดงามจนหาที่เปรียบได้ยากและเป็นที่ชื่นชอบของสตรีมากมาย แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าก่อกวนเพราะตระกูลนักรบเช่นเขาไหนเลยจะรู้จักรักหยกถนอมบุปผาได้เฉิงเชียงที่เดินอยู่ด้านหลังขยับขึ้นมากระซิบชายหนุ่มแผ่วเบา“คุณชายนั่นแม่นางจืออวิ๋นขอรับ” หว่านจืออวิ๋นเป็นสตรีที่งดงามราวเทพธิดาไม่ต่างสืออีหราน ต่างกันเพียงนางไม่ใช่บุตรสาวตระกูลขุนนาง หากแต่เป็นบุตรสาวพ่อค้ายามนี้ไร้ซึ่งเงาของสืออีหราน นางจึงเป็นที่เลื่องลือมากยิ่งขึ้น มีบรรดาบุตรชายขุนนางหลายคนมาทำความรู้จัก บางคนต้อ
47พิมดาวจวนตระกูลมู่เงียบเชียบราวกับจวนร้างแต่ยังมีเสียงเล็ดลอดออกมาทำให้รู้ว่าแท้จริงที่นี่มิได้ร้างผู้คน สตรีวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนเตียงสีหน้าเศร้าหมองไม่น้อย นางชี้หน้าผู้เป็นสามีต่อว่าเขาแต่ตนเองกับร่ำ ๆ จะร้องไห้บุตรชายนางไปทำงานต่างเมืองสองเดือนแล้ว แม้มีจดหมายแต่ราวกับไม่มี จดหมายนั้นหาใช่บุตรชายนางเขียน หากบุตรชายนางยังอยู่ดีเหตุใดจึงไม่เขียนจดหมายมาเอง“ท่านโกหกข้า ลูกข้าอยู่ที่ใด ฮือ...” อี้ฮูหยินกล่าวไปร่ำไห้ไป จดหมายสองฉบับที่ส่งมา ลายมือแทบไม่ต่างจากบุตรชายแต่นางที่เฝ้ามองบุตรชายเติบใหญ่ มีหรือไม่สามารถจำได้ลายมือบนจดหมายถูกปลอมแปลงขึ้น แล้วเหตุใดต้องปลอมหากไม่ใช่เพราะบุตรชายนาง...“ฮูหยินเจ้าใจเย็น ๆ เสียก่อน เฟิงเอ๋อร์ยังอยู่ดี”“อยู่ดีหร
46ขอเพียงท่านฟื้นปลายวสันต์ลมโชยพัดผ่านกิ่งไม้ใบไม้เสียดสีกันฟังราวกับกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติเขียวขจีให้ความสดชื่นไม่น้อย เพียงแต่ที่นี่คือเรือนข้างในคฤหาสน์หลังใหญ่สกุลโจว ร่างสูงโปร่งบนเตียงก็ยังคงหลับตาอยู่เช่นเดิมหญิงสาวใช้นิ้วเกลี่ยเส้นผมดำสนิทที่ถูกลมพัดของมู่หลินเฟิงออกจากใบหน้า“สองเดือนแล้วที่ท่านปล่อยให้ข้าพูดคุยเพียงลำพัง ยังไม่ทันได้หมั้นหมายก็ทิ้งให้ข้ากังวลเช้าเย็นเช่นนี้ คิดว่าข้ายังจะอยากแต่งกับท่านอีกหรือคุณชายมู่” บ่นไปก็เช็ดตัวเขาไป นางทำจนเคยชินไปเสียแล้ว ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนนางจึงเช็ดเนื้อเช็ดตัวของเขาทั้งเช้าและเย็นเดิมทีนางคิดว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาภายในหนึ่งเดือน เพราะก่อนนี้เขาตอบสนองนางด้วยการขยับนิ้ว แต่ก็เพียงแค่ครั้งเดียว ดูเหมือนอี้ฮูหยินเองก็เริ่มสงสัยแล้วเหมือนกันว่าบุตรชายไม่ได
45ข้ายังรออยู่ตระกูลสือที่รุ่งเรืองในอดีต ยามนี้จบสิ้นแล้วทั้งตระกูล ประตูใหญ่จวนสือที่เคยรุ่งโรจน์บรรดาขุนนางน้อยใหญ่ตบเท้าเข้ามาทำความรู้จัก บัดนี้มีเพียงเศษใบไม้ปลิดปลิว เวิ้งว้างวังเวง ประตูปิดสนิทถูกแปะทับด้วยกระดาษสีแดงแผ่นยาวในตลาดมีประกาศความผิดติดไว้ให้ผู้คนรับรู้ ตระกูลสือกำเริบเสิบสาน ไม่เกรงกลัวกฎหมาย สตรีสกุลสือไร้คุณธรรมบงการลอบทำร้ายผู้อื่น ต้องโทษทั้งตระกูล ยึดทรัพย์ยึดจวน ริบคืนบรรดาศักดิ์ทั้งหมดสือจินเฉิงถูกโบยห้าสิบครั้ง เนรเทศไปชายแดน สืออีหรานถูกโบยสามสิบครั้งถูกกรีดใบหน้าด้านขวาว่าไร้คุณธรรม เกรงว่าชั่วชีวิตนี้นางคงไม่อาจผูกสมัครรักผู้ใดได้อีก ส่วนมารดาของนางถูกโบยยี่สิบครั้งฐานเป็นมารดาที่สั่งสอนบุตรสาวไร้คุณธรรมเมื่อได้ยินเรื่องนี้โจวเจียวเจียวไม่ได้มีท่าทางยินดียินร้ายใดต่อเรื่องที่ได้ย
44ท่านต้องฟื้นจวนแม่ทัพหลินมู่หลินเฟิงถูกพากลับมายังจวนตระกูลหลิน เพราะอยู่ใกล้ที่สุด อีกทั้งหมอของตระกูลหลินเชี่ยวชาญชำนาญบาดแผลเช่นนี้มากกว่า ร่างโชกเลือดถูกยกเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง สาวใช้สองสามคนช่วยท่านหมออยู่ภายใน ผ่านไปเกือบสองเค่อจึงยกเอาอ่างไม้ออกมา เปลี่ยนเป็นน้ำร้อนแล้วเข้าไปอีกโจวเจียวเจียวเดินวนไปวนมา ร้อนใจนักไม่รู้คนโง่ผู้นั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง มีดปักคาไว้ไม่รู้ถูกส่วนสำคัญบ้างหรือไม่เหตุใดคน ๆ นั้นจึงโง่เช่นนี้ การช่วยคนต้องช่วยโดยไม่ให้ตนเองเป็นอันตรายไปด้วย นี่อันใดกันทำตนเองบาดเจ็บคาบเกี่ยวชีวิต คิดแล้วยิ่งขุ่นเคืองเป็นถึงจอหงวนสิ้นคิดนักหญิงสาวทำได้เพียงต่อว่าเขาในใจ นางต่อว่าเขาจนลืมไปกระมังว่าตนเองก็ตายเพราะช่วยผู้อื่น“ท่านหมอ เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” ร่างเล็กปรี่เข้าไปถาม